ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ตามรอยเรื่องลึกลับ

    ลำดับตอนที่ #18 : บันยิพ (Bunyip) ตอนที่ 2 จบ

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.พ. 51


                    มร.ดาร์ซี่(Mr.D arcy) อาชีพครู ชอบยิงนกเป็ดน้ำมาก ได้เล่าประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเขาเมื่อปี 1872 ว่าครั้งหนึ่งเขาไปเที่ยวยิงนกเป็ดน้ำชุมและเขายิงไปหลายตัวที่เดียว แต่ทว่ากระแสน้ำได้พัดพามันออกนอกทะเลสาบ พอดีมีผู้ชายคนหนึ่งเอาเรือท้องแบนบรรทุกเกวียนขับผ่านมา

                    ผมบอกเขาถ้าเขาออกไปเก็บเป็ดน้ำให้ ผมจะแบ่งเขาให้ครึ่งหนึ่ง เขาก็ตกลงทำตาม แต่ขณะที่ผมดูเขาอยู่นั้นผมก็ได้ยินเขาตกใจ พร้อมกันนั้นเรือเขาก็พลิกคว่ำลง และเขารีบว่ายน้ำกลับเข้าฝั่ง พอมาถึงเขาแทบยืนไม่ไหว และบอกผมว่าพอเขากำลังเก็บเป็ดตัวสุดท้าย ก็มีสัตว์รูปร่างคล้ายพันธุ์รีทรีฟเวอร์ตัวใหญ่หัวกลมแต่ไม่มีหู โผล่ออกมาเกือบจะติดเรือเขา เขาตกใจมากจนทำให้เรือคว่ำ

                    ที่รัฐวิคตอเรียนี่อีกเหมือนกัน เมื่อช่วงกลางเดือนกุมภาพันธุ์ 1890 ได้มีข่าวลือถึงสัตว์รูปร่างแปลกประหลาด ซึ่งอาจเป็นสัตว์เลื้อยคลานก็ได้อาศัยอยู่บึงใกล้ๆ ตำบลยูโรอา ดังนั้น ในวันศุกร์ที่ 21 เดือนเดียวกันพวกเจ้าหน้าที่สวนสัตว์นครเมลเบิร์นกับช่างภาพสมัครเล่นก็ไปช่วยกันลงอสนในบึงแห่งนั้น พวกเขาขึงตาข่ายขวางบึงแล้วช่วยกันใช้ไม้ตีตะล่อมไประยะ แต่ปรากฏวี่แววของสัตว์สัตว์นั้น มันหนีไปได้ ทิ้งแต่รอยเท้าไว้ที่ในพงอ้อริมบึง

                    ปี 1927 จอห์น เกล ซึ่งตอนนี้อายุ 95(คงตายแล้วมั้ง) ฟื้นความหลังให้นายร้อยเอกแซมเซาท์เวลล์ เพื่อนของเขา ว่า ตัวข้าพเจ้าเมื่อครั้งที่ไปยิงนกเป็ดน้ำอยู่แถวริมแม่น้ำควีนเบยัน ก็เคยเห็นสัตว์ครึ่งบกครึ่งหน้า รูปร่างคล้ายสุนัข ตัวใหญ่ อยู่ห่างจากข้าพเจ้าราวร้อยหลา ซึ่งดูเหมือนว่ามันเห็นข้าพเจ้า มันทิ้งตัวลงใต้น้ำ แล้วข้าพเจ้าไม่เห็นมันอีกเลย และมีหลายคนบอกว่าเห็นตัวมันที่แม่น้ำสายเดียวกันนี้แถวใกล้ๆ เมือง

    ปี 1856 อี.เจ.ดันน์ เล่าเรื่องที่ประสบตอนที่ไปตั้งแคมป์พักริมแม่น้ำเมอร์รุมบิดจีแถวกุนดาไก เขาและพรรคพวกได้ยินเสียงมันร้องเหมือนวัว และเห็นบันยิพฝูงหนึ่งกำลังว่ายทวนน้ำซึ่งตอนนั้นท่วมล้นตลิ่ง ชายคนหนึ่งจึงยิงมันด้วยปืนลูกปลาย ส่วนเด็กๆ พยายามวางเบ็ดล่อ แต่ไม่มีใครได้ตัวมันสักตัว

                    รำลึกว่า สัตว์พวกนี้มีหัวกลม กับไม่มีหู เห็นแต่ลูกตา ขนสีเข้ม ความยาวของสัตว์พวกนี้ราวห้าฟุต ขณะที่ว่ายน้ำอยู่หัวและส่วนหลังโผล่พ้นน้ำขึ้นมา ตอนนั้นผมไม่เคยเห็นแมวน้ำมาก่อน ตอนหลังจึงได้เห็นหลายครั้ง ผมเลยคิดว่าสัตว์พวกที่ผมเห็นวันนั้นอาจเป็นแมวน้ำ แต่ระยะทางแม่น้ำเมอร์เรย์กับแม่น้ำรุมบิดจีต่อกันจนมาถึงกุนดาไกก็ราวๆ 2000 ไมล์จากทะเล

                    แม้ว่าปกติแมวน้ำจะเป็นสัตว์ทะเล แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่มันว่ายมาที่แม่น้ำเป็นระไกลที่เดียว เมื่อปี 1850 ก็มีคนเคยยิงแมวน้ำที่โคนาร์โกในรัฐนิวเซาว์เวลส์ ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลถึง 1500 กม. ในปี 1890 มีคนเห็นแมวน้ำที่โอเวอร์แลนด์คอร์เนอร์ มันว่ายตามแม่น้ำเมอร์เรย์ในระยะทางถึง 400 กิโลเมตร และในช่วงปี 1930 ก็พบตัวหนึ่งที่บึงชายแม่น้ำเมอร์เรย์ระหว่างเมืองเรนมาร์คกับล็อกซ์ตัน ซึ่งอยู่ห่างจากทะเลถึง 400 กม.

                    ที่น่าสังเกตคือ ไม่เคยมีการปรากฏภาพเขียนของบันยิพในศิลปะอะบอริจิน ซึ่งนี้หมายความว่าบันยิพไม่ใช้สัตว์ที่พวกเขาสมมุติขึ้นตามคติความเชื่อ หากแต่เป็นสัตว์ที่มีตัวตนอยู่จริงๆ เพียงแต่มันอาจดุร้ายน่ากลัวจนพวกเขาไม่อยากเข้าไปใกล้เลยไม่รู้แน่ชัดว่ามันมีรูปร่างอย่างไรจึงเขียนไม่ถูก  แต่จะว่าไม่เคยมีเลยนั้นก็ไม่ถูกนัก เพราะครั้งหนึ่งเมื่อต้นศตวรรษที่ 19 นี้เองสัตว์ตัวใหญ่ตัวหนึ่งถูกฆ่าตายที่ริมฝั่งลำน้ำแฟรี่คร็ก ใกล้ๆ เมืองอรารัตในรับวิคตอเรีย และเพื่อไว้แสดงให้ลูกหลานรู้สึกความกล้าหาญของพวกตน คนพื้นเมืองเผ่าจับวูรองที่ฆ่าสัตว์ตัวนั้น ก็ขุดร่องตื้นๆ ไปรอบร่างสัตว์ที่ตายนอนอยู่บนพื้น แล้วพวกเขาก็คอยหมั่นถอนหญ้ามิให้ขึ้นมาคลุมภาพที่เป็นรอยลึกอยู่บนพื้นดินนั้น เมื่อปี 1840 ตอนที่เปิดสถานีรถไฟชาลลิคัมซึ่งอยู่ห่างจากที่ตรงนั้นไปหนึ่งกิโล ภาพนั้นยังคงอยู่ที่นั้น และคงอย่อีกราวปี 1870 แต่หลังจากนั้นชนเผ่าจับวูรองก็หมดสนใจ ไม่รักษา ปล่อยให้วัชพืชปกคลุม จนภาพสูญหายไปในที่สุด แต่กระนั้น มร.ไอ. ดับบลิว, สก็อต ผู้ดูแลสถานีรถไฟชาลลิคัมก็ได้สเก็ตภาพนี้ไว้

                    ปี 1971 แจ๊ค อีแวนส์ ได้พบบันยิพที่บึงใหญ่ห่างจากเมืองลิสมอร์ของนิวเซาท์เวลส์ไปทางเหนือ 32 กม. สัตว์ตัวนั้น ตัวยาวหลายฟุต มีหัวคล้ายสุนัข หูเล็กและแนบกับหัว ผมเห็นมันจับหงส์ไปกิน

                    นักสัตว์ลึกลับวิทยาก็หาตัวมันเหมือนกันใน ดร.ลุควิก ไลซ์ฮาดต์ เคยเดินทางไปทวีปออสเตเรียมาแล้ว ท่านเชื่อว่าบันยีพน่าจะเป็นโปรโตดอนที่หลงเหลืออยู่ เมื่อปี 1847 ท่านจึงนำคณะค้าหาสัตว์ชนิดนี้ไปถึงใจกลางของทวีป ข่าวออกมาบอกว่าท่านไปถึงแม่น้ำโคกุน เมื่อวันที่ 3 เมษายน 1848 แล้วจากนั้นก็ไม่มีผู้ใดพบเห็นท่านและคณะอีกเลย

     

                    มันคือตัวอะไร?  

    มีทฤษฏีหลากหลายที่ว่าบันยิพเป็นตัวอะไร ก็มีหลากหลายนะ แต่ส่วนมากเน้นสัตว์ดึกดำบรรพ์มากกว่า เมื่อดูก็รู้เลยว่าทำไมหลายคนถึงพรรณนารูปร่างของบันยิพแตกต่างกันออกไป เพราะมันพรรณนาไม่ออกน่ะสิ แหม ขนาดสัตว์ที่คาดว่าเป็นบันยิพก็รูปร่าง ลักษณะแปลกดีแท้ๆ ไม่แปลกสักนิดที่จะมีคนพรรณนาต่างกันออกไป แถมมองเห็นตัวมันไม่ชัดเจนอีก

     

                    แมวน้ำ

                    สัตว์ธรรมดาที่เห็นทั่วไปแถวออสเตรเลีย ส่วนใหญ่คนที่เห็นบันยิพเหมือนแมวน้ำ แต่ติดปัญหาคือชาวอะบอริจินรู้จักแมวน้ำเป็นอย่างดี ผิดกับคนขาว จึงไม่น่าเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะจำแมวน้ำกับบันยิพผิด

                   

                    ปลาติปุส

                    สัตว์หายาก(หรือเปล่า) ออกมาหากินตอนใกล้รุ่งและตอนพลบค่ำ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนบอกว่าเห็นบันยิพ เพียงแต่เจ้าปลาติปุสนี้ตัวมันเล็กไปหน่อย แต่บางที่อาจเป็นเพราะการหักเหของแสงทำให้ปลาติปุสตัวโตผิดปกติก็เป็นไปได้

     

                    ปาลอร์เคสตีส(palorchestes)

                    

                    เป็นสัตว์อีกชนิดหนึ่งที่หลายคนคิดว่ามันคือบันยีพ ปาลอร์เคสตีสเป็นสัตว์โบราณคราวเดียวกับไดโปรโตดอน ตัวโตขนาดวัว หัวมีรูปร่างประหลาด เท้าหน้ามีเล็กแหลมคมและมีพละกำลังอาจจะสร้างความน่าสะพลึงกลัวให้กับอะบอริจินที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานในยุคแรกๆ และลเขานต่อๆ กันมา จนกลายเป็นตำนานบันยิพไป

     

                    สัตว์กระเป๋า Marsupial

                    กิลเบิร์ต วิทเลย์ นักวิทยาศาสตร์ชาวออสเตเลียเสนอทฤษฎีที่แปลกไป บอกว่าบันยีพคือสัตว์กระเป๋าที่คล้ายนาคสูญพันธุ์ไปแล้ว

     

    ไดโปรโทดอน (Diprotodon)

     

    มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านเชื่อว่าบันยิพมันเคยมีตัวตนอยู่จริง เพียงแต่ไม่ใช่สัตว์ประหลาดอะไรที่ไหนแต่มันน่าจะเป็นตัว ไดโปรโทดอน (Diprotodon) หรือสัตว์ที่อยู่ในตระกูลจิงโจ้ขนาดใหญ่ที่เคยมีชีวิตอยู่จริงในออสเตรเลีย ในสมัยบรรพกาลเมื่อประมาณ 20,000 กว่าปีมาแล้ว

    ไดโปรโทดอน เป็นสัตว์โบราณที่หน้าตาแปลกชอบอาศัยอยู่ริมบึงและพึ่งสูญพันธุ์ไปเมื่อราวสองหมื่นปีมานี้อีก(ไม่นานเนอะ) หลังจากที่ดินฟ้าอากาศของออสเตเลียเกิดการเปลี่ยนแปลงจนชุ่มชื่นกลายเป็นแห้งแล้ง ที่ลุ่มหนองบึงเปลี่ยนเป็นทุ่งหญ้าและทะเลทราย เมื่อขาดอาหารพวกมันเลยสูญพันธุ์ไป

    ซึ่งบางทีเจ้าไดโปรโทดอนนี่อาจจะมีชีวิตเหลือรอดมาจนถึงทุกยุค 80 ในตอนนั้นเลยทำให้กลายมาเป็นต้นตำนานของสัตว์ประหลาดบันยิพในตอนนี้ และมันอาจหลบซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่งก็อาจเป็นได้

     

    เรื่องโม้

    บางคนก็เชื่อว่าเรื่องเล่าของบันยิพเนี่ยเหลวไหล เป็นเพียงเรื่องเล่าในจินตนาการ เป็นเพียงเรื่องเล่ารอบกองไฟที่ตกทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นหรือจากนิทานก่อนนอนเท่านั้นครับ สัตว์ประหลาดที่เล่าๆ กันมาน่ะ ไม่มีตัวตนจริงหรอก นิทานก็เป็นนิทาน ตำนานก็เป็นตำนาน จะเป็นเรื่องจริงไปได้ยังไง เพราะยังไม่เคยมีใครจับตัวมันได้หรือมีหลักฐานยืนยันที่ชัดเจนเลย เจ้าตัวที่เล่าต่อกันมาน่ะ บางทีอาจจะเป็นแค่จระเข้น้ำเค็มตัวใหญ่หรือไม่ก็แค่ฮิปโปโปเตมัสเท่านั้นเอง

     

                 ดูเหมือนว่าการจับบันยิพเป็นๆ ได้จะเป็นการเฉลยคำตอบได้ว่า ท้ายสุดมันคือตัวอะไรกัน


     

    จากต่วยตูนพิเศษ กันยายน 2543+ +

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×