คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #17 : Mistake 13 { Rewrite } 100%
Mistake 13
“อยากทำอะไรก็ทำไปนะเดี๋ยวพี่จะอาบน้ำก่อน”
“ครับ”
ผมมองตามหลังของจุนมยอนที่หายลับเข้าไปทางห้องนอน หลังจากที่ออกไปทานข้าวกันมาก็เห็นเขาบ่นๆ
ว่าเหนียวตัวจนกระทั่งมาถึงห้องเจ้าตัวเลยตรงไปยังห้องน้ำเป็นที่แรก ผมเลิกสนใจแล้วจึงหันกลับมาดูทีวีที่กำลังฉายละครน้ำเน่าอยู่
ดูไปสักพักก็รู้สึกว่าหนังตามันเริ่มหย่อนผมปิดทีวีแล้วลุกจากโซฟาเดินไปทางห้องนอนที่จุนมยอนหายเข้าไปก่อนหน้า
จุนมยอนเขาเลือกห้องพักที่มีแค่ห้องนอนห้องเดียวครับผมเลยจำต้องนอนกับเขาไปตามระเบียบทีแรกผมก็ว่าจะขอให้เขาลองเปลี่ยนเป็นห้องที่มีสองห้องนอนแทนแต่เขาบอกว่าราคามันจะแพงกว่าราคาห้องปกติ
ผมเองก็ไม่เข้าใจทั้งที่ก็ออกจะรวยขนาดนั้นยังจะต้องมางกกับเรื่องแค่นี้อีกทำไม แต่ผมก็คงจะทำอะไรไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละครับ...ก็มันเป็นเงินเขานี่ไม่ใช่เงินผม
ผมเดินเข้ามาหย่อนก้นนั่งลงที่เตียงนอนนุ่มๆ
นั่งมองนู่นมองนี่ไปเรื่อยจนเริ่มเบื่อก็ยังไม่เห็นว่าจุนมยอนจะออกมาจากห้องน้ำสักทีไม่รู้ว่าตกส้วมตายไปแล้วรึเปล่า
อาการเพลียจากการเดินทางมันทำให้ผมรู้สึกเริ่มจะไม่ไหวจนต้องเอนกายลงนอนไปบนเตียงหนานุ่มหลับเปลือกตาลงเบาๆ
กิ๊งก่อง!
เสียงออดหน้าดังขัดในจังหวะที่ผมกำลังเคลิ้มจะหลับ
รู้สึกหงุดหงิดนิดหน่อยที่มีคนมากวนแต่ก็ยอมลุกขึ้นจากเตียงนุ่มไปเปิดประตูต้อนรับแขกผู้มาเยือน
“มีอะไรรึเปล่าครับ” เมื่อเปิดประตูออกมาก็เจอกับพนักงานของทางโรงแรมยืนฉีกยิ้มกว้างรอการต้อนรับอยู่ก่อนแล้ว
“ขออภัยที่มารบกวนเวลาพักผ่อนนะครับ
คือว่าผมเอาการ์ดเชิญร่วมงานเลี้ยงฉลองขอบคุณที่ลูกค้าเลือกโรงแรมของเราเป็นที่พักครับ
งานจะจัดขึ้นในคืนวันพรุ่งนี้หากผมมาเรียนเชิญช้าก็ต้องขออภัยอีกครั้งด้วยครับ” พนักงานกล่าวยืดยาวก่อนจะจบลงด้วยการโค้งให้อย่างนอบน้อม
ผมเองเลยได้แต่โค้งกลับ
“ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกผมเองก็เพิ่งจะเข้ามาพักจะรู้เรื่องช้าก็ไม่แปลก”
“ยังไงก็ต้องขออภัยด้วยครับ
นี่การ์ดเชิญครับรายละเอียดอยู่ในการ์ดทั้งหมดหรือถ้าหากมีข้อสงสัยสามารถโทรไปสอบถามกับเบอร์ฉุกเฉินของทางโรงแรมได้ครับ”
“อ่า ครับๆ”
หลังจากที่พนักงานของทางโรงแรมเอาการ์ดมาให้ผมก็เปิดดูอ่านรายละเอียดคร่าวๆ
ทราบว่าเขาต้องการจะจัดงานเลี้ยงเพื่อเป็นการขอบคุณกับลูกค้าทุกคนที่เข้ามาพักในโรงแรม
นอกนั้นก็เป็นรายละเอียดเวลาเริ่มงานและพิธีต่างๆ ซึ่งผมก็อ่านบ้างไม่อ่านบ้าง
“นั่นการ์ดอะไร” ผมสะดุ้งเล็กน้อยเพราะเสียงทักของจุนมยอน
“อ่านดูเองสิ” ผมยื่นการ์ดเชิญให้เขาอ่านเขาเองก็รับไปอ่านสักพักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม
ผมพยายามมองแค่ส่วนใบหน้าของเขาเท่านั้นไม่ได้มองต่ำลงไปมากกว่านั้นเพราะจุนมยอนยังไม่ได้แต่งตัวก่อนออกมาจากห้องน้ำ
ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขาก็เห็นจะมีเพียงแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวที่พันไว้รอบเอว
“ถ้างั้นก็มีเวลาหาชุดแค่ไม่กี่ชั่วโมงเองน่ะสิ
ถ้าสั่งตัดชุดตอนนี้ก็คงจะไม่ทันแน่ๆ”
“ก็แค่ไปเดินห้างเลือกเอามาสักชุดมันก็จบไม่เห็นจะต้องไปสั่งตัดอะไรให้ยุ่งยากเลย”
ผมเปรยขึ้นมาเหมือนเป็นการคุยคนเดียวเสียมากกว่า แต่เขาก็ยังอุตส่าห์เห็นด้วยกับความคิดของผมซะงั้น
“งั้นโปรแกรมพรุ่งนี้ของเราก็เปลี่ยนจากไปเที่ยวพระราชวังต้องห้ามเป็นไปเดินห้างแทน
โอเคนะ”
หืม? หมอนี่ไปคิดโปรแกรมเที่ยวไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมมาถึงจีนแล้วยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาจะพามาเที่ยวจริงอย่างที่บอกหรือเปล่า
แต่ว่าไปเที่ยวพระราชวังต้องห้ามงั้นเหรอ...
อันที่จริงแล้วผมเองก็อยากไปเที่ยวพระราชวังต้องห้ามเหมือนกันนะ
“ไม่ต้องทำหน้าเสียดายขนาดนั้นก็ได้
ถึงพรุ่งนี้จะไม่ได้ไปเที่ยวพระราชวังต้องห้ามแต่ก็ใช่ว่าวันอื่นจะไม่ได้ไปนิ”
ไม่รู้ว่าเพราะผมเผลอแสดงออกทางสีหน้ามากเกินไปหรือยังไงจุนมยอนถึงได้มองผมด้วยสายตาล้อเลียนกับพูดด้วยน้ำเสียงทะเล้นๆ
แบบนั้น
“ใครไปทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน...” ผมบ่นอุบอิบเสียงค่อย
แต่คงเพราะว่าในห้องนี้มีเพียงผมกับจุนมยอนสองคนมันเลยเงียบเกินไปจนทำให้เขาได้ยินที่ผมพึมพำ
“ไม่ได้ทำก็ไม่ได้ทำ
งั้นวันนี้ก็พักผ่อนให้เต็มที่แล้วกันพรุ่งนี้พี่จะพาไปเดินช้อป” สั่งการเสร็จร่างเกือบเปลือยของจุนมยอนก็เดินไปลื้อหาเสื้อผ้ามาใส่
ผมเองที่ง่วงอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเลยถือโอกาสนี้พักงีบเอาแรงมันเสียเลย
*****
เป็นไปตามโปรแกรมที่ได้คุยกันไว้เมื่อวานว่าวันนี้ผมกับจุนมยอนจะไปเดินช้อปเลือกเสื้อผ้ามาใส่ร่วมงานเลี้ยงของโรงแรม
ผมตื้นขึ้นมาในช่วงสายๆ เพราะจุนมยอนปลุกให้ลุกมาทานอาหารเช้าจากนั้นก็โดนจุนมยอนลากให้ไปอาบน้ำแต่งตัวจนสุดท้ายก็มาจบลงที่การนั่งรถไปช้อปปิ้ง
ห้างใหญ่โตชื่อดังทำผมตื่นตาตื่นใจอยู่ไม่น้อย
เพราะตั้งแต่ผมเสียพ่อกับแม่ไปก็แทบจะไม่เคยได้ย่างกรายเข้ามาในสถานที่หรูๆ แบบนี้
“เข้าไปข้างในกันเถอะ”
มือของผมถูกมืออุ่นนั้นคว้าไปกุมไว้แล้วกระตุกให้เดินตามเบาๆ
ผมมองลงไปที่มือของผมกับจุนมยอนมือนุ่มที่จับมือผมอยู่นั้นมันให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด
หัวใจของผมมันอุ่นวาบเมื่อสัมผัสได้ถึงความอ่อนโยนผ่านมือนั้น
มือนี้เหมือนผมเคยได้สัมผัส...
มือนี้มันให้ความรู้สึกที่ปลอดภัยเมื่อได้สัมผัส...
คิม จุนมยอน คนใจร้ายนั้นหายไปไหนผมเองก็ไม่รู้...
แต่ตอนนี้ผมว่าผมชอบ คิม จุนมยอน
คนอ่อนโยนคนนี้มากกว่าจุนมยอนคนก่อนนะ...
“พี่ว่าเสื้อมันดูตัวใหญ่ไปนะ มันจะยิ่งทำให้นายดูตัวเล็กลง
ลองตัวนี้ดูดีกว่า”
“...”
“ตัวนี้ก็เล็กไป ส่วนโค้งส่วนเว้านั้นมันดูเหมือนผู้หญิงเกิน
เปลี่ยนเป็นตัวนี้ดูดีกว่า”
“...”
“สีดำมันดูอึมครึมเกินไปเปลี่ยนเป็นสีขาวดีกว่า”
“...”
“สีขาวก็อ้อนแอ่นไป...”
“ย่าส์! นี่ผมเปลี่ยนมาเป็นสิบกว่าชุดแล้วนะ
รู้ไหมว่าเปลี่ยนชุดไปเปลี่ยนชุดมาแบบนี้มันเหนื่อย!”
เมื่อสุดที่จะทนผมเลยแว้ดเสียงแหลมใส่คนที่นั่งชี้นิ้วเลือกชุดให้อยู่บนโซฟารับรองแขก
นี่ไม่ใช่ชุดที่สองหรือที่สามที่ผมไปเปลี่ยนมาให้จุนมยอนดู แต่มันเป็นชุดที่สิบกว่าๆ
เห็นจะได้
ส่วนตัวแล้วผมว่าชุดมันโอเคกับผมตั้งแต่ตัวที่สามที่ได้ลองแล้วนะแต่เพราะมันไม่ถูกใจคนจ่ายเงินผมเลยจำต้องร่อนเข้าร่อนออกห้องลองชุดเป็นว่าเล่น
ยังดีที่หมอนี่มันรวยเลยเหมาโซนนี้ให้ผมได้เลือกชุดอย่างสบายอารมณ์ไม่ต้องห่วงว่าจะมีคนมาวุ่นวาย
“ก็นายใส่ชุดไหนมันก็ดูเหมือนลูกเป็ดขี้เหร่ไปหมดแบบนี้จะให้พี่ทำไง
พี่ไม่มีทางควงลูกเป็ดขี้เหร่ไปงานเลี้ยงหรอกนะ”
“ใครเป็นลูกเป็ดขี้เหร่กัน! ผมไม่ได้เป็นลูกเป็ดขี้เหร่นะ!”
จุนมยอนเพียงยักไหล่ไม่สนใจที่ผมเถียงเขา
ร่างโปร่งที่นั่งไขว่ห้างอยู่ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วเดินตรงเข้ามาหาผม
ซึ่งผมก็ถอนหลังห่างโดยอัตโนมัติด้วยความระแวงปนกลัว
มือข้างซ้ายของจุนมยอนยื่นไปทางพนักงานสาวที่เป็นคนดูแลผมสองคน เธอหยิบเอาชุดสูทสีดำพร้อมกับเสื้อเชิตสีขาวชุดใหม่ส่งให้
“ถ้าจงแดเหนื่อย...เดี๋ยวพี่เปลี่ยนชุดช่วยก็แล้วกัน”
“เฮ้ย!”
ร่างของผมถูกผลักเข้าไปในห้องลองเสื้อผ้าจนหลังชนผนังก่อนที่คนผลักจะตามเข้ามาประกบชิดตัวผมไว้
ผมยกมือทั้งสองข้างขึ้นดันหน้าอกของคนตรงหน้าไว้แต่เมื่อได้สัมผัสกับหน้าอกของเขาอาการหัวใจเต้นแรงก็เกิดกำเริบ
หน้าอกแกร่งอย่างชายชาตรีที่ผมไม่มีเพราะร่างกายมันผอมแห้งเหลือเกิน
ทั้งที่ส่วนสูงของผมกับเขาก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมายแต่ร่างกายของจุนมยอนกลับดูแข็งแรงและบึกบึนกว่าอยู่มากโข
“ชุดนี้ชุดสุดท้าย แล้วพี่ก็คิดว่าชุดนี้มันเหมาะกับนายที่สุด...”
“...”
“เดี๋ยวพี่ช่วยใส่นะ”
“ไม่ต้อง!!”
ไม่ทันเสียแล้วเมื่อเสื้อเชิตสีดำที่ผมสวมอยู่ถูกริดกระดุมออกด้วยน้ำมือของคนที่กักขังผมไว้ด้วยร่างกาย
ผมพยายามดิ้นออกมาจากการกักขังแต่เพราะสัมผัสที่นุ่มนวลของเขาทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ
มันไม่ได้คุกคามหรือพร้อมจะทำร้ายผมเหมือนแต่ก่อน
มีเพียงแค่สัมผัสอันนุ่มนวลที่บรรจงปลดกระดุมเสื้อผมออกจนกระทั่งถึงเม็ดสุดท้าย
“ทำไมไม่ใส่เสื้อกล้ามมาด้วยล่ะ”
“อ๊ะ!” น้ำเสียงเรียบๆ
ที่ฟังดูเหมือนจะไม่มีอะไรแต่มันเป็นประโยคที่เรียกสติของผมกลับมาได้อย่างดีเยี่ยม
เมื่อเช้าผมใส่เสื้อผ้ามาหนาพอสมควรเลยไม่ได้ใส่เสื้อกล้ามมาด้วย
สภาพของผมตอนนี้หลังจากที่ถูกริดกระดุมเสื้อออกเลยเผยให้เห็นหน้าอกลามลงมาถึงสะดือบางส่วน
ไม่ต้องรีรออะไรมือทั้งสองข้างของผมก็ตะครุบเอาเสื้อเชิตกลับมาปิดบังเนื้อหนังไว้ตามเดิม
“จะปิดทำไมล่ะ...ผู้ชายด้วยกันจะอายทำไม”
“ผมไม่ใช่พี่นิที่จะได้เทียวแก้ผ้าให้คนนั้นคนนี้ดู!”
“เคยที่ไหน...ก็แก้เฉพาะเวลาอยู่กับนายนั่นแหละ” ประโยคหลังที่คนพูดก้มลงมาพูดเสียชิดใบหูทำเอาขนอ่อนลุกซู่เพราะความรู้สึกซ่านแปลกๆ
ไหนจะเสียงที่จงใจให้มันแหบพร่านั่นอีก
ผมไม่เข้าใจเลยว่าอะไรทำไมจุนมยอนถึงได้ทำดีกับผม
ซึ่งมันเป็นการกระทำที่แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง
แววตาที่มองมาที่ผมมันไม่ได้มีความเกลียดชังอย่างแต่ก่อนแต่มันเป็นแววตาที่พอผมได้สบมันทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย...ทุกอย่างมันเหมือนจะไม่เป็นอย่างเก่า
มันมีอะไรที่เปลี่ยนไป
“ทำไมเม้มปากเสียแน่นขนาดนั้น มีอะไรรึเปล่า”
ใบหน้าของผมถูกเชยให้แหงนขึ้นมาสบตากับเขา
แววตาคู่นั้นที่มองมามันดูเหมือนกับว่าเป็นห่วงเป็นใยผมเสียเหลือเกินจนผมอดจะคิดเข้าข้างตัวเองไม่ได้ว่าเขาเป็นห่วงผมจริงๆ
นิ้วหัวแม่มือของเขาบรรจงแตะแผ่วเบาที่ริมฝีปากของผม
ปดผ่านไปมาให้มันคลายตัวออกแล้วเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“มีเรื่องไม่สบายใจอะไรรึเปล่า”
ผมยังคงเงียบเสหลบสายตาคมที่จ้องมาไม่วางตา
ถ้าหากผมถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมเขาถึงได้ดีกับผม
ทำไมเขาถึงทำเหมือนห่วงใยผมนักหนา
ทำไมเขาอ่อนโยนกับผมไม่ทำร้ายผมเหมือนเมื่อก่อน...
ถ้าถามไปแบบนี้เขาจะได้สติแล้วกลับไปเป็นคนที่ทำร้ายผมอย่างเดิมรึเปล่า
“โอเค ถ้าไม่อยากบอกก็ไม่เป็นไรไว้สบายใจที่จะบอกก็ค่อยบอกพี่แล้วกัน”
“อ๊ะ!” ผมเผลอสะดุ้งตกใจตอนที่จุนมยอนละมือจากใบหน้าลงมาดึงเอาเสื้อที่ผมกำมันแน่นจนยับยู่ยี่ออกไป
ผมกำลังจะบอกเขาว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเองได้แต่พอเจอสายตาคล้ายจะดุของเขาผมเลยจำต้องหุบปากเงียบ
เสื้อเชิ้ตสีขาวถูกถอดออกไปทำร่างกายส่วนที่ไม่มีเสื้อผ้าให้ความอบอุ่นเย็นขึ้นมาเล็กน้อย
โชคดีที่จุนมยอนไม่ได้ยืดเยื้อเขารีบสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวอีกตัวให้ผมแทบจะทันทีที่ถอดออก
ผมทำเพียงมองการกระทำของเขาเงียบๆ
มีบางทีที่สะดุ้งโหยงเพราะมือของเขามาสัมผัสผิวเนื้อ
ติดกระดุมจนครบแล้วเขาจึงบอกให้ผมเอาเสื้อเข้าข้างในกางเกงเสียไม่อย่างนั้นเขาจะเป็นคนจัดการให้เอง
ผมรีบต้องรีบทำตามที่เขาบอก ถึงแม้จะเป็นผู้ชายด้วยกันแต่อยู่ดีๆ
จะให้ผู้ชายด้วยกันมาล้วง...เอ่อ มาแต่งตัวให้มันก็คงจะแปลกอยู่ไม่น้อย
เมื่อเห็นว่าเสื้อและกางเกงเรียบร้อยดีแล้วจุนมยอนก็หันไปคว้าเอาหูกระต่ายที่ดำขึ้นมาใส่ให้
หัวใจผมแทบหยุดเต้นเสียให้ได้ทุกครั้งที่เขาโน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ
เสื้อสูทค่อยๆ ถูกสวมลงบนตัวของผม
ใบหน้าที่ดูผ่อนคลายมุมปากยกยิ้มเล็กๆ ไม่ได้ยิ้มแบบแสยะแต่เป็นรอยยิ้มเล็กๆ
ที่ออกมาจากใจจากความรู้สึกแบบนั้น...ผมไม่เคยเห็นมันจากใบหน้าของจุนมยอนเลย
แต่วันนี้เขากำลังยิ้มอย่างนั้นเหรอ
สถานการณ์ตอนนี้มันคืออะไรกันแน่นะ
“เสร็จแล้วล่ะ ชุดนี้เหมาะกับนายจริงๆ ด้วย” เสียงของเขาทำให้ผมรู้สึกตัว
จุนมยอนพยักพเยิดให้ผมมองดูตัวเองที่กระจกผมเองก็ทำตามอย่างว่าง่าย อ่า จะว่าไปแล้วชุดนี้มันก็ดูดีเหมือนกันนะเนี่ย
ผมหันซ้ายหันขวาสำรวจร่างกายก่อนจะยกยิ้มให้ตัวเองเล็กน้อย
“งั้นเดี๋ยวนายเปลี่ยนชุดไปนะพี่จะออกไปรอจ่ายเงินข้างนอก”
ไม่รอให้ผมได้ตอบกลับสักนิดร่างหนาก็หมุนตัวเตรียมที่จะเดินออกไปข้างนอกแต่ผมดันมือไวคว้าเข้าที่แขนเสื้อของเขาไว้
เป็นไปตามคาดเมื่อเขาหันกลับมาเลิกคิ้วมองด้วยความสงสัย ผมเม้มปากแน่น
ผมคิดดีแล้ว...ไม่ว่าจะยังไง
จะเกิดอะไรขึ้นผมก็จะต้องรู้ให้ได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นระหว่างเรา
ทำไมเขาถึงได้เปลี่ยนไปจากหลังมือเป็นหน้ามือขนาดนี้
“มีอะไรรึเปล่า”
“ถ้าผมอยากจะถามอะไรสักหน่อย...จะได้ไหม”
“...ได้สิ” เขาครุ่นคิดอยู่เพียงครู่ก่อนที่ปนตรงหัวคิ้วจะคลายออกพร้อมกับคำอนุญาต
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อรวบรวมความกล้า
“ตอนนี้...คือ”
“...” มันเหมือนจะเป็นเรื่องง่ายแต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกกดดันขนาดนี้กันนะ
“เอ่อ...ทำไมพี่”
“...?”
ใบหน้าสงสัยของเขามันทำให้ผมกลัว
กลัวว่าเมื่อได้ฟังในสิ่งที่ผมจะถามแล้วเขาจะกลับมาเป็นจุนมยอนคนใจร้ายเหมือนเดิม
ผมไม่มั่นใจเลยว่าจุนมยอนในตอนนี้คือเขาจริงๆ ไม่ได้เผลอไผลไปบางช่วงที่ทำดีกับผม
บางทีถ้าผมถามเขาไปแล้วเขาจะได้สติกลับมาเป็นคนเดิมไหม
แต่มาถึงขนาดนี้แล้ว...ถามก็ถาม!
“เอ่อ...ทำไมนาย...พี่ถึงมาทำดีกับผมทั้งที่แต่ก่อนพี่เองนั่นแหละที่เป็นคนทำร้ายผมสารพัดแล้วยังบอกว่าพ่อกับแม่ผมเป็นคน...เอ่อ...ฆ่าพ่อกับแม่พี่อีก
”
“...”
“มันเกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นเหรอครับ”
สิ่งที่ผมได้รับกลับมาจากความพยายามถามเหตุผลของเขาไปคือความเงียบ
มันเงียบอยู่อย่างนั้นเป็นนาทีจนผมไม่กล้าสบตากับเขาตรงๆ
ใบหน้าที่เคยผ่อนคลายกลับมาเรียบนิ่งอย่างเดิม...เขากำลังจะกลับมาเป็นจุนมยอนคนเดิมเหมือนแต่ก่อนแล้วใช่ไหม?
“พี่จะออกไปรอข้างนอกนะ รีบๆ ตามมาล่ะเดี๋ยวจะพาไปหาซื้อของต่อ”
พูดทิ้งไว้เพียงแค่นั้นเขาก็เดินออกไปเลยไม่ได้หันมามองว่าตอนนี้หน้าผมเป็นยังไง
สายตาของผมมองตามมือตัวเองที่ทิ้งดิ่งลงมาอยู่ข้างลำตัวเหมือนเดิม
สถานการณ์ตอนนี้หรือต่อจากนี้จะเป็นยังไงผมไม่รู้ ผมไม่รู้อะไรเลยในตอนนี้ความรู้สึกตอนนี้ของผมเองผมก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมกังวลในตอนนี้ก็คือ...
ต่อจากนี้ไปจุนมยอนจะปฏิบัติกับผมยังไง
เหมือนแต่ก่อนหรือเหมือนช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นานนี้...
ผมกังวลอยู่เพียงแค่นี้จริงๆ ....
คืออัพนานแล้วนะแต่ไม่ขึ้นแจ้งเตือน
วันนี้ไรท์เลยมีเวลาได้มาแก้ให้สักที ตอนนี้ไรท์รีไรท์ใหม่นะคะ (จงลืมตอนเก่า)
มีใครได้อ่านแล้วยังคะเนี่ย หรือไม่ขึ้นแจ้งเตือนแล้วไม่มีคนได้อ่านเลย?
เอาเป็นว่าถ้าใครยังไม่ได้อ่านก็อ่านมันซะเลยค่ะ คนที่อ่านแล้วก็ไม่เป็นไร
อย่าลืมให้กำลังใจไรท์หน่อยนะคะ ช่วงนี้ไรท์ท้อมากเรียนหนักจริงๆ #ร้องไห้
รวมเล่มอดใจรอกันสักหน่อยนะคะ ไรท์กำลังเตรียมๆ อยู่ค่ะ รอเค้าด้วยนะ TTvTT
มาคุยและให้กำลังใจไรท์ได้ค่ะ @_BeeBiww
รออยู่นะ ๕๕๕๕๕๕๕๕ เจอกันตอนหน้าเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นค่ะ จุ๊บ
ความคิดเห็น