คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : ♀ TOM (or) BOY ♂ - 14
♀ TOM (or) BOY ♂
14
เป็นไปไม่ได้... ที่จะจมอยู่ในความฝันตลอดกาล
เปลือก ตาบางค่อยๆ หรี่มองนาฬิกาปลุกที่อยู่บนหัวเตียง... เสียงมันเงียบไปพักใหญ่แล้วเขาก็นอนต่อเพราะเมื่อคืนกว่าจะกลับมานอนที่ห้อง ก็เป็นเวลาตีหนึ่งครึ่งได้ แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือเรื่องราวที่ประเดประดังเข้ามามันทำเอาข่มตาหลับไม่ ไหว สัมผัสบางเบาที่ริมฝีปากยังคงเหลือทิ้งไว้ในความรู้สึกให้จดจำ
คชากะพริบตามองเวลาในนาฬิกาปลุกอีกครั้งราวกับจะดูให้แน่ใจว่าไม่ได้มองผิดไป เข็มสั้นชี้ไปที่เลขเก้า...ฉิบหาย! เข้าเรียนแล้ว!!!!!
กระเด้งตัวขึ้นจากที่นอนนุ่มโดยอัตโนมัติ กระวีกระวาดถอดเสื้อผ้าออกเดี๋ยวนั้นก่อนจะวิ่งผ่านน้ำด้วยความเร็วสุดชีวิต ล้างหน้าแปรงฟันพอลวกๆ แล้วจึงรีบแต่งตัวภายในห้านาที เพราะวันนี้มีคาบเรียนตอนเก้าโมงเช้าและอาจารย์ก็มักจะเช็คชื่อตอนเก้าโมงครึ่ง แต่ ที่มากกว่านั้นคือเขากับแพรวาโดนเพ่งเล็งมาตั้งแต่อาทิตย์ที่แล้วที่ทำขวดยา ทาเล็บแตกกลางห้อง สมองนึกไปถึงเพื่อนสาวข้างห้องที่ป่านนี้คงจะไปถึงคลาสแล้ว... ที่แพรวาไม่ได้รอคงเพราะคิดว่าเขาออกไปก่อนแล้วแน่ๆ
จากบันไดมาถึงหน้าหอพักอย่างรวดเร็ว คชาแอบเห็นเจ้าหมาน้อยตะวันที่นอนอยู่ แต่วันนี้ไม่มีเวลาจะไปเล่นกับมันเหมือนวันที่ตื่นเช้า ขาเรียวรีบก้าวไวๆ ...ถึงมหาวิทยาลัยจะอยู่ใกล้ แต่ไม่ได้แปลว่าจะไปถึงได้ภายในสองสามนาที
ก็ต้องเดินไปนี่…
“ขึ้น มาสิ” เสียงทุ้มคุ้นหูรั้งเขาไว้เสียก่อน หันหน้าไปมองก็พบลูกเจ้าของหอคนเดิมและจักรยานแม่บ้านสีแดงอีกคัน เท่านั้นใจก็กระตุกวาบเมื่อนึกถึงเรื่องเมื่อคืน... ความจริงที่เตรียมจะบอกแต่ก็พลันสลายไปกับรอยจูบนั้น และสุดท้าย ความพยายามทุกอย่างก็กลายเป็นศูนย์
“รีบไม่ใช่หรอ?” เสียงเดิมรั้งให้เขากลับมาสนใจกันสถานการณ์ตรงหน้า เต๋าพยักเพยิดไปที่เบาะหลังเป็นสัญญาณให้เขาซ้อนจักรยานคันนี้ไป
“ไม่เป็นไร เดี๋ยววิ่งไป” คชาปฏิเสธทันควัน... แค่การเจอหน้ากันเพียงแค่นี้เขายังรู้สึกแปลกๆ เลย นับประสาอะไรกับจะซ้อนท้ายจักรยานให้อีกคนไปส่งล่ะ
“ไม่เชื่ออีก บอกให้ขึ้นก็ขึ้นมาสิ” น้ำเสียงที่บอกเหมือนกับจะดุเล็กน้อย มือหนาถือวิสาสะรั้งข้อมืออีกฝ่ายไว้เบาๆ “เร็ว... อยากไปสายหรือไง?”
“ก็ไม่อยาก...แต่...”
“เกลียดคำว่า ‘แต่’ ชะมัดเลย”
แววตาตัดพ้อคู่เดิมยังคงทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี คชาไม่ชอบสายตาแบบนี้...สายตาที่ทำเอาเขาต้องยอมใจอ่อนเสียทุกครั้ง “รีบหน่อยนะ”
การขี่จักรยานโดยแรกเริ่มนั้นดูค่อนข้างจะทุลักทุเล คงมาจากเพราะน้ำหนักตัวเกือบหกสิบกิโลฯ ของคนซ้อนท้าย “ตัวหนักนะเรา” แม้จะพูดอย่างนั้นแต่ใบหน้าขาวจัดกลับอมยิ้มจางๆ เมื่อนึกตามว่าอีกคนกำลังทำหน้ายังไงอยู่ หารู้ไม่เลยว่าที่จริงอีกคนนั่งใจลอยไปถึงไหนต่อไหนเสียแล้ว
และเมื่อผ่านไปไม่นาน การขี่จักรยานเริ่มเข้าที่เข้าทาง... ร่างเล็กซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังก็เริ่มตาปรืออย่างคนนอนไม่พอ มือเรียวกำชายเสื้อเชิ้ตนักศึกษาสีขาวของคนขี่ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวพร้อมๆ กับสมองที่ชัทดาวน์เองโดยอัตโนมัติ
รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่จักรยานคันเดิมเบรกเสียเต็มแรง
“โอ๊ย!” เสียงใสร้องเพราะหัวกระแทกกับแผ่นหลังคนข้างหน้าเต็มๆ
“ลงไปก่อน” เต๋าเอ่ยหากแต่อีกคนกลับนั่งงง “เร็วสิ” ตอนนั้นเองที่คชาเห็นว่าจักรยานแล่นมาจอดที่ริมถนน
ชั่วครู่ที่เผลอน้อยใจคิดว่าอีกคนจะทิ้งให้เขาเดินไปต่อเอง หากแต่ขาก็ก้าวลงจากตะแกรงด้านหลังโดยดี... คชาหันซ้ายหันขวามองทาง ทว่าเมื่อหันมาอีกที ก็เห็นเต๋าก็ลงมายืนอยู่ข้างๆ กันแถมยังคว้าข้อมือของเขาไปจับอีกครั้ง ส่วนมืออีกข้างก็จูงจักรยานเพื่อเดินข้ามทางม้าลายไป
เต๋าไม่เคยทิ้งคชาไปไหน มีแต่คชาที่คิดไปเอง...
“ขึ้นมา” พ้นทางม้าลาย เสียงทุ้มบอกสั่งให้ซ้อนท้ายอีกครั้ง หากแต่หนนี้ร่างเล็กกลับทำตามอย่างว่าง่าย พาหนะสีแดงสองล้อถูกปั่นไปเร็วเท่าที่สมรรถนะของมันจะเอื้ออำนวย หนทางที่ขรุขระเป็นระยะทำให้ศีรษะเล็กนาบไปกับแผ่นหลังอีกฝ่ายหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งไปถึงมหาวิทยาลัย
“เต๋า.. จอดก่อน ส่งประตูนี้พอ” คชารีบเอ่ยห้าม ไม่กล้าให้อีกคนไปส่งถึงหน้าคณะ เพราะกลัวจะเจอคนรู้จักเข้าอีก คนตัวเล็กรีบลงจากตะแกรงหลังทั้งๆ ที่ยังจอดไม่สนิท “ขอบใจนะ” วิ่งเข้าประตูไปโดยไม่ได้หันมามองอีกคน สมองจดจ่อเพียงห้องเรียนกับอาจารย์คนเดิมที่รออยู่
คาบเรียนรวมวิชาสื่อสารมวลชนเบื้องต้นในเช้าวันนี้ อัดแน่นไปด้วยนักศึกษาคณะนิเทศศาสตร์ชั้นปีที่ 1 เกือบ สองร้อยชีวิตบนห้องเรียนขนาดใหญ่แบบสโลปเป็นบันไดขึ้นไป และดูเหมือนว่าตอนนี้จะเป็นเวลาที่ทุกคนตั้งใจฟังเป็นพิเศษ เมื่อเสียงเนิบๆ ของอาจารย์สาววัยใกล้เกษียณคนเดิมกำลังเช็คชื่อนักศึกษาที่เข้าเรียน
“ธันวา”
“มาครับ”
“นนทนันท์”
- เงียบ -
“นนทนันท์...”
“มาแล้วคร้าบ” ร่างเล็กที่เพิ่งเปิดประตูหน้าห้องเขามาส่งรอยยิ้มบานแฉ่งไปให้อาจารย์คนเดิมที่นิ่วหน้ามอง เขาหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นจนกระทั่งเห็นเธอก้มหน้าลงขีดลงในกระดาษและขานชื่อต่อไปจึงรีบก้าวไวๆ ไปหากลุ่มเพื่อนที่นั่งเรียงกันอยู่
ทันเวลาพอดี... คุ้มค่าที่อุตส่าห์แทรกตัวเข้าไปในลิฟท์ที่คนแน่นเอี้ยดแบบนั้น
ร่างเล็กนึกพลางหันไปทักทายกลุ่มเพื่อนๆ สองสามคำ ก่อนจะปิดเปลือกตาด้วยความง่วงนอนเสียเต็มประดา
อยากตั้งใจเรียนอยู่นะ... แต่ตอนนี้สมองยังไม่พร้อมรับเรื่องราวอะไรเลยจริงๆ
การเช็คชื่อนักศึกษาเกือบสองร้อยชื่อผ่านพ้นเสร็จสิ้นไปในเวลาไม่กี่นาทีต่อมา... หากทว่านักศึกษาร่างใหญ่ที่เพิ่งโผล่พรวดเข้ามาที่ประตูด้านหลังก็ทำเอาการเรียนการสอนต้องหยุดชะงัก... แม้การเข้าจากประตูด้านหลังจะทำให้ไม่มีนักศึกษาคนไหนที่จะมาสนใจนัก หากแต่กับอาจารย์ผู้สายตายาวที่อยู่ด้านล่างสุดล่ะก็...มองเห็นทุกสิ่งเป็นอย่างดี
เด็กสมัยนี้มันแสบจะตาย! …ขนาดบอกว่าวันนี้จะเช็คชื่อห้ามมาสาย ยังมีคนมาถึงเอาเวลานี้เลย
“เอ้า... ที่เพิ่งมาใหม่น่ะชื่ออะไร มาสายนะรู้ไหม?” เธอถามด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“ศุภวิชญ์ครับ” นักศึกษาร่างใหญ่เอ่ยเสียงดังอย่างไม่สนใคร
“อีกคนล่ะ?” อาจารย์คนเดิมหมายถึงนักศึกษาอีกคนที่เพิ่งเข้าประตูด้านหลังตามมา
“เอ่อ...” เขามีท่าทีเลิ่กลั่ก “เปล่าครับ...ผมเก็บกระเป๋าตังค์ได้ เอามาคืนเจ้าของเฉยๆ”
เมื่อคำพูดคำนั้นแสดงถึงความเป็นคนแปลกหน้าไม่คุ้นเคย ไม่กี่วินาทีต่อมา เหล่านักศึกษาเกือบครึ่งห้องก็เริ่มหันมามองที่พวกเขา สาวๆ หลายคนเริ่มหันไปซุบซิบกันเมื่อเห็นว่าคนที่เข้ามาในห้องเรียนใหม่ไม่ใช่ใคร หากแต่เป็น ‘เต๋า’ หนุ่มรูปหล่อ ผู้เล่นกองหน้าเบอร์ 23 แห่งคณะบัญชี
ตอนนั้นเอง ร่างเล็กซึ่งกำลังนั่งเคลิ้มใกล้เข้าสู่นิทราจึงถูกสะกิดด้วยเพื่อนๆ ที่รู้ดีว่า นายคนนั้นน่ะ มาหาใคร
“ชาๆ ตื่น... มีคนมาหา / เร็วชา กิ๊กมึงมาแล้ว”
“หือ... อาราย?” พูดเสียงยานคางพลางหันไป... ก็ต้องนิ่งค้างเมื่อเห็นกระเป๋าสตางค์ตัวเองอยู่ในมือของร่างสูงคนเดิมกับที่มาส่งเขา
“ไหน... เอามาดูซิว่าของใคร?” เสียงเนิบๆ ของอาจารย์(ไม่)สาวกล่าวออกไมโครโฟน
ได้ยินดังนั้นคชาก็รีบสะดุ้งตอบขึ้นทันควัน “ของผมเองครับ” เขาก็แค่ไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งก็กลัวอาจารย์จะประกาศชื่อบนบัตรนักศึกษาออกไปเหมือนคราวก่อนจนคนรู้กันหมด
“นนทนันท์... มาสายแล้วยังป้ำเป๋อลืมของไว้อีกนะ รีบไปขอบคุณเขาแล้วกลับมานั่งที่เร็วเข้า เพื่อนเขาจะได้ไป”
ใบหน้าหวานหันไปพยักหน้าให้อาจารย์ ขาเรียวกุลีกุจอวิ่งขึ้นบันไดไปหาอีกคนที่ยืนรออยู่ท้ายห้องเรียนแบบสโลป... สมองนึกดีใจที่ได้รับของคืนโดยไม่ต้องผ่านมือใคร แต่คชากลับไม่ทันคิด... สรรพนามกับคำลงท้ายที่ใช้พูดกับอาจารย์แบบนั้น มันทำเอาคนที่ถือกระเป๋าสตางค์ในมือเผลอเปิดมันออกดู
ต่อหน้าต่อตาเจ้าของ วินาทีนั้นร่างเล็กก้าวขายาวที่สุดในชีวิตเพื่อจะไปให้ถึงกระเป๋าใบนั้นก่อนให้ได้
“เฮ้ย! อย่า...”
คำพูดสุดท้าย...ที่ไม่อาจฉุดรั้ง
เต๋ามองดูรูปถ่ายในอดีตของอีกคนในนั้นกับครอบครัว... ภาพเด็กชายผมสั้นเกรียนสองคนในวัยเยาว์กับหญิงสาววัยกลางคน... เด็กคนซ้ายมองยังไงก็คือคนเดียวกันกับเจ้าของกระเป๋าใบนี้ไม่มีผิด ทั้งใบหน้า แววตาและรอยยิ้ม ทุกอย่างมันบ่งบอกชัดเจน
ความสงสัยที่ถาโถมเข้ามาทำให้เต๋ารีบเปิดช่องต่อไปเพื่อหาคำตอบด้วยความใคร่รู้เต็มที
ชั่วพริบตาเดียว...ความจริงก็ถูกเปิดเผยผ่านบัตรสี่เหลี่ยมแข็งๆ ใบเดียว
ก็แค่บัตรประชาชน...
“นายนนทนันท์ อัญชุลีประดิษฐ์...” เสียงทุ้มอ่านมันออกมาเบาๆ ราวกับจะพูดย้ำกับตัวเอง ทั้งที่เจ้าตัวเคยเขียนให้เขาดูอย่างนี้หากแต่เขากลับไม่เอะใจอะไรเลย
มัวแต่หลงเชื่อลมปากอีกคนไปได้... นอกจากคำว่า ‘โง่’ เต๋าก็ไม่รู้จะพูดคำไหนกับตัวเองอีกแล้ว
ท่ามกลางเสียงซุบซิบแซมไปด้วยเสียงหัวเราะเบาๆ ของนักศึกษาคนอื่นๆ ในห้อง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นในโสตประสาต... เสียงเดิมที่คอยเรียกชื่อของเขา...
“เต๋า...” ร่างเล็กที่เพิ่งวิ่งขึ้นมาถึงรีบดึงสติของเขากลับมาที่ปัจจุบัน แววตาคู่นั้นตื่นตระหนกอย่างไม่ปกปิด “คือเรื่องมัน...” เขาจะพูดยังไงดี... มันควรจะเริ่มที่ตรงไหน?
“สนุกมากรึเปล่า?” หากแต่คำพูดประชดประชันกลับเหมือนธนูที่ทิ่มลงกลางหัวใจ เต๋าเอ่ยเท่านั้นก็วางกระเป๋าสตางค์สีดำไว้ที่โต๊ะตัวใกล้ๆ ก่อนจะเดินพรวดออกไปโดยทันที
คชาเก็บกระเป๋าเจ้ากรรมใบนั้นมาไว้กับตัว รีบเดินตามอีกคนออกไปก็เห็นแผ่นหลังไวๆ ที่เพิ่งเข้าไปในลิฟท์ ทั้งคู่ประสานมองตากันเพียงไม่นาน... คำพูดนับล้านที่พรั่งพรูออกมาไม่สามารถไปถึงอีกคนเมื่อเขาเพียงยืนแน่นิ่ง ก่อนที่ร่างเล็กจะปล่อยให้ประตูอะลูมิเนียมเงาวับค่อยๆ เลื่อนเข้าหากันอย่างง่ายดาย เหลือเพียงใบหน้าเย็นชาเป็นภาพสุดท้ายในความทรงจำ
คชาหยุดยืนอยู่แค่ตรงนั้น เขาไม่ได้ตามลงไป เขาไม่มีอะไรจะแก้ตัว
ยังไงก็ตั้งใจจะบอกความจริงวันนี้อยู่แล้ว ให้เรื่องวุ่นๆ มันจบลงเท่านี้ก็ดีเหมือนกัน
เข้าใจแล้วใช่ไหมเต๋า ว่าเรา... รัก กัน ไม่ ได้
ขอโทษ... แล้วเราจะไม่มาให้นายเห็นหน้าอีกเลย
- - -
ผมเกลียด... ที่ความทรงจำของผมกับเธอ ไม่สิ กับเขา มันมากมายมหาศาลอย่างนี้
มันก็แค่แค่สามอาทิตย์ที่เราได้รู้จักกัน แต่ทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามากลับทำเอาผมวกเข้าเรื่องของอีกคนได้หมดทุกสิ่งราวกับว่าเราผูกพันกันมาเนิ่นนาน
สนามหญ้ายามเย็นในวันนี้ก็เช่นกัน มันยังคงสีมีเขียวเหมือนเดิม แต่กลับดูแห้งเหี่ยวไปในความรู้สึกด้วยเหตุผลบางอย่าง... วันนี้ทีมของพวกเรามาซ้อมบอลในสนามเดียวกับที่แข่งในวันนั้น เย็นวันที่ฝนเทลงมาแต่บรรยากาศกลับอบอุ่นในหัวใจ
ไม่มี อีกแล้ว
ผม หวัง..ยิ่งกว่าหวัง ว่าการมาซ้อมบอลในวันนี้จะช่วยผ่อนคลายทุกสิ่งทุกอย่างในใจได้ เรื่องทั้งหมด..ความจริงทั้งหมดที่บ่งบอกว่าผมโง่เง่ายิ่งกว่าควายมันทำเอา ผมรู้สึกเจ็บทุกที
เรื่องที่เขาเป็นผู้ชาย... ยังไม่เจ็บเท่าการที่ผมถูกหลอกแบบนี้
เขาอาจจะมีความจำเป็นบางอย่าง... แต่เขาไม่คิดจะเชื่อใจผมสักหน่อยหรอ? ไม่คิดจะบอกกันก่อนหรือไง?
จะหลอกกัน อีกนานเท่าไหร่?
แล้วทำไม ไม่ตามลงมา... ไม่พูดไม่จา ไม่อธิบายอะไรสักคำ...?
“เต๋า!” เจ้าของชื่อหันไปหาเพื่อนซี้หน้าฝรั่งอย่าง ‘เบน’ ที่ส่งเสียงเรียก เขาวิ่งขึ้นไปรอรับบอลที่ส่งมาด้วยเท้าซ้าย เลี้ยงออกไปพลางหลบอีกฝ่ายที่พยายามจะตัดบอลนั้น สำหรับในสนาม เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็สำคัญ เพราะมันสามารถกลายเป็นโอกาสแห่งชัยชนะได้เลย
และโอกาสนั้นก็มาถึงแล้วเมื่อเต๋าหลบหลีกอีกฝ่ายได้ ก่อนจะใช้เท้าขวายิงประตูเสียเต็มแรง
เขาเตะลูกกลมๆ นั่นราวกับว่ากำลังกำจัดเรื่องวุ่นวายทั้งหมดออกไป
แล้วมันก็เป็นประตูจนได้... เต๋ายกยิ้มดีใจกับตัวเอง ก่อนจะหันไปมองข้างสนามที่เดิม
เผลออีกแล้ว... เขาหันไปมองที่ตรงนั้นเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้... ที่ที่วันนั้นมีใครอีกคนนั่งอยู่เพื่อชมการแข่งขันฟุตบอล
ปัญหา... ถ้าแค่โยนมันทิ้งไป เดี๋ยวมันก็กลับมาใหม่อยู่ดี…
หลังจากซ้อมฟุตบอลเสร็จตอนหัวค่ำ ทุกคนก็อยู่ในสภาพหิวเจียนตาย เหล่าทีมฟุตบอลคณะบัญชีจึงเลือกมากันที่ย่านร้านอาหารใกล้ๆ มหาวิทยาลัย... คงจะไม่เป็นไรเลย ถ้าไม่ใช่ร้านนี้
ร้านที่เคยบอกกับใครคนนึงไว้ว่า ‘คราวหลังไว้มากินด้วยกัน’
“ทำไมต้องมากินเสต็กด้วยวะ?” เสียงทุ้มเอ่ยถามไอ้เพื่อนตัวดีคนนำความคิดอย่างหนุ่มผมหยิกผิวสองสี นามว่า ‘น้ำแข็ง’
“ก็กูหิวนี่หว่า... อยากแดกเนื้อ”
คำตอบไม่มีผลต่อคนถามนัก เต๋านั่งนิ่งๆ อยู่สักพักพนักงานก็มารับออเดอร์ ใบหน้าขาวจัดก้มมองภาพอาหารแสนน่ากินในเมนู เปิดพลิกไปพลิกมาก่อนจะปิดมันลง
“สั่งดิเต๋า เหลือมึงอะ”
มือหนาเปิดเมนูอาหารออกอีกครั้ง มองมันอีกไม่นานก็ถอนหายใจออกมายาวๆ ก่อนจะปิดมันลง “กูกลับบ้านดีกว่า”
“ไรของมึงอีกวะ?” เบนถามขึ้น
“ไม่อยากกินเสต็ก” เต๋าพูดสั้นๆ เท่านั้นก่อนจะหยิบกระเป๋าของตัวเองที่ตั้งไว้ใกล้ๆ ออกเสร็จก็เดินออกไปจากร้านในทันที
ไม่อยากกินเสต็กตอนนี้... เพราะอยากเก็บไว้กินกับใครอีกคน
ยังไม่หายโกรธหรอกนะ แต่กำลังจะไปให้อีกคนทำให้เขาหายโกรธสักที
แล้วเราจะได้มากินเสต็กด้วยกันนะ... ชาค่ะ
จากร้านเสต็กร้านนั้นมาที่บ้านของเขาใช้เวลาเพียงไม่ถึงยี่สิบนาที เต๋ารีบกลับเข้าไปในบ้าน วางข้าวของลงก่อนจะคว้าเอากุญแจดอกเดิมที่มีเลข 23 ติดอยู่และเดินออกมาทันที
สองทุ่มครึ่ง... ถ้าเข้าหอพักเพียงพอไปในเวลานี้อาจจะเจอใครสักคนที่เป็นผู้หญิงและทำเอาเธอคนนั้นตกใจ แต่ในตอนนี้คงไม่มีอะไรสำคัญเท่าการไปเจอเจ้าของห้องเบอร์ 23 คนนั้น
เต๋าไม่ได้มาง้อ เพราะเขาไม่ได้ทำอะไรผิด แต่กำลังมาให้อีกคนขอโทษดีๆ และอธิบายความจริงทั้งหมดต่างหาก
ขายาวก้าวไวๆ แต่ยังไม่เท่าที่ใจต้องการ พลันนึกถึงใบหน้าหวานราวกับผู้หญิงของใครคนนั้น เขาใช้มุกเดิมๆ กับป้าที่เฝ้าหอด้านล่างว่า “พ่อให้ขึ้นมาจัดการลูกบิดที่มันเสีย” ก่อนจะก้าวขึ้นบันไดตรงไปที่ห้องเบอร์ 23 ด้วยใจที่ร้อนรน
เขาเคาะประตูบานนั้นสองสามที หากแต่ไม่มีเสียงตอบรับจึงจัดการไขกุญแจเข้าไปอย่างคนใจร้อน และประตูก็ถูกเปิดออกได้อย่างง่ายดายเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้ลงกลอนไว้
ห้องนั้นมืดมิด มือซ้ายจึงเอื้อมไปกดสวิตช์ไฟให้ภาพแจ่มชัด
เพียงเสี้ยววินาที...
ความว่างเปล่า... คือสิ่งเดียวที่เห็นในสายตา
ความเงียบเหงา... คือสิ่งที่ปรากฏในห้องแห่งนี้
ความผิดหวัง... คือสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวใจ
จะมาก็มา จะไปก็ไป... ไม่คิดจะบอกกันสักคำหน่อยหรือไงชา?
จะทำร้ายใจกันไปถึงไหน... เท่าไหร่ถึงจะพอ?
TBC
ใครอยากให้เต๋ารู้ความจริง ยินดีด้วยจ้า เย้ 5555
คนแต่งฝึกงานอยู่อะช่วงนี้ เวลาว่างมีก็เสาร์อาทิตย์นี่แหละ ถ้ามาช้าอย่าว่ากัน อ่านตอนเก่าๆ รอไปก่อนนะ แหะๆ
อ่านแล้วเป็นไงจ๊ะตอนนี้??? ขอคอมเม้นหน่อยสิ อยากรู้มาก
หวังว่าทุกคนคงสนุกไปกับมัน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิดเนอะ เราไม่ใช่คนใจร้าย ทุกคนก็รู้ดีใช่ไหม 55555
ความคิดเห็น