ลำดับตอนที่ #16
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : #16 โลกของเธอ โลกของฉัน โลกของเรา [2]
#16 โลกของเธอ โลกของฉัน โลกของเรา [2]
"ไม่เป็นไรมาก แค่กระดูกมันส้นเฉยๆจากแรงกระแทก"
พี่พยาบาลสาวที่คอยตั้งบูธดูแลคนเจ็บแบบผมบอกขึ้น
"ขอบคุณครับพี่"
ก็ไม่คิดหรอกนะ ว่าจะมาจับกบให้ไอ้ป้องดู อุตส่าห์ทำเท่ห์ สุดท้ายข้อเท้าส้นซะได้-*-
ไอ้ป้องยืนอยู่ข้างๆคอยดูผมอยู่ ดีอย่างที่มันไม่คิดจะหัวเราะให้กับความโง่ของผม
ก็ตอนเล่นบอร์ด ใครใช้ให้มองมันจนเสียจังหวะล่ะครับ...
"เป็นไง"
"ยังไม่ตาย เล่นอีกรอบก็ไหว"
ผมตอบตามความจริง นี้แค่กระดูกส้นเองครับ ตอนฝึกเล่นใหม่ๆสมัยหัวเกรียนแขนผมเดียงไปจากการล้มกระแทกด้วยซ้ำครับ เพราะงั้นแค่มือส้น ถือว่าเล็กน้อยมากครับ
ผมกับมันเดินออกจากบูธไป การเล่นท่าแล้วพลาดเนี่ย มันเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กบอร์ดมากเลยครับ(ส่วนมาก เล่นพลาดจะเยอะกว่าเล่นดีอีก ฮ่าๆ)เพราะงั้นคนที่เล่นอยู่ด้านนอกเลยไม่มีใครหัวเราะหรือขบขันเพราะของแบบนี้มันพลาดกันได้
"ไรว่ะเกียร์ เนินแค่นี้เล่นพลาด เขินแฟนเหรอ?"
ยกเว้นไอ้พี่คนนี้...
"สวัสดีครับพี่ปิง"
"เออ ดีๆ"
ผมยกมือสวัสดีพี่ปิง สาวหล่อห้าวที่ใส่เสื่องานสวมทับด้วยเสื่อนอกลายหัวกระโหลกไขว้ตาสองข้างแต้มด้วยอายไลเนอร์สีดำสนิท
ไอ้ป้องยกมือไหว้ตามผม ก่อนเจ๊ปิงจะคลี่ยิ้มเอ็นดูมัน
คงเพราะไอ้ความซื่อๆเอ๋อๆนั้นล่ะมั่งครับ
"นี้ไอ้ป้องครับ เพื่อนผม"
เจ๊ปิงหันไปยิ้มหวานให้มันก่อนจะพูด
"ชอบเล่นบอร์ดเหรอ?"
คนถูกถามเกาหัวเก้อๆก่อนจะตอบ
"คือ จริงๆเพิ่งหัดเล่นครับ ไอ้เกียร์ชวนมางานพอดี"
"เหรอ? สนุกไหม"
คนถูกถามนิ่งไปแปป ก่อนจะพูดตอบมา
"ผมว่าสนุกดีนะ มันดูเสี่ยงๆดี แบบ ตอนที่เราไถไป ผมรู้สึกว่าหัวใจมันสูบฉีดเลือดดี"
เป็นคำตอบที่ทำให้ผมยิ้มออกมาได้ เจ๊ปิงคลี่ยิ้มก่อนจะชี้มาทางผม
"เกียร์ ไปซื้อข้าวดิ เจ๊เลี้ยง"
ไม่ใช่ประโยคขอร้องแต่เป็นคำสั่งเจ๊ปิงยื่นแบงค์ม่วงๆให้กับผมก่อนจะโบกมือไล่ไปทางบูธขายข้าว ผมเกาหัวแกรกๆที่ถูกใช้ แบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เจ๊ปิงเป็นเด็กบอร์ดคนหนึ่งที่พูดได้ว่าระดับโปร ผมเจอหล่อนครั้งแรกเมื่อตอนสมัยเล่นสเกตบอร์ดใหม่ๆสามปีทีแล้วแน่ล่ะว่าไอ้พวกเด็กโนเนมแบบผมมาเดินงานแบบนี้ก็ย่อมจะต้องไม่รู้หลักรู้ทางเดินสะเปะสะปะไปทั่ว จนกระทั้งมาถึงโซนแจมนี้แหละครับ อาเจ๊แกโชว์เหินให้ดูรอบหนึ่ง ก่อนผมจะโดนเบียดให้ขึ้นไปยืนเก้ๆกังๆอยู่ตรงเนินลูกหนึ่งที่เอาจริงๆมันก็ไม่ได้สูงอะไร แต่นึกสภาพเด็กเพิ่งหัดเล่นสิครับ เจอแค่นั้นก็ล้มไม่เป็นท่าแล้วครับจากนั้นเจ๊แกก็ไถมาใกล้ก่อนจะชมว่า'ล้มสวยดีนะ'
นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมรู้จักหล่อน
ต่อมา หล่อนสอนผมให้ลองเล่นท่าต่างๆดูจนเริ่มเล่นได้ นับว่าเป็นเพื่อนต่างเพศต่างไวคนแรกของผมเลยละครับ เพราะผมอยู่
โรงเรียนชายล้วนมาตั้งแต่เกิด ไอ้เรื่องจะให้มีเพื่อนผู้หญิงนี้ก็ยากหน่อยครับ ส่วนใหญ่จะมีแต่ความสัมพันธ์แบบอย่างว่าซะมากกว่า
ผมต่อแถวคิวรอซื้อข้าว ตาก็เหลือบมองดูไอ้ป้องกับเจ๊ปิงเป็นระยะๆ ผมเห็นพี่ปิงลากมันไปนั่งตง สแตนท์แล้วก็คุยอะไรกันเรื่อยๆ จากตรงจุดนี้เห็นแค่สีหน้าครับ ผมเห็นไอ้ป้องทำหน้า...เขิน?
เขินอะไร?
พี่ปิงเหรอ...
ผมไม่รีบด่วนสรุป แต่ยังมองเรื่อยๆ หน้าไอ้ป้องออกสีเลือดฟาดๆเป็นระยะๆสวนทางกับพี่ปิงที่หัวเราะชอบใจ
"เอาข้าวผัดกระเพา3กล่องครับ อ้อพี่ .....เอาเนื้อปลาด้วยครับ!!! "
ผมรีบบอก ก่อนจะชี้ไปที่เนื้อปลาส่วนห่างตัวประมาณเท่าๆปลานิล ไม่ยักรู้ว่ามีปลาขายด้วย... แต่ก็ดีครับ เพราะไอ้ป้องมันชอบ
กินปลาทุกชนิดซื่อไปฝากมันคงดีใจ
ผมไถตัวกลับไปหามัน เจ๊แกหัวเราะร่วน ขัดกับไอ้ป้องที่เกาหัวดูจะเขินๆ
"กระเพาไก่คนละกล่อง"
ผมพูดก่อนจะส่งกระเพาไก่ให้เจ๊ปิงกับไอ้ป้อง มันรับไปก่อนจะเปิดออกมาทาน
“แล้วนี้ของมึง”
ผมยื่นกล่องพลาสติกให้มันอีกไปอีกกล่องหนึ่ง มันมองหน้าผมหน่อยๆก่อนจะเปิดฝาแล้วทำหน้างงๆ
“อะไรว่ะ ?”
“เนื้อพะยูนมั่ง ไอ้ฟายยย ฉลาดไม่ใช่เหรอดูเอาสิว่าอะไร”
“ปลา ?”
“ก็ปลาไง”
ผมไม่เข้าใจว่าตกลงมันงงอะไรกันแน่
ไอ้ป้องกระพริบตาปริบๆแต่ก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไรต่อก่อนมันจะกินเนื้อปลาที่ผมส่งไปให้
“ก็ชอบกินปลา เห็นมันมีขายเลยซื่อมาฝาก โอเค๊”
“อื้ม ขอบใจ”
คำตอบรับสั้นๆตามสไตล์มันตอบกลับผมมา ก่อนผมจะนั่งกินข้าวของตัวเองมั่ง(หิวเป็นนะเว้ยเห้ย!!!) เพียงแต่ช้อนพลาสติกสีขาว
ขุ่นถูกยื่นมาใกล้ๆผม
“อะไร ?”
“เนื้อพะยูนมั่ง.... ก็ปลามันอร่อยดีเลยแบ่งให้”
มันย้อนผมหน้าตายก่อนจะตักชิ้นเนื้อปลาให้ผม
“สองคนนี้สนิทกันดีนะ”
เจ๊ปิงพูดแทรกขึ้น ผมเห็นไอ้ป้องมันหัวเราะก่อนจะหันไปคุย
“ไม่หรอกครับพี่ปิง ไอ้เกียร์มันชอบกวนประสาทผมมากกว่า”
“อย่าไปเชื่อมันพี่ปิง ไอ้ป้องมันก็ไม่ได้กวนน้อยไปกว่าผมหรอก”
“ไม่จริงพี่ เกียร์มันเคยทิ้งผมด้วย”
“โห ดูพูดเข้า ก็ผมลืมนี้หว่า อุตส่าห์ตื่นไปตลาดแต่เช้าง้อด้วยปลาแล้วด้วย พี่คิดดูดิคนอะไรต้องง้อด้วยปลาถึงจะหายงอน”
“อะไรใครงอน ? ผมแค่โกรธมันหรอก”
“ไม่งอนนะ แต่ไม่ยอมมองหน้าผม”
ผมเห็นพี่ปิงกั่นยิ้มด้วยความขำขันที่เห็นผมกับมันนั่งทะเลาะกันไปมาแบบนี้ ทั้งๆที่เป็นการทะเลาะกันแท้ๆแต่ผมกลับรู้สึกดีที่ได้อยู่กับมัน คุยกันเรื่อยๆแบบนี้
“อยู่ถึงกี่โมงกันนะ ?”
พอกินข้าวเสร็จจนนั่งย่อยได้สักพักพี่ปิงก็ถามขึ้น
“ว่าจะไปแล้วครับพี่ เดี่ยวจะไปต่ออีกหน่อย”
ผมดึงไอ้ป้องที่ทำตัวขี้เกลียดหลังกินข้าวเสร็จลุกขึ้นยื่นก่อนจะหันไปหาพี่ปิง
“เหรอ ? โชคดีนะ ปีหน้าพี่ขอให้เจอพวกเราสองคนอีก อ้อ!!! ป้องอย่าลืมที่พี่บอกไปนะเว้ย”
พูดจบ พี่ปิงก็โบกมือลาพวกผมสองคนก่อนจะไถสเกตบอร์ดออกไป
“พี่เขาบอกอะไรมึงว่ะป้อง ?”
มันสะดุ้ง หน้าสีน้ำผึงเริ่มออกสีเลือดฝาดนิดๆ
“ปะ...เปล่า”
“แน่นะ ?”
ผมใช้สายตาสแกนคำตอบใส่ร่างมัน ไอ้ป้องอึกอักก่อนมันจะเกาๆหัวแล้วจับมือผมเดินออกไป
“ไปกันดิ่”
“ไปไหน ?”
“ก็...ก็มึงบอกจะพากูไปอีกที่ไม่ใช่เหรอ ?”
รู้หรอกนะว่าอีกฝ่ายจงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่ถ้าอุตส่าห์จับมือผมเดินออกมานอกงานโดยไม่สนใจสายตาคนอื่น งั้นถือว่าผมยกผล
ประโยชน์ให้จำเลยสักครั้งก็ได้ครับ ....
ผมกับไอ้ป้องไถสเกตบอร์ดมาจนถึงที่จอดรถ ก่อนผมจะเตรียมสตาร์ทรถ
“โอ๊ย!!”
ผมสบถออกมานิดหน่อย ขาข้างที่กระแทกพื้นรู้สึกเจ็บแปลบตอนที่สตาร์ทรถ
“ไหวป่าวเกียร์ ?”
ไอ้ป้องถามขึ้นหลังเห็นสีหน้าเหยเกของผม
“ไหวๆ”
ผมตอบ
คือถามว่ามันเจ็บไหม มันก็เจ็บครับ แต่ตอบไปก็กลัวจะเสีย ฟอร์ม อีกอย่างหนึ่งเอารถมาแบบนี้ถ้าไม่เอากลับก็คงจะไม่ได้ แต่ขาผมดันเจ็บซะนี้สิ
ไอ้ป้องมองผมก่อนจะเดินมาถือกุญแจรถไปแทน
“อะไรว่ะ ?”
“เดี่ยวกูขับเอง ขาเจ็บแล้วจะเหยียบเบรกได้เหรอ ? กูกลัวตายเหมือนกันนะ”
มันพูดยิ้มขำๆ ที่ผมสงสัยคือ ....
“มึงขับรถเป็น ?”
“ก็...ก็พอได้ แต่กูว่าก็ดีกว่าให้คนเจ็บเท้าขับอ๊ะ”
นั้นไง ผมเดาผิดที่ไหนล่ะ
“เอางี้”
“...........”
“กูขาเจ็บ แต่มือยังโอเคอยู่ งั้นเดี่ยวกูประครองรถ มึงเป็นคนเหยียบพวกคันเร่งหรือกับเบรก ตกลงไหม ?”
“อื้ม...ก็...โอเค”
สุดท้ายคือมันนั่งด้านหน้าก่อนจะยกเท้าสตาร์ทรถ ผมนั่งซ้อนท้ายแต่ยื่นแขนข้าวไหล่มันไปจับแฮนด์เอาไว้แต่ไม่ถนัด
“ป้อง”
“ห๊ะ ?”
“คือ มือกูมันยื่นไปจับไม่ถนัด...กูขอ....โอบเอวมึงไว้นะ”
ผมนั่งเงียบอยู่ด้านหลังเพราะมองไม่เห็นเหมือนกันว่ามันจะทำสีหน้าแบบไหนอยู่ โกรธผมรึเปล่าที่ทำแบบนี้หรืออายรึเปล่าที่ผม
จะ...เออ โอบเอวมัน(แม้จะเพราะสถานการณ์ตรงหน้าก็เถอะ)
“ก็โอบไปดิ”
เสียงราบเรียบดังบอกผมแบบนั้น
พอได้ยินผมเลยค่อยๆสอดแขนผ่านเอวเหมือนกับกำลังโอบเอวมันนั้นแหละครับ ไอ้ป้องไม่ได้พูดอะไร
ไม่รู้ว่าเพราะมันเข้าใจสถานการณ์หรือเพราะมันยอมผมแล้วกันแน่...
แต่เอาเป็นว่าตอนนี้ผมก็ทำแบบนั้นไปแล้วล่ะครับ
Cbr ของผมค่อยๆแล่นออกจากบริเวณที่จัดงาน เพราะตอนนี้มันเป็นคนที่หนังอยู่ด้านหน้าผมเลยมองไม่เห็นสีหน้าของมัน
“ป้อง”
“หื้ม ?”
“สนุกไหมว่ะที่ไปเดินมา แล้วก็ร้อนไหม ?”
มันเงียบไปแปปก่อนจะพูด
“ร้อนมาก เหนื่อยมาก.....”
ผมได้ฟังแบบนั้นก็เริ่มใจหาย ยังไม่ทันโต้แย้งอะไรอีกฝ่ายก็พูด
“แต่สนุกมาก และโคตรจะมีความสุขมาก ได้เจอคนแปลกๆในงานเยอะ เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็น ได้ลองทำอะไรที่ไม่เคยลอง ถ้าจะให้พูดมันก็คุ้มดีกับความร้อนและก็ความเหนื่อยนะ ปกติแล้วกูไม่ชอบเดินงานอะไรแบบนี้แบบ กลัวๆจะอึดอัด แต่พอได้มาลองเดินดูมันก็ไม่ได้อึดอัดอะไร แถมยังรู้สึกดีที่ได้เดินกับมึง”
ประโยคใดเหล่าจะเท่าประโยคจบ...
ผมรู้สึกเหมือนมีผีเสื่ออีกสักฝูงสองฝูงกระพือปีกบินไปมาในท้อง ความรู้สึกที่กลัวๆเหมือนกันว่าอีกฝ่ายจะเข้ากันไม่ได้กับโลกของผมค่อยๆลดน้อยถอยลงไป
“ดีใจนะที่มึงชอบ”
“อื้ม..วันหลังชวนมาอีกก็ได้นะ”
ผมถือว่านั้นเป็นประโยคที่แปลได้ว่ามันไปไหนมาไหนกับผมได้
แบบนี้จะเรียกว่า ‘ก้าวหน้า’ รึเปล่าครับ.... ?
“ป้อง”
“ห๊ะ ?”
ผมลังเลนิดหน่อยกับความคิดตัวเอง กำลังคิดอยู่ว่าควรจะถามออกไปดีไหม หรือไม่ควรถามดี
“มึงคิดยังไงกับน้องแสงว่ะ ?”
“แสง...อ้อ น้องรหัสกูอ่ะนะ”
“เออ”
มันเงียบไป เป็นเรื่องปกติล่ะครับ ก่อนไอ้ป้องจะพูดอะไรสักอย่างมันจะเงียบไป เป็นการแสดงออกว่ากำลังกลั่นกรองความรู้สึก
นึกคิดที่อยู่ในหัวให้ออกมาเป็นคำพูดที่ตรงประเด็นมากที่สุด
“ก็ดีนะ น้องเขาหล่อดี น่ารัก เอาใจเก่ง แถมยังชอบเล่าเรื่องตลกๆให้ฟัง”
“เหรอ”
เหมือนๆไอ้ผีเสือฝูงนั้นจะถูกอะไรสักอย่างโจมตีจากภาคพื่นดินด้านล่างจนร่วงเกลื่อนท้องผมไปหมด
“อื้ม....เป็นรุ่นน้องที่น่ารักดี”
“รุ่นน้อง ?”
“อื้ม รุ่นน้อง”
คำยืนยันสถานะของไอ้แสงดังออกมาจากปากมัน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเอาใบชุบไปแจกให้ไอ้ผีเสือฝูงนั้น จนพวกมันฟื้นคืนชีพขึ้นมาตีปีกบินพับๆ หัวเราะผมที่ด่วนใจร้อนสรุปไปเอง
“แล้วกูหล่อไหม ?”
ไม่รู้เหมือนกันว่าพูดออกไปได้ยังไง ปกติผมไม่เคยถามคำถามนี้กับใครนะ แม้จะหล่อจริงๆก็เถอะ (อะไร พูดความจริงแค่นี้ถึง
ขนาดต้องอ้วกเลยเหรอครับ - -)
“ก็หล่อดี”
คำตอบสั้นๆได้ใจความดังขึ้นจากปากมัน
คือ จะพูดอะไรยาวๆต่อจากนี้ก็ได้นะเว้ย กูก็อยากรู้....
ว่ามึงคิดยังไงกับกู....
ผมไม่กล้าถามไอ้ป้องออกไปหรอกนะเกี่ยวกับตัวเอง ด้วยคำถามที่คล้ายกับของไอ้แสง
‘คิดยังไงกับกูว่ะป้อง ?’
กลัวว่าคำตอบที่ได้....
มันจะทำร้ายใจผมเองนี้แหละ
กลิ่นหอมสบู่จางๆจากตัวคนถูกโอบ ทำให้ผมเคลิบเคลิ้มไปหน่อยๆ ผมสูดลมหายใจช้าๆเข้าออก พยายามเก็บเกี่ยวทุกความรู้สึกให้ได้มากที่สุดเพราะสักวันหนึ่งที่ผมมีความกล้ามากพอที่จะพูดออกไป
วันนั้นอาจจะเป็นวันเดี่ยวกับการที่มัน....
เลือกจะเดินจากผมไปก็ได้
...
“มึงพากูมาที่นี้อ่ะนะ ?”
“อื้ม โลกอีกครึ่งใบของกู”
เสียงผู้คนมากมายกำลังโหวกเหวกโวยวาย เสียงเด็กๆร้องกระจองอแงขอตังค์พ่อแม่ ณ ตอนนี้ผมกับมันได้มาอยู่กันที่...
“โลกของมึงนี้มีแต่เกมสินะ”
ไอ้ป้องพูดขึ้น
ครับ ตอนนี้ผมกับมันมาอยู่กันที่เกมเซนเตอร์แถวโรงเรียนที่ผมกับเกลอแก๊งชอบมานั่งตกเหยื่อ เอ๊ย รอสาวกันเป็นประจำ ครั้งนี้ต่างกันตรงที่ผมมากับไอ้ป้อง
....ผู้ซึ่งผมคิดว่าไม่เคยเล่นเกมมาก่อนเลย
“ก็บอกแล้ว วันนี้กูอยากพามึงไปที่ๆกูอยากไป ส่วนพรุ่งนี้ก็ตามใจมึง อยากพากูไปเที่ยวที่ไหนก็เอาเลย”
ผมกับมันยื่นอยู่ที่แถวรอแลกเหรียญสิบครับ
“พูดอย่างกับมาออกเดทกันแนะ...”
ผมเกือบสำลักอากาศแถวๆนี้ด้วยซ้ำ คือรู้นะครับว่ามันแค่บ่นไปเรื่อย แต่พอโดนจี้ใจดำเนี้ยก็อดไม่ได้ที่จะสะดุ้งนิดๆ
“ก็นะ ถือเป็นการขอโทษมึงไง”
“ขอโทษ... ?”
“ขอโทษที่กูไม่ค่อยเข้าใจมึงไง แต่ที่กูพามึงมานี้เพราะกูเองก็อยากให้มึงได้เข้าใจไง ว่าเออ กูเป็นคนแบบนี้นะ กูชอบอะไรแบบนี้ ไม่ใช่แค่ว่ากูทำเป็นแต่ม่อสาวหรือทำอะไรที่มันไม่ดีๆ กูแค่อยากให้มึงได้เห็นอีกด้านของกู”
ผมพูดออกไปด้วยความงงๆมึนๆของตัวเอง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันรู้เรื่องรึเปล่ากับสิ่งที่ผมพูด เพราะผมเองก็มึนเหมือนกัน แต่พูดตามที่ใจคิด ที่รู้สึกครับ...
“....................”
“มึงเข้าใจที่กูพูดไหมว่ะ ???”
“เข้าใจ”
“อื้ม ดีแล้วแหละ เพราะงั้นพรุ่งนี้มึงต้องพากูไปเที่ยวด้วย”
“.....................”
“กูอยากเข้าใจมึงไง....”
เป็นคำตอบ ......ที่อาจจะถือได้ว่าสรุปสั้นๆสุดๆแล้วล่ะมั่งครับ
การมาเที่ยวครั้งนี้ ตัวผมเองแอบแฝงอะไรไว้หลายๆอย่าง ผมอยากให้มันเข้าใจผม มุมมองของผม ความเป็นตัวเองของผม ว่าผมนะมันปากเสีย ดื้อด้าน อะไรแบบนี้ ผมอยากจะมองเห็นมันในมุมใหม่ๆ อยากรู้ อยากเข้าใจ ว่ามันคิดอะไร อยากได้อะไร เอาจริงๆคืออยู่ด้วยกันมาจะเกือบๆสองเดือนแล้ว กระทั้งพวกสิ่งที่มันสนใจผมยังไม่รู้จักดีพอ
ถ้าไม่รู้กระทั้งเรื่องเล็กๆน้อยๆของอีกฝ่าย ....
แล้วผมจะ ‘รู้ใจ’ มันได้ยังไงล่ะครับ ?
ผมไม่ได้รีบร้อน ไม่เร่งสรุปความรู้สึกของตัวเองที่มีต่อมัน ไม่หาคำจัดกัดความใดๆมาคิดในปวดหัวด้วย ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่ามันเป็นอะไรกับผม หรือผมกำลังเป็นอะไร ผมยังยื่นยันได้หนักแน่นเต็มปากว่าตัวเองเป็น‘ผู้ชาย’และผมยังชอบ’ผู้หญิง’ ยังมีอารมณ์ทางเพศกับเพศตรงข้าม ยังสนใจเรื่องยังว่า เหมือนๆกับมันที่ยังเป็นผู้ชายเต็มตัว
บางที่ธรรมชาติก็ไม่ได้อยากให้คนเราทำอะไรให้มันซับซ้อนมากมาย
นิยามสั้นๆของผมที่มีต่อมัน ก็คงจะเป็นคำตอบที่ว่า....
ผมได้อยู่กับมันแล้วผมมีความสุข
ไม่ต้องแอ็ค ไม่ต้องเก๊ก ทำอะไรก็ได้ตามใจ ไม่ต้องคอยวางมาดเกร็งเหมือนเวลาอยู่ต่อหน้าผู้หญิง ไม่ต้องคอยจำวันเกิด วันสำคัญ วันครบรอบ บลาๆๆ นู้น นี้ นั้น แสดงความเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเปิดเผย
กับไอ้ป้องก็เหมือนกัน อยู่กับผม ผมก็ไม่เคยเห็นว่ามันจะประดิษฐ์อะไรออกมาสักอย่าง รอยยิ้ม คำพูด ท่าทาง ทุกอย่างล้วนไร้การปรุงแต่งและผมชอบ....ที่เป็นแบบนั้น
“อยากเข้าใจกูจริงๆเหรอ ?”
คำถามลอยๆออกมาจากปากมัน
“อื้ม...อยากรู้ ว่าบางที่ที่มึงเงียบ มึงคิดอะไรอยู่ ”
มึงคิดยังไงกับกูอยู่...
นั้นต่างหากคำถามที่ถูกต้อง
“งั้นมึงก็ต้อง ‘ไม่เข้าใจ’”
ผมยกคิ้ว งงกับคำตอบของมัน
“คือ กูหมายถึง ถ้าอยากเข้าใจ มึงต้องไม่เข้าใจ เพราะบางครั้งตัวกูเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกันว่าบางครั้งกูเงียบไปเพราะอะไร กูอาจจะเงียบเพราะอยากอยู่คนเดี่ยว กูอาจจะเงียบเพราไม่มีอะไรให้พูด กูอาจจะเงียบเพราะต้องการจะฟังเสียงรอบๆตัว....”
“..............”
“หรือกูอาจจะเงียบ....เพราะกูเองก็อยากจะรู้จักมึง....ให้มากกว่าที่เป็นอยู่ เพราะงั้นตอนที่กูเงียบก็ไม่ต้องคิดมากก็ได้”
“..............”
“ไม่ต้องเข้าใจกันทุกเรื่อง แค่อยู่ข้างๆกัน มีความสุขไปกับสิ่งตรงหน้า มึงว่า...แบบนี้มันมากพอรึเปล่าว่ะ ?”
คนไม่ชอบพูด พูดสิ่งที่คิดออกมายาวๆ ตอนที่มันพูด ไม่ได้พูดด้วยน้ำเสียงหวานๆ ไม่ได้มีแววตาซึ่งกินใจ ไม่มีการกุมมือกันในรู้สึกอบอุ่น พูดออกมาด้วยลักษณะธรรมดาๆ
ไม่บ่อยนักหรอกนะครับที่มันจะพูดอะไรออกมายาวๆกับผมขนาดนี้
ผมหลับตานิ่ง ไอ้สมองโง่ๆของผมนะไม่รู้หรอกว่าที่มันพูดแปลความหมายไปได้มากขนาดไหน ผมรู้เพียงแต่ว่า....
ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้น
“มากพอเกินขอบคุณเลยแหละ”
ไม่มีอ้อมกอดโรแมนทริกๆเหมือนในหนังในละคร ไม่มีฉากสารภาพหวานๆ ไม่มีคำพูดที่บ่งบอกไปในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง ทุกอย่างมีแต่ความคลุมเครือที่ไม่ชัดเจน ไม่มีคำจำกัดความในสถานะใดๆ
แค่รู้ว่าอยู่ข้างๆกันแล้วมีความสุขทั้งคู่....
ก็พอแล้ว.....
เป็นอย่างที่คิด ไอ้ป้องไม่เคยมาเล่นเกมอะไรพวกนี้หรอกครับ มากสุดที่มันเล่นคือเกมในโทรศัพท์มือถืออะไรทำนองนี้
ผมสอนมันเล่นเกมกดตามตู้เหมือนสอนเด็กเล็กๆๆเล่น แรกๆไอ้ป้องก็ดูเกร็งๆ พอเล่นไปสักพักก็เริ่มคล่อง เล่นแข่งกับผมได้สบายๆ เกมที่โดนใจไอ้ปกป้องมากที่สุด ไม่ใช่เกมต่อสู้เลือดสาด ไม่ใช่เกมใช้สมองแบบไพ่ต่อกัน ไม่ใช่เกมเอเลี่ยนล่าสัตว์ประหลาดแต่เป็นเกม...
ตีตุ่น...
'ตุ๊บ'
เสียงค้อนดังทุบตัวตุ่นเป็นจังหวะเดี่ยวกับที่ตุ่นตัวสุดท้ายถูกไอ้ป้องตี
"เกียร์ ขอเหรียญสิบหน่อย"
มันบอก มือข้างซ้ายถือค้อนตีตุ่นไว้ มือข้างขวายื่นมาทางผม
ผมเหมือนเป็นตู้ธนาคารให้เด็กตัวเล็กๆรีดไถตังค์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเด็กอัจฉริยะจะชอบเล่นเกมตีตุ่น
ไอ้ป้องทุบค้อนลงไปด้วยแรงพอประมาณที่จะทำให้ตัวตุ่นถูกดันลงไปด้านล่างจากแรงทุบ ไม่ได้ทุบแบบบ้าคลั่งระบายอารมณ์ เหตุผลที่มันชอบเล่นมีเพียงอย่างเดี่ยว
"มันเรียบง่าย ไม่ซับซ้อนดี แค่ตีลงไป ไม่ต้องคิดอะไรให้วุ่นวาย"
ชอบ เพราะว่ามันเรียบง่าย
จะบอกว่ามันคลาสสิคดีหรือตลกดีล่ะครับ
ไม่ว่าสุดท้ายจะลงท้ายแบบไหน ผมชอบที่เป็นแบบนั้น
ชอบที่ครั้งนี้ ไอ้ตัวดียอมทำตัวง่ายๆ ยอมพูดตรงๆกับสิ่งที่อยู่ข้างใน นี้คือสิ่งที่ทำให้ผมสบายใจในความสัมพันธ์ในตอนนี้
วันนี้ ‘โลกของผม’ ผ่านพ้นไปแล้ว.....
พรุ่งนี้ผมจะได้เจอแล้วสินะ....
‘โลกของมัน’นะ.....
_______________________________________________________
TBC.
ในที่สุดก็จบลงแล้วกับ 'โลกของเกียร์' ไม่รู้เหมือนกันว่าเราถ่ายทอดความรู้สึกของเกียร์ให้ออกมาชัดเจนรึยัง ถ้าอ่านแล้วยังงงๆแปลว่าสกิลแตกต่างยังไม่ถึงขั้น Orz
ตอนหน้าเป็น 'โลกของป้อง'นะครับ...
อยากรู้ไหม ว่าโลกที่ป้องอยู่....
มันเป็นยังไง
ขอบคุณทุกคน ทุกคอมเม้นท์ทุกกำลังใจ บอกเลยว่าปลื้มปริ่มๆมาก
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น