คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #16 : บทที่ 15 มิติเวลาที่บิดเบือน
ภายใต้จัตุรัสห้องโถนปากทางเข้าดันเจี้ยงที่ถูกประดับไปด้วยเพชรพลอยเรืองแสงมากมาย
ภายในห้องถูกล้อมรอบไปด้วยประตูศิลาทรงสี่เหลี่ยมสามบาน
คิลกวาดสายตาไปรอบๆพื้นที่อย่างพิจารณาก่อนลองเดินไปเคาะประตูศิลาบานแรกเบาๆเพื่อทดสอบความแข็งแรง
‘’ อ่าว นายเด็กใหม่นี่เองนึกว่าใครมายืนตะล่อมๆแถวนี้ ‘’ เสียงครูประจำชั้นดังมาจากด้านหลัง คิลสะดุ้งรีบลดมือที่เคาะประตูศิลาลงก่อนจะหันมาตอบแทบจะทันที
‘’ อ่าครับ พอดีผมคิดว่าพวกปีศาจมันจะไม่หลุดออกมาหรอ
ในเมื่อความแข็งแรงของประตูก็ไม่ต่างกับหินทั่วไปเลย ‘’
อาจารย์หนุ่มผยักหน้าเบาๆ ‘’ ใช่ เราเอาหินธรรมดาๆบนภูเขาหลังตึกห้ามาทำ
แต่ว่า ‘’ เขาหยุดพูดก่อนจะงื้อหมัดขวาต่อยใส่ประตูศิลาบานที่สองอย่างแรง
ตู้มมมม !! เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แรงปะทะทำให้คิลเซถอยหลังจนติดกำแพง ฝุ่นควันลอยฟุ้งไปทั่วห้องจนเขาต้องดึงเสื้อขึ้นมาปกติจมูก
เวลาผ่านสักพักฝุ่นควันค่อยๆจางลงภายที่ปรากฎให้เขาเห็นคืออาจารย์ประจำชั้นที่ยืนเก๊กกอดอกข้างๆประตูศิลาบานที่สองในสภาพไร้รอยขีดข่วน
‘’เป็นไง ‘’ เขาพูดวลีสั้นๆ
‘’ หินธรรมดาไม่น่าจะทนแรงโจมตีได้นี่นา หรือว่าครูใส่พลังบางเอาไว้
‘’ คิลตั้งข้อสงสัย
สีหน้าดูไม่ตกใจเท่าไหร่เพราะเขาคาดเดาที่นี่คงไม่เอาของธรรมดาๆมาทำเพื่อป้องกันพวกปีศาจหรือมอนเตอร์แน่นอนถ้าไม่เสริมอะไรเอาไว้การที่เขาถามอาจารน์ก่อนหน้าก็เพื่อความแน่ใจ
‘’ ฮ่าๆเธอนี่ดูสงบนิ่งดีนะ แต่เอาเถอะนี่คงได้เวลาที่ฉันต้องไปละ ‘’ เขาก้มมองนาฬิกาข้อมือสีเงินที่ทำจากสแตนเลสอย่างดีกว่าจะหายวับไปราวไปภูติพรายพร้อมกับทิ้งประโยคปริศนา
‘’ ถ้าอยากรู้คำตอบก็ลองค้นหาดูสิ ‘’
คิลถอนหายใจเบาๆก่อนจะกระชับกระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่วางอยู่ตรงทางเข้าขึ้นสะพาย
จากนั้นเขาก็เดินดุ่มๆตรงไปที่ประตูศิลาบานแรก
แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าเพราะเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนเรียกจากด้านหลัง
‘’ นี่นายลืมของน่ะ ‘’ คิลหันไปยิ้มให้อีกผ่ายก่อนเดินไปหยิบของจากผู้หญิงคนนั้น
ซึ่งเธอก็ดุเขาเล็กน้อย ‘’ ของสำคัญขนาดนี้ยังลืมได้อีกนะ ‘’
‘’ ขอบคุณ ‘’ คิลกล่าวขอบคุณหญิงสาวก่อนจะหยิบคาตานะคู่กายมาเหน็บไว้ที่เอวเป็นเวลาเดียวกับที่ดาร์ดและอันเชนเดินเข้ามาพอดี
‘’ อ่าวนี่ยังไม่เข้าไปอีกหรอ หรือว่านายรอเพื่อนอยู่
‘’ อันเชนถาม
‘’ เปล่าครับ เดี๋ยวผมก็ไปแล้ว ‘’ คิลตอบ
ส่วนดาร์ดก็หันไปมองหญิงสาวที่คุยกับคิลเมื่อครู่ ‘’ ยัยหนู
ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เธอจะมาเดินเล่นนะต่อให้เธออยู่คาส A ก็เถอะ
‘’
‘’ ไม่นึกว่าท่านดาร์ดผู้ยิ่งใหญ่จะเป็นห่วงคนอื่นด้วย ‘’ น้ำเสียงใสๆดังขึ้นมาบริเวณที่คิลยืนอยู่ส่วนดาร์ดก็พูดโดยไม่หันหน้าไปหา
‘’ นี่ไม่ใช่เวลามาพูดแขวะกันหรอกนะรุ้ง
ถ้าไม่รีบไปเก็บวิญญาณละก็แพ้พวกฉันไม่รู้ด้วยนะ ‘’
รุ้งหัวเราะเบาๆ ‘’ หุหุ เริ่มก่อนก็ไม่สนุกสิ ฉันจะเริ่มต้นพร้อมพวกนายนี่แหละ
‘’ หญิงสาวยืนพิงกำแพงอย่างสบายๆตอบ
ซึ่งตอนนี้เธออยู่ในชุดรัดรูปสีขาวสลับดำเป็นลายตาราง
ส่วนล่างเป็นกางเกงขายาวสีไม่ต่างกับเสื้อนัก
ผมยาวสลวยถูกรวบขึ้นมามัดอย่างหลวมๆเป็นทรงหางม้าเพื่อความคล่องตัวในการต่อสู้
‘’ เฮ้ รุ้งรอนานมั้ย ‘’ เสียงหวานๆดังขึ้นมาบริเวณทางเข้าพร้อมกับปรากฏร่างของลิขิตและมิกิเดินเข้ามา
เธอเข็นรถเข็นที่บรรจุไปด้วยสัมภาระมากมายจนล้นรถเข็น
ส่วนข้างหลังสะพายกระเป๋าเสื้อผ้าพร้อมกับอุปกรณ์แต่งหน้าล้วนๆ
ส่วนมิกิก็ถือหนังสือนิยายบกหนาไว้อ่านเล่นเล่มหนึ่ง
ลิขิตเข็นรถผ่านหน้าคิลช้าๆก่อนจะเบ้ปากใส่ ‘’ ยี๊
นึกว่าเหม็นอะไรที่แท้ก็เหม็นขี้หน้านายนี่เอง ‘’ เมื่อฝ่ายตรงข้ามหาเรื่องมีหรือว่าคนอย่างคิลจะยอม
เขาพูดสวนกลับแทบจะทันที ‘’ โถๆๆ แม่คุณนี่เขามาทำภารกิจเก็บวิญญาณกันนะ
ไม่ใช่จะมาอาศัยอยู่ที่นี่ ขนของนึกว่าย้ายบ้านยัยเฉิ่มหรือว่าเธอจะกลับไปอยู่ในถ่ำแบบมนุษย์หินก็ให้อยู่นะ
‘’
ลิขิตไม่สนใจ เธอเข็นรถไปหารุ้งก่อนจะหันมาเร่งมิกิให้เดินไวๆ ‘’
นี่มิกิเดินไวๆหน่อยสิ
เฮ้อชีวิตฉันทำไมมันเลวร้ายขนาดนี้นะ แทนที่จะไปเก็บวิญญาณสบายๆสักหน่อยกลับต้องมาเจอตัวทำให้อารมณ์เสียจนได้
‘’ คิลได้ยินเข้าก็ก็สวนกลับมาทันที
‘’ ในชีวิตเธอมีสิ่งที่เลวร้ายกว่าหน้าเธอด้วยหรอ ? ‘’
‘’ นี่นาย! ‘’ ลิขิตกัดฟันกรอดๆ
‘’ พอเลยทั้งคู่
ลิขิตเลิกต่อล้อต่อเถียงกับคิลได้แล้วคราวนี้เธอเป็นฝ่ายหาเรื่องก่อน
ส่วนคิลนายก็ยอมๆซะบ้าง ‘’ รุ้งกึ่งดึงกึงลากลิขิตเดินเข้าประตูศิลาบานที่หนึ่งไปพร้อมกับมิกิที่รับหน้าที่เข็นรถจำเป็นแทน
‘’ เหอะๆ เพิ่งรู้นะนี่ว่านายปากร้ายมาก ‘’ อันเชนหัวเราะเบาๆก่อนจะหันไปหาหญิงสาวที่สนทนากับคิลในตอนแรก
‘’ ส่วนเธอน่ะรีบๆไปเข้าคาสเรียนได้แล้ว
ถ้าจำไม่ผิดวันนี้มีการทดสอบสำคัญของพวกคาส A
อยู่ไม่ใช่หรอ ‘’
เธอได้ยินเข้าก็รีบก้มมองนาฬิกาข้อมือทันที ‘’ ว้ายตายแล้ว
เลยเวลาเข้าคาสตั้ง 10 นาที ‘’ พูดจบเธอก็วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว
‘’ เธอมาทำอะไรที่นี่กันนะ
แต่เอาเถอะพวกรุ้งเริ่มเก็บวิญญาณกันแล้วพวกเราก็จะมัวชักช้าไม่ได้ ‘’ อันเชนพูดก่อนจะเดินตรงไปที่ประตูศิลาบานที่สองกับดาร์ด
ดูเหมือนทั้งคู่ค่อนค่างสนิทกันไวน่าดูเพราะพวกเขามีอะไรคล้ายๆกันหลายอย่าง
ส่วนคิลเขาเลือกที่จะเข้าไปประตูศิลาบานที่สามเพราะคิดว่าตัวเต็งหลักๆที่เก็บวิญญาณเก่งๆเข้าไปบานแรกกับบานที่สองแล้ว
ถ้าไปก็คงไม่พ้นโดนแย่งเก็บวิญญาณแน่นอน และคนที่ได้น้อยที่สุดต้องเป็นเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อได้ข้อสรุปเขาก็เดินมุ่งตรงไปที่ประตูบานที่สามทันที่ ครืกกก!
เสียงขอบประตูศิลาขูดกับแผ่นหินบนพื้นเบาๆก่อนจะเผยให้เห็นทางไกลๆสุดลูกหูลูกตา
แสงสว่างจากคบเพลิงที่ประดับกำแพงทั้งสองด้านเป็นตัวชี้นำทางให้เขาเดินไปตามทางอย่างไม่มีติดขัด
ในใจก็ลุ้นอย่างตื่นเต้นว่าปลายทางจะเจอพวกแบบไหนออกมาในขณะที่ทางออกก็ใกล้เข้ามาทุกทีๆ
เขาเร่งฝีเท้าจากเดินเป็นวิ่ง
ด้วยเทคนิคการก้าวขาที่เลียนแบบมาจากหุ่นนักฆ่าทำให้เขาใช้เวลาไม่นานในการมาถึงทางออก
‘’ วี๊ววว ยะฮุ้ ‘’ เขาตะโกนออกมาอย่างผ่อนคล้ายเพราะต้องทนอึดอัดกับทางเดินแคบๆมาหลายชั่วโมง
พร้อมกับกระโดดพุ่งออกไปเบื้องหน้าสายลมสดชื่นปะทะใบหน้าเขาเบาๆก่อนจะรู้สึกได้ว่าพื้นล่างไม่มีพื้นดินรองรับฝ่าเท้าของเขาอยู่
‘’ เหวออออ ‘’ คิลร้องเสียงหลงพร้อมกับร่างที่ตกลงไปเบื้องล่างตามแรงโน้มถ่วง
แต่เมื่อตั้งสติให้ดีก็พบว่าข้างล่างเป็นทางน้ำหลากเขาจึงตัดสินใจถอดกระเป๋าเป้โยนออกไปด้านข้างทันที
ก่อนจะหลับตาลงพร้อมกลับหมุนตัวกลางอากาศเพื่อทรงตัว
ตู้มมม!! เสียงน้ำสาดกระเซ็น
พร้อมกับร่างไร้สติของคิลที่ใหลไปกับน้ำที่เชี่ยวกราด ร่างของเขาใหลมาตามน้ำที่เชี่ยวกราดเรื่อยๆจนมาหยุดที่ปลายน้ำแห่งหนึ่ง
เป็นเวลาบ่ายของวันพอดี หญิงสาวผมสั้นดกดำ ผิวขาว
หน้าตาหน้ารักในชุดเดรสสดใส
หอบตะกร้าไม้สานที่เต็มไปด้วยเสื้อผ้าเดินลัดมาตามป่าไม้เขียวขจี เสียงนกเสียงสัตว์ป่าร้องระงมไปทั่ว
จุดมุ่งหมายของเธอคือน้ำเสื้อผ้ามาซักตามปกติทุกๆวัน แต่วันนี้ดูเหมือนจะไม่ปกติสำหรับเธอเพราะปลายน้ำซึ่งควรจะมีแต่เม็ดหินเล็กๆกลับปรากฏร่างของชายปริศนานอนสลบอยู่
ว๊ายยย!
เธออุทานออกมาเสียงดังก่อนจะรีบทิ้งตะกร้าผ้าวิ่งไปหาชายคนนั้นอย่างรวดเร็ว
พร้อมกับเอียงหูมาฟังเสียงลมหายใจของชายคนนั้น เมื่อพบว่าเขายังมีชีวิตอยู่ก็รีบปฐมพยาบาลเบื้องต้นทันที
‘’ ลูน่าเธอเป็นอะไร ฉันได้ยินเสียงเธอร้องลั่นเลย ‘’ ชายคนหนึ่งวิ่งหน้าตื่นออกมาจากป่า
ในมือถือคันธนูข้างหลังสะพายลูกศรไม้นับสิบ
‘’พี่เทริ มาช่วยลูน่าพาชายคนนี้กลับบ้านหน่อย
ดูเหมือนเราจะปล่อยเขาไว้ที่นี่ไม่ได้แน่ ‘’
‘’ ตกลง ลูน่าช่วยถือกระบอกใส่ลูกธนูให้พี่หน่อย
พี่แบกไม่ถนัด ‘’ พูดจบ
เทริก็ถอดกระบอกลูกธนูให้ลูน่าถือก่อนจะเดินตรงมาหาชายหนุ่มที่นอนไร้สติอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็อุ้มชายคนนั้นแบกกลับบ้านทันที
ภายในห้องนอนทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าขนาดพอดีที่ถูกตกแต่งไปด้วยชั้นวางหนังสือ
โต๊ะไม้สีน้ำตาอ่อนพร้อมเทียนไขสำหรับนั่งอ่านหนังสือตอนกลางคืน
ผนังห้องมีนาฬิกาทรงโบราณประดับอย่างโดดเด่น
นอกเหนือจากที่กล่าวมาคือร่างของคิลที่นอนกำลังงัวเงียบนเตียง
ลุกขึ้นมานั่งมึนพร้อมกับทบทวนเหตุการณ์ก่อนหน้า ระหว่างนั้นก็มีหญิงสาวเดินเปิดประตูห้องเข้ามาพร้อมกับอาหารถ้วยหนึ่ง
‘’ ฟื้นแล้วหรอ กินข้าวต้มนี่ก่อนสิ
รู้สึกว่าระหว่างที่นายโดนกระแสน้ำพัดมาจะถูกก้อนหินในน้ำรวมถึงท่อนไม้กระแทกทำให้กล้ามเนื้อฉีกหลายแห่ง
นายต้องพักฟื้นอีกสักสองสามวันถึงจะหายปกติ ‘’ หญิงสาวกล่าวก่อนจะวางข้าวต้มลงบนโต๊ะ
‘’ นี่ที่ที่ไหนกัน ไม่ใช่ดินแดนแห่งความตายหรอ ‘’ คิลถามอย่างสงสัย
หญิงสาวหันมายิ้มให้เขาก่อนจะตอบ ‘’ ที่นี่คือนครแห่งชีวิตต่างหาก ดินแห่งที่มีชื่อไม่เป็นมงคลแบบนั้นไม่เคบไม่ยินเลยนะ ‘’ หญิงสาวพูดจบก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาพอดี
‘’ อ่าวฟื้นแล้วหรอ นายนี่หลับไปหลายวันเลยนะ
อยากกินเนื้อมั้ยในโกดังมีเนื้อกวางที่ล่ามาได้เหลืออยู่น่ะ
อ้อฉันเทริส่วนน้องสาวฉันชื่อลูน่า ‘’
‘’ ครับ ผมชื่อคิลขอบคุณที่ให้ความช่วยเหลือ ‘’
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ทางด้านของพวกลิขิต ก่อนหน้านั้น
2 วัน
‘’ ที่นี่ไม่ใช่ดินแดนแห่งความตายนี่ ‘’ ลิขิตกวาดสาบตามองไปรอบๆบริเวณที่มีผู้คนเดินขวักไขว่
ถึงประตูศิลาแต่ละบานพามาถึงดินแดนแห่งความตายเหมือนกันแต่จะเชื่อมโยงสถานที่ไม่เหมือนกัน
ถ้าประตูบานที่สามของคิลคือเชื่อนโยงกับป่าใหญ่
ประตูบานแรกของพวกลิขิตก็เชื่อมโยงไปที่ตัวเมืองหลวงนั่นเอง
‘’ เดี๋ยวฉันลองไปถามชาวเมืองดูนะ ‘’ มิกิพูดก่อนจะเดินตรงไปสนทนากับชายคนหนึ่งก่อนจะเดินกลับมาด้วยใบหน้าถอดสี
‘’ ที่นี่คือนครแห่งชีวิตเมื่อ 1000
ปีก่อนจะถูกแปรสภาพเป็นดินแดนแห่งความตายในภายหลัง ‘’ คำพูดของมิกิทำให้ลิขิตกับรุ้งตกใจไม่น้อย
‘’ รอยต่อระหว่างมิติมันสามารถบิดเบือนเวลาได้ด้วยหรอ
ฉันต้องรีบกลับไปแจ้งให้ที่โรงเรียนมราบแล้วล่ะ ‘’ ลิขิตวิ่งกลับไปทางที่เข้ามาแต่ทว่ามันกลับหายไปแล้วราวกลับไม่มีตัวตนแต่แรก
เธอทรุดลงกับพื้นอย่างช้าๆน้ำตาเคลอ
‘’ เธออย่ากังวลไปเลย
มีพวกฉันซะอย่างยังไงมันก็ต้องหาวิธีกลับไปได้อยู่แล้ว
ที่สำคัญนักเรียนคนอื่นๆก็ต้องเผชิญเหมือนกับเราแน่
อันดับแรกเราต้องตามหาพวกคนอื่นๆก่อน ‘’ รุ้งพูด
มิกิผยักหน้าเบาๆเป็นเชิงเห็นด้วยก่อนจะพยุงลิขิตลุกขึ้น
‘’ ถ้าเป็นกรณีที่เราอยู่ยุคเดียวกันก็ว่าไปอย่าง
แต่ถ้าเป็นกรณีที่เลวร้ายสุด
คือกรณีที่เราหลงยุคหลงเวลายังไงก็ไม่มีวันหากันเจอน่ชาตินี้ ‘’ มิกิถอนหายใจก่อนจะพูดต่อ
‘’ หวังว่ามันคงจะไม่มีนะ เพราะสถิติที่เคยอ่านมามีไม่ถึง 2% ด้วยซ้ำและสุดท้ายก็ได้รับความช่วยเหลืออย่างปลอดภัยแต่เสียเวลาตามหากันอยู่นานเลย
‘’
‘’ หวังว่าพวกเราคงไม่ใช่ 2% นั่นนะ ‘’ ลิขิตพูด
รุ้งยิ้มยิงฟันใส่ก่อนจะพูดอย่างอารมณ์ดี ‘’
กรณีที่มิกิบอกคือกรณีที่เว้นเวลาเดินทางเข้าช่องว่างระหว่างมิติต่างหาก
อย่างน้อยก็สัก 3 วันนะ ตอนนี้เป็นเวลาที่เราเดินทางไล่เลี่ยงกันอย่างไรมันก็ต้องอยู่ยุคนี้อยู่ดี
แค่ตามหากันให้เจจอก็พอ ‘’
ลิขิตถอนหายใจอย่างโล่งอก ‘’ ได้ยินแบบนี้ค่อยโล่งใจหน่อย
ก่อนอื่นตอนนี้ฉันหิวแล้วอ่ะ ‘’
‘’ คุ้ยรถเข็นของเธอสิ เธอได้ใส่เสบียงมาด้วยหรือเปล่า ‘’ รุ้งถาม
ทำให้ลิขิตหันมายิ้มแห้งๆให้เพื่อนสาวของเธอ ‘’ เอ่อ
ลืมใส่เอามาน่ะ ‘’
‘’ ว่าไงนะ ‘’ มิกิตาโต ‘’ อย่าบอกนะว่าเธอใส่ข้าวของอำนวยความสะดวกทุกอย่างยกเว้นเสบียงมาน่ะ
‘’
‘’ ก็คือตอนนั้นมัวแต่คิดเรื่องอื่นเพลินๆเลยลืมไปซะสนิท ‘’ ลิขิตก้มหน้าสำนึกผิด
รุ้งถอนหายใจออกมาอย่างยาวเหยียด ‘’ ถ้าไม่ได้กินอะไรไม่พ้นคืนนี้เราตายแน่
‘’
‘’ คนเราอดน้ำได้ 3 วันอดข้าวได้ 1 อาทิตย์นะ ‘’ มิกิแย้ง
‘’ ไม่กินวันแรกสำหรับฉันก็ตายทั้งเป็นแล้วแหละ ‘’ รุ้งพูด
‘’ แง้ๆฉันยังไม่อยากตาย ‘’
โคร้กกกก ! เสียงท้องของสามสาวดังออกมาอย่างไม่เกรงใจใคร ทำให้เด็กน้อยอายุราวๆ 8
ขวบหันมามอง เด็กคนนั้นโบกมือให้เพื่อนตนเองสักพักหนึ่งก็วิ่งมาหาลิขิตพร้อมกับซาลาเปา
4 ลูก
‘’ พี่สาวท่าทางจะหิว ผมให้พี่สาวหมดเลย ‘’ เด็กคนนั้นพูดจบก็วิ่งกลับไปหาเพื่อนอย่างรวดเร็วจนลิขิตไม่ทันได้ขอบคุณด้วยซ้ำ
‘’ ก่อนอื่นพวกเราก็ทำงานหาเงินกันก่อนถ้าไม่อยากอดตาย เพราะสกุลเงินที่นี่ไม่เหมือนของที่พวกเราใช้ ‘’ มิกิพูด
ส่วนรุ้งก็พยักหน้าเห็นด้วย ‘’ ใช่ ว่าแต่เราจะทำอะไรกันดี ‘’
‘’ ขายของ ‘’ มิกิพูด
‘’ ขายอะไร ‘’ รุ้งถาม มิกิไม่ตอบเธอชี้นิ้วไปที่รถเข็นของลิขิต
ลิขิตตาโตก่อนจะวิ่งไปกอดรถเข็น ‘’ ไม่เอานะ
นี่มีแต่เสื้อผ้าสวยๆของฉันทั้งนั้น ‘’ มิกิยิ้มเบาๆก่อนจะเดินไปหาลิขิต ‘’ ไว้กลับจากที่นี่ได้เดี๋ยวฉันพาไปซื้อชุดตัวนั้นที่เธออย่างได้ให้นะ
‘’
‘’ จริงหรอ ‘’
‘’ จริงสิ ‘’
‘’ งั้นก็ได้ ‘’
……………………………………………………………………………………………………………………….
หลังจาก 3 วันนับตั้งแต่พวกคิลไปถล่มดันเจี้ยง
หน้าประตูศิลามีไรท์กับต้ายืนอยู่หน้าประตูพร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่
สีหน้าทั้งสองดูดีขึ้นเยอะหลังจากหายจากอาการตาบวม ต้าอยู่ในชุดรัดรูปสีดำเพื่อความคล่องตัว
ส่วนไรท์อยู่ในชุดคลุมสีฟ้าครามสง่า
‘’ ฉันบานแรกนายบานสาม ‘’ ต้าพูดกับไรท์
‘’ ตกลงว่าแต่นายไม่ไปกับผมจริงๆหรอ ‘’ ไรท์ถามด้วยความเป็นห่วง
ต้าส่ายศีรษะ ‘’ นับตั้งแต่รู้จักกับนาย ฉันก็ซวยๆๆมาตลอดแยกๆกันแหละดีแล้ว ‘’
‘’ ตกลงไว้เจอกันในดันเจียง ‘’ ไรท์พูดจบก่อนจะเดินเข้าประตูไป
ส่วนต้าก็เข้าไปอีกบานทันที
แสงสว่างวูบวาบกระพริบอย่างต่อเนื่องก่อนที่ไรท์จะปรากฏตัวท่ามกลางหิมะตกหนัก
ถึงแม้สภาพแวดล้อมจะเปลี่ยนไปนิดหน่อยแต่เขาก็ไม่ลดความประมาทลงแม้แต่มิลเดียว
ด้วยประสาทสัมผัสระดับคาส SSพิเศษ
ทำให้เขาได้ยินเสียงกลุ่มคนเดินทางอยู่ไกลๆห่างจากบริเวณที่เขายืนอยู่เกือบ 1
กิโลเมตร
‘’ ท่านประมุขครับ
ท่านโปรดใจเย็นๆก่อนถึงแม้นว่าเจ้าผู้บุกรุกจะมีฝีมือสูงส่งเพียงใด
แต่มันมิมีทางหนีฝ่าพายุหิมะขนาดนี้ไปได้หรอก ‘’ ชายคนหนึ่งพูด
‘’ เจ้าอย่าได้ลืม เจ้านั้นมันฉกฉวยเอาผ้าคลุมไอสวรรค์สมบัติล้ำค่าของพรรคเราไป
ถ้ามันใส่หนีไปจริงๆย่อมทำได้เหมือนปลอกกล้วยเข้าปาก แต่ให้มีคลื่นหิมะถล่มก็มิอาจหยุดเจ้านั่นได้ ‘’ เสียงหญิงสาวที่ถูกเรียกว่าประมุขดังขึ้นมาอย่างเคร่งเครียด
‘’ แต่อย่างไรก็ดีท่านควรจะพักรักษาตัวอยู่ที่วังมิดีกว่าหรือ มิฉะนั้นอาการธาตุน้ำแข็งเข้าแทรกมันจะแสดงออกหนักขึ้นนะครับ ‘’ คนรับใช้คนนั้นกล่าวด้วยความเป็นห่วง
แต่หญิงสาวกลับดื้อดึงก่อนจะออกเดินด้วยความเร็วสุดฝีเท้า
‘’ โอ้ย!! ‘’ หญิงสาวผู้เป็นประมุขล้มลงใบหน้าซีดเซียวก่อนจะพยายามดันตัวเองลุกขึ้น
‘’ ท่านประมุข ‘’ เหล่าบรรดาคนรับใช้ต่างตกใจก่อนจะกรู่เข้ามาผยุง
‘’ ขอโทษนะครับ ผู้หญิงคนนั้นต้องการความช่วยเหลืออย่างด่วนมิฉะนั้นเธอตายแน่ ‘’ ชายในชุดคลุมสีครามเดินตรงเข้ามาหาประมุขสาว
ซึ่งเหล่าบรรดาคนรับใช้ต่างพร้อมใจกันชักอาวุธออกมา
‘’ เจ้าคนแปลกหน้า ถ้าแกเข้ามาใกล้กว่านี้พวกข้าฆ่าเจ้าแน่ ‘’ คนรับใช้คนหนึ่งตะโกนใส่หน้าชายในชุดคลุมสีคราม
แต่ต้องชะงักลงเพราะประมุขสาวห้ามปราม ‘’ อย่าได้ลงมือกับชายผู้นี้มิฉะนั้นคนที่จะตายจะเป็นพวกเจ้าเอง ฉันรู้สึกถึงพลังธาตุน้ำแข็งอันมหาศาลในตัวเขาได้ แสดงว่าเขาต้องเป็นคนสำคัญสักคนในพรรคเราอย่างมิต้องสงสัย ‘’
คำพูดของเธอทำให้เหล่าบรรดาคนรับใช้หน้าตื่นรีบวางอาวุธลงก่อนจะคารวะทันที ‘’ ขออภัยในความไร้มารยาทของกระผมด้วยคุณชาย..เอ่อ ‘’
‘’ ไรท์ ! เรียกผมว่าไรท์ ‘’
……………………………………………………………………………………………………………………
ทางด้านของต้า
ต้าปรากฏตัวในป่าแห่งหนึ่งซึ่งบริเวณที่เขายืนอยู่เป็นที่โล่งพอดี
ระหว่างที่เขากำลังมองไปรอบๆอย่างงงๆเพราะพื้นที่แห่งความตายดูเหมือนจะแตกต่างจากเมื่อก่อนค่อนค่างเยอะก็มีชายในชุดจอมยุทธถือกระบี่ชี้มาทางเขาพอดี
‘’ เฉียวชิงเจ้าฆ่าพ่อข้า
ข้าจะฆ่าเจ้าวันนี้ในปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของเจ้า! ‘’
‘’ หะ ‘’
พี่ชาย/พี่สาวฉันมีข่าวดีนะ
ฉันซื้อคอมใหม่แต่ข่าวร้ายฉันก็คือนิยายก็ฉันแต่งไว้เครื่องหลักมันไม่ยอมตามมาด้วยน่ะ
ที่ดองไม่ได้ติดเกมจริงจริ๊งงง แต่ฉันจะไม่ดองอีกแล้วนะสัญญา -0- รู้สึกผิดแรงๆ
ความคิดเห็น