คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #15 : ♀ TOM (or) BOY ♂ - 13
♀ TOM (or) BOY ♂
13
หมายเหตุ : ตอน 12 มีเพิ่มฉากตอนท้าย ใครไม่แน่ใจว่าอ่านรึยัง รบกวนไปอ่านใหม่อีกทีนะคะ ไม่งั้นจะงงเพราะมันต่อมาจากตรงนั้น
แต่ถ้าอ่านแล้วก็เลื่อนลงไปอ่านตอน 13 ได้เลยจ้า...................
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ความผิดปกติของหัวใจ... ทำไมเจ้าตัวจะไม่รู้
แต่ที่ยังทำเฉยอยู่... ก็แค่อยากหลอกตัวเองต่อไป
ใบสมัครแฟนครับยังถูกวางแน่นิ่งไว้บนโต๊ะอาหาร ใบหน้าหวานไม่กล้าเงยสบตาอีกคู่ที่จ้องมองตนอยู่... นัยน์ตาของเขาเพียงโฟกัสที่ตัวอักษรเพียงไม่กี่ตัวบนกระดาษ เพ่งมันราวกับจะอ่านทวนอีกรอบให้แน่ใจ ราวกับจะเปลี่ยน ร.เรือ เป็น ล.ลิง อย่างที่ควรเป็น
แต่ไม่ว่าจะทำยังไง... ใบสมัครแฟนครับ ก็ไม่ใช่ ใบสมัครแฟนคลับ
และไม่ว่าจะทำยังไง... เสียงหัวใจก็ไม่หยุดเต้นดังเสียที
มันคือ ความจริง ที่เขาควรจะยอมรับแต่แรกว่าความรู้สึกของเขาได้เปลี่ยนไป และตอนนี้... เขาก็รู้แล้วว่าตัวเองควรจะเขียน ความจริง ลงไปเช่นกัน
ตาคู่คมเบิกกว้างอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นอีกคนหยิบปากกาแล้วเขียนข้อความลงไปในนั้น... อะดรีนาลีนในกายพุ่งพล่าน เขาอยากรู้จนเต็มแก่ว่าอีกคนเขียนลงไปว่าอะไร แต่ใจก็พยายามไม่สะกดอักษรเล็กๆ เหล่านั้นกลับหลัง เขาเพียงแต่นั่งรอให้อีกคนยื่นกระดาษแผ่นนั้นคืนมาให้ รอคอย...ด้วยจิตใจที่ร้อนรน
เพียงไม่กี่วินาทีนั้นการรอคอยก็สำเร็จผล เขามองใบหน้านิ่งๆ ที่สบตากับเขาตอนเงยหน้าขึ้นมาจากแผ่นกระดาษ ก่อนจะเปลี่ยนไปอ่านข้อความบนนั้นแทน
“นนทนันท์” เต๋าอ่านออกเสียง ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาเมื่อนึกได้ว่าคงเป็นชื่อจริงของอีกฝ่าย
“อ่านเต็มๆ สิ”
ได้ยินดังนั้น คนใจร้อนก็ก้มลงไปอ่านใหม่ แววตายังคงเป็นประกายเมื่อได้อ่านมันอย่างรีบร้อน “นนทนันท์ อัญชุลีประดิษฐ์”
ก่อนจะนึกได้ว่าข้อความนั้นมีความแปลกประหลาดไป จึงทวนอ่านใหม่อีกครั้งเอง
“นายนนทนันท์... นาย...หมายความว่าไงชา?”
คนถูกถามไม่ได้ตอบทันที แต่ดึงกระดาษแผ่นนั้นคืนมา “ก็หมายความอย่างนั้นไง” ตอบเสียงแผ่วเมื่อเห็นแววตาเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้เต็มที
“ไม่ตลกนะชา”
“ก็ไม่ตลกไง” เขาถึงได้เครียดแบบนี้
บรรยากาศสีเทาก้าวเข้ามาบนโต๊ะอาหารโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นัยน์ตาของเต๋าเต็มไปด้วยคำถาม ความไม่เข้าใจ แววตาคู่นั้นแม้จะดูเข้มแข็งแต่ก็ดูอ่อนไหวอย่างน่าประหลาด เป็นคชาที่เป็นฝ่ายหลบตาคู่นั้นอีกครั้ง หัวใจสั่นรัว...กับความกลัวในจิตใจ
“เต๋า... คือเรา...” พยายามจะเริ่มตั้งต้นใหม่ แต่ยิ่งได้มองสายตาคู่นั้น ความหวั่นไหวก็ยิ่งคืบคลาน
“ถ้าเรา... เป็นผู้ชายล่ะ?” จากประโยคบอกเล่ากลายเป็นประโยคคำถามแทนจนได้ แต่คำถามแปลกประหลาดคลุมเครือนั้น แทนที่จะนำความเข้าใจกลับยิ่งนำพาให้สงสัยยิ่งกว่าเดิม
ท่ามกลางสถานการณ์บีบคั้นนี้... คชารู้แล้ว ว่าตัวเองผิดที่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยมานานเกินไป
“คือเรา...” เสียงเดิมอึกอักไป ยิ่งเห็นแววตาเร่งเร้าที่จ้องมองมา
“เรา...” คชาสูดลมหายใจเข้าลึกท่ามกลางเสียงหัวใจที่ดังกว่าเสียงของตัวเอง
“เราว่าจะไปแปลงเพศเป็นผู้ชาย”
สุดท้าย... เขาก็เลือกที่จะต่อเวลาให้ตัวเองอีกครั้ง
“มุกนี้ตลกก็ได้” เต๋าพูดออกมาพลางยิ้มน้อยๆ หากแต่นัยน์ตายังมีความประหวั่นใจบางอย่าง และยิ่งทวีคูณเมื่อได้ยินอีกคนพูดต่อ
“ไม่มุก... นี่พูดจริง”
เพียงเท่านั้นท่าทีของเต๋าก็กลับนิ่งกว่าเดิม
“บอกแม่แล้วหรือไง?”
“ยัง... แต่แม่ไม่ว่าหรอก”
“นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะ”
“ก็ไม่ได้เล่นนี่”
“ชา...”
“ทำไม?”
“เลิกหนีความจริงสักที”
ถ้อยคำแทงใจดำเสมือนมีดปลายแหลมแทงลึกที่อกซ้าย... คชาเพียงนิ่งไป จะเขาให้ทำยังไง ในเมื่อความจริงนั้นมันเป็นสิ่งที่อีกคนยังไม่รู้
“ฟังเสียงหัวใจก่อนสิชา”
เหมือนกำลังถูกแทงเข้าซ้ำสองตรงแผลเดิม... เสียงหัวใจงั้นหรอ...ทำไมเขาจะไม่ได้ยินล่ะ? เสียงหัวใจตัวเองที่เต้นดังออกมาแบบนี้ กับความรู้สึกแปลกๆ ที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับใคร
เขาอยากจะยอมรับความจริง เขาอยากจะฟังเสียงหัวใจ
แต่จะทำยังไง... ในเมื่อสองสิ่งมันขัดแย้งกัน?
ผู้ชายกับทอมน่ะรักกันได้... แต่ผู้ชายกับผู้ชายมันรักกันไม่ได้หรอกเต๋า
เม็ดฝนที่ตกโปรยปรายทำให้บรรยากาศเงียบเชียบภายใต้ร่มคันเดิมดูจะมีเสียงขึ้นมาบ้าง หลังจากทานข้าวมื้อเย็นที่ร้านอาหาร ทั้งสองคนก็ยังคงตกอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเองจนกระทั่งเดินไปถึงปลายทาง... ตรอกหอพักเพียงพอ
แต่เต๋ายังไม่ปล่อยให้อีกคนจากไปง่ายๆ หรอก
“รอนี่ก่อน” ร่างสูงเดินเข้าไปในบ้าน ทิ้งร่มสีหวานไว้กับคนตัวเล็ก ให้เป็นเหมือนกับเครื่องยืนยันว่า ตราบใดที่เขายังไม่มาเอาร่มคืน อีกคนก็ห้ามไป
คชาก้มมองปลายเท้า ร่มที่ยืนอยู่เพียงคนเดียวมันสบายและไม่เปียกฝน หากแต่ร่มที่มีคนยืนอยู่ข้างๆ แม้ไม่ได้พูดกันสักคำ มันกลับอบอุ่นกว่าเป็นไหนๆ
“ชาค่ะ” เสียงเรียกคุ้นหูทำให้รู้ว่าเป็นใคร ใบหน้าหวานหันไปมองก็พบว่าอีกคนยื่นซองพลาสติกเล็กๆ มา “ยา... กลับไปกินซะเดี๋ยวเป็นหวัด”
แปลกใจเล็กน้อยที่อีกคนนึกถึงเขาขนาดนี้ทั้งที่ตัวเองยังไม่คิดสนใจ “ขอบคุณ” คชาเอ่ยสั้นๆ พลางรับมันมาใส่กระเป๋ากางเกง กำลังจะยื่นร่มคืนให้เจ้าของ ทว่ามือนั้นกลับถูกอีกฝ่ายกุมไว้เสียเอง
“เดี๋ยวไปส่งหน้าหอ...” เต๋าเข้ามาในร่มอีกครั้ง ฝ่ามือขาวนั้นบีบกระชับมืออีกฝ่ายแนบแน่น ความอบอุ่นแทรกซึมผ่านมือหนาจนคนถูกเกาะกุมสัมผัสได้... คชานึกดีใจที่มีอีกคนอยู่ข้างกันแบบนี้
หากแต่ขณะเดียวกัน เขาก็นึกถอนใจ เพราะมันคงอีกไม่นาน...
เป็นครั้งแรก... ที่เขานึกอยากยืดระยะทางออกไปให้ไกลกว่าเดิม
- - -
“แหม... มีคนมาจีบแล้วแอบงุบงิบไม่บอกเพื่อนนะน้องทอม”
“มิน่า ถึงไม่สนหมอ”
“อะไรยังไงอะชา... ได้ยินว่าไปกินข้าวกันด้วยจริงดิ?”
ไม่ผิดจากที่คิดไว้เลยสักนิดว่าเหล่าเพื่อนร่วมคณะของเขาจะต้องพากันหยิบยกเองเมื่อวานมาล้อ ทั้งที่ปกติคชาก็เป็นคนอารมณ์ดี ไม่ได้อะไรกับเรื่องแบบนี้นัก หากแต่สถานการณ์ในตอนนี้มันเริ่มเกินจะรับไหว
คชาเพิ่งจะรู้... ว่าตอนนี้มันมาไกลเกินไปแล้ว
ตั้งแต่เมื่อเช้า ที่เปิดประตูหน้าห้องออกไปก็เจอพัดลมตัวนึงที่วางอยู่... คชารู้ได้ทันทีว่าเป็นของใคร เพียงแค่ได้อ่านข้อความ
‘พา fan มาให้... ถ้าเปิดใจเมื่อไหร่แฟนจะตามมา’
ร่างเล็กได้แต่ยกมือขึ้นขยี้ผมตัวเองจนยุ่งเหยิงเมื่อนึกถึงพัดลมที่ได้เมื่อเช้า ก่อนความคิดจะกลับเข้าร่างมาฟังเสียงเพื่อนๆ รอบกายใหม่ คชาเพียงส่ายหน้าออกมา ไม่เถียงอะไร เพียงพูดแค่ว่า “ไม่มีอะไร แค่รู้จักกัน” ตอบปฏิเสธไปอย่างนั้นหากแต่ไม่มีใครเชื่ออยู่ดี
“แค่รู้จัก... แต่ไอ้เช็ดหัวให้กับเดินกางร่มคันเดียวกันไปกินข้าวสองคนกระหนุงกระหนิงมันไม่ใช่นะเว่ย” โปเต้พูดพลางยิ้มล้อ
“เออ... ก็เป็นเพื่อนกันไง” คชาตอบอย่างไม่สบอารมณ์ เขาไม่ชอบเลยที่ต้องถูกคนอื่นพูดล้อแบบนี้ ทั้งที่ตัวเองเครียดแทบตาย “หยุดพูดซะที เหนื่อยจะฟัง”
“เพื่อนกัน... ตอบเหมือนดาราเลยนะมึง”
“เพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อรึเปล่าวะ?”
ได้ยินดังนั้นร่างเล็กก็พลันถอนหายใจหน่วงๆ ออกมา คชาส่ายหน้า ก่อนจะประกาศกร้าวชัดเจน
“ไม่มีใครคิดอะไรกับใครทั้งนั้นแหละ!”
โกหกออกไปอีกครั้ง... คชารู้ดี เขาหลอกตัวเองไม่ได้ แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็ยังไม่พร้อมจะบอกความจริงกับคนอื่นๆ ในตอนนี้
“โปเต้... กูขอไปอยู่บ้านมึงสักอาทิตย์นึงได้ไหม?”
นี่ต่างหากคือสิ่งที่คชาต้องทำ...
- - -
ในห้องเบอร์ 23 ห้องเดิม เป็นเวลาหลายชั่วโมงแล้วที่คชายังคงนั่งคิดเรื่องเดิมซ้ำไปซ้ำไปมาอย่างนี้ คิด...ว่าจะหาทางบอกความจริงอย่างไรดี มันเหมือนง่ายแต่ไม่ง่ายเลยสักนิดเดียว
แต่เขาไม่อยากให้เวลาเดินไปมากกว่านี้อีกแล้ว
สุดท้าย ขณะเวลาเกือบห้าทุ่ม เขาก็ตัดสินใจกดปุ่มโทรออกหาใครคนนั้น มือเรียวแนบเครื่องมือสื่อสารลงข้างแก้ม หูก็คอยฟังเสียงนั้นอย่างใจจดใจจ่อ เขารู้ดีว่าถึงจะดึกป่านนี้แล้วแต่เต๋าคงยังไม่นอน เสียง ‘ตื๊ด... ตื๊ด…’ ในขณะรอสายทำเอาหัวใจเต้นระส่ำ ใจนึงอยากให้อีกคนรับไวๆ แต่อีกใจก็อยากยืดระยะเวลานี้ออกไปนานๆ
“เต๋า...ทำอะไรอยู่ ว่างรึเปล่า?” เป็นคำแรกที่เขาพูดถามเมื่ออีกฝ่ายกดรับ
“ดูบอล...เชลซีแข่งอยู่เนี่ย มาดูด้วยกันไหม?” แม้ไม่ได้บอก หากแต่เสียงจากโทรทัศน์เครื่องใหญ่ก็อธิบายได้ดีว่าอีกฝ่ายกำลังทำอะไร และน้ำเสียงคนพูดก็บอกได้เลยว่าอยู่ในอารมณ์ดีแค่ไหน “กำลังจะโทรไปชวนอยู่พอดี”
คชาลืมไปเสียสนิท... ฟุตบอลนัดสำคัญที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงไม่พลาดแม้แต่เสี้ยววินาที
“คือเรา...” จะเอายังไงดี? จะเอายังไง? คชาได้แต่ถามตัวเองซ้ำไปซ้ำมา เขาแค่อยากโทรมาสารภาพเพราะไม่กล้าบอกต่อหน้า ทว่าโอกาสดันไม่เอื้ออำนวย หากแต่ก็ไม่ซะทีเดียวเมื่ออีกฝ่ายชวนเขาออกไปหาแบบนี้
“ตั้งแต่วันนั้นเรายังไม่เคยดูบอลด้วยกันเลยนะ วันนั้นที่ชาบอกจะมาก็ผิดนัด จนเราต้องไปหาเอง” ความรู้สึกผิดแล่นริ้วขึ้นมาทันที ไม่ใช่เพราะใจความแต่เพราะน้ำเสียงที่ฟังดูตัดพ้อนั่นต่างหาก
“เอ่อ...อือ ก็ได้” และเพราะความใจอ่อน เสียงใสจึงตบปากรับคำไปในที่สุด สมองเร่งนึกว่าจะพูดข้อความทั้งหมดที่จะบอกอีกฝ่ายต่อหน้าตอนไหนหรือยังไงดี
ถ้าอย่างนั้น คืนนี้คงเป็นคืนสุดท้าย…
เต๋ายิ้มกว้างเมื่อเห็นคนที่คิดถึงมายืนรออยู่หน้าบ้านแบบนี้ มือหนารีบเปิดประตูให้อีกคนเดินเข้ามา คชาในชุดนอนสีฟ้าลายตารางมองดูน่ารักจนแทบไม่อยากละสายตาจากไปแม้เสี้ยววินาที
“ถอดรองเท้าไว้ตรงนี้” เต๋าบอกอีกคน รอยยิ้มยังคงประดับใบหน้าทำเอาคชาต้องมอบยิ้มแก้เก้อให้ คนตัวเล็กถอดรองเท้าแตะตามที่อีกคนบอกก่อนจะเดินเข้าไปดูทีวีที่เปิดทิ้งไว้ในห้องนั่งเล่น
โซฟาหนังสีดำบุ๋มลงไปตามคนสองคนที่นั่งอยู่ คชาเว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายไว้ประมาณหนึ่งฟุต ไม่มากเกินแต่คงไม่น้อยไป
มันอาจจะเป็นฟุตบอลนัดแรกในชีวิตที่คชานั่งมองดูด้วยจิตใจที่เลื่อนลอยแบบนี้... เขาพยายามเรียบเรียงข้อความและคำพูดในหัวออกมาหลายต่อหลายที แต่หันไปมองอีกฝ่ายที่นั่งลุ้นเกมการแข่งขันตรงหน้าก็กลับพูดไม่ออกสักครั้ง
และวินาทีนั้นที่เต๋าหันมาสบตาเข้าพอดี “เป็นอะไร? ไม่สบายหรอ? ทำไมทำหน้าอย่างนั้น?” ระยะห่างฟุตนึงลดน้อยลงเมื่อเต๋าขยับเข้าใกล้เพื่อยื่นหลังมืออบอุ่นมาแตะกลางหน้าผาก คำถามกับสีหน้าเป็นห่วงเป็นใยทำเอาคนฟังทั้งรู้สึกผิดและรู้สึกดีไปพร้อมๆ กัน “วันก่อนกินยารึเปล่า?”
“กินแล้ว... ปกติดี ไม่ได้ไม่สบายหรอก” เขาเอ่ยตอบเสียงแผ่ว “สงสัยแอร์หนาวไปมั้ง” ยกเหตุผลข้างๆ คูๆ ขึ้นมาอ้าง
ได้ยินดังนั้นเจ้าบ้านก็รีบลุกเดินไปหรี่เครื่องปรับอากาศลงให้ ซ้ำยังขึ้นไปหยิบผ้าห่มผืนเล็กมาคลุมตัวเด็กน้อยในชุดนอนสีฟ้าให้อีก “โอเคไหมชา?”
“อ...อืม โอเค ขอบใจ...ดูบอลต่อเถอะ” ภายใต้ผ้าห่มสีเหลืองอ่อน คชาประสานมือตัวเองไว้แนบแน่น เขาเกลียดสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองเขาแบบนั้น มันทั้งอบอุ่น ทั้งลึกซึ้ง และเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย แต่ในขณะเดียวกัน...ก็ยอมรับเลยว่าอยากให้เต๋ามองเขาด้วยสายตาแบบนี้ตลอดไป
แต่คงไม่มีวันนั้น
แม้ตอนแรก คชาจะแทบไม่ได้สนใจฟุตบอลตรงหน้า หากแต่สุดท้าย... สัญชาติญาณแฟนบอลที่กำลังดูทีมโปรดเล่นอยู่ก็ดึงเขากลับมาหาการแข่งขันจนได้ สุดท้าย ร่างเล็กก็กลับไปเป็นแฟนบอลที่จงรักภักดีต่อเชลซีเหมือนเดิม
“แลมพาร์ต!! แลมพาร์ต!!! แลมพาร์ต!!! โคตรเมพเลยว่ะเต๋า!!!” ร่างเล็กหันไปพูดกับอีกคนอย่างมีความสุข รอยยิ้มสดใสที่เปื้อนใบหน้าหวานยิ่งทำให้คนน่ารักยิ่งน่ารักเป็นเท่าตัว “สุดยอดเลยอะ... นี่มันเป็นลูกเตะที่สุดยอดในประวัติการณ์เลยนะ” เสียงใสเอ่ยอย่างภูมิใจ “เจ๋งอะเต๋า... เปลี่ยนใจมาเชียร์เชลซีตอนนี้ยังไม่สายนะ”
อารมณ์ที่เปลี่ยนจากตอนแรก 180 องศาทำเอาอีกคนต้องหัวเราะตามเบาๆ ฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศนี้เชลซีเป็นฝ่ายชนะทอตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ไปด้วยสกอร์ 5 ประตูต่อ 1 และได้ไปชิงแชมป์กับหงส์แดงลิเวอร์พูล เจ้าตัวถึงได้ดีอกดีใจขนาดนี้ เต๋าส่ายหน้าน้อยๆ หากแต่ใบหน้าก็ยังมีรอยยิ้มบางประดับไว้ “คนเรามันรักแล้วรักเลย... มาเปลี่ยนใจง่ายๆ ไม่ได้หรอกชา”
เพียงเท่านั้น คนฟังก็หน้าขึ้นสีโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว คชายกมือเกาศีรษะแก้เก้อ... ก็แววตาตอนอีกคนพูดน่ะ เหมือนกำลังสื่อถึงใครบางคนมากกว่าแมนยูทีมรักน่ะสิ
ใครบางคน... ที่กำลังนั่งอยู่ตรงหน้านี้
เต๋า... พูดแบบนี้เห็นใจคนฟังหน่อยเถอะ
เป็นเกือบตีหนึ่งแล้วที่ร่างเล็กยังนั่งอยู่ในบ้านของเต๋า... คชามองนาฬิกาที่แขวนไว้ในบ้าน แน่นอนว่าตอนนี้หอพักต้องถูกแขวนแม่กุญแจตัวใหญ่เพื่อปิดแล้ว แต่จะเป็นไรในเมื่อคนตรงหน้าเขามีกุญแจ
ที่สำคัญกว่า... คือคืนนี้ต้องพูดเรื่องนั้นกับเต๋าต่างหาก
ท่ามกลางสถานการณ์ที่เริ่มคับขัน เข็มนาฬิกากลับยังคงเดินต่อไปอย่างไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย และมันยิ่งเร่งเร้าให้คชาต้องรีบพูดความจริงออกไปก่อนจะไม่มีโอกาส
“เต๋า... คือ...” เห็นอีกคนเพิ่งเดินออกมาจากห้องน้ำ คชาก็พูดขึ้น หากแต่ไม่ทันได้เอ่ยใจความอะไร ข้อมือบางก็ถูกกึ่งลากกึ่งจูงให้ขึ้นบันไดไปเสียก่อน
“ไปไหนอะเต๋า?”
“ไปห้องเรา”
“เฮ้ย!!!!”
กว่าข้อมือบางจะถูกปล่อยเป็นอิสระก็เมื่ออีกฝ่ายเปิดประตูระเบียงออกไป... คชาถอนหายใจออกมาเต็มแรงเมื่ออีกฝ่ายพาเขาออกมายืนตรงระเบียงสีขาวนี่ ยอมรับตรงๆ เลยก็ได้ว่าเมื่อกี๊คิดไกลไปถึงไหนต่อไหน
แอบคิดไปแล้ว... ถ้าเกิดอีกคนนึกปล้ำเขาขึ้นมา แล้วถอดเสื้อผ้าออกเห็นว่าเขาเป็นผู้ชาย เต๋าจะทำหน้ายังไง
แต่มันก็ไม่เกิดอะไรบ้าๆ แบบนั้นขึ้น เมื่อจุดมุ่งหมายของเต๋ามีเพียงแค่…
“ดาวสวยไหม?” คนข้างๆ ถามเขา ตอนนั้นคชาจึงแหงนมองขึ้นไปบนฟ้าตามที่อีกฝ่ายทำบ้าง ฟ้าสีดำสนิท มีจุดเล็กๆ สว่างไสวอยู่บ้างเล็กน้อย
“หน้าต่างห้องเธอมองไม่เห็นดาวไม่ใช่หรือไง? วันนี้พามาดูแล้วนะ”
ครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่อีกคนจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับเขาได้มากขนาดนี้ “ขอบใจ” คชาทำได้เพียงเท่านั้น... มันอาจจะเป็นสิ่งที่มากที่สุดที่สามารถตอบแทนอีกฝ่ายได้
“รู้ไหมชา... ตั้งแต่มีเธอเข้ามา ฉันก็ชอบออกมายืนอยู่ที่ระเบียงนี่” สัมผัสโอบกอดจากด้านหลังทำเอาคชาอ้าปากค้างโดยไม่รู้ตัว มืออบอุ่นคู่นั้นประสานไว้ที่ด้านหน้า ไม่แน่นหนา ทว่าก็ไม่ได้อ่อนปวกเปียกเสียจนหลุดออกจากกันได้ง่ายๆ
“รู้ตัวอีกที... ก็ชอบดูดาวบนฟ้าสลับกับมองหน้าต่างเล็กๆ นั่นแล้ว”
ยิ่งได้ยินถ้อยคำจากปากอีกคนมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งเสียดแทงไปในจิตใจมากเท่านั้น… คชาไม่อยากได้ยิน ไม่อยากฟัง... ความรู้สึกที่อีกฝ่ายมันมากล้นจนเกินกว่าเขาจะรับไหว
“เต๋า...” ฝ่ายคนในอ้อมกอด พอตั้งตัวได้ก็หันหน้าไปหาอีกฝ่ายหมายจะเอ่ยความในใจสักที หากแต่ได้จังหวะพอดีกับที่ร่างสูงขยับเข้าใกล้
จึงกลายเป็นคชาที่เกือบจะหอมแก้มอีกฝ่ายไปอย่างฉิวเฉียด… เป็นอีกครั้งที่คชานิ่งค้างราวกับเป็นหุ่นยนต์ ทั้งร่างกายหรือใบหน้าเหมือนกับถูกสาปให้นิ่งไว้อย่างนั้น
เว้นก็แต่หัวใจที่เต้นดังจนกลัวอีกฝ่ายจะได้ยิน
รอยยิ้มบางเบาถูกประดับไว้ที่ริมฝีปากหยัก ตาคู่คมเพ่งมองใบหน้าหวานที่ขึ้นสีชมพูระเรื่อ... เต๋าคลายอ้อมแขนที่ประสานกอดอีกฝ่ายไว้ออก ยกมือข้างหนึ่งไล้แก้มใสนั้นเบาๆ
“เต๋า...” พยายามปัดมือนั้นออกทว่ากลับไม่เป็นผล ร่างเล็กเอ่ยค้านด้วยเสียงติดขัด “อย่าทำแบบนี้เลย... เรา...”
หากแต่คำพูดนั้นกลับกลายเป็นเพียงลมหายใจบางเบาที่ถูกกลืนกินด้วยริมฝีปากหยักจนหมดสิ้น ใบหน้าขาวคมเอียงเล็กน้อยเพื่อมอบจูบรสหอมหวานได้ถนัดถนี่
ราวกับตัวเขากำลังเบาเหมือนนุ่น... ราวกับกำลังนอนหนุนก้อนเมฆบนฟ้าไกล
เปลือกตาบางค่อยๆ หลับลง มือที่กำแน่นถูกคลายออกจากกัน
ทั้งหมดราวกับกำลังฝันไป... เป็นไปได้ไหม? ถ้าคชาจะหลับใหลตลอดกาล
TBC
อร๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ใครลุ้นให้เต๋ารู้ความจริง... อีกไม่นานหรอก อีกไม่นานแล้ว.................
คำนวณเองคร่าวๆ เรื่องนี้ไม่น่าเกิน 20 ตอนมั้ง (ก็อีก7ตอนเอง) แต่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้เสมอ 55 แต่เอาเป็นว่าเกินครึ่งทางแล้วน้า ยอมรับเลยว่ากลัวมากว่าคนอ่านจะสนุกน้อยลง
เอาเป็นว่าชอบไม่ชอบยังไง อ่านแล้วเป็นไง บอกได้นะจ๊ะ ไม่ว่ากัน อุอิ จะได้เอาไปพัฒนาต่อไปน่ะ
จากการสอบถามดู... หลายคนบอกว่า เรื่องนี้เต๋าโง่ที่ไม่รู้สักที... โธ่ คนแต่งเสียใจ
แต่จะคิดยังไงก็ได้ ไม่ผิดหรอก มันแล้วแต่คน แต่ขอมาแก้ต่างให้เต๋าหน่อย 5555
ขออิงหลักจิตวิทยาเรื่อง Confirmation Bias คือคนเราอะ ถ้าปักใจเชื่ออะไรแล้ว (เหมือนที่เต๋าเชื่อว่าคชาเป็นทอม เพราะตั้งแต่ทีแรกก็เจอในหอหญิง แถมหน้าให้) เวลาคนคนนั้นได้รับข้อมูลอะไรอะ ก็จะเลือกเชื่อ เลือกรับรู้แต่ส่วนที่ตรงกับความเชื่อเดิมของตัวเอง เพราะงั้นเต๋าเลยคิดว่าคชาเป็นทอมจริงๆ (ลึกซึ้งมะ 555)
ป.ล. มีคนวาดแฟนอาร์ตมาให้ด้วย คลิกไปชมได้ อย่างน่ารักเลย -- คือตอนนี้เนตป่วยมาก อัพลงเด็กดีไม่ได้ง่า เครดิตคุณ @Jiraphakorn ค่า ขอบคุณมา ณ ที่นี้ >> http://twitpic.com/9a5s34
ความคิดเห็น