คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #14 : Highway To Hell (The End And The New Beginning) | American Horror Story: Apocalypse (2018)
BASED ON CHARACTERS FROM : American Horror Story: Apocalypse (2018) | Creators - Ryan Murphy, Brad Falchuk
RE-RELEASE DATE : JULY 4, 2021
---------------------------------------------------------------------------------------------------
- ตอนแรกก็จะดองไว้ แต่เพื่อนบอกว่า Saint Maud ลงนฟ สำหรับเราที่แลกแต้มดูก่อนนั้นจากทรูไอดีก็เลยต้องมาโม้แล้วโม้อีกว่า ชื่อนางเอกเรื่องนี้เราได้มาจากนักแสดงเรื่องเซนต์ม้อดยังไงล่ะ 555 แล้วเราก็เอาเรื่องนี้ไปแปลงเป็นญปแต่แต่งไม่จบสักที 555 เรื่อง Legacies ss2 ที่เราเคยได้แปลตั้งแต่ต้นปี(ก็เลยเอาอิมเมจ kaylee bryant มาเป็นนางเอก)ก็ไม่ลงจอทีวีสักที เบื่อ ก็เลยคิดว่าไม่ต้องรออะไรแล้ววะ เอาลงเลยแล้วกันเพราะเก็บไว้ก็ไม่ได้ทำอะไรอยู่ดี ฮ่าฮ่า
- ไม่เพิ่มลดพล็อต เกลาแค่ภาษา เรื่องนี้อาจมีจุดที่ไม่สมบูรณ์และเราน่าจะแต่งเติมได้ แต่ไม่ทำดีกว่า เราอยากคงความต้นฉบับไว้ เพราะมันเป็นฟิคเรื่องหนึ่งที่เรารักมากที่สุด พอเป็นพระเอกเดิมก็เลยคิดว่าเอาแบบเดิมแหละดีแล้ว :3 นอกจากพล็อตที่ได้มาจากตอนดู AHS: Apocalypse เราก็คิดเองหมด การเปรียบเปรยทุกอย่างเราก็คิดเองนะจ๊ะ ถ้าเอามาจากไหนเราก็ให้เครดิตหมด และแน่ใจได้ว่าเราไม่ได้ก๊อปฉากก๊อปภาษาจากฟิคของใคร ปกติก็ไม่เคยทำเรื่องทุเรศแบบนั้นอยู่แล้ว อายเค้าตาย >_<
- แน่นอนว่าเราไม่เคยคิดลดตัวไปก๊อปคนที่ด้อยกว่าเรา เพราะรู้อยู่แล้วว่าแต่งได้ดีกว่า จะไปแข่งกับคนที่ห่วยกว่าไม่มีวันเทียบเราได้ก็เสียเวลาชีวิต ไปดูดึกดำดึ๋ยยังมีประโยชน์กว่า >_< ส่วนคนที่แต่งฟิคดีกว่าเรา เราก็ให้เกียรติเค้าเสมอด้วยการไม่ทำอะไรที่จะเป็นการก๊อปโดยไม่บอกกล่าวไม่ให้เครดิต เพราะมันไม่ใช่สิ่งที่คนดีดีเค้าทำกัน >_< เรื่องแค่นี้คนที่ไหนก็คิดได้ คนที่คิดไม่ได้ก็คือคนโง่ คนสันดานเสีย คนมั่นหน้ามั่นโหนกแค่นั้นแหละ >_<
- เรารักเพลง Piel ที่เอามาประกอบเรื่องนี้มากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หนึ่งในเพลง most faves ของเรา ช่วงแรกเราแต่งเองบ้าเองวนอ่านเรื่องนี้เองเป็นร้อยรอบ เพราะชอบโทนเรื่องมากและเหตุผลหนึ่งก็เพราะเพลง Piel เนี้ยแหละ 555 เรารู้จักเพราะเป็นเพลงประกอบเรื่อง The Handmaid's Tale ss2 ได้เพลงเพราะจากซีรีส์เรื่องนี้เยอะมากนะ
มอร์ฟิดด์ได้กลับมามีชีวิตบนโลกอีกครั้งหลังออกจากนรกที่จองจำเธอมานานนับกาลปวสาน เวลาบนโลกผ่านไปแค่สามเดือนหลังจากเธอตาย สามเดือนบนโลก...กับนิรันดร์ในนรก เด็กสาวไม่ใช่คนที่ไม่เห็นคุณค่าของเวลาหรือชีวิต แต่การได้ออกมาจากขุมนรกทำให้เธอรัก ทะนุถนอม และเห็นค่าของพวกมันมากกว่าเดิม ในโอกาสที่สองที่เขามอบให้
ไมเคิล แลงดอน พาเธอออกจากนรกโรงเรียนประจำหญิงมาอาศัยอยู่ในโรงเรียนประจำของนักเรียนชายที่เป็นวอร์ล็อก ผ่านไปแค่ข้ามคืนที่ถูกนำตัวขึ้นมา มอร์ฟิดด์ก็ตื่นขึ้นหลังได้นอนหลับเต็มอิ่มเป็นครั้งแรกในเนิ่นนาน ทุกอาการบาดเจ็บและทุกร่องรอยบาดแผลที่มองเห็นได้ด้วยไฟจากเตาผิงในห้องล้วนหายสนิทเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ครั้นละจากเนื้อหนังของตนก็เห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งที่เก้าอี้โยกตรงมุมห้อง ไมเคิลนั่งไขว่ห้าง สองมือสอดวางไว้ใต้คาง เธออดคิดไม่ได้ว่ารอยยิ้มอ่อนบางอ่อนโยนที่มุมปากทั้งสองข้างอาจเป็นแค่แสงเงาเล่นตลกกับดวงตา
“คุณหายดีแล้ว ด้วยพลังของผมเอง” ไมเคิลลุกจากเก้าอี้เพื่อเดินมาหาเธอที่นั่งอยู่บนเตียง จากนั้นก็ยื่นมือออกมา “ออกไปเดินเล่นกับผม”
“วอร์ล็อกคืออะไร” มอร์ฟิดด์ถามขึ้นขณะที่เขาพาเธอเดินเล่นชมโรงเรียน
“ผู้ชายที่ใช้เวทมนตร์ได้” เขาตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลน่าฟังเช่นทุกครั้งที่เปิดปากไม่ว่าจะพูดอะไรก็ตาม “เหมือนกับผู้หญิงที่เป็นแม่มด”
คำว่า ‘แม่มด’ เป็นดั่งเข็มที่สะกิดใจเธอ มันยังทำให้มอร์ฟิดด์เจ็บจี๊ดที่ใจเมื่อคิดว่าคำนี้ทำให้เธอต้องพานพบกับอะไรบ้าง ยายของเธอเป็นคนแรกที่กล่าวหาเธอแบบนั้น เจ็ดปีพ้นผ่านไปแสนนานจนเหมือนเป็นอดีตที่แสนไกล ราวกับเป็นความทรงจำของเธอในชาติที่แล้ว
“แล้วฉันเป็นอะไร” มอร์ฟิดด์ถามออกไป มันเป็นคำถามที่เธออยากรู้ และเธอแน่ใจว่าไมเคิลรู้คำตอบของมัน “แม่มด? ปีศาจ? ทำไมคุณถึงมาช่วยฉัน”
ชายหนุ่มตัวสูงก้มมองเธอ เขายิ้มออกมา คราวนี้มอร์ฟิดด์มั่นใจได้ว่าเป็นรอยยิ้มจริงแท้ หาใช่เพียงภาพที่ไฟอาจหลอกตา เพราะแสงไฟสีส้มบนโถงทางเดินนี้สว่างมากพอจะทำให้เห็นใบหน้าคนที่อยู่ใกล้ได้ชัดเจน
“คุณเป็นคนพิเศษ”
ไมเคิลตอบแค่นั้นแล้วก็หันกลับไปมองทางข้างหน้า เป็นอันยุติการสนทนาในหัวข้อนี้
-------------------------------------------------------------------------
และไมเคิลก็ทำให้มอร์ฟิดด์ได้รู้ว่าเธอพิเศษแค่ไหน เพราะเธอคือ ‘คนสำคัญ’ ของ ‘บุคคลสำคัญ’ พวกเขาอาจไม่ได้เคารพนับถือหรือชื่นชมเธอเหมือนที่เป็นต่อไมเคิล แต่พวกเขาทำดีกับเธอ เกรงใจเธอ เพราะเธอเป็นคนพิเศษของไมเคิล แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่มอร์ฟิดด์เคยเจอหรือเป็นมาก่อน เธอไม่เคยมีความสำคัญกับใคร ใครต่อใครต่างก็เกลียดชังกระทั่งรังเกียจ แต่ไม่ใช่กับ ‘ไมเคิลและสาวกของเขา’
เพราะไมเคิล แลงดอน คือบุตรซาตานมาเกิด
มอร์ฟิดด์ยอมรับว่าเรื่องนี้ก็ยังยากเกินเชื่อสำหรับเธอ แม้ทุกอย่างที่ได้พบเผชิญจะทำให้เธอรู้ว่าโลกนี้มีสิ่งที่เกินความเข้าใจของมนุษย์ธรรมดาอยู่จริง กระนั้นเรื่องของบุตรซาตานก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเชื่อได้โดยง่าย เขาคือคนพิเศษ เรื่องนั้นแน่นอน เป็นความจริงเหมือนดั่งวัฏจักรของโลก ไม่มีคนธรรมดาที่ไหนช่วยเธอออกมาจากนรกภูมิ ฆ่าแม่ของเธอและทรมานซิสเตอร์จู๊ดโดยแทบไม่ต้องออกแรง กระทั่งพาเธอออกมาจากนรกที่เขาแผดเผาด้วยไฟโลกันตร์โดยไม่มีแม้รอยขีดข่วนได้
แต่ไม่ว่าไมเคิลจะเป็นอะไรอย่างที่ใครอยากเชื่อ สำหรับมอร์ฟิดด์ เขาเป็นยิ่งกว่าผู้มีพระคุณ คือผู้ช่วยชีวิต คือผู้ไถ่ คือคนที่มอร์ฟิดด์เคารพรักเหนือทุกสิ่ง เขาใจดีกับเธอ อ่อนโยนกับเธอ และเธอยินดีอุทิศตัวเพื่อเขาโดยไม่มีข้อแม้ แม้ว่าเขาจะไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเธอเลยก็ตาม กลับเป็นเธอเองด้วยซ้ำที่ได้รับอะไรมากมายจากเขาอย่างที่ไม่เคยมีใครให้เธอมาก่อนในชีวิตก่อน
“ฉันพิเศษตรงไหน” มอร์ฟิดด์ถามไมเคิลในวันหนึ่งตอนอยู่ด้วยกันที่ห้องทำงานของเขา ตอนนั้นเขานั่งเล่นแล็ปท็อปอยู่ที่โต๊ะ ส่วนเธอนอนเหยียดขาอ่านแมคเบธอยู่บนโซฟาตัวยาวข้างเตาผิงที่ไฟปะทุไม่เคยมอดดับ “ในเมื่อฉันไม่ใช่แม่มด ไม่ใช่ปีศาจ ไม่ใช่อะไรทั้งนั้น ฉันเป็นแค่คนธรรมดา แล้วทำไมคุณถึงบอกว่าฉัน...พิเศษ”
เด็กสาวลุกขึ้นนั่งแล้ว เธอพับปิดหนังสือวางลงบนตักที่อยู่ในท่าพับเพียบ มองหน้าสบตากับไมเคิลที่ละจากแล็ปท็อปมาเป็นเธอ แสงสว่างจากหน้าจอฉายฉาดไปยังใบหน้างดงามที่มอร์ฟิดด์เคยเปรียบเปรยว่าเหมือนกับเทวทูต มันดับไปเมื่อไมเคิลพับปิดหน้าจอ ก่อนเขาจะลุกมาหาด้วยท่าเดินที่เด็กสาวคุ้นเคยเป็นอย่างดี สองมือไขว้หลัง อกผายไหล่ผึ่งอย่างสง่างาม เหมาะสมควรคู่กับชายผู้มีสถานะสูงส่งอย่างเขา ไมเคิลหยุดฝีเท้าที่สวมรองเท้าหนังหัวแหลมสีแดงเข้มเป็นเงาขลับตรงหน้าเธอ เอามือซ้ายมาจับคางเธอให้เชิดมอง รอยยิ้มของเขาที่มีให้เธอนั้นแตกต่างจากที่มีให้คนอื่นเสมอ มันอบอุ่น อ่อนโยน จริงใจ และมอร์ฟิดด์คิดว่ามันถึงกับ...บริสุทธิ์
“คุณพิเศษสำหรับผม”
“ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” แน่นอนว่ามอร์ฟิดด์พอใจกับคำตอบที่ได้รับ การมีใครสักคนบอกว่าเธอเป็นคนพิเศษ โดยเฉพาะผู้ชายที่เป็นคนพิเศษของทุกคนอย่างไมเคิลนั้นเป็นยิ่งกว่าสุดปรารถนา แต่เธออยากได้รับคำตอบที่เจาะจงชี้ชัดกว่านี้ คำตอบที่จะเฉลยได้ว่าเหตุใดจึงเกิดเรื่อง ‘พวกนี้’ กับชีวิตของผู้หญิงธรรมดาอย่างเธอ
“คุณไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องพวกนั้น” ไมเคิลบอก “สิ่งเดียวที่สำคัญคืออนาคตข้างหน้า คุณจะเป็นผู้หญิงที่อยู่เคียงข้างผม เมื่อวันสิ้นโลกมาถึง”
“เมื่อวันสิ้นโลกมาถึง”
มอร์ฟิดด์ย้ำคำพูดของเขาดั่งหนึ่งมันคือถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์ เป็นคำร่ายเวทมนตร์คาถาของเธอเหมือนที่พวกวอร์ล็อกทำได้ และมันก็อาจมีฤทธาแท้จริง เมื่อไมเคิลโน้มตัวลงมาแตะริมฝีปากของเขาที่มุมปากของเธออย่างแผ่วเบาทว่าหนักแน่น
มอร์ฟิดด์ฝันร้าย
เธอไม่เคยฝันร้ายอีกเลยตั้งแต่ไมเคิลพากลับมา แต่ความฝันที่เธอกำลังเผชิญอยู่นี้ทำให้เธอรู้จักความกลัวได้อีกครั้ง มันฟุ้งไปด้วยกลิ่นไอของหายนะ ความตาย และความน่าสะพรึง
ในความฝัน มอร์ฟิดด์เดินไปตามโถงทางเดินของฮอว์ตอร์นที่เป็นสีส้มสลัว บ้างก็จากดวงไฟ บ้างก็จากไฟในเตาผิง หากไม่มีนาฬิกาก็ไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเป็นกลางวันหรือกลางคืน เพราะมันเป็นอาคารใต้ดิน ไม่มีหน้าต่างให้มองออกไปได้ มอร์ฟิดด์เดินเท้าเปล่าไปตามทางด้วยใจที่เต้นแรง รู้สึกเหมือนกับบางอย่างที่ไม่ดี...ไม่ดีมากๆ...กำลังรออยู่ เธอหยุดฝีเท้าหน้าประตูห้องนั่งเล่นที่เคยมาอยู่หลายครั้ง สังหรณ์น่ากลัวที่เธอรู้สึกเข้มข้นที่สุดเมื่อมาถึงตรงนี้ มอร์ฟิดด์รู้ได้ว่าสิ่งที่น่ากลัวมากๆรอเธออยู่ข้างในนั้น เธอยื่นมือไปจับที่บิดประตูก่อนกดมันลง เผลอหายใจแรงตอนที่แง้มประตูเปิดออก แต่เมื่อเข้าไปข้างในโดยปราศจากสุ้มเสียงอีก ภาพที่เห็นก็ทำให้มอร์ฟิดด์สะดุ้งอย่างแรง ริมฝีปากของเธออ้าค้างแต่ไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมา นรกได้ฝึกความอดทนที่จะไม่แหกปากให้เธอ ทว่าไม่อาจฝึกให้เธอรับมือหรือชินชากับความกลัวได้
ภาพของวอร์ล็อกนับสิบที่เธอรู้จักบ้างสนิทสนมรวมถึงเหล่าคณาจารย์ที่เธอเคารพยำเกรง ต่างกลายเป็นศพระเกะระกะ เลือดสีแดงเจิ่งนองอยู่ทั่วพื้น ไม่ใช่ ศพของพวกเขาไม่ได้สะเปะสะปะ แขนขาที่ถูกฉีกกระชากจากร่างเรียงกันเป็นวงกลมวงใหญ่ ข้างในคือศพที่ถูกจัดท่าให้เป็นตัวอักษร...เอ...
แอนตีไครสต์
อาจเป็นฝีมือของใครก็ได้ มอร์ฟิดด์คิดขณะก้าวไปตามทางเดินเพื่อจะขึ้นไปบนดิน มันไม่ใช่ไมเคิล ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาต้องฆ่าคนที่เทิดทูนเขา เขาจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร เด็กสาวเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา ทั้งเพราะเสียใจกับทุกคนที่ตายไป ทั้งเพราะทรมานใจเมื่อรู้ดีแก่ใจว่าไมเคิลเป็นคนเดียวที่ทำเรื่องนี้ได้
ทันทีที่พ้นจากแสงไฟสีส้มในอาคารใต้ดินมาเป็นบนดิน มอร์ฟิดด์ก็ต้องปรับสายตาให้เข้ากับแสงแดดที่ไม่ได้เห็นมานาน เธอแทบจะใช้ชีวิตกินนอนอยู่แต่ใต้ดินและมันไม่ได้แย่ เว้นแต่บางครั้งที่ไมเคิลอยากพาเธอไปหาเหล่าสาวกที่นับถือซาตาน...นับถือเขา แต่เขาก็จะพาเธอขึ้นมาเฉพาะตอนดึกเท่านั้น เหล่าสาวกของสมาคมประหลาดที่ดูน่ากลัวพิกลนั้นดูแลเธออย่างดีทุกครั้งในฐานะคนพิเศษของไมเคิล ถ้าเพียงแต่เธอจะเชื่อซะตั้งแต่ตอนนั้นว่าเขาคือบุตรของซาตานจริงๆ
แม้สายตาจะพร่าแดดอยู่บ้างหรือจะยังมีน้ำเอ่ออยู่ในตา มอร์ฟิดด์ก็มองเห็นภาพเบื้องหน้าได้ไม่ผิดเพี้ยน ซากศพมนุษย์กองพะเนินสุมกันเป็นภูเขา แต่ราวกับมันยังทำให้เธอพรั่นพรึงได้ไม่พอ เมื่อมอร์ฟิดด์เห็นคนที่ยืนอยู่ข้างบนสุดเหนือซากศพนั้น ราวกับพวกเขาไม่มีค่าอันใดนอกจากเป็นบันไดให้เหยียบ เป็นแค่ฐานมั่นคงที่รองรับความสูงส่งของเขา ไมเคิล แลงดอนอยู่ในชุดสีดำสนิททั้งตัว ผมสีทองสว่างเป็นประกายจากแสงอาทิตย์ เขากางแขนทั้งสองข้างออก แหงนเงยใบหน้าขึ้นไปบนฟ้า ขยับปากพูดอะไรออกมาเสียงดังด้วยภาษาที่เธอฟังไม่ออกหรือเพราะเขาอาจกำลังร่ายมนตร์ เหล่าสาวกในชุดคลุมสีดำมีฮู้ดคลุมศีรษะนั่งล้อมเป็นวงกลมอยู่รอบซากศพมนุษย์ที่มีไมเคิลเป็นจุดศูนย์กลาง ทุกคนก้มหน้า กุมมือ ประสานเสียงภาวนาพร้อมกันด้วยถ้อยคำภาษาที่มอร์ฟิดด์ไม่เข้าใจอีกเช่นกัน หากเมื่อมันผสมปนเปกันก็ฟังเหมือนบทเพลงสวดสุดสยองที่ทำให้ขนของมอร์ฟิดด์พร้อมใจกันลุกชัน เลือดในกายเย็นเยียบ เด็กสาวรู้สึกเหมือนมีสายลมเย็นจัดพัดกรรโชกรุนแรงทั้งที่อยู่กลางแดดจ้า
ไม่มีใครในที่นั้นรับรู้ถึงเธอที่ยืนแข็งทื่ออยู่ในมุมหนึ่ง แต่มอร์ฟิดด์ก็รู้เช่นกันว่าจะให้พวกเขาเห็นเธอไม่ได้...โดยเฉพาะไมเคิล เขาต้องไม่มีวันรู้กระทั่งว่าเธอมีความฝันนี้
บัดนี้มอร์ฟิดด์ได้เข้าใจถ้อยประโยคนั้นของเขากระจ่างแจ้งแล้ว มันไม่ใช่แค่การเปรียบเปรย มันคือความจริง
วันสิ้นโลกจะมาถึง และไมเคิลคือคนที่จะทำลายล้างโลกนี้
-------------------------------------------------------------------------
มอร์ฟิดด์ไม่ปรารถนาจะมองดูการตายของผู้คนนับล้านไม่ว่าด้วยน้ำมือของใครก็ตาม เพราะเธอไม่เคยคิดว่าจะถูกพากลับมามีชีวิตบนซากศพของมนุษยชาติ แต่เธอไม่อาจพูดเรื่องนี้กับใครได้ มันอันตรายกับพวกเขาเกินไป เพราะเธอแน่ใจว่าไมเคิลอ่านใจได้ ดังนั้นมอร์ฟิดด์จึงต้องพยายามเต็มที่ที่จะทำตัวเป็นปกติไม่ให้เขาล่วงรู้ความฝันนั้น และเด็กสาวแน่ใจว่าเธอทำมันได้ดีเยี่ยมเมื่อไมเคิลก็ยังปฏิบัติต่อเธออย่างดีเช่นเดิม ไม่ได้คลางแคลงอะไรในตัวเธอ เป็นเธอเองต่างหากที่ระแวงในตัวเขา มอร์ฟิดด์ไม่มีทางนับถือพระเจ้าจากเรื่องที่ต้องประสบมาทั้งชีวิต หากก็ไม่อาจนับถือซาตานได้เพราะไม่ยินดีบูชาความชั่วร้าย
มอร์ฟิดด์นับถือแค่เขา...แค่ไมเคิล แลงดอน
“จริงเหรอที่พ่อของคุณคือซาตาน” เด็กสาวถามเขาที่มาส่งเธอหน้าห้องนอนเหมือนทุกคืนหลังกลับจากการพบปะกับสาวกของเขาในคืนหนึ่ง “ฉันรู้ค่ะว่าคุณคือบางอย่างที่พิเศษ ฉันแค่ไม่คิดว่าคุณจะเป็นลูกของซาตานได้จริง เขามีจริงเหรอคะ ฉันไม่รู้เลยว่า...”
แต่เขาหยุดคำพูดของเธอด้วยการพูดแทรกเธอว่า “พ่อผมให้คุณได้ทุกอย่าง บอกมาสิว่าคุณต้องการอะไร” ไมเคิลเน้นที่คำว่า ‘ทุกอย่าง’ ราวกับจะย้ำเตือนว่าแม้แต่โลกนี้เขาก็เอามาให้ได้ และมอร์ฟิดด์รู้ว่าเขาทำได้จริง
“หนึ่งวันค่ะ ฉันอยากออกไปเที่ยวคนเดียวข้างนอกหนึ่งวัน โดยไม่มีใครคอยตาม ไม่ว่าจะพวกวอร์ล็อก สาวก หรือว่าคุณ”
ไมเคิลหัวเราะออกมากับคำขอที่แสนง่ายดายนั้น
มอร์ฟิดด์ขอไมเคิลแบบนั้นเพราะเธอจะหาทางหนีไปให้พ้นจากเขา ด้วยรู้ว่าตัวเองไม่มีทางหยุดยั้งไม่ว่าอะไรก็ตามที่ไมเคิลกำลังจะทำ เธอก็แค่คนธรรมดา อย่าว่าแต่วอร์ล็อกเลย จะให้เธอไปสู้รบปรบมือกับบุตรของซาตานได้ยังไง ใครบนโลกนี้จะต่อกรกับผู้ชายที่พาเธอออกมาจากนรกได้ แต่ทั้งที่รู้ว่าจะเกิดหายนะร้ายแรงครั้งใหญ่ มอร์ฟิดด์กลับเลือกที่จะหนีไปคนเดียว ไม่แม้กระทั่งจะปริปากเตือนหรือบอกเรื่องนี้กับใคร เพราะเธอไม่ใช่แม่พระ เธอช่วยใครไม่ได้ เธอก็แค่คนขี้ขลาดที่เห็นแก่ตัว
สิบห้าวันหลังจากคืนนั้น มอร์ฟิดด์ก็บอกไมเคิลว่าอยากทำตามที่ขอ เขาอนุญาตด้วยความเต็มใจ ไมเคิลดีกับเธอมากเสียจนเธอเกือบเปลี่ยนใจ แต่อย่างไรเธอก็จะใจอ่อนไม่ได้ สิ่งที่ซ่อนอยู่ใต้รอยยิ้มอ่อนโยนและใบหน้าหล่อเหลาที่นรกสร้างคือมหันตภัยร้ายแรงที่สุดของมวลมนุษยชาติ และมอร์ฟิดด์ไม่ต้องการจะมีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ไม่ว่าทางนี้หรือทางไหน เด็กสาวสำนึกบุญคุณไมเคิลไม่มีวันลืมเลือน ขอบคุณเขาอยู่ทุกลมหายใจเข้าออกที่ให้ชีวิตใหม่กับเธอ และมอร์ฟิดด์รู้ว่าตัวเองไม่มีทางตอบแทนเขาได้แม้แค่เศษเสี้ยว แต่เธอไม่อาจอยู่กับคนที่จะทำลายล้างโลกและเปลี่ยนมันเป็นกลียุคได้ เธอแอบเล่นแล็ปท็อปของไมเคิลตอนที่เขาออกไปทำธุระข้างนอกเพื่อค้นหาสถานที่ที่จะช่วยให้เธอหลบซ่อนจากเขาได้ แน่นอนว่าเธอไม่ลืมลบประวัติการค้นหาในบราวเซอร์จนเกลี้ยง แล้วเธอก็เจอ
มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างถึง ‘บ้านฆาตกรรม’ บ้านเฮี้ยนที่เต็มไปด้วยมรณกรรม การฆาตกรรมที่หาตัวฆาตกรไม่ได้ และวิญญาณติดที่ที่ถูกจองจำ ข่าวลือเล่าว่ามันตั้งอยู่บนปากทางนรก หากตายในบ้านนั้น วิญญาณจะถูกกักขังอยู่ในนั้นตลอดกาล มันอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากฮอว์ตอร์น สังหรณ์บางอย่างในตัวฟ้องว่าถ้าเธอไปถึงบ้านหลังนั้นได้ เธอจะปลอดภัยจากไมเคิล เขาจะหาเธอไม่เจอ ไมเคิลจะไม่รู้เรื่องเธอ และเธอก็จะไม่ได้รู้เรื่องเขาอีก
บ้านฆาตกรรมดูเก่าคร่าคร่ำครึ ไม่ใช่แค่เพราะมันตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นมานานนับร้อยปีแต่ยังเพราะขาดการดูแลรักษามานานหลายปีด้วยเช่นกัน กิ่งไม้รกเรื้อเลื้อยขดอยู่ที่รั้วประตู สนามหน้าบ้านกว้างขวางแต่ต้นไม้ใบหญ้าแห้งกรอบเป็นสีน้ำตาลจืดชืดที่ไร้ชีวิตชีวา บ้านอิฐสีแดงสามชั้นใหญ่โตโอ่โถง มองเห็นหน้าต่างจากภายนอกมากมายหลายบาน หากบ้านหลังนี้ยังได้รับการดูแลอย่างดีก็จะเป็นบ้านในฝันของใครหลายคนได้ เพราะขนาดถูกทิ้งให้รกร้างก็ยังเผยความงดงามที่แฝงอยู่ให้เห็น
ทันทีที่เข้าไปในตัวบ้าน มอร์ฟิดด์ก็รู้สึกถึงความเย็นที่แตกต่างจากอากาศร้อนข้างนอก หาใช่ความเย็นยะเยือกแบบที่ทำให้เธอกลัว แต่เป็นความเย็นที่อุ่นสบายเหมือนลมแรกที่มาเยือนหลังจากฤดูร้อนอันแสนอบอ้าว ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตใดๆในบ้าน แต่มอร์ฟิดด์รู้ว่าพวกเขา...วิญญาณหลายดวง...อยู่ในนี้ ฝีเท้าพาเธอก้าวไปยังที่ที่เธอรู้ว่าต้องไป มอร์ฟิดด์คิดว่ามันน่าจะเป็นหนึ่งในห้องรับแขก เธอนั่งลงบนโซฟาตัวยาวที่อยู่กลางห้อง มองดูขวดน้ำยาล้างห้องน้ำที่แวะซื้อมาและกำไว้ในมือแน่น เธอเคยถูกเผาจนตายมาแล้ว เธอผ่านเรื่องทรมานที่สุดมาแล้ว แค่อีกสักครั้งจะเป็นไรไป ถึงตายเธอก็จะไม่ได้ไปนรกโรงเรียนประจำอีก วิญญาณของเธอจะติดอยู่ในบ้านหลังนี้ และมอร์ฟิดด์คิดว่าเธออยู่กับความจริงข้อนั้นได้
มอร์ฟิดด์บิดฝาเปิด เรียกความแน่ใจครั้งสุดท้ายด้วยการนึกถึงศพของวอร์ล็อกที่ถูกนำไปบูชายัญแด่แอนตีไครสต์ นึกถึงซากศพของมนุษย์ที่ไมเคิลเหยียบย่ำขึ้นไป ความจริงข้อนั้นต่างหากที่เธอทนอยู่ไม่ได้ เธอกรอกน้ำยาล้างห้องน้ำเข้าปาก มันขม กลิ่นสารเคมีอวลอยู่ทั่วปากจนขึ้นจมูก เธอสำลัก แต่เธอจะไม่สำรอก เพราะเธอต้องการจะตาย แต่เรื่องนั้นจะตามมาทีหลัง ไม่จนกว่ามันจะเริ่มออกฤทธิ์กัดปาก ลิ้น ลำคอ แผดเผาอวัยวะภายใน ขวดน้ำยาล้างห้องน้ำหลุดจากมือ ร่างของเธอไหลลงจากโซฟาไปดิ้นพราดกับพื้นห้อง มันทรมานจนแดดิ้น แต่ความตายที่รออยู่จะเป็นความตายที่เธอถวิลหา
วิญญาณของเธอจะถูกกักไว้ในบ้านหลังนี้ ไมเคิลจะหาเธอไม่เจอ เธอจะอยู่ในบ้านหลังนี้อย่างสงบกับวิญญาณดวงอื่นจนถึงวันสิ้นโลก
-------------------------------------------------------------------------
วิญญาณดวงแรกที่มอร์ฟิดด์ได้พบในวินาทีที่เปิดตาขึ้นก็คือเด็กหนุ่มผมทองที่ก้มมองเธอบนพื้นห้อง ชีวิตเธอคงสิ้นหวังสุดขีดถึงเลือกจะมาตายที่บ้านหลังนี้ เขาพูดขณะยื่นมือให้เธอจับเพื่อดึงตัวขึ้นนั่ง มอร์ฟิดด์เอ่ยขอบคุณก่อนแนะนำตัวกับเขา เขาแนะนำตัวกลับ
“ผมเทต แลงดอน”
นามสกุลที่ทำให้เด็กสาวเผลอกระตุกมือที่จับอยู่ เขาเองก็ตกใจกับปฏิกิริยาของเธอ แต่เมื่อเธอบอกว่าตื่นเต้นกับความตายมากไปหน่อย เขาก็ไม่ติดใจจะถามอะไรอีก
เทตเป็นเพื่อนคนแรกของเธอในบ้านหลังนี้ เด็กหนุ่มผู้มีความรักข้างเดียวอันน่าเศร้ากับเด็กสาวที่ดวงวิญญาณก็ติดอยู่ในบ้านนี้ พวกเขามีช่วงเวลานิรันดร์...ทุกเวลาบนโลก แต่เธอไม่ยอมพูดกับเขาแม้แต่คำเดียว มีแต่ความเกลียดชังเขาหมดทั้งใจ เบน ฮาร์มอน คืออีกคนหนึ่งที่ช่วยให้มอร์ฟิดด์ปรับตัวเข้ากับชีวิตที่นี่ได้ เขาเป็นพ่อของผู้หญิงที่เทตรักและเป็นผู้ให้คำปรึกษาแก่วิญญาณที่ต้องการคำปรึกษา มอร์ฟิดด์ได้รู้ว่าดวงวิญญาณของภรรยาเขาก็อยู่ในบ้านนี้แต่ไม่ยอมพบหน้าพูดคุยกับเขาอีกต่อไป น่าเศร้าที่ดวงวิญญาณในบ้านหลังนี้ดูจะมีชีวิตหลังความตายที่แสนเศร้าสร้อย
แม้จะขลุกขลักอยู่บ้างในช่วงแรกแต่มันก็เป็นไปอย่างสงบราบรื่นด้วยดี การต้องติดแหง็กอยู่แต่ในอาณาเขตจำกัด ออกไปไหนมาไหนไม่ได้นั้นไม่ได้น่าเบื่อ มอร์ฟิดด์จะไปคุยกับเบนวันละหนึ่งชั่วโมง บอกเล่าเรื่องราวในช่วงชีวิตก่อนให้เขาฟัง แต่ไม่ได้พูดอะไรถึงเรื่องนรก วอร์ล็อก วันสิ้นโลก หรือไมเคิล เพราะเธอยังไม่พร้อมที่จะพูดมัน แล้วก็ใช้เวลาส่วนใหญ่กับเทตในแบบเพื่อน แต่ก็มีหลายครั้งโดยเฉพาะเมื่อความมืดมาเยือนที่เธอจะหวนกลับไปนึกถึงไมเคิล เธอรักเขา เขาเป็นรักแรกของเธอ แต่เรื่องที่เขาเป็นแอนตีไครสต์ เป็นผู้ทำลายล้างโลก เรื่องนั้นมันมากเกินไป มอร์ฟิดด์เก่งเรื่องหลอกตัวเองอยู่แล้ว เธอจะขอจดจำไมเคิลแต่ในแบบที่ดี ปิดหูปิดตาไม่รับรู้อะไรอีกต่อไป แม้กระทั่งหายนะของมนุษยชาติก็ตาม
เป็นบ่ายที่เท่าไหร่ไม่รู้ในบ้านฆาตกรรมของมอร์ฟิดด์ เมื่อเวลาเป็นนิรันดร์ก็ไม่มีความจำเป็นต้องนับมันอีก เธอกับเทตนั่งเล่นไพ่ด้วยกันบนพื้นห้องนอนของเขา หากเมื่อเล่นไปได้ราวสิบตา ฝนก็ตกหนักจากฟ้าที่มืดครึ้มมาตั้งแต่เช้า พวกเขาไม่มีกะจิตกะใจจะเล่นมันอีกและเห็นพ้องว่าการยืนคุยกันข้างหน้าต่างท่ามกลางเสียงฝนเป็นความคิดที่เข้าท่ามากกว่า ในตอนที่บทสนทนาเรื่อยเปื่อยของพวกเขากลายเป็นเรื่องวันสิ้นโลก มอร์ฟิดด์ก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า...หรือวันสิ้นโลกที่ไมเคิลสร้างจะมาถึงแล้ว เป็นครั้งแรกที่เธอคิดจะพูดถึงมัน แต่ไม่ทันได้เริ่ม เสียงกระแทกฝีเท้าที่ดังขนาดแทรกเสียงฝนตกหนักได้ก็ทำให้คนทั้งคู่ต้องหันมอง
มอร์ฟิดด์ตัวชาวาบ พลันรู้สึกเย็นเยือกเหมือนอุณหภูมิห้องกลายเป็นติดลบ และไม่ใช่เพราะฝนหรืออากาศเย็นภายนอกแต่เป็นความกลัวที่มาจากภายใน ความกลัวที่ทำให้วิญญาณของเธอประหวั่น ทำให้เลือดที่ยังไหลเวียนในกายจับตัวเป็นก้อน และมันเป็นเพราะคนที่กำลังเดินตรงมาทางพวกเธอ
“ไมเคิล...”
ชื่อของเขาที่เธอพึมพำออกมานั้นฟังแปลกแปร่งเหมือนไม่ใช่ภาษาที่เธอคุ้นเคย เธอไม่ได้พูดชื่อของเขามานานแสนนานจนรู้สึกเหมือนมันเป็นคำต้องห้าม
ไมเคิลอยู่ในท่าที่เด็กสาวคุ้นเคยดีคือเชิดหน้า เอามือไขว้หลัง ใบหน้างดงามที่นรกบรรจงสร้างก็ยังเหมือนครั้งสุดท้ายที่เธอจำได้ ราวเธอกับเขาเพิ่งเจอกันเมื่อวาน ไม่ได้ยาวนานอย่างที่เป็น รองเท้าหัวแหลมสีแดงของไมเคิลหยุดห่างหน้ารองเท้าหัวทู่ของเธอแค่ไม่กี่เมตร
“แกมาได้ยังไง! แกมาทำไม!” ไม่ใช่มอร์ฟิดด์หรือไมเคิลที่เริ่มพูด ทว่าเป็นเทต เขาพุ่งร่างกระโจนเข้าหาไมเคิล แต่หมัดที่กำไว้กลับค้างอยู่แค่คืบก่อนถึงใบหน้าอันเป็นเป้าหมายราวกับมีบาร์เรียร์กั้นขวางโดยที่ไมเคิลไม่ได้ขยับตัวทำอะไรเลย
“ผมไม่ได้มีธุระกับคุณ...พ่อ” ไมเคิลเน้นย้ำที่คำสุดท้ายนั้น ก่อนร่างของเทตจะกระเด็นไปกระแทกกับผนังอย่างแรงจนสติหลุดลอยไป ผู้มาเยือนไม่ได้ให้ความสนใจกับเทตอีก ความสนใจทั้งหมดทั้งมวลของเขากลับมาเป็นมอร์ฟิดด์ที่ตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่น ทั้งยังสับสนที่เขาเรียกเทตว่าพ่อ...เทตที่ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับความชั่วร้ายแม้แต่นิดเดียว แต่เหนือสิ่งอื่นใด สัญชาตญาณสั่งให้มอร์ฟิดด์หนี แต่เธอก็รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เธอไม่มีวันหนีเขาพ้น
“ทำไมคุณถึงไม่กลับมา” เขาถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลที่เธอเคยรักจะฟัง แต่ใบหน้าของเขาไม่ได้อ่อนโยนอีกต่อไป มันฟ้องว่าเขาผิดหวังอย่างรุนแรงและสายตาของเขาก็รวดร้าวเหมือนคนที่เจ็บปวดอย่างมาก ก่อนจะตะโกนออกมาให้เด็กสาวต้องสะดุ้งเฮือก
“ทำไมคุณถึงหนีไป!!!”
มอร์ฟิดด์กลัวจัดจนร้องไห้ออกมา เขาก็ร้องไห้เช่นกัน
“ผมช่วยคุณออกมาจากนรก ผมบอกว่าคุณเป็นคนพิเศษ แล้วทำไมคุณถึงทิ้งผมมาอยู่ที่บ้านหลังนี้...บ้านเก่าของผม...ที่สุดท้ายที่ผมจะมองหา คุณยอมตายเพื่อจะได้อยู่ที่บ้านหลังนี้ตลอดกาล ทำไม!”
มอร์ฟิดด์ไม่รู้ เธอไม่เคยเอะใจแม้แต่นิดเดียวว่าบ้านหลังนี้จะมีความเชื่อมโยงกับไมเคิล แลงดอน ไม่เคยคิดแม้สักวินาทีเดียวว่าเทต แลงดอนจะมีความเกี่ยวพันกับเขาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะอย่างนั้นหรือเปล่า พลังงานบางอย่างถึงดึงดูดเธอให้มาที่บ้านหลังนี้ บ้านที่ช่วยอำพรางเธอจากเขาได้ แม้สุดท้ายพลังของมันก็ไม่อาจเหนือกว่าอำนาจของไมเคิล
“ไมเคิล ขอร้องล่ะ ขอฉันอยู่ที่นี่” เธออ้อนวอนอย่างคนสิ้นหวัง “ฉันทนเห็นวันสิ้นโลกไม่ได้ ฉันทนเห็นคุณทำมันไม่ได้”
นัยน์ตาของไมเคิลไหววูบ ไม่ใช่เพราะน้ำตาแต่เพราะคำพูดของเธอ คำพูดที่เหมือนเธอรู้ทุกอย่าง เขาจ้องลึกเข้าไปในตาเธอ เจาะมันเข้าไปจนเจอห้องนิรภัยที่เธอเก็บทุกความคิดไว้ ไมเคิลเปิดมันเข้าไป มองดูภาพที่มอร์ฟิดด์ซุกซ่อนไว้ในส่วนลึกสุด—ภาพที่เธอเห็นในความฝัน ดวงตาของเขาสั่นระริก ริมฝีปากขยับราวกับต้องการพูดบางอย่างถึงมัน แต่ที่สุดก็พูดออกมาแค่เพียงว่า
“ผมไม่มีวันทำร้ายคุณ”
“แต่คุณจะทำร้ายมนุษยชาติเป็นล้าน”
“เพื่อสิ่งที่ดีที่สุด”
“แบบนั้นฉันก็ทนอยู่กับคุณไม่ได้”
ก่อนวินาทีถัดมา มอร์ฟิดด์ต้องกรีดเสียงลั่นเพราะความเจ็บปวดอันไม่รู้ที่มา มันทำให้เธอล้มลงไปยืนด้วยเข่าและสองมือ เทตที่ได้สติคืนมาจากเสียงของเธอรีบคลานเข้ามาหา มองเห็นแผลขีดเป็นทางยาวลากผ่านแผ่นหลังจากข้างหนึ่งไปถึงอีกข้างหนึ่งจนเสื้อยืดสีขาวขาดวิ่น เลือดไหลออกมาจากปากแผลที่ยาวและลึก เทตทำได้เพียงช่วยประคองตัวเธอที่ทรมานจากบาดแผลไว้ พร้อมกันนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองไมเคิลที่เหลือบตามองพวกเขาในตำแหน่งที่ด้อยกว่าด้วยใบหน้าเย็นชา น้ำตายังไหลอาบแก้มเขา
“หยุดเดี๋ยวนี้! ไม่ว่ามันจะเป็นอะไร หยุดสิ่งที่แกทำอยู่เดี๋ยวนี้!” เทตตะคอก แทรกไปกับเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเธอ
“พ่อหมายถึง...นี่เหรอ”
แล้วมอร์ฟิดด์ก็ต้องกรีดร้องออกมาอีกครั้ง จากรอยขีดอีกรอยที่ขนานไปกับรอยแรก มอบความเจ็บปวดทบทวีให้
“ไมเคิล!! ฉันบอกให้แกหยุด!!!” เทตตะโกนลั่น หากก็หาได้ทำให้ผู้เหนือกว่าสะเทือนแต่อย่างใด
“ชื่นใจจังที่ได้เห็นพ่อเป็นห่วงคนอื่น ไม่ใช่ลูกอย่างผม” ไมเคิลกรีดยิ้มเย็น
คราวนี้มอร์ฟิดด์กรีดร้องดังลั่นที่สุด ดิ้นพล่านหลุดจากมือของเทตเพราะรอยขีดที่สาม หนนี้มันลากอย่างเชื่องช้าแต่หนักแน่นมั่นคงราวกับต้องการให้เธอซึมซับถึงมันทุกขณะจิต มันเป็นบาดแผลที่เจ็บที่สุดที่เด็กสาวเคยรู้สึกไม่ว่าจะช่วงชีวิตไหน เจ็บยิ่งกว่าไม้ที่ซิสเตอร์จู๊ดกับแม่เฆี่ยนตีนับล้านครั้ง ปวดแสบยิ่งกว่าตอนถูกไฟคลอก ทรมานไปถึงอวัยวะภายในมากกว่าตอนที่เธอดื่มน้ำยาล้างห้องน้ำ ไมเคิลรู้ทุกความเจ็บปวดนั้นของเธอและทารุณเธออย่างเหี้ยมโหดมากกว่านั้น เป็นการลงทัณฑ์เธอ...คนทรยศ
เทตทนอยู่เฉยไม่ได้อีกต่อไป เขาพรวดร่างขึ้นพร้อมกับความพยายามครั้งที่สองที่จะต่อยหน้าไมเคิล แน่นอนว่าเป็นอีกครั้งที่เสียเปล่า แต่คราวนี้มันไม่ได้จบที่ร่างเขากระแทกติดผนัง ทว่าเกิดเปลวเพลิงขึ้นเป็นวงรอบตัว ลามเลียไปทั่วร่างดั่งหนึ่งต้องการแผดเผาให้สูญสิ้นแม้ดวงวิญญาณบริสุทธิ์
“ไม่!! อย่า! ไมเคิล! หยุด!! ขอร้อง! เทตไม่เกี่ยวอะไรด้วย! ทำร้ายแค่ฉันก็พอ!” มอร์ฟิดด์คลานเข้าไปหาไมเคิล มือจับข้อเท้าของเขา หัวก้มแนบกับรองเท้าหนัง ขณะที่ปากก็พร่ำวิงวอนขอความเมตตา เขาเป็นผู้เดียวที่ทำได้และเป็นผู้เดียวที่หยุดได้
กระทั่งมีใครอีกคนเข้ามาร่วมฉากน่าสะพรึงระคนน่าสมเพชในห้องนอนของเทต เบนเข้ามากระชากตัวเด็กหนุ่มออกจากเปลวเพลิง ช่วยชีวิตคนที่แทบหมดเรี่ยวแรงไว้ได้ทัน มอร์ฟิดด์ปล่อยมือจากข้อเท้าของไมเคิล เอามันมาเช็ดน้ำตาที่ไม่มีทีท่าว่าจะหยุด
“ไมเคิล! พอได้แล้ว! ออกไปจากบ้านนี้ซะ!!” เบนหันไปพูดกับคนที่ย่อตัวลงตรงหน้าผู้หญิงคนเดียวในห้องนี้
ดวงตาคมของไมเคิลตวัดมองเทต เบน แล้วก็มอร์ฟิดด์ ด้วยสีหน้าเรียบนิ่งทว่ากรีดแทง ทุกคนในห้องนี้ล้วนเคยทำให้เขาผิดหวัง “กลับไปกับฉัน ก่อนที่ฉันจะฆ่าวิญญาณทุกดวงในบ้านหลังนี้” ไมเคิลจับคางมอร์ฟิดด์ให้เชิดมองหน้าเขา น้ำเสียงที่พูดกับเธอมีเพียงเจตนาเดียวคือออกคำสั่ง
มีแค่คำตอบเดียวเท่านั้นที่เธอทำได้ มอร์ฟิดด์เอ่ยขอบคุณและขอโทษเบนกับเทตที่พยายามจะรั้งเธอไว้ก่อนเดินตามไมเคิลออกไป หนนี้มือที่เอาไปไขว้หลังของเขาไม่ช่วยประคองเธออีก แม้จะรู้ว่าบาดแผลที่ได้รับทำให้เธอแทบยืนไม่ไหว แต่เธอก็ทำได้เพียงเดินงุ้มตัวร้องไห้ตามเขาไปโดยไม่อาจอุทธรณ์อะไรได้
-------------------------------------------------------------------------
แผลสามขีดของมอร์ฟิดด์หลงเหลือเป็นรอยแผลใหญ่ที่หลัง แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะจบ ทุกค่ำคืนที่เป็นเวลาเส้นตรงสามขีด 1.11 เลือดจะหลั่งรินจากแผลเป็นของเธอและความเจ็บปวดในคราวนั้นก็จะกลับมา กระบวนการลงทัณฑ์จะกินเวลาราวหนึ่งชั่วโมง มอร์ฟิดด์จะได้แต่กรีดร้อง ดิ้นทุรนทุราย ทรมานกับความเจ็บปวดที่ไม่ต่างอะไรกับการตกนรก ไมเคิลจะนั่งไขว่ห้างอยู่ที่เก้าอี้โยกในมุมหนึ่งของห้องนอนของเธอ จับจ้องมองดูเธอพร้อมมุมปากที่ยกเป็นรอยยิ้ม เหมือนเธอเป็นสิ่งบันเทิงใจในทุกค่ำคืนสำหรับเขา เป็นรายการโปรดของเขา แม้เขาจะทำดีกับเธอเหมือนที่เป็นมาตั้งแต่กลับมาที่ฮอว์ตอร์น แต่ช่วงเวลานี้เป็นข้อยกเว้น
ช่วงเวลาที่เขาไม่ต้องถอดหน้ากากแห่งความชั่วร้ายต่อหน้าเธออีก
เป็นบ่ายที่มอร์ฟิดด์กำลังนั่งอ่านหนังสือในห้องทำงานของไมเคิลเหมือนเช่นเคย เมื่อปุบปับเจ้าของห้องก็เปิดประตูเข้ามาหา ใบหน้ามีรอยยิ้มกว้าง ก่อนจะฉวยคว้าข้อมือเธอให้ไปกับเขา พูดแค่เพียงว่า “ผมรอให้คุณได้เห็นมานานแล้ว”
ระหว่างเดินไปตามทาง มอร์ฟิดด์ก็พบว่าวันนี้โรงเรียนฮอว์ตอร์นเงียบผิดปกติ เธอไม่เห็นวี่แววของวอร์ล็อกแม้แต่คนเดียว พวกเขาไปไหนกัน เธอไม่ได้รับรู้ความเป็นไปภายนอกเพราะไมเคิลให้เธออยู่แต่ในห้องทำงานของเขาตลอดทั้งเช้า โดยที่ก็ไม่ได้บอกเธอเช่นกันว่าเขาออกไปทำธุระอะไรตลอดเวลานั้น ไมเคิลพาเธอขึ้นไปข้างบน เด็กสาวไม่ได้เห็นแสงตะวันอีกเลยนับตั้งแต่เขาพาเธอกลับมาจากบ้านฆาตกรรม แต่มันไม่ได้ทำให้ตาเธอพร่าอย่างที่คิดว่าน่าจะเป็น เมื่อตอนนี้ท้องฟ้ามืดครึ้มทั้งที่เป็นยามบ่าย ลมพัดกรรโชกแรง และมอร์ฟิดด์รู้ได้ในทันทีว่ามันคืออะไร
“วันสิ้นโลก” เด็กสาวพึมพำออกมา ไมเคิลหันมายิ้มให้มอร์ฟิดด์ที่ยืนเคียงคู่เขาข้างกำแพงโดดเดี่ยวสูงตระหง่านซึ่งเป็นทางเข้าโรงเรียนใต้ดิน ก่อนหันกลับไปมองภาพข้างหน้า เขาพูดว่า “อีกแป๊บนึง รออีกแป๊บนึง แล้วคุณจะได้เห็นภาพที่สวยงามที่สุด”
มือของมอร์ฟิดด์ที่ไมเคิลกอบกุมไว้กำลังสั่น เด็กสาวไม่รู้เลยว่าวันสิ้นโลกของเขาจะมาในรูปแบบไหน การที่เธอไม่เจอวอร์ล็อกคนใดในฮอว์ตอร์นก็เพราะไมเคิลสังเวยพวกเขาเหมือนในความฝันไปแล้วใช่มั้ย แอนตีไครสต์รับรู้ถึงมือที่สั่นของเธอ หรือไม่ก็รับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในหัวเธอ เขาจึงกุมมันไว้แน่นกว่าเดิม อาจเพื่อให้เธอหายสั่น หรือต้องการให้เธอมั่นใจในตัวเขา มอร์ฟิดด์ไม่รู้ เธอได้แต่ยืนนิ่งมองดูภาพตรงหน้าเหมือนเขา น้ำตาไหลอาบแก้มเงียบเชียบ
อึดใจใหญ่ที่เงียบงันและยาวนานจนท้องบิดมวน มอร์ฟิดด์ก็มองเห็นบางอย่างบนฟ้ากำลังพุ่งตรงมายังพื้นโลก เธอถามเขาด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “ม...มัน...อะไร”
ไมเคิลไม่ได้ตอบคำถามนั้นในทันที มอร์ฟิดด์เห็นเขาเชิดหน้ามองดูมันด้วยรอยยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจ ก่อนพริบตาต่อมาเด็กสาวจะได้เห็นการระเบิดกับตาตัวเอง ระเบิดขีปนาวุธ! เขาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น แรงสะเทือนเลือนลั่นมาถึงบริเวณที่มอร์ฟิดด์กับไมเคิลยืนอยู่ ระเบิดกัมปนาทที่ควรจะฉีกพวกเธอเป็นชิ้น หรือไม่อย่างนั้นก็คงต้องทนทุกข์ทรมานจากเชื้อกัมมันตรังสีที่แผ่ออกมาในปริมาณมหาศาล ทว่ามอร์ฟิดด์กับไมเคิลกลับได้แต่ยืนบีบมือที่กุมกันแน่น จับจ้องมองดูหายนะสีส้มที่สะท้อนอยู่ในตาราวกับแค่มองดูภาพการระเบิดจากวงนอก
ระเบิดปรมาณูจากมิสไซล์ที่กำลังทำลายโลกจนพินาศอาจไม่ได้มาจากน้ำมือของไมเคิล แต่มอร์ฟิดด์รู้ว่ามันมาจากการควบคุมอยู่เบื้องหลังของเขา
“ผมบอกแล้วใช่มั้ย ว่าคุณจะอยู่เคียงข้างผมเมื่อวันสิ้นโลกมาถึง” ไมเคิลหันไปหามอร์ฟิดด์ที่มองเขาอยู่ก่อนแล้ว รอยยิ้มอ่อนโยนปรากฏบนใบหน้าของเขาที่เอานิ้วโป้งมาเกลี่ยเช็ดน้ำตาให้เธออย่างนุ่มนวล
มอร์ฟิดด์ไม่รู้จริงๆว่าตอนนี้เธอรู้สึกยังไง หายนะวันสิ้นโลกปรากฎอยู่ต่อหน้า และเธอคือมนุษย์หยิบมือเดียวที่เหลือรอด...ยืนอยู่เคียงข้างบุตรแห่งซาตาน
“และที่นี่ก็คือด่านที่สาม” ไมเคิลบอกเธอ “ที่มีแค่คุณกับผม”
ท อ ล์ ค เ ก่ า ฮ่ ะ :p
- เราอยากrecommendเพลงที่เอามาใส่ในตอนนี้มากกก มันเป็นเพลงที่เรารู้จักเพราะinsertในซีรีส์ที่เรารักมากเรื่อง The Handmaid's Tale (season 2) จนกลายเป็นเพลงที่เราโคตรรัก และอยากเอามาใส่ในฟิคอยู่นานแล้ว พอแต่งเรื่องนี้ก็คือเหมาะเจาะลงตัวทุกอย่าง (แฮนด์เมดส์เทลss3อาทิตย์หน้าจะเป็นตอนfinaleแล้วนะก๊ะ เราลุ้นมาก T_T)
- กระทั่งตอนนี้ เราก็ยังไม่อยากเชื่อว่ามันจะเป็นฟิคที่เราแต่งและเกลาได้ไหลลื่นมากทั้งภาคต้นและภาคจบ ขนาดที่มันยาวถึงหกพันคำจนเราไม่รู้ตัว หรือมันจะเป็นแนวเราจริง @_@ แต่เรื่องหนึ่งที่เราแน่ใจคือเค้าเป็นตัวละครที่เราแต่งแล้วชอบมากและสนุกมากจริงนะ :D แม้เราจะไม่ชอบชื่อนามสกุลเลยก็เถอะ...
- ตอนที่แต่งเรื่องนี้ บังเอิญมากที่เราเปิดดูรายการParanormal Survivor แล้วมีการพูดถึงtrinity(ตรีเอกภาพ)พอดี ว่าพวกซาตานจะทำรอยสามรอยที่ตัวมนุษย์เพื่อเย้ยอำนาจของพระเจ้า ไอเดียนี้เลยปิ๊งแว้บมาและกลายมาเป็นฉากหนึ่งที่เราชอบมาก (แต่งเองชมเอง) ต้องก้มกราบขอบคุณอย่างสูงค่ะ OJL
- เดิมบทนางเอกเราวางให้เป็น powerful witch ที่ชาติก่อนโดนยายนางเอกจับเผาเลยอาฆาตทั้งตระกูล แต่สุดท้ายก็คิดว่าไม่เจาะจงว่าเป็นแม่มดดีกว่า เพราะไม่อย่างนั้นก็ต้องเอาเรื่องแม่มดมาเอี่ยวอีก แล้วมันจะยืดยาวไปอีกมาก (แต่ที่จริงเราชอบเรื่องพวกนางนะ เรื่องวอร์ล็อกก็ด้วย T_T) แต่นางเอกก็ยังมีพลังเก่าติดตัวมา อย่างสังหรณ์ หรือกั้นความคิด (แต่ถามว่าพิเศษกับไมเคิลยังไง...ก็คือรู้ว่าพิเศษก็พอ TvT) ส่วนเรื่องของไมเคิลกับเทตก็คือไมเคิลแค่อาศัยคนมาเกิด แต่เป็นลูกซาตานจริงจ้า
- เป็นฟิคที่โคตรผิดวิสัยเรามาก ไม่มีความรักความใคร่อะไรไม่ว่ากับใครทั้งนั้น แม้แต่ฉากจูบก็ไม่มี! อ๊ากกก Orz ความจริงเราตั้งใจจะให้ไมเคิลลุ่มหลงในตัวนางเอกจริง แต่เผอิญหลงไปอ่านฝรั่งคุยกัน แล้วเค้าพูดว่าที่จริงจิตใจของไมเคิลก็แค่เด็กแปดเก้าขวบนะ(โว้ย อย่าคิดบาป!) แล้วความคิดนั้นมันก็ดันหลอนอยู่ในหัวเราจนบาปไม่ลง เลยวางบทไมเคิลให้เป็นเด็กขี้หวงแทน...ก็ได้วะ T-T (แต่ถามว่ายังคิดบาปกับไมเคิลอยู่มั้ย ก็คิดอยู่ทุกวันล่ะนะ...)
- สารภาพตรงนี้ว่า...เทตเป็นรักแรกของเราในAHS แต่ตอนนี้คงต้องบอกว่าขอโทษนะคะ ขอชอบลูกตะเองแทนนะ อะฮิฮิ T v T)v
ความคิดเห็น