คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ♀ TOM (or) BOY ♂ - 11
♀ TOM (or) BOY ♂
11
อ้อมแขนหนาที่โผเข้าโอบร่างของเขาไว้สวมกอดแน่นไม่ยอมปล่อย ใบหน้าขาวจัดที่ซุกไซ้อยู่ตรงแถวลาดบ่ากำลังเอนซบลงมา ไรผมดกหนาคลอเคลียอยู่บริเวณลำคอ ลมหายใจที่เป่ารดบางเบาชวนให้รู้สึกแปลกๆ ในอก
ตึกตัก... ตึกตัก... ตักตัก...
“เต๋า ปล่อยก่อน” ไม่ให้ยาวนานไปกว่านั้นเสียงใสก็เอ่ยขึ้น มือเรียวค่อยๆ แกะอ้อมกอดของอีกคนออก “อยู่ๆ มาทำงี้ได้ไง... เรา...” กำลังจะอ้างต่อว่าตนเป็นผู้หญิง ทว่าเสียงกลับหาย... เขาไม่อยากโกหกต่อไปอีกแล้ว
“เราเสียหายนะเต๋า” ประโยคเต็มถูกเอ่ยตอนที่อีกฝ่ายยอมผละเขาออก ทั้งสองมองหน้ากันตาสบตา แต่เท่านั้นก็พาให้ความรู้สึกแปลกๆ กลับมาอีกครั้ง
“เสียหายหรอชา?” เต๋าทวนคำถาม “งั้นเรารับผิดชอบเอง” ว่าพลางโผเข้ากอดเพื่อนทอมตรงหน้าอีกครั้ง ไม่ได้เผลอไผลเหมือนทีแรกแต่คราวนี้ตั้งใจล้านเปอร์เซ็นต์ “จะให้ชดใช้ยังไง?”
ถูกถามแบบนี้ ถูกกระทำแบบนี้ แล้วจะให้คชาทำยังไงต่อไป? เขายืนนิ่งจำให้อีกฝ่ายกอด แต่สมองก็นึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ก่อนหน้า
เพราะเรื่องแพรวาแน่ๆ ที่ทำให้เต๋าเป็นอย่างนี้...
“นาย...เป็นยังไงบ้าง?” คชาถามเสียงค่อย “แพรวา...เอ่อ...”
“โดนปฏิเสธมา” เต๋าตอบคนในอ้อมแขนชัดๆ ตรงๆ นึกหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อคิดถึงเหตุการณ์นั้น หากแต่ความรู้สึกทั้งหมดก็กลับกลายเป็นศูนย์เพียงแค่รู้สึกถึงสัมผัสน้อยๆ จากมือที่ประสานไว้ด้านหลัง
ชาค่ะกำลังกอดตอบเขา...
“ไม่เป็นไรนะ” คนตัวเล็กยกมือข้างหนึ่งลูบศีรษะอีกฝ่ายแผ่วเบา แม้มันจะงกๆ เงิ่นๆ ติดขัดแค่ไหน แต่กลับสะกดความไม่สบอารมณ์ของอีกฝ่ายเหลือเพียงเถ้าธุลี
ห้วงความคิดของเขา มีเพียงคนในอ้อมกอดนี้...
“ผู้หญิงไม่ได้มีคนเดียวในโลกหรอกเต๋า”
นั่นสิ... ฉันยังมีเธอใช่ไหมชา?
คนฟังเงียบไปแล้วแต่ยังค้างกอดนั้นไว้แน่นิ่ง คชาที่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ จึงได้แต่ยืนค้างในท่าเดิมแบบนั้น
ผู้ชายกอดกัน... เพื่อนกอดกัน... จะเสียหายอะไร?
“เออ.. เต๋า... เราว่าจะไม่ย้ายหอแล้ว” อาศัยจังหวะนี้บอกอีกคนซะเลย ก็ในเมื่อหอใหม่หลอนซะขนาดนั้น ใครมันจะไปอยู่ไหว... สุดท้ายก็กลับมาตายรังที่เดิม
“อืม” เต๋าตอบเรียบๆ คำเดียวแต่หัวใจกำลังพองโต... ยิ่งกว่าดีใจหลายเท่าตัวที่กลับมาเจออีกคนพร้อมกับข่าวดีแบบนี้ เขาค่อยๆ ผละอ้อมกอดนั้นออก ยกยิ้มมุมปากอย่างอดเสียไม่ได้
ระยะห่างก็แค่นี้ ทั้งยังสายตาที่ถูกจดจ้อง ไม่ชวนให้อึดอัด แต่มันชวนให้...
ตึกตัก... ตึกตัก... ตักตัก...
“ขนมที่ให้ไปทำไมไม่เอามากิน” ก่อนที่คชาจะหาคำตอบให้ตัวเองเป็นคำพูดได้ อีกคนก็ว่าพลางเดินไปหยิบขนมกลับมาหาเพื่อนทอมห่อหนึ่ง มือหนาแกะมันออกมา หยิบชิ้นนึงยื่นให้ริมฝีปากสีชมพูตรงหน้า “กินสิ”
ไม่รู้ว่าเต๋าเป็นอะไร...มาอารมณ์ไหนถึงได้ชวนเขากินขนมแบบนี้? คชาขมวดคิ้วน้อยๆ แต่ก็อ้าปากรับคุกกี้ชิ้นนั้นแต่โดยดี เคี้ยวมันตุ้ยๆ มองอีกคนอย่างไม่เข้าใจ
“ถึงตอนแรกเราจะให้แพรวา แต่ตอนนี้มันเป็นของชาค่ะแล้วรู้ไหม?”
คชาพยักหน้ารับ... เข้าใจคำพูด แต่ไม่เข้าใจคนพูดเลย
“อร่อยรึเปล่า?” คชาพยักหน้าอีกครั้ง ปากก็จำต้องกินขนมอีกชิ้นที่คนตรงหน้าป้อนให้ ตาเรียวเห็นพื่อนที่เพิ่งอกหักแอบอมยิ้มก็พลอยชื้นใจ แต่ยังไม่เข้าใจในตัวอีกคนอยู่ดี
แต่ถ้าเขากินแล้วเต๋าจะยิ้มแบบนี้... มันก็...โอเค
ร่างเล็กเคี้ยวคุกกี้ชิ้นที่สองเสร็จจึงพูดขึ้นบ้าง “นายก็กินมั่งสิ...” มือบางหยิบมันออกมาหนึ่งชิ้น ยื่นส่งให้อีกคน
เต๋าเห็นแล้วก็รีบส่ายหน้า ทว่ากลับอ้าปากเป็นสัญญาณ จนคนตัวเล็กต้องป้อนอีกฝ่ายกลับโดยดี... ถึงจะแกล้งป้อนใส่หลายๆ ชิ้นจนมันเต็มปากจนล้นแล้วก็เถอะ
“ฮ่าๆๆๆ” คชาหัวเราะเสียงใส ยิ่งเห็นอีกฝ่ายพยายามเคี้ยวมันจนหมดก็ยิ่งขำ ใบหน้าขาวๆ แถมติดจะขี้เก๊กที่เคี้ยวคุกกี้จนหน้าบิดเบี้ยวทำให้คชาอดหัวเราะออกมาดังๆ เสียไม่ได้
จากที่ตอนแรกนึกอยากให้อีกฝ่ายอารมณ์ดี... แต่เป็นคชาที่หลุดขำออกมาเสียเอง ร่างเล็กรีบเดินไปหยิบขวดน้ำเปล่า เทใส่แก้วแล้วป้อนอีกคนตามหลังเมี่อเคี้ยวเสร็จ
สงสารคนเพิ่งช้ำรักมา... เดี๋ยวขนมติดคอตายกันพอดี
“อร่อยไหมเต๋า?” คชาถามกวนๆ ใบหน้าหวานหยุดหัวเราะแล้วแต่ยังไม่หยุดยิ้ม “ชอบปะ?” ก็ถ้าชอบจะได้ป้อนเยอะๆ อีกไง
เต๋าเงยหน้าขึ้นจากแก้วใบใหญ่ “ชอบ” ตอบสั้นๆ พยางค์เดียว แต่ใบหน้าที่ไร้ท่าทีล้อเล่นกลับทำเอาคนฟังค้างนิ่ง
“ชอบเห็นชายิ้ม” คนพูดยิ้ม จ้องมองใบหน้าหวานที่เริ่มขึ้นสีชมพูจางๆ ถ้าเขาไม่ได้ตาฝาดไป
“ยิ้มอีกสิชา”
- - -
เข้าอาทิตย์ที่สามของการเรียนแล้ว... คชาที่ในวันนี้กลายเป็น ‘นายนนทนันท์’ เต็มตัว ใช้ชีวิตได้อย่างสบายใจ นั่งเล่นหัวเราะกับใครๆ ซ้ำยังเข้าห้องน้ำชายเป็นปกติได้เสียที
ถึงจะมีเพื่อนบางคนที่ยังล้อว่าเขาเป็นทอม...
“น้องทอมอยากกินไรฮะ เดี๋ยวพี่เฟรมกับพี่เต้จะไปซื้อมาให้” ไม่ใช่ใครที่ไหน ก็ไอ้เฟรมกับไอ้เต้สองตัวนี้นี่แหละ!
“แล้วอยากโดนทอมถีบป้ะ!? เอาโคอาล่ามาร์ชสตรอเบอร์รี่อันนึง”
และถึงจะมีใครบางคนอยากให้เขาเป็นทอมมากกว่าก็ตาม
“คชา... แอ้นไม่คุ้นเลยอะที่คชาเป็นผู้ชาย” เธอเอ่ยขึ้นเมื่อเฟรม โปเต้ และแพรวาลุกออกไปซื้อขนมกัน เหลือเพียงเขาที่อยู่กับเธอสองคน
“ฮะๆ หรอ” เขาหัวเราะน้อยๆ ในลำคอ... แต่ยังไงความจริงก็คือความจริง
แอ้นส่งยิ้มให้เขาพลางพูดต่อ “อืม... แต่คชารู้ไหม? เรานั่งทบทวนดูแล้ว ที่เรารู้สึกกับคชามันยังเหมือนเดิม”
ได้ยินเท่านั้น คนฟังก็ถึงกับชะงัก คชานั่งหน้าเหวอ หันมามองเธอที่จ้องมองเขานิ่งๆ ปราศจากท่าทีเคอะเขินใดๆ
“คชาทำเราสับสนนะรู้ไหม? เราไม่เคยชอบผู้ชายมาก่อนเลย” แอ้นเอ่ยเสียงหวาน แตะมือเขาเบาๆ “ชาเป็นคนแรก”
“แต่เรา...”
“อืม... คชาไม่ได้ชอบเรา เรารู้... แต่ไม่เป็นไรใช่ไหมถ้าเราจะชอบคชา?”
“อ..อืม” เขายิ้มให้เธอเบาๆ แต่กำลังบอกขอโทษในใจ
ถึงแอ้นเป็นนางฟ้าสำหรับเขา... แต่ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่จะตกหลุมรักนางฟ้า
ขอโทษนะแอ้น
- - -
“ไม่ไปเล่นเกมบ้านไอ้เต้ต่อจริงๆ หรอวะชา?”
เฟรมเอ่ยถามขึ้นมาเมื่อกินข้าวมื้อเย็นที่โรงอาหารคณะเสร็จ นี่เพิ่งจะหกโมงเศษ และคชาก็ไม่ได้มีที่ไปที่ไหนนอกจากหอ
แถมยังเป็นหอหญิงที่ต้องจำใจอยู่ต่อไปอีกสองอาทิตย์ด้วยนี่สิ!
“เออ... เดี๋ยวกลับพร้อมแพรวาเลยดีกว่า ง่วงนอน”
“เอางั้นจริงอะ? โห่... ไรว้า... โชคดีๆ ดูแลแพรวาด้วยละกัน อย่าให้ไปดักฉุดใครเขาเข้า”
“หนอย... เฟรม!”
“เฮ้ย.. ไอ้ชาช่วยด้วย กูจะโดนนางยักษ์ทำร้าย”
เอาอีกแล้วสองคนนี้... คชาส่ายหน้าเบาๆ กับภาพตรงหน้า กัดกันซะทุกที... เขารีบปรามทั้งคู่ “เออ... ไปกันเหอะแพรวา บ๊ายบาย” ประโยคหลังพูดกับคนอื่นๆ ที่เหลือ ยิ้มรับแอ้นที่ส่งยิ้มมาให้เขาน้อยๆ
ระยะทางกลับหอเพียงพอไม่ได้ไกลนัก เดินไปคุยไปกับแพรวาแปปเดียวก็ใกล้จะถึง... หากแต่เมื่อใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สายตาก็เริ่มสอดส่ายหาใครคนนึง
ใครที่ทิ้งท้ายคำพูดแปลกๆ ไว้ แต่กลับไม่เจอหน้ามาสองวันแล้ว
หายไปไหนกัน?
ไขประตูเข้าไปในห้องเบอร์ 23 เสร็จเรียบร้อย ร่างเล็กก็เปิดหน้าต่างออก เงยหน้ามองไปบนระเบียงฝั่งตรงข้ามชั้นสี่เพื่อหาใครคนนั้น แต่มันกลับว่างเปล่าไร้สิ่งมีชีวิตใดๆ
หรือเศร้าเพราะอกหักจนโดดตึกตายไปแล้ว?
คิดได้ดังนั้น... ร่างเล็กก็มองหาร่องรอยบนระเบียงสีขาวเครียดขรึม... แต่ก็ต้องจำผละสายตาออกเมื่อไม่พบสิ่งผิดปกติใดๆ
นี่เราทำอะไรอยู่วะ? เราคือนายนนทนันท์นะเว้ย! ไม่ใช่ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน!
ปิดหน้าต่างลงเช่นเดิมเสร็จ มือเรียวก็ขยี้หัวอย่างหงุดหงิด ก่อนจะถอดเข็มขัดนักศึกษา ดึงชายเสื้อเชิ้ตสีขาวออก แล้วล้มตัวนอนบนเตียง
พลิกตัวซ้ายขวาจัดท่าทาง ข่มตาให้หลับ แต่ก็ไม่ง่วงสักนิดเดียว...
คชาลืมตาโพลง เขารู้ตัวดีว่าไม่ได้ง่วงตั้งแต่แรก... ไม่รู้สึกง่วงตั้งแต่ตอนที่เฟรมถามตอนเย็นแล้วด้วย เพราะวันนี้เขาหลับมาเต็มอิ่มตั้งแต่ในคาบเรียนแล้ว!
ที่ไม่ไปเล่นเกมบ้านโปเต้... ก็แค่...
แค่...
อยาก..... กลับหอ... มา.......
มา.....
ลอกเล็กเชอร์แพรวาเท่านั้นแหละว้อย!
คิดได้ดังนั้น ร่างเล็กก็กระเด้งตัวจากที่นอน ลุกออกไปเคาะประตูห้องข้างๆ ทันที
“อ้าว... ไหนว่าจะเอาไปซีรอกซ์ไง?” แพรวาเพิ่งเปิดประตูห้องตนเองให้อีกคนเข้ามา พูดพลางยื่นโน้ตย่อของตัวเองให้เพื่อนทอมที่บัดนี้กลายเป็นเพื่อนชายข้างห้อง
“อืม... ก็ประหยัดค่าถ่ายเอกสารไง” คชาพูดพลางเปิดแต่ละหน้าดู “ลอกเองจะได้จำได้ ขอบใจนะแพรวา” พูดเสร็จก็หันหลังเตรียมเดินออกไป ขาเรียวกำลังจะก้าวออก แต่พอได้ยินคำถามของแพรวาก็กลับชะงักอยู่ตรงนั้น
“แล้วเต๋าเป็นไงบ้าง?”
“ไม่รู้เหมือนกันดิ ช่างเหอะ อย่าไปสนใจเลย”
“อ้าว... ไหนตอนแรกบอกไม่ให้ทำร้ายจิตใจเต๋า” คชาไม่พูดอะไรมากไปกว่านั้น หากแต่ทำทีไม่สนใจแล้วเดินกลับไปยังห้องของตนเอง ร่างเล็กอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอน ก่อนจะลงมือลอกโน้ตทั้งหมดไปเรื่อยๆ ด้วยจิตใจที่ขุ่นมัวเต็มที
เพียงไม่นาน... ที่คชาจมอยู่กับตัวอักษรและปลายปากกา หากแต่ความคิดกลับล่องลอยไปหาเรื่องอื่นๆ เรื่อยเปื่อย
ทำไมชีวิตมันน่าเบื่อแบบนี้? ทำไมไม่ไปเล่นเกมกับไอ้เฟรมไอ้เต้? ทำไมเขาต้องมาทำอะไรที่หอนี่? ทำไมต้องมีชีวิตในห้องแคบๆ เล็กๆ แบบนี้? แล้วทำไมเขาต้องมาอยู่กรุงเทพฯ คนเดียว?
ทำไม... ทำไม... ทำไม...
‘จ๊อกกกกก..’
ทำไมหิวแบบนี้?
อาจจะเป็นโชคดีก็ได้ที่เสียงน้ำย่อยในกระเพาะอาหารที่ทำงานมาช่วยคั่นความคิดขุ่นมัวลงไปได้บ้าง คชาวางปากกาด้ามสีดำก่อนจะหันไปดูเวลาบนมือถือ
สองทุ่มกว่าแล้ว ข้าวเย็นเมื่อสองชม.ก่อนไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ...
ลุกออกจากโต๊ะเขียนหนังสือ พลันหางตาก็หันไปเห็นถุงขนมใบใหญ่ ก็ขนมของใครคนเดิมอีกนั่นแหละ
ตายไปรึยังวะป่านนี้? คิดแล้วก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูอีกทีแต่ไม่พบว่ามีใครโทรมาเลย
เฮอะ... ไอ้คนอย่างนี้ตายไปซะได้ก็ดี... ใช่สิ เรามันหมดประโยชน์แล้วหนิ พอไม่มีเรื่องแพรวาเลยได้ทีเขี่ยเราทิ้งไปเลยไง
ขนมพวกนี้... เดี๋ยวจะเผาคืนไปให้ก็แล้วกัน
สามทุ่มเศษ หลังจากที่ออกมาแวะซื้อขนมกินตอนดึก ร่างเล็กนั่งอยู่บนพื้นหน้าตึกหอพัก มือข้างหนึ่งบิขนมในมือให้กับสุนัขสีขาวมอซอที่นั่งจ๋องอย่างรอคอย ปากก็พูดโทรศัพท์กับคนในสายไปด้วย
ขนมลูกเต๋าที่ซื้อมา...ไม่รู้ว่าเพราะอยากกินหรือเพราะคิดถึงใครบางคน
“สบายดีครับแม่” ริมฝีปากบางยิ้มกว้าง... ไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด เพราะปฏิเสธไม่ได้เลยว่าการมาอยู่คนเดียวในเมืองใหญ่ไม่ใช่เรื่องลำบาก “สบายบรื๋อ... ชาซักผ้าเป็นตั้งแต่วันแรกเลยเหอะ” พูดกับคนในสายพลางนึกถึงวันแรกที่หาวิธีใช้เครื่องซักผ้าหยอดเหรียญอยู่นาน มืออีกข้างก็ลูบหัวหมาน้อยตะวันไปด้วย
“ที่นี่ของกินเพียบ อร่อยกว่าข้าวผัดของแม่ตั้งเยอะ” แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ แต่ในใจคิดถึงกับข้าวฝีมือแม่ใจแทบขาด “แล้วเคนท์เป็นไงบ้าง?” ถามถึงน้องชายตัวแสบซะหน่อย
คชายิ้มบางๆ เมื่อได้ยินแม่เล่าเรื่องน้องชายให้ฟัง เคนท์เตะบอลเข้าในการแข่งขันของโรงเรียนที่ทำเอาเจ้าตัวคุยโวไปสามบ้านเจ็ดบ้าน คชาพูดคุยสัพเพเหระกับแม่อีกไม่นาน บทสนทนาก็ถึงคราวต้องสิ้นสุดลง
“อยู่กรุงเทพฯ ก็อย่าไว้ใจใครมากล่ะลูก คนเรามันรู้หน้าไม่รู้ใจ คชาน่ะซื่อเกินไป”
ได้ยินแล้วรู้สึกเข้าตัวเองยังไงบอกไม่ถูก “ครับแม่” อาจจะจริงอย่างที่แม่ว่า... มากรุงเทพฯ ได้ไม่ถึงเดือนก็ยังถูกเขาหลอกใช้... แต่ต่อไปเขาจะไม่ยอมให้เป็นแบบนั้นแล้วจริงๆ
“โชคดีนะลูก อย่าไปเที่ยวเถลไถลที่ไหนนักล่ะ แม่กับน้องคิดถึงคชานะ” น้ำเสียงของแม่ยังคงเข้มแข็งแต่แฝงด้วยความอ่อนโยนเช่นเคย
“ครับ” เพียงพูดตอบรับธรรมดา หากแต่น้ำตากลับหยดแหมะลงบนพื้นปูน
คชาก็..คิดถึงเหมือนกัน...
เครื่องมือสื่อสารถูกลงกระเป๋าหลังจากวางสาย ท่อนแขนถูกใช้ปาดคราบน้ำตาที่รื้นออกมายกใหญ่
บ้าเอ๊ย... อุตส่าห์ทำใจแข็งมาตั้งสองอาทิตย์ มาเสียน้ำตาเอาตอนนี้จนได้
นึกพลางก้มหน้าลงมองหมาน้อยตัวเดิม
“ตะวัน...แกมาอยู่นี่ไม่คิดถึงแม่บ้างรึไง?” ปากพูดกับมันพลางหยิบขนมลูกเต๋าชิ้นสุดท้ายในถุงยื่นให้ “แล้วแกไม่มีพี่น้องกับเขาเลยหรอ?” บางทีมันคงไม่ใช่การถาม แต่เป็นการรำพึงรำพันความรู้สึกออกมาเสียมากกว่า ทว่าสำหรับหมาน้อยตัวนี้ มันได้ยินที่เขาพูดทุกคำ แต่ไม่ได้ฟังเขาแม้แต่คำเดียว เพราะสิ่งเดียวที่มันสนใจจะมีแค่ขนม เมื่อมันเพียงแค่มาดมแถวๆ มือของเขาเท่านั้น
“เฮ้อ... สมองแกคงมีแต่ของกินล่ะสิ หมดแล้วอะ โบ๋เบ๋...” ว่าพลางหยิบเอาถุงเปล่าให้มันดู ก่อนจะแกล้งโดยการเอาครอบจมูกของมันเสียเลย
ร่างเล็กหัวเราะแห้งๆ เมื่อเห็นมันพยายามสะบัดถุงขนมออก แกล้งแหย่มันเล่นพอสนุกสนาน เขายิ้มร่า เขาหัวเราะเสียงดัง หากแต่ข้างในนั้นยังมีคราบน้ำตาและกลิ่นความเหงาที่เจือปน
เหงา... ที่ไม่ใช่เพราะคิดถึงบ้านเพียงอย่างเดียว...
ตาเรียวแหงนมองขึ้นไปบนตึกฝั่งตรงข้าม ชั้นสี่ห้องนั้นยังคงปิดไฟมืดสนิท
นี่ตายไปแล้วจริงๆ หรือไงวะ?
วูบนึงในความคิด... คชากลับรู้สึกโหวงเหวงอย่างบอกไม่ถูก ก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ตายจากไปไหนหรอก แต่แค่คิดว่าอีกคนจะไม่อยู่... มันก็...
“ชอบแกล้งหมาหรือไง?” และทันใดนั้น... เสียงที่คุ้นหูก็ทำเอาคชาหันควับไปในทันที
“เต๋า” หลุดเรียกชื่ออีกคนออกมา “มาทำอะไรเนี่ย?” ถามเหมือนจะไม่อยากจะเจอ หากแต่ที่จริงกำลังดีใจ ริมฝีปากบางก็ยกยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
ดีใจ... จนลืมไปแล้วว่าเคยตัดพ้อต่อว่าอีกคนไว้สารพัดสารเพ
“อยากมาหาไม่ได้หรือไง?” เต๋าถามกลับ อมยิ้มมองอีกคน “ไม่เจอกันตั้งสองวัน ไม่คิดถึงกันบ้างหรอ?”
คชาไม่ตอบ หากแต่ความรู้สึกยินดีจนล้นปรี่ในอกมันกำลังแทนคำตอบแก่ตัวเขาเอง
“แล้วหายไปไหนมา?” ปล่อยให้เขาด่าอยู่คนเดียวตั้งนาน
ได้ยินอีกคนถามดังนั้นก็ยกยิ้ม ขยับมองหน้าอีกคนใกล้ๆ “ถามแบบนี้คิดถึงล่ะสิ” เต๋าเอ่ยทีเล่นทีจริง อ้าแขนออกกว้าง “กอดสักทีไหม? จะได้หายคิดถึง”
“ยังไม่ได้พูดสักคำเลย” ทำหน้ายู่ใส่อีกฝ่ายแต่ข้างในกลับอมยิ้ม ใบหน้าหวานหันไปหาหมาตัวน้อยแก้เก้อ มือบางลูบหัวมันเบาๆ เหมือนที่ทำก่อนหน้า ทำปากเป็ดใส่เจ้าหมาตัวนั้นเสียน่ารักน่าชัง
“ชา...” เต๋าเรียก “ชาค่ะ”
เจ้าของชื่อหันมาก็พบว่าอีกคนขยับเข้ามาใกล้ซะประชิด “ร..เรียกทำไม?” ตกใจจนพูดเสียงสั่น
“เราไม่ได้หายไปไหนหรอก... สองวันที่ผ่านมาก็อยู่แถวนี้ทั้งนั้นแหละ” คิดแล้วน่าขำเป็นบ้า... สัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่ไปเจอหน้า แต่การแอบมองเขาผ่านรูเล็กๆ ช่องหน้าต่างมันเหมือนพวกโรคจิตชะมัดเลย
เหตุผลที่ทำน่ะเหรอ?... เพราะแค่อยากจะมั่นใจในความรู้สึกของตัวเองจริงๆ ไม่อยากจะเอาเวลาไปทิ้งเหมือนตอนที่คิดว่าตัวเองชอบแพรวา ทั้งๆ ที่หัวใจมันมีอีกคนเข้ามาโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ?
“อ...อือ แล้วไง?” คชาถามกลับเสียงแผ่ว
“ต่อไปจะไม่หายไปไหนอีกแล้ว” เต๋าพูดต่อ “จะมาให้เจอหน้าทุกวันเลย”
ชารู้สึกยังไงไม่รู้ แต่ตัวเขาน่ะแทบบ้า... เหนื่อยนะ ที่ต้องมาแอบมองอีกคนจากที่ไกลๆ แต่ไม่ได้เข้าไปหา ไม่ได้เข้าไปคุย
“ใครอยากเจอนาย?” อีกฝ่ายสวนกลับเสียงแข็ง ทำไม่รู้ไม่ชี้ไม่สนใจ แต่หารู้ไม่... ใบหน้าหวานที่ขึ้นสีแดงจางๆ ของตัวเองมันแทนอะไรหลายๆ อย่างได้เป็นอย่างดี
และนั่นยิ่งทำให้อีกคนได้ใจ... ถึงเต๋าจะไม่รู้แน่ชัดว่าอีกคนกำลังคิดยังไง แต่มาเขินใส่กันแบบนี้ น่ารักเกินไปแล้วนะ
“ร้อนหรอชา?” เต๋าถามอีกคนนิ่งๆ
“เปล่าหนิ” คชาตอบพลางส่ายหน้า ก็ลมพัดเข้ามาอย่างนี้ จะให้ร้อนได้ไง “ร้อนตรงไหน ลมออกจะแรง”
“นั่นสิ อากาศก็ไม่ร้อน...” แอบยกยิ้มที่มุมปาก “แล้วทำไมหน้าแดงล่ะ?”
“หา... ก็....” ยิ่งเห็นเพื่อนทอมแก้ตัวไม่ถูกแล้วยิ่งสนุกเข้าไปใหญ่
“ไม่สบายรึเปล่า?” เต๋าว่าแล้วก็เอาหลังมือทาบ “ตัวก็ไม่ร้อนนี่นา แต่ทำไมหน้าแดงจัง นั่นๆ ...แดงใหญ่แล้วเนี่ย”
สองมือเรียวยกขึ้นทาบแก้มใสของตัวเอง ไม่ได้อยากพิสูจน์หรอกว่าร้อนรึเปล่า แต่อยากจะปิดมันจากสายตาอีกคนต่างหาก
รู้นะว่าแกล้งล้อเขาอยู่!
“แดงแล้วทำไมล่ะ!? กลับบ้านไปเลยไป”
เต๋าหัวเราะร่า ยิ่งเห็นอีกคนทำท่าโวยวายอย่างนั้นแล้วยิ่งสนุกใหญ่ นึกอยากแกล้งต่อในใจแต่แค่นี้พอแล้วดีกว่า
“ไปก็ได้...” เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็เจอกันใหม่อยู่ดี “ฝันดี...เจอผีเมื่อไหร่ก็โทรมา เดี๋ยวไปไล่เอง”
“เต๋า!!!” แค่พูดคำว่า ‘ผี’ คนฟังก็ไม่ชอบแล้ว! ยังไม่หยุดแกล้งกันนี่หว่า!
“หรือไม่ก็บอกผีว่า... ห้ามเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาตจากลูกเจ้าของหอ”
“หา...” ขมวดคิ้วคิดตามอย่างไม่ค่อยเข้าใจ
“ไปจริงๆ ละ อย่าลืมล็อคประตูห้องด้วยล่ะ ฝันดี” และนี่เป็นประโยคสุดท้ายของวันนี้ เต๋าเดินไปแล้ว ส่วนคชาก็กำลังเดินขึ้นห้องพลางทบทวนคำพูดเมื่อครู่นี้ในใจ
เจ้าของห้องมันเขาไม่ใช่หรอ? แล้วทำไมต้องขออนุญาตที่มันด้วย!!!!!
ไอ้เต๋า! ไอ้บ้าเอ๊ยยยยยยยยยยยย!
พูดแบบนี้คิดก่อนรึเปล่าวะ!!!?
TBC
บรรยากาศเดิมๆ เริ่มจะกลับมา >w<
ใครว่าเต๋าเอ๋อคนเดียว คชาก็ยังอยู่ในโหมดหาคำตอบให้ตัวเองอยู่เหมือนกัน อิอิ
ให้เวลาหน่อย ลงเอยกันไวๆ เดี๋ยวจบเร็วนะ กร๊ากกกกกกกกกกกก
ในฟิคเพิ่งเจอกันได้ไม่ถึงเดือนเอง อย่าเพิ่งใจร้อน (แต่คนแต่งแต่งมา3เดือนกว่าละ ฮ่าๆ)
ตอนนี้อัพเร็ว และยาว เหมือนไม่ใช่เราเลยอะ (น่าสะพรึง)
เจอกันตอนหน้า อาจจะช้าหน่อยเพราะไม่ได้คิดไว้ว่าจะแต่งยังไง (กรำ) ฮ่าๆๆ ไปละจ้ะ
ความคิดเห็น