ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (EXO) ' ค ลั ง ฟิ ค แ ป ล เ ด็ ก ด า ว '

    ลำดับตอนที่ #13 : (KAISOO) Maybe in Hell, There is a Heaven [I/II] ;

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ย. 58


    MAYBE IN HELL, THERE IS A HEAVEN  
    original story: http://coppertears.livejournal.com/7748.html
    written by: coppertears
    pairing: kaisoo





    PART I.





    เขากำลังใช้ถนนสายยาวเพื่อก้าวไปสู่นรก.





    แถวของนายทหารที่กำลังเดินผ่านถนนคลุกฝุ่นทอดยาวออกไปจนไม่รู้จบ นี่เป็นเพียงแค่วันที่สองเท่านั้นและแถวก็คงจะยาวขึ้นเรื่อยๆ แต่อาการเหนื่อยล้ามันหนักอึ้งอยู่บนไหล่และเหมือนจะกลืนกินพวกเขาทั้งเป็น ไม่มีอาหาร ไม่มีน้ำ ไม่ได้รับการพักผ่อน นี่คือทางเดินแห่งความหิวโหย ไม่มีอะไรจะสามารถระงับความเจ็บปวดของพวกเขาได้ในตอนนี้ ที่นี่ไร้ความปรานี...จงอินรู้ได้จากการที่พวกมันปล่อยให้มิตรสหายของเขานอนรอความตายอยู่ข้างทางโดยไม่คิดช่วยเหลือ





    เขาหลับตาลงก่อนจะบังคับตัวเองให้ก้าวเดินต่อไป บังคับให้ขาทั้งสองก้าวไปเรื่อยๆแม้เท้าจะเสียดสีกับรองเท้าจนเป็นแผลพุพอง เขาไม่อยากจะยอมจำนนที่นี่ในตอนนี้ เขาไม่อยากจะตายในที่ๆไม่มีคนจำชื่อเขาได้และไม่มีคนทำพิธีฝังศพให้เขา ตอนนี้สิ่งเดียวที่จงอินหวังคือการอดทนได้นานพอไปจนถึงเวลาที่กองทัพของเขาจะส่งกำลังเสริมมาและช่วยพวกเขาออกไปจากที่นี่ แต่มันจะไม่เกิดขึ้นหากเขายอมแพ้ตอนนี้





    จงอินแลบลิ้นเลียปากก่อนจะพยายามมองข้ามอาการกระหายและลำคอที่แห้งผาก เขาพยายามจะเลิกนึกว่าตัวเองได้กินอาหารครั้งสุดท้ายเมื่อไร เสียงของผู้คุมที่ดังแว่วมาว่า “เร็วขึ้น!” ตามมาด้วยเสียงฟาดของแส้ลงบนผิวหนังทำให้จงอินกระตุกเกร็งด้วยความกลัว เขาพยายามจะไม่คิดถึงรอยแผลเป็นที่กระจัดกระจายทั่วร่างของตัวเองก่อนจะก้าวเท้าเดินให้เร็วขึ้น สายตามองตรงไปข้างหน้าโดยไม่พยายามที่จะเหลียวมองว่าเหยื่อที่โชคร้ายเมื่อกี้เป็นใคร เขากลัว..เขากลัวว่าคนที่ถูกทำโทษเมื่อกี้จะเป็นคนที่เขารู้จัก





    รู้สึกเหมือนกำลังชะงักอยู่ในห้วงเวลา เหมือนรูปถ่ายที่ถูกปล่อยให้ชัดขึ้นในห้องมืด--เหมือนว่าสิ่งเดียวที่กำลังเกิดขึ้นบนโลกใบนี้คือการเดินขบวนไปสู่นรก รังสีดวงอาทิตย์เหมือนเปลวไฟที่โลมเลียผิวกายจนมอดไหม้ ส่วนผู้คุมก็เหมือนสัตว์ร้ายที่ถูกส่งมาเพื่อทรมานพวกเขาในทุกย่างก้าวที่เดิน





    เบื้องหน้า..จงอินเห็นนายทหารคนหนึ่งหยุดยืนนิ่ง ร่างกายชะงักกึกในขณะที่นายทหารคนอื่นๆยังคงก้าวต่อไป หัวใจของจงอินเต้นแรงขึ้นเพราะเขารู้จักนายทหารคนนั้น ความรู้สึกหน่วงๆในช่องท้องทำให้เขาอยากสำรอกออกมา เพราะเขารู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้...เขาห่างจากเซฮุนเพียงแค่สิบก้าวเท่านั้น เขาห่างจากเพื่อนสนิทของตัวเองเพียงแค่สิบก้าวเท่านั้นแต่มันเหมือนห่างไกลเหลือเกิน เพราะเขารู้ว่าเขาไม่มีวันช่วยเซฮุนได้ทันท่วงที





    เซฮุนหันหลังกลับมาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความท้าทายก่อนที่สายตาจะสบเข้ากับจงอิน ร่างผอมส่ายหัวเบาๆเหมือนเป็นการส่งสารกลายๆว่า กูยอมแพ้แล้ว จงอินกำลังก้าวไปข้างหน้าขณะที่เซฮุนปฏิเสธที่จะเคลื่อนไหว จงอินไม่รู้ว่าเขาจะเดินต่อไปอย่างไรเมื่อเห็นเพื่อนรักของตัวเองคุกเข่าลงกับพื้นอย่างหมดหนทาง ร่างของเซฮุนล้มลงกับพื้นไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก





    จงอินได้ยินเสียงปืนก่อนจะเห็นเลือดสีแดงฉานเปื้อนซึมออกมาจากเครื่องแบบทหารของเซฮุน ความตายมาเยือนเร็วกว่าที่คิด ประกายในดวงตาของเซฮุนดับวูบลงในขณะที่ร่างผอมถูกทิ้งอยู่อย่างนั้น ก็แค่อีกร่างหนึ่งที่จะเน่าเปื่อยไปตามกาลเวลาโดยที่ไม่มีใครจดจำ จงอินไม่รู้ว่าเขาควรจะไว้อาลัยให้เพื่อนสนิทของตนเองอย่างไร เขาทำได้เพียงแค่เดินต่อไป ในใจก็ภาวนาขอให้ตัวเองอย่าเป็นรายต่อไป ริมฝีปากก็พึมพำคำขอโทษไปกับสายลมเมื่อเท้าทั้งสองข้างเหยียบลงไปบนกองเลือดของเพื่อนตัวเอง ผืนดินเต็มไปด้วยเลือดสีแดงฉานและชีวิตที่ถูกทิ้งๆขว้างๆ เขารู้ว่าเขาอาจจะเป็นรายต่อไปได้ทุกเมื่อ...จงอินมองตรงไปข้างหน้าก่อนจะพยายามไม่นึกถึงความทรงจำต่างๆที่เขามีร่วมกับเซฮุน รื้อฟื้นไปก็ไม่มีประโยชน์..มีแต่จะทำให้เขาหมดกำลังใจ





    เขาเห็นรอยยิ้มสดใสของเซฮุนตอนที่เซฮุนบอกเขาว่าจะเข้าร่วมกองทัพด้วย เขาจำได้ว่าเซฮุนมีความสุขมากตอนได้ใส่เครื่องแบบทหารเป็นครั้งแรก “กูจะเลื่อนยศจนสูงขึ้นเรื่อยๆ มึงคอยดูนะ!” เขาจำได้ว่าเซฮุนเคยบอกเขาอย่างนั้น แต่ตอนนี้เซฮุนเป็นเพียงแค่ร่างไร้วิญญาณที่ไม่มีวันยิ้มหรือหัวเราะให้เขาอีก และจะไม่มีโอกาสได้เป็นนายพลเหมือนที่ตั้งใจด้วย ความจริงที่น่าปวดใจนี้กัดกินจงอินทุกย่างก้าว..





    จงอินรู้ว่าเซฮุนไม่ได้ยอมแพ้เพราะเหนื่อยหรือเพราะขี้ขลาด เขามองเห็นได้ในดวงตาของเซฮุนตอนที่ร่างผอมหันมาเผชิญหน้ากับเขา มันคือการประท้วงร้องขออิสรภาพ มันคือการส่งเสียงต่อต้านการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมต่อเชลยศึกอย่างพวกเขา--เซฮุนจะเดินต่อไปก็ได้ เซฮุนสามารถอดทนต่อไปได้เพราะร่างผอมเป็นคนไม่เคยยอมแพ้ แต่ดูเหมือนเซฮุนจะเลือกความตายดีกว่าจะต้องโดนดูถูกและทารุณราวกับว่าตัวเองเป็นสัตว์ที่ไร้ค่า จงอินเข้าใจ..จงอินเข้าใจแต่ก็ยังหวังว่าเซฮุนจะเลือกวิธีตายที่ดีกว่านี้เพราะการตายของเซฮุนครั้งนี้ได้ทิ้งรอยแผลเป็นเหวอะหวะไว้ให้จงอิน เขาไม่รู้ว่าเขาจะหลับลงโดยไม่เห็นร่างของเพื่อนสนิทถูกยิงต่อหน้าต่อตาได้อย่างไร





    ตอนนี้เขาเลยต้องมารับภาระที่เซฮุนทิ้งไว้ให้ไปจนสุดทาง จงอินคิดว่ามันไม่ยุติธรรมเลยแต่มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาจะทำเพื่อเซฮุนได้





    “หลับให้สบายนะ เซฮุน” จงอินพึมพำเบาๆในขณะที่ขาก็ยังก้าวต่อไป เขายังคงก้าวเดินบนหนทางไปสู่นรก จงอินไม่รู้ว่าตัวเองกล้าหาญหรือโง่ แต่ในเวลานี้..ความกล้าหาญกับความโง่เขลามันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ





    ***





    ท้องไส้ปั่นป่วนไปด้วยความว่างเปล่าในขณะที่ลำคอก็แห้งเสียจนกลายเป็นผุยผง จงอินพยายามที่จะยืนตัวตรง เชือกที่พันอยู่ที่ข้อมือเสียดสีกับผิวหนังจนเลือดซิบ แต่ละก้าวที่ก้าวเดินเริ่มลำบากขึ้นเรื่อยๆ ทิวทัศน์รอบๆตัวเริ่มกลายเป็นสีขาว จงอินไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขากำลังไปทางไหน..เขารู้แค่ต้องเดินตามคนข้างหน้าไปเรื่อยๆ





    ฝนเริ่มลงเม็ดเมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงพื้นที่ราบลุ่มซึ่งทอดยาว พื้นดินกลายเป็นโคลนในเวลาไม่กี่วินาทีทำให้เครื่องแบบทหารและรองเท้าของจงอินเปื้อนไปหมด เพียงเวลาไม่นาน..เขาก็เปียกลู่ตั้งแต่หัวจรดเท้า ฝนที่โหมกระหน่ำลงมาทำให้การมองเห็นเส้นทางข้างหน้าลำบากขึ้น การทรงตัวไม่ให้ล้มลงก็ทำได้ยากเหลือเกิน





    เสียงร้องโหยหวนประสานเข้ากับเสียงหวีดร้องของสายลมในขณะที่นายทหารล้มลงทีละคนๆเพราะเป็นเหยื่อให้กับพื้นโคลนที่ลื่นสิ้นดี จงอินหายใจเข้าลึกๆแต่ก็หันหน้าหนีไม่ทันท่วงที ผู้คุมคนหนึ่งสบถเสียงดังก่อนจะเล็งปืนยิงทหารที่ล้มลงทีละคนๆ จงอินไม่รู้ว่าตัวเองกลั้นหายใจตั้งแต่เมื่อไหร่ รสชาติของความหวาดกลัวมันขมปร่าอยู่ที่ปลายลิ้น แม้จะละสายตาออกมาจากภาพตรงหน้าแต่เสียงอ้อนวอนร้องขอชีวิตและเสียงกรีดร้องของนายทหารคนอื่นก็ยังคงติดอยู่ในโสตประสาท ไม่มีทีท่าว่าจะจางหายไป





    ความเงียบที่ตามมานั้นหลอกหลอนจงอินยิ่งนัก ความเจ็บปวดของการสูญเสียเพื่อนทหารล่องลอยอยู่ในอากาศ ความเงียบส่งเสียงดังเหลือเกิน..มีเพียงแค่เสียงเท้าที่ย่ำไปกับพื้นโคลนแฉะๆและเสียงออกคำสั่งของผู้คุมเท่านั้น





    จงอินพยายามเดินตัวตรง เขาจะไปให้ถึงที่สุด เขาจะไม่ตายในโคลนแฉะๆนี่---เขาจะต้องไม่ตาย แต่ทุกย่างก้าวส่งเสียงประท้วงว่าร่างกายอ่อนแรงเต็มที นายทหารที่เคยแข็งแรงก็ล้มลงทีละคนๆและนั่นหมายความว่าเขาอาจจะเป็นคนต่อไป





    หลายชั่วโมงต่อมาพวกเขาก็โซซัดโซเซมาถึงแสงไฟสีเหลืองนวลของค่ายที่ถูกสร้างขึ้นมาลวกๆ จงอินขบริมฝีปากห้ามน้ำตาที่กำลังจะไหล พวกเขาทั้งหมดถูกยัดเข้าไปในเต็นท์ที่เล็กเกินไปจะบรรจุพวกเขาหมดทุกคน ร่างกายเหม็นเหงื่อเบียดเสียดกันอยู่อย่างนั้น ทันทีที่จงอินนั่งลง..เขาก็รู้สึกได้ถึงเท้าที่ปวดหนึบ ปวดเสียจนเขาอยากจะขดตัวนอนมันตรงนั้น





    เหมือนความหวังที่มีถูกปาทิ้งจนแตกเป็นเสี่ยงๆเมื่ออาหารมื้อเดียวของวันถูกนำมาแจกจ่าย พวกเขาได้รับก้อนแข็งๆเล็กๆก้อนหนึ่งที่คลับคล้ายคลับคลาว่าจะเป็นขนมปังและซุปใสๆไร้รสชาติในชามเหล็กเท่านั้น จงอินกลืนความผิดหวังทั้งหมดลงไปก่อนจะกินอาหารที่พวกเขาให้มา เพียงไม่กี่นาทีอาหารก็หมดลง ในขณะที่จงอินคืนช้อนและชามให้เจ้าหน้าที่..เขาก็ได้แต่คิดว่าแทนที่อาหารมื้อนี้จะทำให้เขาอิ่มท้อง มันกลับทำให้เขารู้สึกว่างเปล่ากว่าเดิมเสียอีก





    พวกเขาทั้งหมดสลับกันรองน้ำฝนดื่มจากรอยรั่วบริเวณหลังคาของเต็นท์ แต่ละคนพยายาจะตักตวงน้ำให้ได้มากที่สุด เพราะดูเหมือนว่าเจ้าหน้าที่พวกนั้นคงจะไม่ประทานน้ำสะอาดให้เชลยศึกอย่างพวกเขาหรอก





    เจ้าหน้าที่หลายคนยืนประจำการอยู่หน้าทางออกของเต้นท์ ดวงตาดำขลับฉายแววโหดเหี้ยมปิดไม่มิด





    “ไปนอน! อย่าพยายามหนีเพราะพวกกูยิงแน่!” หนึ่งในนั้นตะโกนก่อนจะดับตะเกียง..เต็นท์ทั้งเต็นท์ตกอยู่ในความมืด





    จงอินขดตัวก่อนจะฝังใบหน้าลงกับเข่าทั้งสองข้างของตนเอง ร่างสูงตกลงสู่ห้วงนิทราที่เต็มไปด้วยภาพการตายของเซฮุน





    ...พรุ่งนี้จะแย่กว่านี้สักกี่เท่ากันนะ?





    ***






    พวกเขาตื่นขึ้นมาในเช้ามืดเพราะแส้ที่ฟาดลงบนร่างกาย จงอินสะดุ้งทันทีที่รองเท้าบูทหนังของใครสักคนเตะลงมากลางลำตัว พร้อมกับมือที่กระชากผมเขาอย่างแรง บังคับให้เขาคุกเข่าก่อนจะเอามือยันพื้นไว้ด้วยแรงอันน้อยนิด จงอินได้แต่จ้องมองพื้นดิน..ดวงตาพร่ามัวเนื่องจากการพักผ่อนและทานอาหารไม่เพียงพอ ร่างสูงกัดริมฝีปากของตัวเองแน่นเมื่อถูกแส้ฟาดลงมากลางหลัง เขารู้สึกได้ถึงชั้นผิวหนังที่เปิดออก รู้สึกได้ถึงเลือดที่ไหลซิบๆ มันมากเกินกว่าที่เขาจะรับไหว





    “พวกมึงหนีไม่ได้ง่ายๆหรอก..” เจ้าหน้าที่ร่างสูงคนนึงเอ่ย ดวงตาสีนิลแววระยับไปด้วยความสะใจ





    “ดูซะ!” มือที่กระชากเขาก่อนหน้านี้กระชากเขาอีกครั้งให้เงยหน้ามองภาพตรงหน้า เจ้าหน้าที่ที่อยู่ประจำการเมื่อคืนเดินเข้ามาพร้อมกับลากก้อนเขียวๆบางอย่างเข้ามาด้วยก่อนจะโยนมันลงตรงหน้าของจงอินและเชลยศึกคนอื่นๆ จงอินพยายามกระเถิบหนีเมื่อค้นพบว่ามันคือ ศพ..รอยกระสุนที่เจาะทะลุผ่านชุดทหารยังคงชัดเจน กลิ่นเลือดและกลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้งไปทั่วจนจงอินรู้สึกอยากสำรอก





    เจ้าหน้าที่ร่างสูงรายเดิมเตะศพเหล่านั้นอย่างไม่แยแสก่อนจะเอ่ยขึ้น





    “ให้นี่เป็นบทเรียนสำหรับพวกมึงทุกคน..ห้ามขัดคำสั่ง ไม่งั้นพวกมึงตายแน่!”





    ทันทีที่เจ้าหน้าที่คนนั้นเดินออกไป..จงอินก็นึกขึ้นมาได้ นายทหารคนนั้นคือหวงจื่อเทา หนึ่งในหน่วยรบที่เก่งที่สุดและยังเป็นนายทหารที่ยศค่อนข้างสูง...เหมือนเซฮุนไม่มีผิด จงอินหลุบตาลงมองพื้นก่อนจะกำหมัดแน่น





    กองศพถูกทิ้งให้เน่าเปื่อยอยู่ในเต็นท์ ส่วนพวกเขาที่ยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องออกเดินทางต่อไปอย่างไม่รู้จุดหมายปลายทาง จงอินกลับเข้าไปในวังวนของการเดินตรงไปสู่นรกอีกครั้ง พยายามจะไม่สนใจเสียงประท้วงของร่างกายว่ามันอ่อนแรงและเหนื่อยล้าเพียงใด





    กลางวันกลายเป็นกลางคืนและกลางคืนกลายเป็นกลางวัน แต่พวกเขาก็ได้หยุดพักครั้งละไม่ถึงสิบห้านาทีเท่านั้น เชลยศึกหลายคนพยายามที่จะหาหนทางหนี บางคนก็ประสพความสำเร็จ..พวกเขาวิ่งหายเข้าไปในป่าก่อนที่จะถูกพบว่าหายตัวไป แต่นั่นคือส่วนน้อย ส่วนมากจะหนีไม่พ้นและจะถูกยิงทิ้งให้เน่าตายอยู่ข้างถนน จงอินอยากจะเชื่อว่าจะมีคนนำศพเหล่านี้ไปฝัง เขารู้ว่ามันเป็นความหวังลมๆแล้งๆ-จำนวนศพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในขณะที่ความเมตตาของมนุษย์ลดน้อยลงทุกที





    เขายังคงประทังชีวิตอยู่ต่อไปได้ด้วยขนมปังแข็งๆหนึ่งก้อนที่ถูกส่งต่อมาเรื่อยๆ เขารู้สึกขอบคุณเวลาฝนตกเพราะนั่นหมายความว่าเขาจะไม่ต้องทนกับลำคอที่แห้งผาก จงอินรู้ว่าเหลือเวลาไม่มาก วันหนึ่งเขาต้องลื่นล้มและลงเอยเหมือนกับศพที่ถูกทิ้งอยู่ที่ข้างทางแน่ วันหนึ่งเขาต้องล้มป่วยและถูกปล่อยให้ตายอย่างช้าๆ เขารู้ว่ายังไงเขาก็ต้องตาย ตอนนี้เขาทำได้เพียงยืดเวลาออกไปเท่านั้น





    ความคิดหนึ่งแล่นแว้บเข้ามาในหัว:ถ้าเขาจะตาย...เขาจะต้องเป็นหนึ่งในคนสุดท้าย





    ***





    มันเกิดขึ้นหกวันต่อมา…





    พายุพัดโหมกระหน่ำส่งผลให้ความหนาวซึมลึกลงไปถึงกระดูก วันนี้จงอินลื่นบ่อยกว่าทุกครั้ง..ร่างสูงพ่นลมหายใจออกมาด้วยความหนาวก่อนจะสั่นน้อยๆ เขาไม่ได้กินข้าวหรือน้ำมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว กล้ามเนื้อในร่างกายร้องเตือนว่าใกล้สุดสิ้นขีดจำกัดเต็มที แต่จงอินยังคงดื้อแพ่งและไม่ฟังเสียงเหล่านั้น





    เมื่อเดินผ่านทางที่เต็มไปด้วยโขดหินเพียงครึ่งทาง จงอินก็สะดุดก้อนหินก้อนหนึ่งก่อนจะล้มลงไปคุกเข่าอยู่บนพื้นแฉะๆ เขาพยายามจะยืนขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ก็พบว่าตัวเองทำไม่ได้ ดูเหมือนข้อเท้าจะพลิกอย่างรุนแรง ความกลัวคลืบคลานเข้ามาแทนที่ความเจ็บปวด..จงอินพยายาม พยายามอย่างมากที่จะหยัดตัวเองให้ลุกขึ้นแต่ก็ทำไม่ได้ แรงในร่างกายไม่มีเหลืออีกต่อไป..มือหนึ่งวางแปะลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง ในขณะที่จงอินหลับตาลงและสวดมนต์ต่อพระเจ้า มันคงหมดเวลาของเขาแล้วสินะ..

    ไม่มีบทลงโทษใดๆทั้งสิ้น ไม่มีแส้ที่ฟาดลงมา ไม่มีไกปืนจ่ออยู่ที่หัว จงอินพยายามดิ้นหนีมือที่จับไหล่เขาแต่มือนั้นกลับยิ่งบีบแน่น





    “ลุกขึ้น” เสียงนั้นเอ่ยเบาๆให้ได้ยินกันสองคน





    “เจ้าหน้าที่คนอื่นจะเห็นนายนะ ลุกขึ้นเดี๋ยวนี้”





    “ผมทำไม่ได้..ข้อเท้าผม..มันพลิก” จงอินเอ่ยอย่างจนตรอก





    น้ำหนักมือที่วางลงบนไหล่ของเขาหายไป จงอินหลับตาลงพร้อมกับนึกถึงภาพของเซฮุนในวันนั้น นึกถึงภาพของพ่อกับแม่ที่ยิ้มบอกลาเขาก่อนจะมาสู้รบในสงครามครั้งนี้ นึกถึงหุ่นยนต์ทหารที่เขาสะสมและวางไว้บนโต๊ะตั้งแต่เด็ก และในนาทีนั้นเขาก็ตระหนักว่า..ทุกๆคนได้บอกลาเขาตั้งนานแล้ว มีเพียงเขาคนเดียวที่ไม่พร้อมที่จะปล่อยมือจากคนเหล่านั้น





    มือเล็กคู่หนึ่งเอื้อมมาพับขากางเกงของจงอินขึ้นในขณะที่จงอินแต่ได้นั่งนิ่ง เพียงไม่นาน..แขนของเขาก็ถูกยกให้พาดไหล่เล็กของใครอีกคน วูบหนึ่งที่จงอินตั้งคำถามว่าคนๆนี้จะรับน้ำหนักเขาไหวแน่หรือ? สายตาเหลือบมองเจ้าของไหล่เล็กและพบว่าคนๆนี้ตัวเล็กกว่าเขามาก ขนตายาวเป็นแพและดวงตาโตที่จ้องมาทางเขาก่อนจะหลบไปอีกทาง





    นี่คือศัตรู.. จงอินคิด นี่ต้องเป็นกับดักหรือแผนล่อลวงอะไรสักอย่างแน่ๆ





    “ผ..ผม..ผมเดินได้” จงอินเอ่ยก่อนจะพยายามดันอีกคนออกห่างแต่อีกคนกลับจับไว้แน่นก่อนจะส่งสายตาดุ





    “นายยืนไม่ได้ด้วยซ้ำ” อีกคนเอ่ยเอือมๆก่อนจะกระชับแขนจงอินให้แน่นมากขึ้น “อยู่เงียบๆแล้วเดินต่อไปเถอะน่า นี่ถือว่าฉันใจดีแค่ไหนแล้วที่ไว้ชีวิตนาย”





    จงอินเงียบไปสักพัก ที่อีกคนพูดมาก็ถูกทุกอย่าง..แต่แล้วเขาก็อดถามไม่ได้ “ทำไมคุณถึงไม่ฆ่าผมล่ะ?”





    สายตาที่ส่งมาเต็มไปด้วยความเอือมระอาและความรำคาญ “อยู่เงียบๆไม่เป็นหรือไง?”





    จงอินได้แต่มองเท้าตัวเอง พวกเขาเดินกันไปแบบนั้นเป็นจำนวนไม่กี่ไมล์ จงอินเกาะไหล่อีกคนแน่นจนถึงค่าย เขาถูกส่งตัวเข้ามาในห้องพยาบาลที่ไร้หมอและส่งกลิ่นเหม็นของความตาย ร่างเล็กบังคับให้จงอินนั่งบนเตียงเก่าๆก่อนจะเป็นคนปฐมพยาบาลให้จงอินด้วยตัวเอง





    “เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันมารับ” อีกคนเอ่ยเมื่อเสร็จธุระ





    “คืนนี้ก็นอนที่นี่แหละ..ไม่มีใครเข้ามาห้องนี้หรอก นายเองก็คงไม่อยากให้เจ้าหน้าที่คนอื่นเห็นนายในสภาพแบบนี้แน่” ทั้งคู่สบตากันพักหนึ่ง





    อีกคนหันหลังเตรียมจะเดินออกจากห้อง มือบิดลูกบิดในขณะที่แสงจากภายนอกเริ่มส่องเข้ามา





    “เดี๋ยวก่อน” จงอินรั้งไว้ก่อนจะยันตัวขึ้นมานั่ง “คุณชื่ออะไร?”





    “ทำไม?” อีกคนเลิกคิ้วถามอย่างแปลกใจ “มันไม่สำคัญหรอก”





    “ก็แค่...ผมจำเป็นต้องรู้” จงอินเอ่ยเบาๆ ที่จริงแล้วเขาก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเขาจะถามชื่ออีกคนทำไม นี่ไม่ใช่โรงเรียนประถมที่เด็กๆจะเล่นด้วยกันและถามชื่อกันอย่างสนุกปาก นี่คือสงครามที่ฝ่ายจงอินแพ้..เป็นสาเหตุให้เขาต้องมาทรมานอยู่อย่างนี้





    อีกคนมองมาด้วยสายตานิ่งๆ..





    “คยองซู...ฉันชื่อโดคยองซู”





    “อ่า..” จงอินพยักหน้า “ผมชื่อ…”





    “นายชื่อคิมจงอิน ฉันรู้” คยองซูเอ่ยตัดบทก่อนจะหันหน้าหนี “นอนเถอะ..พรุ่งนี้เช้าฉันจะกลับมาใหม่”





    ประตูปิดลงในขณะที่จงอินได้แต่นอนอยู่แบบนั้นบนเตียงผุๆท่ามกลางความมืด นอนฟังเสียงฝีเท้าที่ดังอยู่ข้างนอก





    คืนนั้น...เขาไม่ได้ฝันร้ายเหมือนคืนอื่นๆ





    ***





    จงอินโซเซไปเข้าแถวในเช้าถัดมา ข้อเท้ายังคงปวดหนึบๆ คยองซูไม่พูดหรือแม้แต่มองเขาในขณะที่พาเขาเดินจากห้องพยาบาลมายังแถว ด้วยใบหน้านิ่งเฉยกับสัมผัสที่อ่อนโยน คยองซูพาจงอินมายืนหลังชายคนหนึ่งที่ยืนหมดแรงเนื่องมาจากความร้อนก่อนจะเดินหายไป





    อย่างน้อยข้อเท้าของเขาในวันนี้ก็อาการดีขึ้นมานิดหน่อย แต่มันก็ยังลำบากเวลาต้องเดินทางผ่านพื้นที่ไม่เรียบ พวกเขาไม่ได้เดินผ่านพื้นดินแห้งๆธรรมดาอีกต่อไปแล้ว แต่พวกเขาต้องเดินผ่านป่าและทางเดินที่คดเคี้ยวเลี้ยวชัน จงอินพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ พยายามจะไม่ทิ้งน้ำหนักลงไปบนขาข้างที่เจ็บ อย่างน้อยเขาก็ไม่ช้าเกินไปจนโดนทำโทษ





    พวกเขาได้พักเมื่อมาถึงที่กว้างโล่งๆแห่งหนึ่ง จงอินนั่งพิงต้นไม้ก่อนจะยืดขาออกไปข้างหน้า เขารู้ว่าเขาควรยกขาขึ้นเพื่อให้เลือดไหลลงแต่เขาไม่อยากให้เจ้าหน้าที่คนอื่นจับได้ว่าเขาบาดเจ็บ ร่างสูงนั่งมองเท้าตัวเองก่อนจะถามตัวเองซ้ำๆว่าเขาจะทนได้ถึงแค่ไหนกัน





    จงอินสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อใครบางคนเดินมาขนาบข้างก่อนจะพบว่าคนๆนั้นคือคยองซู ใบหน้านิ่งเฉยที่มองมาทำให้จงอินไม่สามารถเดาได้ว่าอีกคนคิดอะไรอยู่





    “ให้ฉันดูเท้าหน่อย” คยองซูเอ่ยเบาๆ น้ำเสียงนุ่มน่าฟังที่ทำให้จงอินนึกถึงกำมะหยี่ มือเล็กถอดรองเท้าของจงอินออกอย่างแผ่วเบาก่อนจะมองข้อเท้าที่บวมช้ำของเขาสักพัก จากนั้นจึงเอาผ้าพันแผลออก ทายาที่ทำให้จงอินรู้สึกดีขึ้น ก่อนจะพันผ้าพันแผลกลับไปดังเดิม





    “คุณทำแบบนี้ทำไม?” จงอินโพล่งออกมาตรงๆ เขาไม่เข้าใจ...นี่ต้องเป็นแผนล่อลวงอะไรสักอย่างสิ คยองซูเป็นศัตรูนะและจงอินก็เป็นนักโทษที่คยองซูสามารถทรมานได้ตามต้องการ





    “เลิกถามอะไรเยอะแยะสักทีเถอะ..นายไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่จะถามได้นะ” คยองซูตอบพร้อมกับหยัดตัวลุกขึ้นยืน ยังไม่ทันที่จงอินจะได้ตอบอะไร..ร่างเล็กก็เดินหายไปอีกครั้ง





    นายทหารทั้งหมดเดินต่อเมื่อแสงแดดยามบ่ายส่องผ่านใบไม้ของต้นไม่ใหญ่ จงอินอุทานเบาๆเมื่อพวกเขาเดินมาถึงบริเวณที่เต็มไปด้วยหินหลากหลายขนาด เขาเห็นใครหลายคนสะดุดแล้วสะดุดอีก เขาจะไม่เป็นอย่างนั้น





    แต่แล้วก็ดูเหมือนพระเจ้าจะไม่เข้าข้าง..





    เท้าของเขาสะดุดเข้ากับหินแหลมๆที่ตั้งฉากกับพื้นดิน ทำให้จงอินล้มลงไปอย่างแรงพร้อมกับหินดังกล่าวที่บาดแขนจนเลือดหยดเป็นทาง เลือดยังคงหยดอยู่อย่างนั้นในขณะที่จงอินพยายามอย่างมากที่จะดันตัวเองขึ้นยืน เขารู้ว่าครั้งนี้ต้องมีนายทหารคนอื่นที่เห็นเขาแน่





    ทันใดนั้นเขาก็ถูกเตะเข้าที่สีข้างจนไถลไปกับพื้นพร้อมกับที่มีมือใหญ่กระชากคอเสื้อเขาจากข้างหลังจนขาดอากาศหายใจ จงอินทำได้เพียงแค่ไอค่อกแค่กพร้อมใบหน้าที่แดงก่ำเท่านั้น





    “กองทัพทหารของมึงทำได้แค่นี้หรือไงวะ?” เสียงแหบตะโกนใส่หูของเขา “กองทัพที่เต็มไปด้วยพวกอ่อนแอที่สะดุดล้มโง่ๆ ถึงได้แพ้แบบนี้สินะ หึ!” น้ำลายกระเซ็นเต็มหน้าเขาก่อนที่ใบหน้าจะถูกกดลงกับพื้นดิน ดินรสชาติปะแล่มเป็นสิ่งเดียวที่จงอินรับรู้ในตอนนี้





    ไม่จริง..กองทัพของพวกเขาไม่ได้อ่อนแอ พวกเขาแค่เหนื่อยแล้วต่างหาก ..จงอินคิด





    “ปล่อยเดี๋ยวนี้” เสียงคุ้นหูเอ่ยขึ้นเรียบๆ





    “แต่มันสะดุด..”





    “มันสะดุดก็เพราะหินก้อนนั้น..กูสั่งให้มึงปล่อยเดี๋ยวนี้” จงอินชะงักเมื่อได้ยินอย่างนั้น ความรู้สึกขอบคุณแน่นอยู่ในอก





    “ครับผม” จงอินถูกปล่อยจากการถูกกระชากคอเสื้อ ร่างสูงเงยขึ้นกอบโกยอากาศหายใจทั้งหมดที่มี “แต่มันก็ยังเป็นไอ้ขี้แพ้..”





    “ทุกคนมันก็เป็นไอ้ขี้แพ้สำหรับมึงทั้งนั้นแหละ” คยองซูเอ่ย “ปล่อยมันไป ถ้าเรายังคงทำแบบนี้ต่อไป..เราได้ฆ่าทุกคนจนตายห่าหมดแน่ หลังจากนั้นจะเป็นยังไงต่อล่ะ?”





    เจ้าหน้าที่คนนั้นรับคำในลำคออย่างไม่ค่อยพอใจก่อนจะเดินไป คยองซูจึงช่วยดึงจงอินขึ้นมาจากพื้น





    “ขอบคุณ” จงอินเอ่ยเบาๆ





    “ระวังตัวให้มากกว่านี้” คยองซูเอ่ยเตือน “ฉันไม่อยากให้ความพยายามของฉันมันเสียเปล่าที่ช่วยชีวิตคนอย่างนายหรอกนะ” และแล้วคยองซูก็เดินหายไปอีกครั้ง





    หลังจากพระอาทิตย์ตก..จงอินก็เดินอย่างระมัดระวังมากขึ้นจนไม่สะดุดอะไรอีกเลย เขาไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก





    ***





    พวกเขาพักกันอยู่รอบกองไฟที่ไม่ได้ให้ความอบอุ่นแต่กลับให้ความรู้สึกเหน็บหนาวแทน เชลยศึกทุกคนนั่งเบียดกันเป็นวงกลมในขณะที่เหล่าผู้คุมยืนถือปืนอยู่ล้อมรอบ จงอินพยายามที่จะทำจิตใจให้สบายแต่ก็ไม่สามารถทำได้





    ก้อนขนมปังแข็งๆถูกส่งต่อกันไปเรื่อยๆอีกตามเคย แต่แล้วก็มีบางอย่างที่แปลกไปไม่เหมือนทุกวัน จงอินเห็นเหล่าผู้คุมเดินเข้ามาในวงพร้อมกับกุญแจมือเหล็กและโซ่ตรวน และภาพนั้นทำให้จงอินอยากจะลุกขึ้นและวิ่งออกไปจากตรงนี้ เขาอยากจะโดนยิงมันซะเดี๋ยวนั้นเพราะทั้งหมดนี้มันมากเกินไป-- นี่คือการป่าวประกาศอย่างเป็นทางการว่าศักดิ์ศรีของเขาได้ถูกเหยียบย่ำจนไม่เหลือชิ้นดีอีกแล้ว





    ความกลัวของเขากลายเป็นจริงเมื่อผู้คุมคนหนึ่งโยนขนมปังมาให้เขาพร้อมกับใส่กุญแจมือให้ จงอินฉลาดพอที่จะไม่ขัดขืนทั้งๆที่ในใจกรีดร้องอยากจะหลุดพ้นออกไปจากสถานการณ์ตรงหน้า เขาอยากหายตัวออกไป เขาอยากทำให้เศษเหล็กที่คล้องข้อมือของเขาตอนนี้หลุดออกไป เขาอยากให้โลกรู้ว่าสิ่งที่แย่กว่าความตายคือการถูกจองจำโดยไร้สิทธิเสรีภาพ จงอินสูดลมหายใจแห่งความโกรธเคืองเข้าปอดก่อนจะเคี้ยวขนมปังที่ได้รับมา ปล่อยให้มันไหลลงคอแห้งๆอย่างไร้รสชาติ





    จงอินกวาดตามองใบหน้าของนายทหารหลายนายที่ตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับเขา ใบหน้าของทุกคนบ่งบอกถึงความอ่อนล้าและความพ่ายแพ้ จำนวนคนได้ลดลงไปอย่างน่าใจหาย เขาจำได้ว่ากองทัพของพวกเขามี5000คน นายทหารหนุ่ม5000นายที่พร้อมจะสู้รบเพื่อประเทศของตัวเอง แต่ตอนนี้...อย่างเก่งก็เหลือเพียง1000นายหรืออาจจะน้อยกว่านั้น มันทำให้เขาสงสัยว่าเขารอดมาได้อย่างไร





    กองไฟริบหรี่ลงแต่ก็ยังคงส่องแสงสีเหลืองนวลในค่ำคืนที่มืดมิด จงอินมองขึ้นไปบนท้องฟ้า แม้จะไร้ซึ่งความหวัง แต่เชื่อไหม..ว่าเขายังคงพยายามมองหาดวงดาวอยู่ เขายังคงพยายามหาความหวังในสถานการณ์ที่สิ้นหวังนี้ และแม้เขาจะยังมองไม่เห็นทางแต่เขาก็ยังคงอยู่ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าในตอนนี้ความหวังของเขาคืออะไร เขาไม่รู้อะไรอีกแล้ว อิสรภาพเป็นเพียงแค่อุดมการณ์ที่จับต้องไม่ได้ ตอนนี้สิ่งเดียวที่จงอินมองเห็นในเส้นทางชีวิตของตัวเองคือความตาย ความตายที่ถูกกำหนดมาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว





    จงอินนอนขดตะแคงอยู่บนพื้นแข็งๆ เขาพยายามที่จะข่มตาหลับแต่ก็ไม่สามารถทำได้ ห้วงนิทราได้หนีเขาไปในที่ๆเขาไม่สามารถตามหาเจอ ทิ้งให้เขาได้แต่นอนขดอยู่ตรงนั้นด้วยสติที่ยังครบถ้วน เขาคิดว่าเขาฝันไปเมื่อได้ยินเสียงร้องเพลงเบาๆมาจากใครซักคน เสียงที่ทั้งใสและชัดเจนทั้งๆที่ถูกขับร้องออกมาเพียงแผ่วเบา จงอินบอกตัวเองว่ามันไม่ใช่เรื่องของเขาแต่เขาก็อดพลิกตัวกลับไปมองหาเจ้าของเสียงไม่ได้ก่อนจะพบกับชายคนหนึ่งที่แหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า





    ใบหน้าของชายคนนั้นตอบและซูบผอมแต่จงอินก็ยังจำได้ เหมือนเห็นเซฮุนเคยยืนคุยกับคนๆนี้ในวันที่พวกเขายังมีความหวังที่จะชนะสงคราม เขามองไปยังชายคนนี้ก่อนจะหลับตาฟัง ฟังเสียงงดงามที่ถูกเปล่งออกมาให้โลกนี้ได้ยิน โลกที่เต็มไปด้วยความโสมมสกปรก





    มันเป็นเพลงเก่าที่จงอินเคยได้ยินแต่จำชื่อเพลงไม่ได้ แต่ไม่ว่ามันจะเป็นเพลงอะไรมันก็ทำให้จงอินรู้สึกผ่อนคลาย ท่วงทำนองที่เหมาะกับวันที่แดดออกสดใส วันที่ดอกไม้บานเต็มทุ่ง..





    เมื่อเสียงร้องหยุดลง จงอินแทบจะบอกให้ชายคนนั้นร้องต่อ แต่ก็ต้องหลบตาเมื่อชายคนนั้นมองมาและสะกิดเขาเบาๆที่แขน ภายใต้แสงสลัวของดวงจันทร์..จงอินเห็นว่าใบหน้าของชายคนนั้นมีแผลยาวจากหางคิ้วลงมาจนถึงปลายคาง มันทำให้เขาสงสัยว่าตอนนี้ตัวเขาเองจะหน้าตาเป็นอย่างไร





    “ฉันเคยอยากเป็นนักร้อง” ชายคนนั้นเอ่ยเบาๆ จงอินได้แต่มองดวงตาของคนตรงหน้า ดวงตาที่เคยเต็มไปด้วยความฝันที่ถูกดับวูบลง





    “...แต่แล้วสงครามก็เกิด มันทำให้ฉันต้องละทิ้งความฝันและสู้เพื่อประเทศของตัวเอง นายรู้จักเพลงที่ฉันร้องไหม?”





    จงอินส่ายหน้าก่อนจะกวาดตามองไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง





    “ฉันก็ไม่รู้จักเหมือนกัน..” ชายคนนั้นเอ่ยก่อนจะหัวเราะเบาๆ





    “ฉันเคยได้ยินมันมาจากที่ไหนสักแห่งและรู้สึกชอบมันมากๆ มันจะเล่นอยู่ในหัวฉันซ้ำๆเวลาเราออกเดิน...ฉันชื่อจงแดนะ นายชื่ออะไร?”





    “จงอิน” จงอินพึมพำตอบ





    “ฉันรู้ว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะถามชื่อกัน แต่มันทำให้ฉันรู้สึกดีขึ้นน่ะ อย่างน้อยเวลาฉันตาย..อย่างน้อยก็ยังมีคนรู้จักชื่อฉัน” จงแดยิ้มเศร้าๆ





    “แต่ถ้าเราตายพร้อมกันล่ะ?” จงอินขบริมฝีปากก่อนจะเอ่ยถาม





    จงแดเงียบไปสักพัก ดวงตาเต็มไปด้วยความรู้สึกหลากหลายที่จงอินอ่านไม่ออก สุดท้ายแล้วจงแดก็ตัดสินใจตอบออกมาเสียงเบา





    “ไม่หรอก...ฉันมั่นใจว่านายจะอยู่นานกว่าฉันแน่”





    ก่อนที่จงอินจะได้ถามต่อ เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นทำให้บทสนทนานี้จบลงและดูเหมือนจะไม่มีวันเริ่มขึ้นอีก จงแดหลับตาลงในขณะที่จงอินก็ทำเช่นกัน





    ***





    จงอินไม่ได้นับวันหรืออะไรแต่หลังจากที่เดินอยู่อย่างนี้เป็นเวลาแปดวัน พวกเขาก็เดินมาถึงลำธารที่มีน้ำใสแจ๋ววิ่งผ่าน จงอินเกร็งตัวก่อนจะเบือนหน้าหนีทันที แม้ของเหลวสีใสมันจะดูเย้ายวนใจแค่ไหน แม้เขาจะได้กินแต่น้ำฝนเป็นเวลาแปดวันที่ผ่านมา เขาก็ต้องจำใจก้าวถอยหลัง เหมือนจงแดเองจะคิดแบบนั้นเช่นกันเพราะร่างผอมเองก็ก้าวถอยหลังเหมือนๆกับจงอิน ดวงตาแข็งกร้าวและริมฝีปากเม้มแน่น นี่คงเป็นการทรมานอีกอย่างหนึ่ง





    “มองซะ!” เทาตะโกนก่อนจะแย้มยิ้มชั่วร้าย ดวงตาฉายแววสะใจในขณะที่มือถือแส้แน่น





    “หิวน้ำกันมากไม่ใช่เหรอ?” เทาตะโกนถามก่อนจะตักน้ำจากลำธารมาดื่มให้ดูกันจะๆ จงอินรู้สึกได้ถึงความกระหายที่เพิ่มพูนขึ้นทุกขณะ





    จงแดสะกิดจงอินเบาๆ จงอินพยักหน้ารับก่อนจะหลับตาลงและหายใจเข้าลึกๆ พยายามจะไม่มองและไม่สนใจภาพตรงหน้า





    “นายอยากดื่มไหม?” เทาเดินไปหานายทหารตัวเล็กๆคนหนึ่งที่มีใบหน้าหวานอ่อนเยาว์เหมือนสตรี ลู่หาน…คนที่เซฮุนเพ้อถึงทุกคืน คนที่ทำให้เซฮุนเขินอาย ลู่หานที่ดูอ่อนแอแต่กลับเข้มแข็งอย่างไม่น่าเชื่อ





    “ไม่ครับ” ลู่หานตอบอย่างหนักแน่นทั้งๆที่ดวงตาอ่อนล้าเต็มที





    “แน่ใจเหรอ?” เทาเลิกคิ้วก่อนจะเชยคางร่างเล็กขึ้น มือหยาบข้างนึงลูบใล้สันกรามของร่างเล็กเบาๆในขณะที่มืออีกข้างถือแก้วน้ำยั่วยุให้อีกฝ่ายหลงกล ลู่หานพยักหน้ารับในขณะที่เทาเพ่งพินิจมองใบหน้าอีกฝ่ายก่อนจะยิ้มกริ่ม





    “สวยดีนะ” เทาเอ่ยเรียบๆแต่มันทำให้จงอินชะงัก





    เซฮุนเองก็ชอบชมว่าลู่หานสวยเหมือนกัน..





    เทาก้าวถอยหลังในขณะที่จงอินมองตรงไปข้างหน้า พยายามจะไม่เหลือบมองลำธารที่อยู่ห่างไปเพียงคืบเดียว เขากำลังโกรธ ภาพของเซฮุนวนเวียนเข้ามาในหัวซ้ำๆ เขาอยากลืมแต่ก็ลืมไม่ได้ ความทรงจำระหว่างเขากับเพื่อนสนิทมันเยอะเกินไป เซฮุนอยู่ในทุกที่ๆเขาไป ทุกคำพูดที่เอ่ยออกมา เขาได้ตระหนักแล้วว่าเซฮุนไม่มีวันทิ้งเขาไปไหน เซฮุนยังคงอยู่กับเขาตลอดและคงอยู่กับเขาไปจนสุดทาง





    “เราจะอยู่ตรงนี้จนถึงพระอาทิตย์ตก พวกมึงจะยืนข้างๆลำธารสายนี้ แต่จะไม่มีใครได้ดื่มน้ำ” เทาเอ่ยเสียงเรียบ และเพราะประโยคนี้ต่างทำให้ทุกคนหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก





    จงอินกำมือแน่น ความเย็นจากโลหะรอบข้อมือเขาเป็นเครื่องเตือนใจชั้นดี เขาสบตากับจงแดอย่างรู้กัน พวกเขารู้ว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้แต่ก็อดรู้สึกโกรธไม่ได้ เทากำลังเล่นกับความรู้สึกของพวกเขา เขาเชื่อว่าถ้าฝ่ายเทาเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในสงคราม...พวกเขาจะไม่ทำถึงขั้นนี้อย่างแน่นอน





    จงอินเตรียมใจที่จะยืนฝ่าฝันความอยากของตัวเองและพยายามที่จะไม่ทิ้งน้ำหนักลงไปบนเท้าที่เจ็บเพราะมันยังไม่หายดี จงอินรู้ว่าเขาสามารถฝ่าด่านทดสอบนี้ไปได้ถึงแม้ว่าน้ำในลำธารจะเย้ายวนใจแค่ไหน เขาเป็นคนที่มีระเบียบวินัยกว่าคนอื่นๆ เขาไม่รู้ว่าคนอื่นจะทนได้ไหม..เขาไม่รู้ว่าคนอื่นจะตอบสนองยังไงกับการที่มีน้ำสะอาดอยู่ตรงหน้าแต่กลับต้องยืนมองมัน พวกเขาได้เดินมาผ่านแดดที่แผดเผาเป็นเวลาหลายชั่วโมง และตอนนี้ทุกคนกำลังกระหายน้ำเป็นอย่างมาก





    เปรียบเสมือนพวกเขาเป็นโดมิโนที่ยืนเรียงกันเป็นระเบียบ รอให้ใครคนนึงล้ม จากตรงนี้จงอินมองเห็นคยองซูกำลังยืนเถียงกับเทา ร่างเล็กมีท่าทีไม่พอใจเป็นอย่างมาก





    “...หยุดเถอะเทา นี่มันบ้าไปแล้ว เราควรเดินทางต่อได้แล้ว”





    “เรื่องของกู ทำไมมึงต้องค้านไปหมดทุกเรื่องด้วย?”





    “เทา-”





    “กูเป็นคนสั่งการที่นี่ ไม่ใช่มึง จำไว้”





    คยองซูเงียบไปเมื่อได้ยินดังนั้นแต่ดวงตายังคงแฝงไปด้วยความไม่พอใจ จงอินเหลือบมองไปทางอื่น..เขาไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น





    จงอินกำลังจะขยับตัวเพราะความขบเมื่อยเมื่อจู่ๆก็มีนายทหารคนหนึ่งวิ่งออกมาจากแถวพร้อมเสียงร้อง มันเหมือนทุกอย่างกลายเป็นภาพสโลว์โมชั่น ข้างๆเขา..จงแดได้แต่ร้องออกมาด้วยความตกใจ





    “มินซอก..” จงแดเอ่ยเสียงเบา “ทำไมล่ะ...มินซอก”





    แม้จะรู้อยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไปแต่จงอินก็ไม่สามารถละสายตาออกไปจากเหตุการณ์ตรงหน้าได้เลย เขายืนมองในขณะที่มินซอกออกวิ่งไปจนถึงลำธาร ก่อนจะทิ้งตัวลงกับพื้นหญ้าเพื่อตักน้ำจากลำธารขึ้นดื่ม เขามองรอยยิ้มร้ายที่ค่อยๆปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเทา





    มินซอกได้กลืนน้ำลงคอไปไม่ถึงสามอึก เทาก็ชักดาบออกมาจากฝัก..ใบมีดคมสะท้อนแสงอาทิตย์ที่สาดส่องลงมาโดยที่มินซอกไม่รู้เลย ความกลัวได้ถูกทดแทนด้วยความกระหายจนหมดสิ้น แต่จงอินรู้..จงอินเห็นภาพทุกอย่าง ภาพที่จะตามหลอกหลอนเขาตลอดไป ภาพที่เทาใช้ดาบเล่มคมตัดหัวมินซอกทิ้งอย่างง่ายดายเหมือนกับการใช้มีดหั่นเนย เพียงแค่ไม่กี่วินาทีน้ำในลำธารก็กลายเป็นสีแดงฉาน ร่างไร้ชีวิตของมินซอกถูกโยนทิ้งลงไปในน้ำ ศีรษะของมินซอกถูกปักไว้บนสันคมของดาบก่อนจะที่เทาจะยกมันขึ้นให้ทุกคนได้เชยชม





    “นี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อพวกมึงขัดคำสั่ง และเพราะเหตุการณ์นี้..พวกมึงจะไม่ได้กินข้าวไปอีก24ชั่วโมง หัวของไอ้ขี้แพ้นี่จะเป็นเครื่องเตือนใจให้พวกมึงทุกคน” เทาเอ่ยเสียงเรียบเพื่อให้ได้ยินกันทั่วถึง





    จงอินได้แต่กลืนความขมขื่นและความรู้สึกสะอิดเอียนลงไปก่อนจะออกเดินต่อ ตรงหน้าเขา..ไหล่ของจงแดสั่นเทาไปด้วยความโกรธและความเสียใจ จากมุมนี้เขาสามารถมองเห็นน้ำตาของจงแดได้อย่างชัดเจน เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากช่วยสวดมนต์ภาวนาให้วิญญาณของมินซอกไปสู่สุคติ





    หลังจากที่พวกเขาได้พักและความมืดได้คืบคลานเข้ามา คยองซูก็มาหาเขา ร่างเล็กไม่พูดอะไรแต่กลับยัดขนมปังอุ่นๆใส่มือของจงอิน





    “แบ่งเพื่อนของนายด้วย” คยองซูเอ่ยเรียบๆ ดวงตาโตกวาดมองไปรอบๆ





    “ทำไม?” จงอินถาม





    “มันไม่สมควรจะเป็นแบบนี้ ที่เทาทำมันมากเกินไป ฉันอยากจะเก็บเชลยศึกทุกคนไว้” คยองซูส่ายหน้าเบาๆ





    “เก็บพวกเราไว้ทำไมครับ? เพื่อฆ่าทิ้งทีหลังน่ะเหรอ?” จงอินแค่นยิ้ม





    คยองซูไม่ตอบอะไรแต่กลับลุกออกไปรวมกับผู้คุมคนอื่นๆ จงอินขยับเข้าไปใกล้จงแดก่อนจะยื่นขนมปังชิ้นดังกล่าวให้เมื่อแน่ใจว่าไม่มีคนมอง





    “ทำไม-”





    “รับไว้และกินเข้าไปเถอะ ไม่ต้องถามอะไร” จงอินเอ่ย





    จงแดชะงักเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าเบาๆ มือผอมแบ่งขนมปังคนละครึ่งก่อนที่ทั้งสองจะกินขนมปังท่ามกลางความมืดที่โรยตัวลงมา





    เมื่อพวกเขาทั้งสองทิ้งตัวลงนอนกับพื้น จงอินก็ตัดสินใจรวบรวมความกล้าเพื่อถามในสิ่งที่อยากรู้





    “มินซอกเป็นเพื่อนนายเหรอ?”





    “เปล่า” จงแดเอ่ยเสียงสั่น





    “มินซอกเป็นมากกว่านั้น มินซอกเป็นเหมือนพี่ชายของฉัน เหมือนคนในครอบครัว”





    และแล้วทั้งสองก็ตกอยู่ในความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไรหลังจากนั้น





    ***





    จงอินฝันเห็นใบหน้า ใบหน้าของเซฮุนก่อนที่เซฮุนจะตาย ใบหน้าของศพที่กองรวมกัน ของนายทหารที่ต้องเสียสละชีวิตตัวเอง ก่อนจะฝันเห็นตัวเองถูกฝังทั้งเป็นในขณะที่เทากำลังจับดินกรอกปากของเขา เขาตื่นขึ้นมาด้วยความตื่นตระหนกและความหวาดกลัว ก่อนจะนั่งมองพระอาทิตย์ขึ้นในขณะที่คนอื่นๆตื่น





    เส้นทางสู่นรกดำเนินต่อไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดและไร้จุดหมาย บางทีจงอินก็คิดว่ามันจะดีแค่ไหนถ้าเขาสามารถสลายหายกลายเป็นผุยผงได้ ข้อเท้าของเขาหายดีแล้ว หายดีพร้อมกับแผลทั้งหมดที่ยังคงทิ้งแผลเป็นเอาไว้ เขาชินเสียแล้วกับบทลงโทษที่โดนอย่างไร้เหตุผล กับแววตาสะใจของเทาทุกครั้งที่มีคนตาย





    ทุกๆคืนทั้งเขาและจงแดจะทำลายความเงียบด้วยการแบ่งปันความทรงจำต่างๆ เรื่องราวชีวิตในอดีตที่ไม่มีวันหวนกลับมา มันเป็นมิตรภาพที่แน่นแฟ้น พวกเขาทั้งคู่รับรู้เรื่องราวของกันและกันจนจำได้ขึ้นใจ อย่างน้อยก็จะจำกันและกันได้ในวันที่ฝ่ายใดฝ่ายนึงไม่อยู่บนโลกอีกต่อไป จงแดไม่ค่อยร้องเพลงแล้ว มันอันตรายเกินไปที่จะปล่อยให้เสียงเพลงดังขึ้นในขณะคนอื่นกำลังอยู่ในห้วงนิทรา





    พวกเขาถูกจำกัดทุกอิสรภาพที่เหลืออยู่





    คยองซูยังคงช่วยเหลือเขาต่อไปซึ่งเขายังคงไม่เข้าใจว่าทำไม เขาไม่สามารถตอบแทนอะไรคยองซูได้และร่างเล็กเองก็ไม่เคยทวงบุญคุณเลยสักครั้ง ร่างเล็กจะแอบนำขนมปังและน้ำสะอาดมาให้เขาเสมอ เมื่อเวลาผ่านไป..จงอินก็เลิกตั้งคำถามว่าทำไมคยองซูถึงทำแบบนี้ จงอินรู้ว่าคยองซูพยายามทุกทางเพื่อรักษาเชลยศึกไว้ให้ได้มากที่สุด คยองซูอาจจะแค่อยากต่อต้าน คยองซูอาจจะแค่โง่เขลา คยองซูอาจจะแค่เป็นคนจิตใจดี จงอินไม่รู้เพราะจงอินไม่อยู่ในตำแหน่งที่จะตัดสินใครได้ เขาไม่สนใจว่าคยองซูจะเป็นยังไง เขาเพียงแค่รู้สึกขอบคุณความช่วยเหลือที่คยองซูหยิบยื่นมาก็เท่านั้น





    จงอินและจงแดต่างก็พบเพื่อนใหม่ในวันหนึ่งของการอยู่ในค่าย ร่างเล็กที่ช่ื่อว่าแบคฮยอน แบคฮยอนผู้มีผิวขาวเนียนและดวงตายิ้มที่ฉายแววเศร้าสร้อย แบคฮยอนที่หวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา แบคฮยอนที่มีความฝันอยากเป็นนักร้องเหมือนๆกับจงแด แบคฮยอนที่นานๆครั้งจะเปล่งเสียงร้องแหบพร่าแต่น่าฟังออกมา





    แบคฮยอนแก่กว่าทั้งจงอินและจงแด..แต่กลับเปราะบางเหลือเกิน





    “พวกนายคิดว่าเขาจะปล่อยเราไปไหมหลังจากที่เราถึงจุดหมายปลายทางแล้ว?” แบคฮยอนเอ่ยถามขึ้นมาอย่างมีความหวัง ริมฝีปากเล็กงับขนมปังแข็งๆเข้าปากอย่างไม่รีบร้อน





    “ไม่มีทาง” จงอินตอบ





    “น่าจะไม่” จงแดตอบออกมาพร้อมกัน





    ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังดับวูบลง แบคฮยอนแย้มยิ้มเศร้าๆ





    “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไมฉันยังทนอยู่” แบคฮยอนเอ่ยออกมาตามตรง





    แต่จงอินรู้ว่าทำไมเขายังทนอยู่ มันเป็นเพราะเขาเป็นคนที่ไม่เคยยอมแพ้ เขารู้ว่ามันฟังดูโง่เพราะเขารู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องตายแต่อย่างน้อยเขาขอตายตอนที่เขาถึงจุดจบแล้วดีกว่าต้องมาตายกลางทางแบบนี้





    เขาเงียบในขณะที่จงแดยักไหล่น้อยๆกับคำพูดของแบคฮยอน





    หนึ่งในผู้คุมตัวสูงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระชากแขนแบคฮยอนอย่างแรง สร้างความตกใจให้กับจงอินและจงแดเป็นอย่างมาก พวกเขาได้แต่มองในขณะที่ผู้คุมคนนั้นตะโกนใส่แบคฮยอน





    “สารเลว! มากับกูเดี๋ยวนี้!”





    จงอินไม่รู้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้น เขามองผู้คุมที่กำลังลากตัวแบคฮยอนไป





    แต่แปลก...ที่ใบหน้าของแบคฮยอนมีแต่ความงุนงง แต่กลับไม่มีความหวาดกลัวอยู่เลย





    “นายคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับแบคฮยอนน่ะ? แบคฮยอนทำอะไร..?” จงแดถามด้วยความกังวล





    จงแดกลืนขนมปังแห้งๆลงคอในขณะที่จงอินกำลังจะอ้าปากตอบ แต่ทันใดนั้นผมของเขาก็ถูกกระชากอย่างแรง





    “เล่นตามน้ำไปซะ” คยองซูกระซิบเบาๆก่อนจะเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นเกรี้ยวกราด





    “คิดว่าจะหนีกูไปได้หรอ!”





    จงอินร้องเบาๆเพราะความเจ็บปวดจากการถูกกระชาก เหมือนคยองซูเองก็รู้..จึงผ่อนแรงออกเล็กน้อย




    “อะไร...คุณหมายความว่าอะ-”





    “ไม่มีข้อแก้ตัว!” คยองซูตะคอก เขาลากจงอินไปในทิศทางเดียวกับที่ผู้คุมตัวสูงคนนั้นลากแบคฮยอนไป จงอินได้แต่หันกลับไปมองจงแดในขณะที่จงแดได้แต่มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยใบหน้าว่างเปล่า จงอินกำลังหวาดกลัว เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น





    ก่อนที่จงอินจะถูกลากออกมาจากเต็นท์ เขาก็เห็นจงแดถูกผู้คุมอีกคนทำแบบเดียวกัน





    สายลมในยามค่ำคืนพัดผ่านไปอย่างแผ่วเบา เขารู้สึกดีที่ได้ออกมาข้างนอกเต็นท์..ในเต็นท์แออัดไปด้วยนายทหารกว่าพันคนจนไม่มีที่จะหายใจ แต่ตอนนี้เขากลับได้ออกมาเจอกลับลมเย็นๆและดวงดาวที่ส่องระยับอยู่บนท้องฟ้า ลมพัดจนผมของเขาปลิวไสว..มันทำให้เขารู้ว่าตอนนี้เนื้อตัวเขาสกปรกแค่ไหน ร่างกายถูกปกคลุมไปด้วยดินโคลน ดีแค่ไหนแล้วที่แผลของเขาไม่ติดเชื้อ





    พวกเขาทั้งสามถูกพาเข้ามายังห้องพักเขาผู้คุม จงอินหันไปมองอย่างแปลกใจเมื่อเห็นแบคฮยอนฝังหน้าลงไปกับอกแกร่งของผู้คุมตัวสูงคนที่ก่อนหน้านี้เพิ่งจะลากแบคฮยอนเข้ามา เขาเหลือบไปมองคยองซูก่อนจะเห็นว่าร่างเล็กไม่มีปฏิกริยาใดๆ มือเล็กดึงให้เขานั่งลงบนเก้าอี้ จงแดเองก็ตามเข้ามาพร้อมกับผู้คุมคนหนึ่งที่จงอินจำได้ว่าเป็นผู้คุมที่คอยดูแลเรื่องปฐมพยาบาล





    “เทาอยู่ในเต็นท์รึเปล่า?” ผู้คุมตัวสูงเอ่ยตามด้วยน้ำเสียงทุ้ม แบคฮยอนผละออกมาจากอ้อมกอดของร่างสูงก่อนจะยิ้มเมื่อเห็นว่าจงอินกับจงแดก็อยู่ที่นี่ด้วย





    “เขากำลังมา” คยองซูตอบก่อนจะเปิดกล่องยาหาอะไรบางอย่าง





    “ฉันไม่เข้าใจเลยว่ามันรู้สึกดีหรือรู้สึกโกรธกันแน่ เวลาที่มันทำร้ายเชลยศึกน่ะ” ผู้คุมคนที่พาจงแดเข้ามาเอ่ยขึ้นในขณะที่มือก็วุ่นอยู่กับการทำแผลบนใบหน้าให้จงแด





    “นาทีนึงมันตะคอกใส่ทุกคน อีกนาทีนึงมันกลับยิ้มซะงั้น”





    “ทั้งสองอย่างน่ะแหละอี้ชิง” คยองซูตอบ มือเล็กถอดรองเท้าของจงอินออกก่อนจะดึงผ้าพันแผลอันเก่าออกมาจากข้อเท้าของจงอิน





    “มันโกรธ..แต่มันก็รู้สึกสะใจที่ได้ทรมานใครซักคน”





    “กูไม่เข้าใจว่าทำไมคริสถึงไม่ทำอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้” ผู้คุมตัวสูงกล่าว มือใหญ่วางแหมะลงบนหัวของแบคฮยอนก่อนจะลูบเบาๆ





    “ที่จริง..ทำไมเราต้องยอมมันด้วยวะ? ยศของมันก็ไม่ได้….” ร่างสูงเงียบลงไปก่อนจะทำได้เพียงมองหน้าแบคฮยอนแทน





    “มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้” อี้ชิงเสริมก่อนจะหยิบแก้วน้ำมาเติมน้ำร้อน





    “พวกเราถูกสั่งให้เคลื่อนย้ายเชลยศึกไปที่ค่ายหลักเท่านั้น แต่เทามันได้โอกาสก็ฆ่าทุกคนทิ้งซะอย่างนั้น”





    เมื่อคำว่าฆ่าหลุดออกมาจากปากของอี้ชิง..ชานยอลก็สวมกอดแบคฮยอนแน่นขึ้น อี้ชิงเองก็มองไปที่จงแดด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมายในขณะที่คยองซูเองก็ขมวดคิ้วมุ่น มือยังคงวุ่นอยู่กับข้อเท้าของจงอิน





    “นี่มันบ้ามาก..” คยองซูพึมพำก่อนจะยืนขึ้น จงอินมองเห็นความเศร้าโศกเสียใจบนใบหน้าของร่างเล็ก และความรู้สึกอีกอย่างที่จงอินอ่านไม่ออก คยองซูเอื้อมมือมาลูบแผลข้างใบหน้าของจงอินเบาๆ





    “เราต้องกลับไปแล้ว มันจะสงสัยเอาที่เห็นเราสามคนหายไปพร้อมกันแบบนี้” อี้ชิงเอ่ย





    คยองซูพยักหน้ารับ





    “พวกเขาจะปลอดภัยถ้าหลบอยู่ที่นี่ เราแค่ต้องปิดไฟ” ร่างเล็กเอ่ยสรุป





    “ชานยอล…” แบคฮยอนเอ่ยเสียงสั่นก่อนจะผละออกมาจากอ้อมกอดของผู้คุมตัวสูงอย่างจำยอม





    “นายจะไม่เป็นอะไร...เดี๋ยวฉันก็กลับมาแล้วนะ ไม่ต้องเป็นห่วง” ชานยอลเอ่ยเสียงเบาก่อนจะประทับจูบลงบนหน้าผากของอีกคน





    อี้ชิงกระซิบอะไรบางอย่างให้จงแดได้ยินกันสองคน คยองซูเองก็หันมามองจงอินเช่นกัน





    “ฉันรู้ว่านายอาจจะยังไม่เข้าใจ แต่เชื่อใจฉันนะ..ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่เห็นด้วยกับการกระทำของเทา พวกเราจะพยายามช่วยทุกทางที่ทำได้” คยองซูอธิบายเสียงอ่อน





    จงอินได้แต่มองคยองซูอยู่แบบนั้น แม้ตอนนี้เขาจะยังไม่เข้าใจสถานการณ์เท่าไหร่นักแต่เขาเริ่มเข้าใจคยองซูแล้ว คยองซูเอื้อมมือไปปิดไฟก่อนที่ผู้คุมทั้งสามจะทิ้งเชลยศึกทั้งสามไว้ในความมืด ความมืดที่อบอุ่นและไม่ได้น่ากลัวอีกต่อไป





    เมื่อพวกเขาทั้งสามกลับเข้าแถวในตอนเช้า จงอินก็รับรู้ว่าเมื่อคืนเทาได้สร้างบทลงโทษขึ้นมาทรมานเหล่าเชลยศึกอีกครั้งอย่างไร้เหตุผล พวกเขาทั้งสามที่รอดพ้นมาได้แต่มองหน้ากันอยู่อย่างนั้น ความรู้สึกผิดของจงอินเริ่มเข้ามาแทนที่





    พวกเขาอยู่อย่างปลอดภัยเมื่อคืนในขณะที่นายทหารอีกหลายร้อยคนต้องมาทรมาน แม้เขาจะรู้ว่าคยองซู ชานยอล และอี้ชิงไม่สามารถจะปกป้องทุกคนได้...แต่ความรู้สึกผิดก็ยังคงย้ำเตือนเขาอยู่อย่างนั้น ไม่จากไปไหน




    ...To be continued...




    B A B Y ♥ T H E M E
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×