คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : A Colorless God And A Sleeping Withered Rose: Chapter II
รูบี้นอนซมเพราะพิษไข้ในวันถัดมา
เปลือกตาของเธอหนักอึ้งจนลืมไม่ขึ้น แม้แต่ตอนที่อาจารย์ชิโรยานางิมาเคาะประตูห้องเมื่อไม่เห็นเธอระหว่างเช็กชื่อในตอนเช้า
จำไม่ได้เลยว่าหล่อนถามอะไรบ้าง หรือตนเองพึมพำตอบว่าอะไรไป รู้แค่ว่าหล่อนขอแรงจากเด็กคนหนึ่งให้ช่วยปฐมพยาบาล
ทั้งการประคองศีรษะของเธอเพื่อจะได้ดื่มยาน้ำรสขมจัดให้ถนัดถนี่ ตามด้วยผ้าชุบน้ำเย็นที่วางโปะลงบนหน้าผากซึ่งร้อนจัดเหมือนกับไฟ
เธอนอนหลับสนิทโดยไม่มีความฝันใดเข้ามาแผ้วพานทั้งดีร้าย ก่อนที่จะปรือนัยน์ตาขึ้นอย่างเชื่องช้าในตอนที่แสงจันทร์ลอดผ่านบานหน้าต่างเข้ามาแล้ว
ถึงจะได้ดื่มยาผนวกกับการนอนหลับพักผ่อนจนเต็มที่ก็ใช่ว่าจะหายดีได้ในชั่วข้ามคืน
รูบี้อาจไม่ใช่เด็กสาวร่างกายอ่อนแอที่มักป่วยกระเสาะกระแสะ แต่เมื่อไหร่ที่เกิดล้มหมอนนอนเสื่อขึ้นมาจะกินเวลายาวนานเกือบตลอดทั้งสัปดาห์
และคฤหาสน์ของคุณมิโดริก็จะเปิดห้องพักแขกให้แก่หมอชราประจำตระกูลที่จะคอยเข้ามาดูอาการทั้งเช้าค่ำจนกว่าจะหายดี
แต่เพราะที่นี่ไม่ใช่คฤหาสน์ใจกลางป่าคารุอิซาวะของคุณมิโดริ สิ่งที่โรงเรียนสตรีเซย์ชินมอบให้อย่างดีที่สุดคือการดูแลตัวเอง
เนื้อตัวของเธอยังร้อนรุมๆ ร่างกายก็ยังปวดเมื่อยจนไม่อยากจะกระดิกตัวทำอะไร หากกระเพาะที่ว่างเปล่าก็เรียกร้องให้หาอะไรมาเติมเต็ม
รูบี้มองเห็นถาดข้าวต้มวางอยู่บนโต๊ะอ่านหนังสือ เธอจำต้องพาร่างผอมเกร็งที่หลงเหลือเรี่ยวแรงเพียงน้อยไปทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ไม้แข็ง
แล้วตักข้าวต้มที่เย็นชืดนับตั้งแต่หลังมื้อเย็นเข้าปากไปด้วยมือที่พยายามบังคับไม่ให้สั่น
ทั้งที่ไม่รับรู้รสชาติ แต่คนป่วยก็รู้ว่าต้องหาอะไรลงท้องบ้าง ไม่อย่างนั้นอาจจะทรุดหนักลงยิ่งกว่าเดิม
ขณะที่ฝืนกลืนอาหารลงคอไปอย่างเชื่องช้า
สายตาของเธอก็จะไพล่ไปยังหนังสือปกสีแดงที่วางอยู่ข้างๆ แล้วรูบี้ก็อดไม่ได้ที่จะระลึกถึงเรื่องราวของเมื่อคืนวานขึ้นมา
เธอยังคงจดจำจูบที่รุกเร้าและล่วงล้ำ
กระทั่งทุกสัมผัสที่ฝ่ามือและปลายนิ้วของเขาเคลื่อนผ่านไปใต้ร่มผ้า ความรู้สึกปวดหน่วงเหล่านั้นก็ยังคงชัดเจนและดูเหมือนว่าจะกำลังกลับมาเล่นงานเธออีกครั้งแม้แต่ในเวลาแบบนี้
เขาทำให้เธอทรมานจนแทบคลั่ง และเด็กสาวก็รู้ว่ามีเพียงแค่เขาที่จะช่วยปลดปล่อยมันให้เธอได้
หากตลอดช่วงเวลาอันแสนเนิ่นนานราวกับนิจนิรันดร์นั้น สิ่งที่เขาทำก็มีเพียงการจุดเชื้อไฟให้โหมกระพือ
รูบี้คิดว่าหรือนี่จะเป็นการลงทัณฑ์อย่างที่คุณมิโดริพูดถึง? เมื่อเธอลุ่มหลงในตัวของบุรุษเพศ...ของอาจารย์ลูอิสมากเกินไป
แต่ต่อให้สิ่งนี้จะเป็นทัณฑ์ทรมานจริง รูบี้ก็เต็มใจรับแม้ต้องทรมานจวนเจียนจะคลั่ง
กระทั่งตกนรกหมกไหม้ไปจนดับสูญก็ตาม
ทั้งอย่างนั้นก็มีสิ่งหนึ่งที่รูบี้จดจำไม่ได้เลย
ไม่ว่าจะเค้นหัวสมองอันหนักอึ้งย้อนกลับไปคิดทบทวนมากมายเท่าไหร่ นั่นคือเรื่องที่ว่าเธอกลับมาที่ห้องนอนของตัวเองได้อย่างไร
จะว่าไปชุดที่สวมใส่อยู่ตอนนี้ก็เป็นชุดนอน ไม่ใช่เสื้อเชิ้ตมีระบายและกระโปรงสีดำยาวตัวเดียวกับเมื่อวาน
ใช่แล้ว...มันเหมือนกับความฝันที่เธอจะจดจำได้แค่เพียงกลางเรื่องเท่านั้น
ให้เด็กสาวได้ตระหนักว่าที่แท้แล้วมันอาจจะเป็นเพียงแค่ความฝัน
เมื่อเป็นไปไม่ได้เลยที่อาจารย์ลูอิสจะทำเรื่องแบบนั้นกับเธอ เขาเป็นผู้ใหญ่ เป็นอาจารย์
เขาย่อมต้องรู้ว่าสิ่งใดควรไม่ควร เหมือนอย่างที่คุณมิโดริเองก็รู้และคอยสั่งสอนเธอไม่ให้เดินไปผิดเส้นทาง
คงเป็นเพราะว่าพักหลังมานี้เธอหมกมุ่นกับเรื่องของอาจารย์ลูอิสมากเกินไป ชั้นเรียนของเธอกำลังเรียนเรื่อง
'อลิซผจญภัยในแดนมหัศจรรย์' วรรณกรรมเล่มโปรดที่เธออ่านจากห้องหนังสือของคุณมิโดริไม่รู้ตั้งกี่รอบ
และรูบี้ก็ดีใจมากที่อาจารย์ลูอิสให้เธอซึ่งสามารถพูดภาษาอังกฤษได้ถูกต้องที่สุดในห้องเรียนเป็นคนอ่านออกเสียงให้เพื่อนๆ
ฟัง พวงแก้มขาวของเธอจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูเมื่อเขาเอ่ยชมเชยมากกว่าแค่คำว่าเก่งมาก คงเพราะอย่างนั้นมันถึงได้กลั่นออกมาเป็นรูปแบบของความฝันอย่างที่รูบี้เฝ้าปรารถนา
เธอก็เหมือนอลิซที่วิ่งตามกระต่ายขาวและตกลงไปในโพรงกระต่าย เปรียบได้กับหลุมสีดำมืดลึกลงไปข้างในใจเธอซึ่งเกิดมีความคิดที่ผิดบาปกับบุรุษเพศ
ขัดกับคำเสี้ยมสอนของคุณมิโดริ เธอจึงต้องลงไปในหลุมที่ลึกมากๆ ลึกมากๆ ลึกมากๆ หล่นลงไปจนถึงก้นหลุมที่ลึกสุดหยั่ง
เพื่อไม่ให้ใครมาพบเจอมัน
กว่าเรี่ยวแรงของเธอจะกลับคืนมาเป็นปกติก็ในอีกสามวันให้หลัง
อาจารย์ชิโรยานางิจะคอยเข้ามาดูอาการในตอนย่ำรุ่งและเย็นย่ำ สั่งให้เด็กคนหนึ่งช่วยเช็ดตัว
จัดหาอาหารและหยูกยามาให้ตลอดช่วงเวลาเหล่านั้น จนถึงวันศุกร์ที่เธอสามารถกระเด้งตัวขึ้นนั่งและตอบโต้กับอาจารย์ชิโรยานางิได้อย่างฉาดฉาน
เมื่อหลังมือของหล่อนที่ทาบทับบนหน้าผากไม่ได้สัมผัสถึงความร้อนให้ต้องชักกลับ หล่อนจึงอนุญาตให้เธอกลับเข้าเรียนได้
เหตุการณ์ทุกอย่างยังคงดำเนินเดินไปเฉกเช่นปกติ
ถึงเสียงซุบซิบนินทาเรื่องที่เธอดูเหมือนจะได้รับอภิสิทธิ์เหนือกว่านักเรียนคนอื่นๆ
จะแว่วผ่านเข้ามามากกว่าปกติไปสักหน่อย แต่ก็เป็นเรื่องที่รูบี้ชินชา เธออยู่กับมันมานานเกินพอที่จะไม่อนาทรกับการถูกปฏิบัติราวกับเป็นคนนอกในโรงเรียนประจำที่เหมือนกับกรงขังเช่นนี้อีกแล้ว
เพราะหลังจากได้พบกับอาจารย์ลูอิส
เรื่องราวอื่นใดหรือใครคนใดก็ดูจะไม่มีความหมายสำหรับเธออีกต่อไป ไม่แม้แต่คุณมิโดริ
หรือกระทั่งตัวเธอเอง
ทว่ารูบี้กลับไม่ได้พบกับอาจารย์ลูอิสในชั้นเรียนอย่างที่ตั้งตารอ
เธอเป็นคนสุดท้ายในโรงเรียนที่ได้รู้ว่าเขามีธุระด่วน ต้องเดินทางกลับไปที่อเมริกาด้วยเรื่องของครอบครัวตั้งแต่เย็นวันอาทิตย์
ไม่อาจให้คำตอบได้ว่าจะกลับมาที่ญี่ปุ่นอีกทีเมื่อไหร่ ดังนั้นอาจารย์มุราซากิที่สอนดนตรีจึงจะมาทำหน้าที่ควบสอนสองวิชาให้กับนักเรียนชั้นปีที่สองแทนเป็นการชั่วคราว
เช่นนั้นสิ่งที่เธอคิดไว้ก็เป็นความจริง
การที่เธอได้พบกับอาจารย์ลูอิสในป่าคืนนั้นเป็นเพียงแค่ความฝันของอลิซ ถึงอาจเป็นความฝันที่สมจริงมากเกินไปและยังคงเล่นงานเธอให้ปั่นป่วนทั้งกาย
ใจ ไปถึงหัวสมองเพียงแค่นึกถึง แต่ในห้วงยามนี้ สิ่งเดียวที่ทำให้รูบี้รู้สึกหวาดหวั่นจนถึงกับพรั่นกลัว
คือการที่อาจารย์ลูอิสจากไปด้วยข้ออ้างเดียวกับพ่อ — พ่อที่ทิ้งเธอไปอเมริกาและไม่เคยหวนกลับมาญี่ปุ่นอีกเลยจวบกระทั่งบัดนี้ที่เด็กหญิงได้เติบใหญ่
ในตอนที่ยกมือขึ้นแตะข้างลำคอเพื่อผ่านไปให้ถึงสัมผัสอันร้อนเร่าของริมฝีปากจากอาจารย์ลูอิสในความฝันของราตรีกาลนั้น
เธอกลับพบเพียงความเย็นเยียบของสายสร้อยไม้กางเขนที่คุณมิโดริให้มาในวันวานของความเป็นจริง
แล้วรูบี้ก็ร้องไห้ออกมา
∞
เมื่อวันปิดภาคเรียนฤดูใบไม้ผลิมาถึง
โรงเรียนประจำที่เคยพลุกพล่านก็กลับไปสงบเงียบด้วยจำนวนนักเรียนเพียงหนึ่งชีวิตกับบุคลากรอีกเพียงน้อยนิดที่เหลืออยู่
และอีกไม่นานพวกเขาก็จะทยอยกลับไปหาบ้านและครอบครัวที่เหินห่างมาจนหมด
อาจยกเว้นก็แต่อาจารย์ใหญ่ที่ไม่เคยจากไปไหน เป็นอีกครั้งคราที่รูบี้ไม่ได้ยินข่าวคราวใดๆ
จากคุณมิโดริแม้แต่ข้อความที่ฝากมากับอาจารย์ชิโรยานางิ รูบี้รู้ดีเลยว่าต่อให้เธอจะวิงวอนร้องขอกลับไปอยู่ที่บ้านในช่วงปิดเทอมนี้ก็เปล่าประโยชน์
คุณมิโดริพูดคำไหนคำนั้น ไม่ว่าอะไรก็เปลี่ยนใจหล่อนไม่ได้
แต่เธอไม่อยากอยู่ที่นี่
ในโรงเรียนประจำที่โอ่โถงเกินไป เชียบงันเกินไป ทุกแห่งหนวนเวียนล้วนแล้วแต่ทำให้เธอหวนนึกถึงชายหนุ่มที่มักจะถูกรุมล้อมอยู่ตลอดเวลาผู้นั้น
สิ่งเดียวที่เด็กสาวทำได้คือการเดินจากไป ไม่อาจแม้แต่จดจ้องมองดูเขาจากมุมไกลๆ ด้วยหัวใจที่ร้าวราน
เช่นเดียวกับบัดนี้ ความว้าเหว่ที่กัดกินหัวใจเธอและเรียกขานเอาความทรงจำอันเลวร้ายขึ้นมานับตั้งแต่อาจารย์ลูอิสจากไป
ยังคงไม่ทุเลาลงถึงผ่านมาตั้งกว่าหนึ่งเดือน กระทั่งในความฝันที่ตื้นที่สุด ไดอารี่ของเธอกลายมาว่างเปล่า
หากมีเพียงน้ำตาท่วมท้นที่ไม่อาจหยุดไหลในทุกค่ำคืน
อย่างน้อยถ้ามันจะเป็นการจากลาชั่วนิจนิรันดร์
รูบี้ก็อยากได้โอกาสที่จะบอกลา บอกลาพ่อ บอกลาคุณฟุคาซาวะ และบอกลาอาจารย์ลูอิส พร้อมกับเอ่ยความในใจให้พวกเขาได้รับรู้ถึง
‘ความรัก’ ของเธอเป็นครั้งสุดท้าย แต่มันก็ไม่เคยเกิดขึ้น
รูบี้ไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า
ถึงจะยังสวมสร้อยคอไม้กางเขนที่คุณมิโดริให้ไว้ไม่เคยถอด คงเพราะอย่างนั้นจึงไม่มีใครหรือสิ่งใดสดับรับฟังคำขอแม้เพียงเล็กน้อยของเธอ
กิจวัตรประจำวันอย่างหนึ่งของรูบี้เปลี่ยนไปในช่วงปิดภาคเรียนนี้
จากความนิยมในตัวเธอที่เพิ่มขึ้นกว่าเดิมมากของอาจารย์มุราซากิ หลังคาบสอนชั่วคราวแทนอาจารย์ลูอิส
หล่อนก็เริ่มต้นเอ่ยปากชื่นชมลูกศิษย์คนโปรดคนใหม่ที่เก่งภาษาอังกฤษที่สุดในห้องได้ไม่หยุดหย่อน
ตรงกันข้ามกับทักษะการเล่นเปียโนในระดับพอใช้ของเธอคือสิ่งที่หล่อนซึ่งนิยมคนเก่งไม่เคยพิสมัย
มากถึงขนาดที่หล่อนกระซิบกระซาบว่าจะเปิดคอร์สติวเปียโนพิเศษให้ ตลอดช่วงหลังพักเที่ยงของวันปิดภาคเรียน
จันทร์ พุธและศุกร์ เป็นเวลาสามชั่วโมง มันไม่ใช่คำบอกเล่าที่รูบี้จะปัดปฏิเสธได้ แม้เธอจะไม่อยากเฉียดกรายเข้าไปยังห้องดนตรีที่มีความทรงจำก่อนจากลาของอาจารย์ลูอิสมากที่สุด
ทำให้การเรียนการสอนต้องสะดุดอยู่บ่อยครั้ง
หากทว่าอาจารย์มุราซากิก็ยังมีความพยายามที่จะเคี่ยวเข็ญเธอให้จนได้
อาจารย์ชิโรยานางิก็เห็นดีเห็นงามกับความคิดนั้น ก่อนหล่อนจะหิ้วกระเป๋าเดินทางกลับออกไปในวันสุดท้ายของการเรียนการสอน
หล่อนยังคงเอ่ยทิ้งท้ายเหมือนคำสั่งอันเฉียบคมเสมอมาว่า “คุณมิโดริจะยิ่งภูมิใจในตัวเธอ”
แต่รูบี้ไม่ได้ต้องการความภาคภูมิใจจากใครทั้งนั้น
นอกจากอาจารย์ลูอิสเพียงคนเดียว
สุดสัปดาห์คือวันที่อาจารย์มุราซากิไม่อยู่
หล่อนจะออกเดินทางตอนบ่ายวันศุกร์และกลับมาในเย็นวันอาทิตย์เสมอ เป็นกิจวัตรอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นช่วงเปิดหรือปิดเทอม
รูบี้ยังอยู่ส่งอาจารย์มุราซากิขึ้นแท็กซี่ที่มารับไปเมื่อวานจนลับตาอยู่เลย ไม่ต้องพูดถึงอาจารย์ประจำภาควิชาการคนอื่นที่เหลืออยู่
เสียงเปียโนที่ดังแว่วมาในตอนที่เธอเท้าแขนเหม่อมองดูทิวทัศน์ของป่ายามเย็นอยู่บนโถงทางเดินไม่ไกลจึงเรียกความฉงนฉงาย
เช่นฝีเท้าที่ก้าวย่ำไปยังที่มาด้วยความใคร่รู้
ริมฝีปากของรูบี้อ้าค้างเมื่อเดินมาหยุดอยู่หน้าบานประตูห้องดนตรีที่เปิดกว้างอยู่
ไม่ใช่เพียงแสงสนธยาที่สาดส่องเข้ามาในห้อง ราวกับการจัดวางแสงสีและองค์ประกอบทางศิลปะของคนที่กำลังพร่างพรมปลายนิ้วอยู่หลังเปียโนด้วยท่วงท่าอันรุนแรง
ซึ่งบันทึกภาพ ณ ห้วงวินาทีหนึ่งวินาทีนั้นได้อย่างพอเหมาะพอดี ให้ความรู้สึกที่งดงามเหนือจริงเหมือนหนึ่งว่าเธอกำลังจดจ้องมองดูภาพฝันที่ชัดเจนแจ่มชัดอยู่เบื้องหน้า
หากแต่เป็นเสี้ยวหน้าด้านข้างที่เธอได้เห็นนั้นต่างหากที่จะทำให้หัวใจของรูบี้กระตุกไหว
อาจารย์ลูอิสผินใบหน้ามาทั้งที่รูบี้แน่ใจว่าไม่ได้ส่งสุ้มเสียงหรือกระทั่งความเคลื่อนไหวใดออกไป ใบหน้าที่อยู่ในห้วงคำนึงทุกวานวัน ทุกโมงยาม ทุกวินาทีที่เธอหายใจปรากฏวูบไหวอยู่ในแววตา ริมฝีปากข้างหนึ่งของเขายกขึ้นเป็นรอยยิ้ม เหมือนกับวินาทีแรกสุดที่พวกเขาทั้งสองได้พบเจอกัน ทว่าครานี้มันมาพร้อมกับความรู้สึกร้อนรุ่มไปทั้งร่างกายเพียงแค่นัยน์ตาสบประสาน ขณะที่ประกายสีน้ำเงินสะท้อนต้องไปกับแสงสีส้มที่เริ่มเข้มข้นขึ้นเพื่อนำไปสู่ความมืดมิดของราตรีกาล พลันนั้นเองที่รูบี้ได้ตระหนักว่าแท้จริงแล้วเธอไม่ได้ต้องการเฝ้าดูดอกกุหลาบที่ได้รับการดูแลอย่างทะนุถนอมจากใคร เธอต้องการให้มันเป็นของเธอแต่เพียงผู้เดียว ถึงต่อให้หนามแหลมจะทิ่มแทง ปล่อยเลือดสีแดงฉานให้หลั่งรินบนกลีบกุหลาบสีดำที่จะไม่มีใครมองเห็นมัน เธอก็ต้องการทุกสิ่งทุกอย่างของเจสซี่ ลูอิส เช่นเดียวกับที่เธอก็ยินยอมพร้อมมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เขาเฉกเช่นกัน
_______________
ความคิดเห็น