คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : น่าสงสาร
“อะไรที่มันเป็นของคุณอย่างไรมันก็ต้องเป็นของคุณ...แต่ถ้าอะไรที่มันไม่ใช่ ต่อให้คุณจะดิ้นรนยังไงสุดท้ายมันก็ไม่ใช่ของคุณอยู่ดี”
สิ้นเสียงของเหมือนฝัน สีหน้าของจ้าวเวยหลงก็เปลี่ยนเป็นดุดันขึ้นมาทันที สายตาคมกริบของเขาดุร้ายขึ้นอย่างอันตรายยิ่งกว่าทุกครั้งที่เคยเห็น วินาทีถัดมาร่างสูงก็ผุดลุกยืนเต็มความสูง เขาก้าวยาวๆ ไปประชิดตัวหญิงสาวคนที่เขาเกือบจะเผลอปล่อยเธอไปเพียงเพราะคิดว่าเธอไม่มีพิษมีภัย แต่เขากลับคิดผิด!
“ใครบอกคุณ คุณปู่ของผมใช่ไหม!” จ้าวเวยหลงรวบข้อมมือเล็กของหญิง บีบข้อมือกลมมนของเธอด้วยฝ่ามือทรงพลังเหมือนคีบแหล็ก “บอกมา!”
“น่าสงสาร...” เสียงของเหมือนฝันทอดถอนใจ สีหน้าของเธอยังล่องลอยไร้อารมณ์เหมือนเธอไม่รับรู้กับความเคลื่อนไหวภายในห้อง กระทั่งความเจ็บปวดจากแรงบีบของจ้าวเวยลงยังไม่สามารถดึงสติของเธอกลับมาได้ “เหงามากใช่ไหม...อดทนอีกหน่อยนะ เดี๋ยวก็ไม่เหงาแล้วล่ะ”
“นี่!”
เสียงกร้าวของจ้าวเวยหลงดังก้องไปทั้วห้องอาหาร มันดังพอๆ กับแรงบีบที่เขากดลงที่ข้อมือบอบบาง ผิดกับดวงตาคมที่สั่นไหวด้วยอารมณ์หลากหลาย ที่มากที่สุดคือความกลัวที่จ้าวเวยหลงจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เขารู้สึกกลัวขนาดนี้คือเมื่อไหร่
แต่ทำไมล่ะ...ทำไมเขาถึงได้รู้สึกกลัวขึ้นมา เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำของผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนี้น่ะหรือ บ้าน่า...มันก็เป็นเพียงคำพูดที่ใครจะพูดออกมาก็ได้ทั้งนั้นแหละ ก็แค่มันบังเอิญไปเหมือนกับคำพูดที่แม่ของเขาเคยพูดกับเขาตอนเด็กๆ ก็เท่านั้นเอง
ใช่...เรื่องบังเอิญ ก็แค่บังเอิญเท่านั้น
“แล้วคุณมาบีบข้อมือฉันทำไม” เหมือนฝันกระพริบตาปริบๆ กวาดตามองจ้าวเวยหลงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาสับสน ไม่รู้ว่าเขามายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ทำไมเธอถึงไม่รู้ แล้วอีกอย่างทำไมจู่ๆ เขาถึงได้มากระชากลากถูเธอแบบนี้โดยที่เธอไม่รู้ตัว หรือว่าหมอนี่เป็นซุปเปอร์ฮีโร่! “เป็นอะไรเนี่ย!”
“ผมสิต้องถามว่าคุณเป็นบ้าอะไร!” เจ้าเวยหลงตะคอกกลับ คิดว่ามันเป็นเขาต่างหากที่ต้องถามคำถามนั้นกับเธอน่ะ “คุณเอาเรื่องพวกนั้นมากจากไหน ใครบอกคุณ”
“เรื่องอะไร?”
“ไม่ต้องทำมาเป็นไขสือ ก็เรื่องที่คุณพูดเมื่อกี้ไง” จ้าวเวยหลงเอยลอดไรฝัน เขาไม่เชื่อเรื่องปัญญาอ่อนอย่างพวกมีจิตสัมผัสอะไรเทือกนั้นอยู่แล้ว ในตอนนี้เขามีข้อสันนิษฐานเดียวก็คือผู้หญิงคนนี้หลอกเขามาตั้งแต่วินาทีแรกที่เจอหน้ากัน! เธอต้องรู้จักเขาเป็นอย่างดีแน่และยิ่งไปกว่านั้นคือเธอต้องรู้จักกับแม่ของเขาด้วย ถึงจะยังไม่แน่ใจว่าเธอและแม่ของเขาเกี่ยวข้องกันอย่างไรแต่จ้าวเวยหลงก็จะไม่ประมาทผู้หญิงคนนี้อีกต่อไป!
“บอกมานะว่าใครบอกเรื่องพวกนี้กับคุณ ปู่ของผมหรือเปล่า?”
“ใคร? บอกอะไรนะ?” เหมือนฝันไม่เข้าใจ เธอมืดแปดด้านจริงๆ ก็คราวนี้ หญิงสาวพยายามคิดทบทวนเรื่องที่เธอพูดกับเขาทั้งหมดอย่างถี่ถ้วยอีกครั้ง แต่คิดแล้วก็ไม่เห็นว่าไม่มีตรงไหนที่ทำให้เขาเป็นบ้าขึ้นมาแบบนี้ได้เลยสักอย่าง
หรือว่าเธอพูดอะไรออกไปโดยไม่รู้ตัวอย่างนั้นหรือ?
“ฉันว่าคุณคงฟังผิดไป ไม่มีอะไรหรอก...อย่าใส่ใจเลย” หญิงสาวพยายามปั้นยิ้ม เธออยากจะตอบเขาอยู่หรอก ติดอยู่เพียงว่าเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอพูดอะไรออกไป แล้วธอจะตอบได้ยังไงว่าเธอไปเอาเรื่องพวกนั้นมาจากไหนเพราะเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
“ไม่ต้องมาโกหก บอกมาว่าใครบอกเรื่องนี้กับคุณ”
“เอ๊ะ! ก็บอกแล้วไงว่าไม่มีใครบอก”
เหมือนฝันจ้องตอบสายตาคมกริบของจ้าวเวยหลงอย่างไม่ยอมแพ้ ในใจก็บอกตัวเองว่าเรื่องนี้เธอรู้ไม่เห็นเสียหน่อย ถ้าเธอพูดเรื่องที่ไม่ควรจนทำให้เขาโกรธจนหน้าดำหน้าแดงออกไปจริงๆ ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดเธอเพราะเธอไม่รู้ตัว! “คุณฟังผิดหรือเปล่า อย่ามาโบ้ยความผิดให้ฉันนะ ปล่อย!”
“ไม่ต้องมาโกหก คุณคิดว่าผมจะเชื่อคุณอย่างนั้นหรือ...บอกมาว่าใครบอกเรื่องพวกนั้นกับคุณ บอกมา!”
“ก็บอกว่าไม่รู้ยังไงล่ะวะ!” เหมือนฝันตะคอกเขากลับ พยายามดิ้นรนเพื่อปลดข้อมือของเธอออกจากอุ้งมือที่เหมือนคีมเหล็กของเขา หญิงสาวเสียแรงจนไหล่บางหอบระโหยแต่ก็ไม่สามารถเป็นอิสระจากจ้าวเวยหลงได้ “ไม่รู้ๆ”
“บอกมา!”
“ไม่รู้! อ๊ะ!” ช่วงที่ฉุดกระชากลากถูกันอยู่นั้น เหมือนฝันก็อาศัยจังหวะที่จ้าวเวยหลงคลายมือออกเพื่อกระชับมือให้แน่นกว่าเดิมนั้น บิดอุ้งมือออกแล้วดันร่างสูงออกห่างตัว แต่เพราะกะแรงที่ใช้ผลักชายหนุ่มผิดไปหน่อยจึงกลายเป็นเธอที่เสียหลัก ผงะไปด้านหลังเสียเองตอนที่ถอยออกมา
หญิงสาวคว้าสิ่งที่อยู่รอบตัวตามสัญชาตญาณ แต่สุดท้ายเธอก็ล้มลงไปกองอยู่กับพื้นพร้อมกับไอแพดและมือถือของเธอที่กระแทกพื้น ไม่เป็นท่าไม่ต่างจากเจ้าของ ทว่าเหมือนฝันกลับโชคร้ายซ้ำซ้อนเพราะสิ่งที่เธอคว้าติดมือมานอกจากผ้าปูโต๊ะแล้วยังพาโต๊ะสำหรับจัดวางดอกไม้ล้มตามเธอมาด้วย รู้ตัวอีกทีโต๊ะขนาดใหญ่อันนั้นก็แขนเธอทั้งแขนแล้ว
“ทำบ้าอะไรของคุณเนี่ย!”
จ้าวเวยหลงตกใจที่เห็นเธอล้มไปแบบนั้น ยิ่งเห็นว่าเธอคว้าผ้าปูโต๊ะและดึงโต๊ะทั้งโต๊ะตามเธอไปด้วย มีอยู่เสี้ยววินาทีที่หัวใจของเขาร่วงไปอยู่ปลายเท้า แม้ว่าเขาจะไม่ได้พิศวาสอะไรเธอเลยสักนิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถยืนดูเธอโดนโต๊ะขนาดใหญ่ทับได้โดยไม่รู้สึกอะไรเลย อย่างไรเสียเขาก็ยังเป็นคนมีความรู้สึกอยู่วันยังค่ำ
ชายหนุ่มเม้มปากแน่นขณะทรุดตัวเลงไปช่วยดึงร่างบอบบางออกมาจากไม้ชิ้นใหญ่ที่เคยประกอบกันเป็นโต๊ะ โดยที่คนอื่นๆ นั้นช่วยกันยกไม้ออก เมื่อน้ำหนักอันมหาศาลถูกยกออกไปจากตัวเหมือนฝันก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งออก ก่อนจะหน้าบิดเบี้ยงด้วยความรู้สึกเจ็บแปล๊บที่วิ่งซ่านไปทั้งแขน
“ปล่อยก่อน คุณจับแน่นไป”
“ขืนปลอยคุณก็กลับไปนอนแอ้งแม้งอยู่ที่พื้นน่ะสิ” จ้าวเวยหลงเผลอตัวชักสีหน้าใส่หญิงสาว ชวนให้เข้าใจผิดที่เข้าหงุดหงิดก็เพราะไม่พอใจที่เธอสั่งให้เขาปล่อยมือ...แต่จะไม่ให้เขาโมโหยังไงไหวก็ดูที่เธอทำสิ เจ็บขนาดนี้ยังจะหยิ่งเหมือนว่าเธอรังเกียจที่จะแตะต้องตัวเขามากเหลือเกิน
แต่ต่อให้จะโมโหยังไงจ้าวเวยหลงก็มิวายย้ำกับหญิงสาวด้วยน้ำเสียงเข้มงวดเหมือนผู้ใหญ่พูดกับเด็กซนๆ คนหนึ่ง
“ยืนดีๆ”
“โทษฉันได้ยังไง ที่ล้มไปเมื่อกี้ก็เพราะคุณนั่นแหละ” เหมือนฝันเถียงกลับด้วยความแค้น หากเมื่อกี้เขาไม่กระชากแขนเธอ เธอจะเสียหลักล้มแล้วทำตัวเองเจ็บตัวได้ยังไง “ปล่อยสักทีคนมองกันหมดแล้ว ไม่อายเขาหรือไง”
“จะมาอายอะไรเอาตอนนี้ คุณด่าผมอยู่ตั้งนานเพิ่งมานึกอายเหรอ”
“เอ๊ะ ก็แค่ปล่อยมันจะตายไหม” หญิงสาวถลึงตามอง “หรือใจคอจะยืนให้ฉันด่าต่ออีกยก จัดให้ได้นะขอบอก...ฉันไม่ได้กลัวคุณเท่าไหร่หรอกนะ”
“ใครเขาจะอยากโดนด่า ผมไม่ได้เป็นบ้านะคุณ” จ้าวเวยหลงเอ่ยพึมพำ เมื่อแน่ใจว่าหญิงสาวสามารถยินได้ตัวตัวเองจริงๆ เขาจึงปล่อยมือ แต่ก็ยังถามเธอเพื่อความแน่ใจ “ไม่เป็นไรใช่ไหม เจ็บมากหรือเปล่า”
“ไม่เป็นไร” เหมือนฝันตอบไปด้วยความรวดเร็วตามประสาคนปากไว ก่อนจะนึกเสียใจเมื่อความเจ็บแปล๊บที่ข้อมือแล่นขึ้นมาอีกหน
“เจ็บมากเหรอ ไปโรงพยาบาลไหมคุณ”
“เปล่าๆ ไม่เป็นไร” สิ่งสุดท้ายที่หมือนฝันต้องการก็คือการไปโรงพยาบาล “อย่าเวอร์หน่อยเลยคุณ ก็แค่โต๊ะทับนิดๆ หน่อยๆ กินยาแก้ปวดแล้วนอน พรุ่งนี้ก็หายแล้วต้องถ่อไปถึงโรงพยาบาลหรอก”
“ให้มันจริงเถอะ”
ปากบอกแบบนั้นแต่ตาของจ้าวเวยหลงยังคงมองแขนข้างที่โดนทับของคนตัวเล็กด้วยความกังวลไม่คลาย จากนั้นจึงหันไปมองชิ้นส่วนของโต๊ะที่ถูกยกไปวางห่างออกไปก่อนจะกลับมามองหน้าหญิงสาวเพื่อความแน่ใจ และเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ต้องการที่จะไปโรงพยาบาลอย่างที่ยืนยันจริงๆ จ้าวเวยหลงก็เลิกเซ้าซี้
อย่างไรมันก็เป็นร่างกายของเธอ เธอย่อนรู้จักขีดจำกัดของตัวเองดีกว่าใคร ต่อให้เขาจะบังคับให้เธอไปตรวจที่โรงพยาบาลอย่างละเอียดตอนนี้ก็คงไม่พ้นโดนหญิงสาวกล่าวหาว่าเขาเป็นพวกเผด็จการ ช่างบังคับอะไรทำนองนั้นอีกแน่
“หมดเรื่องแล้วที่จะพูดแล้วใช่ไหม ทีนี้จะปล่อยฉันไปได้หรือยัง”
“ผมไม่เคยห้ามคุณสักหน่อย” จ้าวเวยหลงตอบกลับด้วยสีหน้าเย็นชา ผิดกับคนพังทีหันขวับมองเขาเหมือนอยากจะแย้งคำพูดนั้น แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา ทำเพียงก้มลงไปหยิบข้าวของของตนขึ้นมาจากพื้นแล้วหมุนตัว หันหลังเดินออกไปจากห้องอาหารท่ามกลางสายตาอยากรู้อยากเห็นของพนักงานและแขกหลายคนของโรงแรม ที่จำได้ว่าร่างสูงที่พี่ยื้อหยุดกับผู้หญิงเมื่อครู่นั้นคือผู้นำตระกูลจ้าวคนปัจจุบัน
แต่คำถามก็คือผู้หญิงที่ยื้อยุดกับเขาอยู่นานสองนานน่ะคือใคร ถ้าหากเป็นคนดังล่ะก็รับรองได้เลยว่าต้องเป็นข่าวสะเทือนวงการแน่
“ให้ทีมของนายอยู่ที่นี่ จับตาดูเธอเอาไว้ ถ้าเกิดอะไรขึ้นให้รีบรายงานฉันทันที”
“ได้ครับท่านประท่าน” แม้จะแปลกใจกับคำสั่งนั้นของผู้เป็นเจ้านายแต่ลู่เหวิ่นก็ทำได้เพียงพยักหน้ารับ พร้อมเลือกคนที่ไว้ใจได้ให้พักอยู่ที่นี่ตามความต้องการของจ้าวเวยหลง
“ที่สำคัญอย่าให้ใครรู้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร อย่างน้อยก็จนกว่าเธอจะกลับเมืองไทย เข้าใจไหม”
“ได้ครับ”
การที่ต้องเก็บเรื่องของหญิงสาวเป็นความลับนั้นต้องทำอยู่แล้ว หากว่าคนอื่นนอกจากจ้าวเวยหลงรู้เรื่องของเธอเข้าล่ะก็ แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางที่จะอยู่กันเฉยๆ แน่ คนตระกูลจ้าวทั้งสายหลักและสายรองต้องพยายามเข้าถึงตัวหญิงสาวเพื่อจุดประสงค์บางอย่างแน่ และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่จ้าวเวยหลงต้องการให้เกิดขึ้น
แค่ปัญหาที่มีอยู่ตอนนี้ก็ทำให้เขาปวดหัวมากพอแล้ว หากคนในตระกูลสร้างเรื่องให้เขาเพิ่ม เขาคงต้องกลายเป็นบ้าก่อนที่ใครจะมาแย่งตำแหน่งผู้นำตระกูลแน่ๆ
ความคิดเห็น