คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ผมชื่อ "วอลทซ์"
...ผมชื่อ “วอลทซ์” ความหมายของชื่อผมคุณก็รู้...เพราะพ่อผมชอบมัน ผมถึงได้ชื่อนี้มา ผมไม่รู้จักแม่ เขาเสียชีวิตไปหรือตัดขาดจากเราสองคนพ่อลูกก็ไม่อาจคาดเดาได้ พ่อไม่เคยพูดถึงมันเลยตั้งแต่ผมโตมา เขาเพียรแต่บอกว่าให้ผมเชื่อฟังเขา! อย่างที่ลูกทั้งหลายควรจะทำ
วันนี้เป็นวันเกิดอายุสิบเอ็ดขวบของผม พ่อไม่ได้มาตามนัดอีกตามเคย เขาทำงานหนัก งานเหมืองแร่ของเขารุมเร้าตลอดเวลาทำให้ผมกับพ่อค่อนข้างจะใช้เวลาอยู่ด้วยกันน้อย ตอนนี้ผมจึงได้แต่นั่งมองขนมเค้กจิ๋วบนโต๊ะที่คุณป้าข้างบ้านทำมาให้ มันเป็นแค่ก้อนแป้งชิ้นหนึ่งที่ถูกบดและผสมกันราดน้ำครีมและช็อกโกแลตเหลว บนหน้าเค้กมีเทียนและสตอเบอร์รี่หนึ่งลูกวางเอาไว้ ข้างตัวผมมีเจ้าตุ๊กตาโกโรโกโสที่ผมมักเอาไว้ติดตัวตลอดเวลานั่งเป็นเพื่อนเคียงข้าง
“ วันนี้ก็ฉลองวันเกิดสองคนเหมือนเดิมเลย “ ผมพูดเสียงเศร้ากับตุ๊กตา มันมองผมเหมือนเข้าใจ...ก็นั่นแหละเหมือนเข้าใจ แต่มันก็ไม่เข้าใจเพราะมันไม่ได้มีชีวิต ดวงตาสีดำกลมโตของมันมองผมตาวาว
ผมเริ่มถอนหายใจและคิดไปถึงอนาคต ผมเป็นเด็กช่างฝัน ผมมีความคิดหลายอย่างอยากจะทำ ผมอยากผจญภัย อยากค้นหาอะไรใหม่ แต่แปลกที่ผมไม่ยักกะอยากค้นหาเรื่องแม่เพราะผมรู้ดี ลึกลึกในใจ ผมเจ็บปวดเกินกว่าจะให้อภัยเขาแม้เขาจะเป็นผู้คลอดผมมา....ก็ตามที
สุดท้ายเมื่อสมองคิดมาจนสุดปลายทาง...ผมก็กลับมาปัจจุบัน ผมโน้มตัวลงเข้าไปหาเค้กจิ๋ว บรรจงเป่ามันจนไฟสีเหลืองนวลบนเทียนดับลง
คำอธิฐานของผม.... “ ขอให้ผมได้ไปจากที่นี่! “
ไม่รู้ว่ามันบ้าหรือยังไง!? แต่ผมก็ขอไปแล้ว ไปจากที่นี่ อย่างนั้นเหรอ? ผมเกลียดที่นี่? ก็เปล่า ผมไม่ได้เกลียดเพียงแต่ว่าผมใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จนไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตยังไงต่อ ก็จริงที่ผมมีพ่อแต่ก็อย่างที่บอกข้างต้นเราสองคนไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกันเท่าไหร่ ในหนึ่งอาทิตย์พ่อจะกลับมาสักหนึ่งวันหรือครึ่งวันเพื่อมาดูว่าผมไม่ได้เล่นซุกซน หลังจากนั้นเขาก็กลับไปทำงานต่อ เวลาส่วนมากของผมจึงมีแต่ป้าบ้านข้างเคียงดูแล ซึ่งสักวันหนึ่งเมื่อเธอตายไป...ผมก็ไม่เหลือใครให้ห่วงใย
ตึง ตึง ตึง!!!!
บานประตูหน้าบ้านถูกใครบางคนรัวเคาะจนผมคิดว่ามันคงจะพังลง ได้ยินเสียงอู้อี้มาจากหน้าประตูคาดว่าสองสามคนน่าจะได้ พวกเขาเป็นใคร มาทำอะไรกันนะ?
ผมคิดในใจ เดินเอื้อยอ้ายไปเปิดประตู...ลุงชาร์ล ลุงเควิน กับพี่ซอร์ดยืนหน้าตื่นอยู่หน้าประตู พวกเขามีสีหน้าเคร่งเครียดจนผมไม่อยากฟังที่พวกเขาสามคนกำลังจะพูด
“ วอลทซ์ ฟังพวกลุงนะ! รีบขึ้นไปเก็บเสื้อผ้า ข้าวของที่จำเป็น ทุกอย่างที่ต้องใช้มาให้หมด อีกยี่สิบนาทีข้างหน้าเราจะเดินทาง “ ลุงชาร์ลพูดรัว เขาดันตัวเองผ่านประตูเข้ามา ลากผมให้ขึ้นข้างบนโดยที่ผมพูดอะไรต่อแทบไม่ได้
ผมอยากรู้ ทำไมพวกเขาถึงให้ผมเก็บของ? เรากำลังจะไปไหน? พ่อผมล่ะ? นี่มันเกิดอะไร??
ผมไม่รู้เลยได้แต่ทำตามที่พวกเขาบอก ผมขึ้นมาบนห้อง หยิบกระเป๋าลากใต้เตียงขึ้นก่อนจะโกยเสื้อผ้าในตู้มายัดลงในกระเป๋า ทุกอย่างที่ผมคิดว่าจำเป็นถูกยัดลงไปหมด สงสัยของจำเป็นผมมันเยอะมันถึงได้ล้นออกมานอกกระเป๋าจนปิดไม่ได้ ดีที่ลุงชาร์ลเดินไล่หลังผมมา เขาปิดให้ผมแบบเร่งด่วนมันทำให้ถุงเท้าข้างหนึ่งของผมโผล่มานอกกระเป๋า
“ เอาล่ะ เราไปกันเถอะ “ ลุงชาร์ลร้องบอก เขาหิ้วกระเป๋าผมแทนการลาก ผมพยักหน้าเดินตามลุงชาร์ลไป แต่เดินได้สองสามก้าวผมก็เพิ่งคิดได้ ผมลืมแจ๊ส ตุ๊กตาตัวโปรดของผม !
ผมหันหลังกลับไปคว้าเจ้าแจ๊สขึ้นมา ลุงชาร์ลมอง..เขาไม่ได้ว่าอะไรแค่หิ้วกระเป๋าเดินนำหน้าผมต่อไป
...... พวกผมสี่คนกำลังนั่งอยู่ในรถเต่าโบราณของลุงเควิน โดยมีพี่ซอร์ดเป็นคนขับ ทั้งสามไม่ได้พูดอะไร ผมเองก็อยากจะถามแต่ดูสถานการณ์แล้วไม่ดีกว่า? พวกเขาเป็นเพื่อนพ่อผม ผมคิดว่ามันต้องมีเหตุผลแน่
“ เลี้ยวซ้าย! “ ลุงเควินสั่ง พี่ซอร์ดหักพวงมาลัยเลี้ยวเข้าไปในซอยซ้ายมือ มันเป็นถนนตัดใหม่ส่วนบุคคล ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าถนนนี้จะเป็นของคุณฮาว์บิ้น หรืออะไรสักอย่าง หุ้นส่วนบรรษัทใหญ่จากในเมืองที่มาลงหลักปักฐานที่นี่
“ นี่เรากำลังจะไปไหนกันฮะ “ ผมลองถามขึ้นบ้าง หลังจากทนนั่งเงียบมานาน ที่จริงผมก็ไม่อยากจะถามหรอกแต่มันอดไม่ได้ ในเมื่อทางที่พวกผมมามันเป็นทางไปบ้านของคุณฮาว์บิ้นหรืออะไรสักอย่างนี่แหละ และเขายังขึ้นชื่อว่าเป็นชายโฉดประจำที่นี่ หากใครก็ตามลุกล้ำเข้าเขตเขาโดยไร้การอนุญาตก็เท่ากับตายสถานเดียว! และผมคิดว่าพวกลุงชาร์ล ลุงเควินหรือแม้กระทั่งพี่ซอร์ดน่าจะไม่ได้รับการอนุญาตด้วยซ้ำ
“ เอาไว้ลุงจะบอกทีหลัง “ ลุงชาร์ลตัดบท เขาหันไปสนใจทางข้างหน้าต่อ ผมนั่งเงียบตามเดิมกอดเจ้าแจ๊สซ์เอาไว้
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
หลังจากทนนั่งหลังขดหลังแข็งมาร่วมยี่สิบนาที พวกเราก็มาถึงคฤหาสน์สุดหรูของคุณฮาว์บิ้น ชัวร์แล้ว! ผมเห็นชื่อมันติดอยู่หน้าประตูรั้ว พี่ซอร์ดดับเครื่องเปิดประตูก่อนจะเดินอ้อมผมไปเปิดกระโปรงรถยกเอากระเปาผมออกมาหิ้วไว้
ลุงชาร์ลดึงผมให้ตามเขาไป ส่วนลุงเควินกำลังเชคโทรศัพท์มือถือก่อนจะตามลงมาสมทบ พวกเราสี่คนเดินเข้าไปในเขตคฤหาสน์ของคุณฮาว์บิ้นอย่างไม่ต้องมีการเคาะหรือเชิญชวน นี่ผมยังไม่อยากตายนะ!
แต่มันก็แปลกอยู่ ที่นี่ดูเหมือนรกร้างไม่มีคนอยู่?
“ แกว่าไอ้ฮาว์บิ้นมันจะอยู่ไหม? “ ลุงชาร์ลถามลุงเควิน เขาเหล่ตามองลุงชาร์ลพลางทำหน้าเอือมระอา
“ ช่างหันมันซิ แคร์มันอยู่ได้ไอ้กร๊วก พรรค์นั้น! “
ลุงเควินเป็นคนจัดการเปิดประตูเข้าไป เขามีกุญแจบ้าน? งั้นก็แปลว่าคุณฮาว์บิ้นเป็นเพื่อนหรือคนรู้จักของสามคนนี้หรือ? ภายในบ้านเป็นอะไรที่แตกต่างจากสิ่งที่เห็น มันมีแต่หยากไย่ ฝุ่นและเครื่องเรือนที่ดูเก่าจนซอมซ่อ ผมเดินฝ่าฝุ่นเข้าไป พยายามจะยัดเจ้าแจ๊สเข้าไปในเสื้อ...ผมไม่อยากให้ตุ๊กตาผมเปื้อน!
“ บ้าจริง มีแต่ฝุ่น สกปรกยังกะอะไรดี “ พี่ซอร์ดพูดไล่หลังพวกผม เขาเป็นคนสุดท้ายที่เดินมาแถมหิ้วกระเป๋าหนักอื้อของผมอีก ดูก็รู้ว่าเขาคงไม่พอใจแน่!
“ บ่นมากจริง หุบปากซะบ้างเถอะไอ้หนู แค่นี้มันฆ่าแกไม่ได้หรอก “ เป็นลุงเควินตามเคยที่พูดจาระคายหู พวกเราสี่คนเดินไปตามโถงทางเดินจนไปสุดปลายทางถึงได้เห็นว่ามันมีห้องอยู่ห้องหนึ่ง ถ้าไม่สังเกตดีดีก็ไม่รู้หรอกมันดูกลมกลืนกับผนังจนแยกไม่ออก
ลุงเควินล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงดึงพวงกุญแจออกมาก่อนจะไขเข้าไป ลุงชาร์ลฉุดแขนผมให้เดินตามเมื่อเห็นผมเริ่มอ้อยอิ่งไม่เดิน ส่วนพี่ซอร์ดก็บ่นงึมงำอยู่ด้านหลังถึงเรื่องฝุ่นและเรื่องความสกปรก
ห้องที่ผมเข้าไปเป็นห้องโถงขนาดใหญ่โล่งกว้าง ในห้องมีโซฟา โต๊ะและตู้หนังสือประดับอยู่แค่นั้น แต่ที่ทำให้ผมตาลุก
วาวคงเป็นผู้หญิงที่ยืนอยู่ในห้องนั้น เธอเป็นผู้หญิงที่ผมยอมรับว่าสวยมาก ใบหน้าเรียวได้รูป ผิวขาวผ่อง ผมหยักศกสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาสีเทาหม่น....
“ มาสาย! “ ประโยคแรกที่เธอเอ่ยทักเรียกสีหน้าบึ้งตึงจากลุงเควินได้เป็นอย่างดี
“ หนวกหูน่าดาน่า “
“ มันเป็นเรื่องจริง ฉันรอมานานมาก นานจนคิดว่าตายไปซะแล้ว “ ประโยคหลังเธอมองผม ทำเอาผมร้อนๆหนาวๆอย่างบอกไม่ถูก แม้เธอจะเป็นคนที่สวยแต่ผมก็รู้สึกถึงรังสีความอันตรายมาจากตัวเธอ
“ พอเถอะดาน่า เราไม่ควรพูดมากเกินไป “
“ ใช่ซินะ เราไม่ควรพูดมากเกินไป “ ดาน่าเน้นย้ำประโยคสุดท้าย สายตาของเธอที่มองมายังผม เหมือนมีอะไรบางอย่างที่เราสองคนสื่อกันได้?
“ เอาล่ะเรารีบไปกันเถอะ “ ลุงชาร์ลตัดบท เขาเดินนำเราออกจากประตูอีกฟากของห้องนั้น ประตูที่เราออกพาเราไปยังทุ่งหญ้าสีเขียวเนินกว้างของบ้านคุณฮาว์บิ้น ความมืดมิดเริ่มโรยตัวมาบวกกับความหนาวเย็นทำให้ผมเริ่มกระชับเจ้าแจ๊สเข้าหาตัว ดาน่าเหลือบมองผมก่อนที่เธอจะจิ๊ปากลำคอพร้อมกับถอดเสื้อโค้ทของเอมาสวมให้ผม
ผมมองมันอย่างแปลกใจ เธอเองก็มองผม สายตาดุดันของดาน่าแม้จะน่ากลัวแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันมีเสน่ห์ รู้สึกหลายอย่างจากสายตานั้น คุ้นเคย เหมือนเคยรู้จักกันมานมนาน...
“ ขอบคุณสักคำมีไหม? “ ดาน่ากระชากเสียงใส่ ผมเลยกล่าวขอบคุณเธอไป “ขอบคุณฮะ”
...พวกเราเดินมานานมาก ไม่รู้สิอาจจะยี่สิบนาที หรือครึ่งชั่วโมง เพราะขาผมล้าไปหมด มือก็เริ่มเย็นชืดจนผมคิดว่ามันคงแข็งในอีกไม่นาน ในขณะที่ลุงชาร์ล ลุงเควินและพี่ซอร์ดเดินไปข้างหน้าอย่างไม่สะทกสะท้าน ผู้ใหญ่เขาอดทนกันได้ขนาดนี้เชียวหรือ?
“ เหนื่อยเหรอวอลทซ์ “ พี่ซอร์ดออกปากถามหลังจากพี่เขาลดระดับการเดินให้มาเท่ากับผม ผมมองพี่ซอร์ดยิ้มให้ ไม่ได้บอกว่าเหนื่อยหรือหนาว!
นั่นทำให้ผมต้องอดทนกัดฟันเดินต่อไป ....ผมไม่ถนัดในเรื่องเอ่ยปากบอกอะไรตั้งแต่เด็กแล้ว ไม่ว่าผมจะไม่พอใจหรือทุกข์ทรมาน ผมก็ไม่เคยพูดมันออกไป ไม่ว่าอยากจะได้อะไรผมก็แค่นั่งนิ่ง ภาวนาในใจและขอให้มันส่งไปยังพ่อ ให้เขาซื้อมาให้ แต่ผลสุดท้ายผมก็ไม่เคยได้อยากที่ผมหวังเพราะพ่อมักซื้อของที่พวกเด็กคนอื่นต้องการ เขาไม่เคยถามในขณะที่ผมก็ไม่เคยบอก
เราก็เลยไม่มีวันสื่อสารกันได้? จนถึงตอนนี้จิตใจผมห่วงเขาหรือเปล่า...หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้
ถ้าถามว่าผมรักเขาไหม? ....................ผมตอบไม่ได้!
ความคิดเห็น