คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1
ตอนที่ 1
โครม!!!
เสียงรถยนต์พลิกคว่ำบนถนนตอนกลางคืน ไถลลงทางลาดยาวเกิดเป็นประกายไฟกระเด็นโดนน้ำมันที่ไหลรั่วออกจากตัวถัง และหลังรถหยุดได้ไม่กี่วินาที แทนธงเริ่มมีสติลืมตาขึ้นตื่น เห็นต้นเพลิงลุกติด ปลดเปลื้องสายเซฟตี้เบลท์ทิ้งแล้วดึงเบ้ามือเปิดด้านใน สลับกับเอาตัวชนประตูให้เปิดออก
พยายามอยู่หลายครั้งก็เป็นผลสำเร็จ ดันตัวออกมานอนคว่ำหน้าแล้วยันตัวลุกขึ้นยืน วิ่งหนีไปให้ไกลที่สุด เมื่อกลิ่นเหม็นไหม้ลอยเข้าโชยจมูก โดยทิ้งคนรักไว้เบื้องหลัง...
แพรวพรรณรายยกมือขอความช่วยเหลือ เสียงแหบแห้งร้องเรียกให้คนรักกลับมา แต่ยิ่งเรียกเหมือนยิ่งห่างไกล เมื่อเขายิ่งหนีหายไปจากสายตา
“พี่เก้า...”
หญิงสาวซบหน้าลงเบาะรถ สะอื้นไห้จนตัวโยน เมื่อถูกทิ้งไว้เพียงลำพังในที่ๆถูกรายล้อมด้วยเปลวไฟพลางหวนนึกถึงเรื่องก่อนหน้า
“พี่เก้า ขับรถช้าๆหน่อยๆได้ไหมคะ แพรกลัว” แพรพรรณรายบอกคนรักเสียงสั่น มือกำสายคาดนิรภัยแน่น ตามองเข็มปัดชี้เลขสองร้อย ซึ่งเป็นความเร็วเกือบจะสูงสุดของรถคันนี้
แทนธงหันมามองแต่ไม่ยอมทำตาม เพิ่มความเร็วขึ้นเพื่อแกล้งคนรัก
“กรี๊ด”
หัวเราะชอบใจกับท่าทางของเธอที่หลับตาปี๊ เอียงหน้าหนีไปทางหน้าต่างประตูรถ นานเข้าเขาเริ่มสงสารยอมทำคำของแพรพรรณราย
“แพร... ลืมตาได้แล้ว พี่ลดความเร็วลงแล้ว ดูสิ” แทนธงชี้นิ้วไปข้างหน้าให้หญิงสาวดู ทั้งที่หล่อนยังหลับตา จึงเอื้อมมือข้างหนึ่งไปสะกิดต้นแขน
ร่างเล็กสะดุ้งเฮือก ตกใจลืมตาขึ้นมองอัตโนมัติและสิ่งแรกที่เธอเห็น คือวัตถุบางอย่างกำลังเคลื่อนไหวบนท้องถนน ลำตัวใหญ่ยาว ยามถูกแสงไฟกระทบมีแสงวิบวับสะท้อนกลับล้อลวงให้เธอก้มหน้าหากระจก แล้วเพ่งสายตามองดูว่ามันคืออะไร
สิ่งที่เห็นเป็นงูเหลือมขนาดยักษ์และพาลให้นึกคิดว่าคงเป็นงูเจ้าที่ ที่ถ้าใครได้ฆ่าจะถูกอาฆาตแค้นและตามไปท้วงหนี้ถึงขั้นเอาชีวิต แพรพรรณรายเชื่อเรื่องนี้จึงร้องห้ามขึ้นคนรักให้ระวัง
“พี่เก้าระวัง!!” เสียงของหญิงสาวทำให้แทนธงสะดุ้งตกใจหันไปมองคนรักแวบหนึ่งก่อนหันมาสนใจถนนตรงหน้าที่มีสิ่งมีชีวิตขวางการจราจรของเขา มีลำตัวใหญ่ยาวคล้ายงูจึงเปิดไฟต่ำส่องให้เห็นชัดแล้วผงะก่อนหักพวกมาลัยหนีไปอีกเลน ซึ่งมีรถสิบล้อวิ่งสวนขึ้นมาด้วยความเร็ว พุ่งเข้าชนจนรถลอยสูงแล้วพลิกคว่ำไหลลงตามทางลาดต่ำและหยุดนิ่งบนทางเรียบ
แพรพรรณรายจำได้แค่นี้เธอก็หมดสติและมารู้สึกตัวอีกทีตอนเห็นคนรักเดินจากไปไกลแล้ว หญิงสาวกลับหัวนั่งร้องไห้จนสำลักเนื่องจากสูดเอาควันไฟเข้าไปมากและยิ่งเสียใจหนัก เมื่อไม่อาจเห็นหน้าพ่อแม่เป็นครั้งสุดท้าย
นี่เธอจะต้องมาตาย โดยที่ไม่ทันได้ทนแทนบุญของพ่อแม่เลยหรือ...
แพรพรรณรายคิดแล้วนึกถึงใบหน้าของบิดามารดา ก็เริ่มมีสติฉุกคิดถึงความเป็นไปได้ ถ้าเธอรีบก็ยังพอมีเวลาพาตัวเองออกไปได้
ใช่! เธอต้องรีบ
เมื่อคิดได้แล้วก็รีบทำ โน้มตัวมาข้างหน้าเอาแก้มแนบต้นขาแล้วส่งมือเข้าไปล้วงดึงข้อเท้าที่ติดแน่นออกมาได้หนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างเธอลองขยับๆดู ปรากฏว่าไม่ติดอะไรมาก ยกมาวางบนเบาะนั่งฝั่งคนขับแล้วเงยหน้าขึ้นเจอเปลวเพลิงที่กรูกันเข้ามาตรงรอยแตกของกระจก ใส่แก้มซีกซ้ายกรี๊ดร้องลั่นอย่างเจ็บปวด ยกมือปัดป้องเป็นพัลวัน แต่ไม่อาจสู้ไหวทิ้งตัวลงนอนหมดสติไปในที่สุด
อัคคีเบรกรถกะทันหันเมื่อทางข้างหน้ามีอุบัติเหตุ รถพลิกคว่ำ ไฟลุกโชติช่วง ด้านในมีร่างหญิงสาวคนหนึ่งฟุบลงต่อหน้าต่อตา มือหนาจึงคว้าโทรศัพท์มากดโทรเรียกรถฉุกเฉิน เรียบร้อยแล้วจึงเปิดประตูรถ กดที่ปรับเบาะ หยิบขวดน้ำผ้าขนหนูติดมือไปจุดเกิดเหตุ แต่ไม่สามารถเข้าใกล้ได้ เมื่อไฟที่เผาไหม้ร้อนแรงตามแรงลม ราวกับขับไล่ไม่ให้เขาเข้ามา
ร่างใหญ่จึงย่อตัวลงนั่ง เปิดปากขวดน้ำเทใส่ตัวกับผ้าขนหนูแล้วนำมาพันรอบแขนยาวไปจนถึงข้อศอก
ใบหน้าคมสันเอียงหนีความร้อนแล้วยกแขนฟาดใส่กระจกให้แตกละเอียด จากนั้นดึงที่ปลดล็อคขึ้นเปิดประตู เอามือสอดเข้าใต้รักแร้แล้วจับยกขึ้นพาดบ่า พาวิ่งหนีวัตถุใกล้จะระเบิดไปพุ่งหญ้าที่มีร่างของใครบ้างคนนอนหมดสติอยู่ใต้ต้นไม้
อัคคีวางร่างเล็กนอนหงายแล้ววางนิ้วมือเหนือบริเวณปลายจมูก เพื่อสัมผัสลมหายใจแผ่วเบาที่บ่งบอกว่าหญิงสาวยังไม่ตาย เท่านั้นถึงกับเป่าปากโล่งอก ซักพักก็เหมือนลืมหายใจ เมื่อใบหน้าครึ่งหนึ่งของหญิงสาวถูกไฟคลอก แต่ไม่สำคัญเท่ากับเขารู้จักเธอ
“แพร...”
อัคคีไม่อยากเชื่อว่าคนที่ตนหลงรักมาตลอดจะมีสภาพแบบนี้ เสียโฉมไปเกือบครึ่งหน้า ไม่เหลือเค้าความงาม แต่เขาจะมามัวสนใจกับเรื่องพันนี้ไม่ได้ เมื่อเธอต้องได้รับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นก่อน ร่างสูงใหญ่วิ่งไปเอาน้ำเปล่ามาล้างบาดแผล ก่อนเดินดูไปรถที่ไม่มีทีท่าว่าจะมา
รอจนถอดใจ หมุนตัวกลับไปอุ้มร่างเล็กพาไปยังรถของตนเอง แต่ยังไม่ทันจะวางแพรพรรณรายนอนบนเบาะ เสียงสัญญาณไซเรนดังเรียกให้เขาหันไปมอง
รถจอด บุรุษพยาบาลวิ่งถือเปลมารับร่างหญิงสาวไปรักษาตัวพร้อมคู่หมั้น อัคคีมองตามแล้วหยิบมือถือโทรบอกญาติผู้น้องให้แจ้งข่าวแก่บิดา มารดาของแพรพรรณรายกับคนรักถึงอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น
‘ได้ครับ พี่คิน แค่นี้นะครับ’
อัคคีกดตัดสายทิ้งหลังสิ้นคำพูดของญาติ เขาวิ่งไปที่รถ สตาร์ทเครื่องแล้วขับตามไปย่างเป็นห่วง นั่งเฝ้าหญิงสาวไม่ให้ห่างสายตาจากด้านนอกห้อง หลังตอบคำถามการสักประวัติของแพรพรรณรายให้นางพยาบาลเรียบร้อยแล้ว
เอกภพสวมถุงมือปราศจากเชื้อก่อนตรวจคนไข้ หยิบกรรไกรตัดเสื้อผ้าออกจากกายให้ทั้งหมด เพื่อทำการตรวจดูบาดแผลบนร่างกายให้ละเอียด จากนั้นก็ประเมินความรุนแรงของแผลไฟไหม้บริเวณใบหน้าและท่อนแขน ซึ่งมีลักษณะตรงกับระดับที่สอง (Second degree burn)[1] เมื่อดูอาการเรียบร้อยแล้วหมอหนุ่มลงมือทำการรักษาและยื้อชีวิตเพื่อนไว้ได้แล้ว เขาได้ส่งตัวไปเฝ้าดูอาการอย่างใกล้ชิดในห้องผู้ป่วยหนักต่อ
ร่างเล็กนอนบนเตียงแบบเข็น โดยเธอถูกสวมใส่หน้ากากออกซิเจนแบบมีถุงลมครอบ เพื่อช่วยในเรื่องการหายใจ ได้สะดวก ท่อนขาของหญิงสาวใส่เฝือกอ่อน สวมท่อนแขนที่ถูกเปลวเพลิงทำร้ายใส่เฝือกด้วยเช่นกัน
อัคคีลุกขึ้นแล้วมองตามอย่างเป็นห่วง ทำท่าจะตามไปแต่ถูกน้องชายเรียกไว้
“ขอยืมโทรศัพท์หน่อย” อัคคีล้วงให้แต่โดยดี จากนั้นก็ยืนฟังบทสนทนาการแจ้งข่าวอาการของแพรพรรณรายให้บิดาของหญิงสาวทราบ ขณะกำลังเดินทางมาที่โรงพยาบาล ในกรุงเทพ
“ครับ คุณพ่อไม่ต้องห่วง ผมจะดูแลแพรเป็นอย่างดี ครับ แค่นี้นะครับ” เอกภพกดสายแล้วส่งคืนให้เจ้าของ
มือหนาใหญ่รับมาเก็บใส่กระเป๋าดังเดิม เงยหน้ามองน้องชายแล้วถามสิ่งที่ค้างคา
“หน้าแพรจะเป็นแผลเป็นไหม”
เอกภพกรอกตามองเพดานที่พร่าเลือนจากน้ำตาเอ่อล้น เศร้าเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นกับเพื่อนสนิทเพียงคนเดียว แพรพรรณราย เธอคือผู้หญิงจิตใจดี หน้าตา ผิวพรรณ รูปร่างล้วนดูดีทุกอย่าง แต่ตอนนี้เธอต้องมามีสภาพไม่น่าดูนักจากบาดแผลไฟไหม้ที่เกิดขึ้น
แต่เขาสัญญาว่าจะรักษาเธอให้ดีที่สุด ให้กลับมาสวยดั่งเดิม
“ผมยังให้คำตอบพี่ไม่ได้ เอาไว้รอการรักษาเสร็จสิ้นทุกอย่างก่อน ผมค่อยให้คำตอบพี่อีกที”
อัคคีเข้าใจเพราะกระบวนการรักษายังไม่สิ้นสุด คนไข้อาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ติดเชื้อได้ เขาเข้าใจดี
“อือ พี่เข้าใจ งั้นพี่กลับก่อนนะ”
สะบัดหัวไปมา มือนวดหัวไหล่คลายความเมื่อยล้าจากการเดินทางที่ใช้เวลานานหลายชั่วโมง
“ครับ”
เอกภพเดินมาส่งพี่ชายหน้าประตูลิฟต์ โบกมือลาให้ก่อนหมุนตัวเดินไปอาการของแพรพรรณที่แผนกผู้ป่วยหนัก 1
หญิงวัยกลางคนปราดมาหานางพยาบาลหน้าเคาท์เตอร์ ถามไถ่หาลูกสาวของตนอยู่ที่ไหน พอทราบเรื่องเธอรีบวิ่งไปหาทันที โดยมีสามีวิ่งตามหลัง
“นพ”
นายแพทย์หนุ่มหันไปมองด้านหนัง เห็นบิดา มารดาเพื่อนสนิทวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าไม่เป็นห่วงปนกังวล กลัวลูกสาวคนเดียวจะเป็นอะไรไปก่อนจะเห็นหน้ากัน
“แพรอยู่ไหน”
เอกภพชี้นิ้วไปทางห้องกระจกท้ายสุดที่นางพยาบาลพึ่งเปิดประตูออกมา หลังจากตรวจเช็คอาการคนไข้เรียบร้อย ร่างสูงโปร่งเดินนำแล้วหยุดพูดคุยกับนางพยาบาลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็เดินต่อมาถึงห้องของแพรพรรณราย
หยุดแล้วหันไปมองสีหน้าใจหายของผู้ใหญ่สองคน
คนหนึ่งเริ่มร้องไห้เสียใจ อีกคนพยายามเข้มแข็งข่มน้ำตาไม่ให้ไหลออกมาด้วยการกัดริมฝีปากและต้องทำหน้าที่เป็นเสาหลักให้ภรรยากอดยามเสียใจ
เอกภพยอมรับว่าสะเทือนใจกับสิ่งที่เห็นไม่น้อยไปกว่ากัน แต่ตอนนี้เขาทำได้แค่ยืนนิ่ง รอคอยให้พวกท่านทำใจได้ก่อนจะบอกรายละเอียดให้ทราบถึงอาการของแพรพรรณราย
พอเสียงสั่นสะอื้นเปล่งวาจา “แพร... จะปลอดภัยไหมนพ” ถามถึงอาการลูกสาวแสดงความพร้อมที่จะรับฟัง เขายินดีตอบให้ทุกข้อแล้วแต่จะถามมา
“ตอนนี้ปลอดภัยแล้วครับ แต่ต้องรอดูอาการไปก่อน 2-3 วันครับ”
“ทำไมละนพ” คราวนี้ พล.ร.อ. มนัส เป็นผู้ถาม
“ต้องเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่จะตามก่อนครับ”
พล.ร.อ. มนัสพยักหน้าเข้าใจ
ภาวะแทรกซ้อนคือภาวะขาดน้ำและอาการช็อก อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิต จำเป็นต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์และพยาบาลตลอดเวลา
“แล้วเรื่องแผลบนใบหน้าแพรละ จะเป็นแผลเป็นไหม”
“มีโอกาสเป็นได้มากครับ เพราะบาดแผลของแพรอยู่ในระดับที่2 ขั้นลึก ยิ่งถ้าเกิดมีการติดเชื้ออาจทำให้แผลเป็นหนอง เกิดเป็นวงกว้างมากขึ้นครับ ตอนนี้เป็นแผลเป็นแน่นอนครับ”
กชกรเข่าอ่อนเมื่อได้รับฟังว่าบุตรสาวของตนต้องกลายเป็นคนเสียโฉม และสิ่งที่ตามมา คือสภาพจิตใจที่รับไม่ได้ต่อความอัปลักษณ์ของตนเอง และเป็นส่วนทำลายหน้าที่การงานที่รักมากที่สุด นั้นคืออาชีพผู้ประการข่าว
ร่างผอมบางเป็นลมหมดสติภายในอ้อมกอดของสามีหลังจากคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับบุตรสาวเพียงคนเดียว
พล.ร.อ. มนัส อุ้มภรรยาไปพักยังส่วนรับรองญาติผู้ป่วย โดยมีเอกภพค่อยช่วยปฐมพยาบาลไม่ห่าง
2 สัปดาห์ผ่านไป
แพรพรรณรายกลายเป็นคนเหม่อลอย ไร้จิตวิญญาณ นอนนิ่งเฉยไม่สนใจใยดีใครต่อใครที่ต่างแวะเวียนมาเยี่ยมหา เธอเหมือนคนตายทั้งเป็นหลังจากรับรู้ว่าตนเป็นปีศาจ ไม่ใช่นางฟ้าอีกต่อไป
“แพรแม่จะออกไปซื้อของ ลูกอยู่คนเดียวได้ไหม”
“.....”
เงียบไม่มีเสียงตอบรับ ไม่มีแม้แต่การพยักหน้า กชกรมองลูกสาวแล้วถอดหายใจเหนื่อย
“งั้นเดี๋ยวแม่มานะ”
เธอลูบเส้นผมลูกสาวแล้วก้มหน้าจูบหน้าผาก เดินออกมาซื้อของใช้ส่วนตัว ไม่ทันเห็นนายแพทย์หนุ่มเปิดประตูเข้าไปคุยกับแพรพรรณราย
มือใหญ่ดึงเก้าอี้ออกมานั่งกุมมือเรียวสวย มองรอยแผลเป็นใหญ่บนแก้มด้านซ้ายแล้วก้มหน้างุด เรียกชื่อเธอเสียงเครือ “แพร...” เท้าขยับขึ้นลง กระทบพื้นเสียง ‘ตึง’ ส่วนมือข้างที่วางบนหน้าตักกำแน่นจนเห็นเส้นเลือดปูด
ใบหน้าหล่อใสหันหนีไปทางปลายเท้าของหญิงสาว ริมฝีปากถูกขบกัดอย่างหักห้ามน้ำตาไม่ให้ไหล
“เอมขอเลิกกับเรา”
แพรพรรณรายมีปฏิกิริยาตอบรับด้วยการบีบมือใหญ่แล้วลดสายตาลงมองเขาที่หันมามองทันทีที่เพื่อนรับฟัง
“ทำไมถึงเลิก...” เสียงใสเบาหวิว แหบแห้งเอ่ยถาม
เอกภพยิ้มให้เล็กน้อย “เรายังบอกแพรไม่ได้ว่าทำไม แต่อีกไม่นานแพรก็จะรู้เอง”
คำพูดกำกวม แฝงไปด้วยปริศนา ทำให้หญิงสาวต้องอดขมวดคิ้วงุนงงไม่ได้
ไม่นานแล้วเมื่อไหร่ละ เธออยากจะถามคำๆนี้ แต่รู้ตัวดีว่ายังไม่ควร เพราะเพื่อนของเธอยังไม่พร้อมที่จะพูด
“เราจะมีทางหายเป็นปกติไหมนพ”
“หาย ถ้าแพรยอมรักษา”
การรักษาที่เขาว่าคือการทำศัลยกรรมตกแต่งที่แพรพรรณรายปฏิเสธที่จะรักษา เพราะคิดว่าถึงรักษาไปใบหน้าของเธอก็ไม่เป็นเหมือนดังเดิม กลับจะยิ่งแย่ลงไปอีกตามคำพูดของอดีตว่าที่แม่สามี
‘ถึงเธอรักษาตัวไปก็ไม่กลับเป็นเหมือนเดิมหรอก ในเมื่อหน้าเธอเละขนาดนี้’
ศรุดาไม่พูดเปล่าส่งกระจกให้คนป่วยดูสภาพใบหน้าของตนเอง
แพรพรรณรายรับมาถือแล้วส่องใบหน้าดู มือไม้อ่อนทำกระจกร่วงล้นลงพื้น กรีดร้องอย่างบ้าคลั่งและไม่ยอมสงบลงง่ายๆ เมื่อถูกเติมเชื้อไฟเข้า
‘อ้อ! ฉันลืมบอกไป ลูกชายฉันฝากมาบอก ว่า...เขาขอถอดหมั้นกับเธอ เพราะอะไรรู้ไหม’ ศรุดาก้มหน้าลงมาพูดใกล้ๆ ‘เพราะเขารับไม่ได้ที่จะต้องคบกับผู้หญิงอัปลักษณ์แบบเธอยังไงละ’
แค่นั้นแหละ แพรพรรณรายกรีดร้องลั่นและหมดสติไปในที่สุด ฟื้นขึ้นมา เธอก็ปิดปากเงียบไม่ยอมพูดกับใคร เหม่อลอยเหมือนคนไร้วิญญาณ และเขาทราบเรื่องนี้ได้ยังไง เพราะพยาบาลผู้อยู่ในเหตุการณ์เล่าให้เขาฟัง
“แต่แพรกลัว”
เอกภพยิ้มให้กำลังใจ “ไม่ต้องกลัว ยังไงแพรก็ต้องหายแล้วกลับมาสวยเหมือนเดิม เชื่อนพสิ” มือใหญ่วางทาบมือเล็ก ตบเบาๆอย่างให้กำลังใจ
แพรพรรณรายจ้องตาเพื่อนแล้วหลับตาลงอย่างตัดสินใจบางอย่าง
“จ้ะ แพรจะลองเชื่อนพดู แต่ถ้าทำแล้วไม่สวย แพรเอานพถึงตายแน่” ประโยคสุดท้ายเธอคาดโทษให้อย่างทีเล่นทีจริง เรียกรอยยิ้มทะเล้นให้ได้เห็นก่อนจากลา เมื่อถึงเวลาที่เอกภพต้องไปทำงาน
“แพร นพไปทำงานก่อนนะ”
“จ้ะ”
แพรพรรณรายยิ้มส่งเพื่อนไปทำงาน ดวงตานั้นจ้องมองตามแผ่นหลังกว้างที่เลือนหายไปกับประตูที่ปิดลง พร้อมพาหัวใจให้รู้สึกหล่นวูบลงในหลุมดำแสนมืดมิดและเปล่าเปลี่ยว เมื่อมีลางสังหรณ์ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเอกภพ
เปลือกตาขยับเขยื้อน เม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มดวงหน้า นิ้วมือบีบขย้ำผ้าปูที่นอนยับยู่ยี่ ปลายเท้าจิกเกร็ง ร่างกายบิดไหวไปมาอย่างห้ามไม่อยู่ เมื่อหลงอยู่ในห้วงความฝันแสนเลวร้าย
ร่างเล็กวิ่งหนีเงาดำทะมึนที่ไล่ล่ามาจากหน้าลิฟต์ ตามติดตัวเธอไม่ห่าง หญิงหันมองไปด้านหลังก่อนเร่งฝีเท้าวิ่งมายังห้องของเอกภพที่มีแสงไฟสว่างจ้าชักชวนให้เธอรู้สึกปลอดภัยถ้าได้เข้าไปอยู่ในนั้น แต่หารู้ไม่ว่าทันทีที่เธอก้าวเข้ามาดวงตากลับเบิกกว้าง เมื่อเธอเห็นร่างสูงโปร่งห้อยโต่งเต่งเหนือพื้นห้องตรงราวแขวนผ้าม่านหน้าประตูบานเลื่อน
กรีดร้องสุดเสียงอย่างรับไม่ได้กับสิ่งที่เธอเห็น
“แพร! แพรเป็นอะไรลูก”
เสียงของบิดาฉุดเธอให้หลุดออกมาจากฝันอันเลวร้าย ลืมตามองห้องที่สว่างจ้าแล้วเลื่อนสายตามองบิดาที่ยืนก้มหน้ามองเธออยู่ข้างเตียง
“แพรฝันร้าย แพรฝันว่านพฆ่าตัวตาย” หญิงสาวจับมือบิดามาเขย่าขณะเล่าเหตุการณ์ในความฝันให้ฟัง “คุณพ่อช่วยพาแพรไปหานพที่ห้องทำงานได้ไหมคะ ได้ไหม”
พล.ร.อ. มนัส มองหน้าบุตรสาวอย่างชั่งใจ ก่อนตกปากรับคำรบเร้า “ได้ลูก พ่อจะพาไป” เดินมาเอารถเข็นตรงมุมห้อง ไว้ใกล้เตียงนอนผู้ป่วยแล้วช่วยจับพยุงตัวลงมานั่ง พามาขึ้นลิฟต์ไปหาเอกภพ
ระหว่างรอดวงตาสีน้ำตาลเข้มจ้องมองใบหน้าเคร่งเครียดและวิตกกังวลของบุตรสาว ในใจก็กระหวัดถึงเรื่องราวในวัยเด็กของแพรพรรณรายที่ชอบฝันถึงเหตุการณ์ล่วงก่อนที่จะเกิดขึ้นจริง แต่พอเข้าสู่ช่องวัยรุ่น ภาพนิมิตมลายหายไปโดยไร้สาเหตุ ทว่าวันนี้...มันกลับปรากฏขึ้นอีกครั้ง
เขาก็หวังว่ามันคงไม่เม่นยำนัก
ร่างสูงใหญ่สมชายชาติทหารเคลื่อนรถออกจากลิฟต์มาจอดหน้าห้องทำงานของนายแพทย์หนุ่ม แล้วสะดุ้งสุดตัว ตกใจกับเสียงที่ได้ยินมาจากข้างใน มันช่างคลายเก้าอี้ล้มฟาดพื้น ชวนให้เขารีบนำมือมาหมุนลูกบิดแล้วใช้ลำตัวกระแทกเปิดหลังทราบว่ามันล็อค
แรงปะทะรุนแรงส่งผลให้ประตูเปิดออก มาพบเจอกับร่างสูงโปร่งกระเสือกกระสนจะนำเชือกที่รัดคอจนแน่นทิ้ง และยิ่งเท้ากวักแกร่งไปมา สิ่งพันธนาการจึงผูกมัดรัดเอาลมหายใจให้ค่อยๆหายไปทีละน้อย เล่นเอาหญิงสาวคนเดียวกรีดร้องลั่น แต่ทำให้ พล.ร.อ. มนัส ได้สติวิ่งไปหยิบมีดคัทเตอร์บนโต๊ะมาตัดเชือกให้ร่างที่กระตุกตกลงมาเกือบถึงพื้น ดีที่มือหนารีบรองรับไว้ทัน
พล.ร.อ. มนัส จับเอกภพนอนราบกับพื้นแล้วลุกขึ้นไปลากเครื่องช่วยหายใจแบบพกพามาตั้งใกล้ลำตัวของคนคิดสั้นแล้วจับหน้ากากสวมใส่ให้หายใจได้คล่องขึ้น
พอเห็นว่าเอกภพอาการดีขึ้น จึงลุกขึ้นยืนเดินมาหาบุตรสาวที่ยังร้องไห้ไม่หยุด โอบกอด ปลอบประโลมให้หายตกใจ โดยให้ดวงหน้าเล็กแนบกับหน้าอก ร้องไห้จนพอเขาถึงได้ปล่อยมือออกแล้วเดินอ้อมมาจับรถเข็น
เคลื่อนตัวพามาหาเอกภพที่นอนลืมตามองเพดาน น้ำตาไหลพรากโดยที่เจ้าตัวไม่คิดจะยกมือเช็ด
พล.ร.อ. มนัส พยุงบุตรลงมานั่งมองใบหน้าซีดเซียวเหมือนคนตาย นิ่งนานกว่ามือเรียวจะเอื้อมมาเกลี่ยน้ำตาออกจากพวงแก้มของเพื่อนสนิท
“แพรจะไม่ถามว่าทำไมนพถึงทำแบบนี้ แต่แพรแค่จะขอให้นพอย่าคิดสั้นอีกจะได้ไหม” แพรพรรณรายเลื่อนมือมากุมแก้มซีดของเอกภพ สบแววตาว่างเปล่าแล้วถามย้ำ “ได้ไหมนพ”
เอกภพสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอามือยันพื้น ดันตัวลุกขึ้นนั่ง ส่งผลให้มือเรียวสวยหลุดออกโดยปริยาย
“นพสัญญา”
ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตายและการได้นอนคิดไตร่ตรองหลังจากถูกช่วยเหลือ ทำให้เขาคิดได้ว่า ถึงฆ่าตัวตายไปก็ไม่เกิดผลดี รั้งแต่จะส่งเสียแก่คนรอบข้าง โดยเฉพาะบิดาที่รักเขามากยิ่งกว่าสิ่งใด ยอมตายเพื่อเขาได้ เกิดหมดลมหายใจจริงๆ ท่านจะอยู่คนเดียวได้อย่างไร
เอกภพคิดถึงจุดนี้และบวกกับคำพูดของหญิงสาว ทำให้ตัดสินใจได้เร็วขึ้น ว่าจะไม่คิดสั้นอีก เพียงแค่ถูกผู้หญิงทิ้ง “จะไม่คิดสั้นอีก แพรสบายใจได้แล้วนะ”
แพรพรรณรายพยักหน้างึกงัก ก่อนเงยหน้ามองบิดาแล้วส่งยิ้มดีใจให้ท่านเห็น
เอกภพมองตามแล้วยกมือไหว้ผู้มีพระคุณที่ต่อลมหายใจให้เขายังมีชีวิตรอด มาพูดคุยเสียงแหบแห้ง “ขอบคุณ คุณอามากนะครับที่ช่วยผม”
“ไม่เป็นไร อายินดีช่วย แต่ทีหน้าทีหลังอย่าทำแบบนี้อีก เพราะนพอาจจะไม่โชคดีเหมือนอย่างวันนี้แน่นอน”
“ครับ” เอกภพรับคำก่อนลุกขึ้นยืน ช่วยประคองตัวแพรพรรณรายคนละข้างกับบิดาของหญิงสาวมานั่งบนรถเข็น สบนัยน์ตาเศร้าหมองที่จ้องมองเขาอยู่ก่อนหน้า “มีอะไรรึเปล่าแพร”
แพรพรรณรายนิ่งเงียบราวกับใช้ความคิด เอกภพจึงย่อตัวลงนั่งมองเพื่อนสาว จับมือเรียวสวยขึ้นมาวางนาบแก้ม “ว่าไง มีอะไรจะบอกนพหรือเปล่า”
ดวงตาคมสวยเหลือบมองบิดานิดหนึ่งก่อนโพล่งบอก
“นพไปค้างที่บ้านแพรได้นะ ถ้านพยังรู้สึกไม่สบายใจ”
เอกภพยิ้มกว้างอย่างเข้าใจดีว่าเพื่อนหมายถึงสิ่งใด
กลัวว่าเขาจะรู้ไม่สบายใจยามพบหน้าเอมิกา
“ขอบใจนะแพร” เขาไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธน้ำใจงาม เพียงแค่ขอบคุณเธอเท่านั้นพอ “นพว่าแพรควรไปพักผ่อนได้แล้วนะ ดึกมากแล้ว” เฉไฉให้หญิงสาวไปพักผ่อน เพราะรู้ดีว่าหญิงสาวไม่หยุดถามถ้ายังไม่ได้สิ่งที่ต้องการ
พล.ร.อ. มนัสรู้นิสัยบุตรสาวดีจึงช่วยพูดด้วยอีกแรง
“ใช่ลูกมันดึกมากแล้ว แพรไปพักผ่อนได้แล้วนะ”
แพรพรรณรายมองใบหน้าบิดาสลับกับเพื่อนสนิทแล้วถอนหายใจพรืดใหญ่อย่างปลงๆ ช่วยกันพูดขนาดนี้ เธอคงไม่ได้คำตอบจริงๆสินะ บ่นในใจเสร็จ หญิงสาวก็พยักหน้าเข้าใจ ยอมให้บิดาพากลับห้องพักฟื้นโดยมีเอกภพเดินตามมาส่ง
พอหัวตกถึงหมอน ปากก็อ้าห้าว นอนฟังสองหนุ่มต่างวัยคุยกันสนุกสนาน นานเข้าเปลือกตาเริ่มปิดมองไม่เห็นอะไรอีกเมื่อตกถึงห้วงนิทรา
พล.ร.อ. มนัสเดินมาดูบุตรสาวแล้วโบกมือไปมาตรงดวงหน้า ตรวจสอบอาการโดยสังเกตจากแพขนตางามไม่กระพือหรือขยับเขยื้อน ชัดเจนเลยว่าหลับแล้วจริงๆ นั้นจึงทำให้มีโอกาสหันหน้ามาหาบุตรชายคนเดียวของรุ่นพี่ที่สนิทชนิดที่ต้องถามถึงเรื่องราวอันเป็นบ่อเหตุ ให้คนมองโลกในแง่ดีถึงกับริคิดสั้น ฆ่าตัวตายด้วยการแขวนคอให้ห้องทำงาน แบบคาดคั้นเอาจนเอกภพไม่มีทางปฏิเสธ เล่าทุกอย่างแม้กระทั้งเรื่องของแทนธง วัฒนะโมรี อดีตคนเคยหมั่นกับแพรพรรณราย
[1] แผลไหม้ระดับที่สอง (Second degree burn)
การไหม้จะลามลงไปถึงชั้นหนังแท้บางส่วน บาดแผลจะมีสีแดง มีตุ่มน้ำพอง ผิวหนังบริเวณนี้จะดูเปียกชื้นและไวต่อความรู้สึกเจ็บปวด โดยจะใช้เวลารักษาตั้งแต่ 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน โดยที่แผลประเภทนี้ส่วนมากจะเกิดแผลเป็น
อ้างอิงจากบทความเรื่องแผลไหม้ ของ นพ.ต่อพงศ์ ครองไตรเวทย์
ความคิดเห็น