คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH1 : แรกพบ
แต่ละตอนจะสั้นหน่อยนะคะ ตอนแต่งไม่ได้กะจะเป็นเรื่องยาว เลยกะไม่ถูก ^^"
Title : If Only I can touch you
Rating : PG13
Another note : ฟิคสั้นฉบับฉลองฮัลโลวีนค่า (ตอนต้นๆ คงไม่รู้ว่ามันฮัลโลวีนตรงหน..หรือางทีจนจบลงอาจงงว่ามันฮัลโลวีนยังำง เอาเป็นว่าแรงบันดาลใจมันเกิดจากฮัลโลวีนแล้วกันค่ะ)
Author : Sinnerdarker
Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH1 : แรกพบ
‘เธอน่ะ..เกิดมาเพื่อคนผู้นี้’
นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผมได้ยินหลังจากที่ตัวเองเกิดมา และสิ่งที่ผมเห็นหลังจากนั้น คือทารกน้อยผู้หลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของมารดาของเขา
บรรยากาศตรงหน้าช่างธรรมดา เป็นเพียงภาพของมารดาคนหนึ่งผู้โอบกอดลูกรักของเธอในอ้อมแขน ท่ามกลางเหล่าญาติพี่น้อง เพื่อน สามี และคนรอบกายที่พากันแสดงความยินดีให้กับการกำเนิดของสมาชิกใหม่
มือของผู้ที่บอกความหมายแห่งชีวิตของผมบีบหน่อยๆ ที่ไหล่ทั้งสองข้างของผม ขณะดวงตากลมโตของผมจ้องมองไปยังทารกน้อยซึ่งบัดนี้ยังคงหลับตานิ่ง ก่อนจะค่อยๆ เบิกขึ้นจนเห็นดวงตากลมโตใสแจ๋วสีฟ้าคราม พร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปากจิ้มลิ้มที่คลี่ออก และตามด้วยเสียงหัวเราะกังวานใสที่ดังสะท้อนอย่างอ่อนโยนไปทั่วห้องเล็กๆ ในบ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ สีเขียวขจี
ผมมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกหลงใหล หัวใจอิ่มเอิบเมื่อคิดว่าต่อไปนี้ตนจะได้อยู่ข้างๆ เด็กน้อยคนนี้ไปทั้งชีวิต แต่ไม่ทันที่ผมจะเดินเข้าไปหาเขา เจ้าของเสียงที่ดังกังวานข้างกายผมกลับเอ่ยขึ้น
‘ไม่ได้นะ’
คำพูดนั้นเอ่ยพร้อมมือที่บีบไหล่ผมแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บ และตามด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ดังขึ้นราวต้องสาป
‘จนกว่าจะถึงเวลานั้น….เธอจะแตะต้องเขาไม่ได้เด็ดขาดนะ’
.
.
.
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา..
…การรอคอยของผมก็เริ่มต้นขึ้น
.
.
.
สิ่งที่ผมทำได้คือการเฝ้ามอง
อันที่จริง ผมไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้คุยกับเขา ไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้พบกับเขา
แต่ผมไม่มั่นใจเลย ว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ผมจะอดใจไม่สัมผัสเขาได้อย่างไร
ดังนั้นผมจึงพยายามไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเขา และเฝ้ามองเขาอยู่ห่างๆ จากมุมมืดที่เขาจะไม่มีวันมองเห็น
ผมเฝ้ามองเขาอยู่เสมอ สังเกตทุกท่าทางอย่างสนใจ คอยเฝ้ามองทั้งยามตื่นและยามนอน เฝ้ามองเขาเติบโตขึ้นจากทารกเป็นเด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดู ..เด็กน้อยที่ร้องอ้อแอ้กับพ่อแม่ของเขา และพยายามลุกขึ้นเดินและล้มลงหลายครั้งหลายครา ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างเอื้อเอ็นดูของผู้คนที่อยู่รอบกายเขา
กลุ่มของเสียงหัวเราะ…ที่ไม่มีเสียงของผมอยู่ร่วมด้วยในนั้น
เพราะผมไม่สามารถเข้าไปร่วมอยู่ในที่แห่งนั้นได้
ผมไม่มีปัญหากับการติดตามเขาหรือเฝ้ามองเขา เพราะไม่มีใครในบ้านหลังนี้เห็นผม ซึ่งผมไม่เข้าใจและไม่ทราบว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีค่าอะไรกับผม หน้าที่ของผมคือการอยู่ข้างๆ เด็กคนนั้น แค่เท่านั้น….ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ผมรับมันมาอย่างเต็มใจ และรอคอย..วันที่ผมจะได้สัมผัสกับเขา
.
.
รอคอยวันที่เขาจะยิ้มให้ผม….อย่างที่เขายิ้มให้คนที่อยู่รอบกายเขา
++++++++++++++
เขา….โตขึ้นมาเป็นเด็กชายผู้ร่าเริงแจ่มใส เป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เขาเป็นเด็กดีที่รักแม่ของตน รักพ่อของตน และมักจะยิ้มอยู่เสมอ …รอยยิ้มที่ผมรู้สึกว่ามันช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน
เขาชอบหัวเราะ..หัวเราะเพราะมีความสุข หัวเราะด้วยเสียงกังวานใส หัวเราะและพาให้คนรอบข้างหัวเราะไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่ผม
ดวงตาของเขาเป็นประกายอยู่เสมอ..ดวงตาสีฟ้าครามเหมือนท้องฟ้าที่อยู่เหนือขึ้นไป ดวงตากลมโตแสนน่ารักที่มักสะท้อนภาพของผู้ที่เขาสนทนาด้วย
นอกจากนี้…เขาเป็นคนที่มักจะยิ้มให้กับคนอื่นอย่างง่ายๆ เป็นคนที่กล้าแสดงออก แต่เพราะอย่างนั้นคนมากมายจึงรักเขา และนั่นทำให้เขามีเพื่อนมากมายอยู่รอบตัว
เขาเป็นคนอ่อนโยน .. เป็นคนที่มักไวกับความรู้สึกของคนอื่น เมื่อไหร่ที่ใครเศร้า เขาจะรู้ เมื่อไหร่ที่ใครมีเรื่องหนักใจ เขาจะเห็น และมักจะเข้าไปถามอย่างห่วงใยอยู่เสมอ จนบิดามารดาของเขาภูมิใจในตัวเขาอย่างมากมายนัก
แต่ถึงอย่างนั้น…เขาก็เป็นเหมือนเด็กทั่วไป ที่มักอยากรู้อยากเห็น และดื้อซนไปทั่ว มีครั้งหนึ่ง..อันที่จริงคือหลายครั้ง ที่เขาจะออกบ้านตั้งแต่เช้าและกลับมาในตอนเย็นพร้อมกับร่างที่เปื้อนไปด้วยโคลนและฝุ่น และรอยยิ้มแหยที่ระบายบนใบหน้า ในเวลาเช่นนี้ แม่ของเขาจะดุว่าอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนที่เขาจะตอบรับมันพร้อมยิ้มสุดริมฝีปาก และวิ่งเข้าบ้านไปด้วยความซุกซน จากนั้นแม่ของเขาก็จะเล่าให้ผู้เป็นบิดาฟัง และพ่อของเขาก็จะชมเขาว่าโตเป็นหนุ่มแล้วและหัวเราะ..ซึ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยใจกับพ่อลูกคู่นี้ ก่อนจะหัวเราะร่วน ผสานเสียงไปกับสามีและลูกของเธอ
บรรยากาศที่ทำให้ผมยิ้มเล็กน้อยอย่างชอบใจ
++++++++++++++++
เด็กชายตัวน้อยของผมไม่เคยชอบอยู่ติดบ้าน
เขามักจะวิ่งออกไปในตอนเช้า และกลับมาในตอนเย็น บางครั้งกลับมาสะอาดสะอ้านเหมือนตอนออกไป บางครั้งกลับมาด้วยเสื้อผ้าเปื้อนโคลน เขาชอบป่าเขา..ชอบท้องทุ่ง เขาชอบการวิ่งขึ้นไปบนเนินเตี้ยๆ ท้ายหมู่บ้าน ชอบอยู่กับเพื่อนฝูง ชอบใบไม้ ชอบต้นหญ้า..ชอบสายลม ชอบกลิ่นหอมของดินในยามที่ฝนหยุด และชอบเสียงเพลงของกวีที่มักดังแว่วกังวานขับานมาจากในเมือง
ในยามหลับใหล.ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบห่มผ้าห่มเท่าใดนัก แต่สุดท้ายมารดาของเขานั่นเองทีมักต้องเดินเข้ามาพร้อมดึงผ้าห่มคลุมร่างของเขา แต่ไม่นานนักเขาก็เตะออก ซึ่งผมไม่แน่ใจเช่นกันว่าเป็นเพราะรำคาญหรือร้อน..แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นข้อแรกมากกว่า ในเมื่ออากาศยามค่ำคืนนั้นค่อนข้างจะหนาวพอสมควรเลยทีเดียว
และคงเพราะเขาทำแบบนั้นบ่อยๆ สุดท้ายจึงเป็นไข้จนได้
แม่ของเขาบ่นพึมพำเรื่องที่เขาไปเที่ยวตากฝนจนเป็นไข้กลับมา พร้อมกับกล่าวทำนองว่าสมควรแล้วที่ต้องมาร้องครวญครางทรมานเช่นนี้ด้วยพิษไข้ แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสาวก็บิดผ้าเปียกวางบนหน้าผากและแตะหลังมือกับใบหน้าของเด็กชายด้วยความห่วงใย ก่อนจะเดินออกไปพร้อมเสียงอันอ่อนโยนที่บอกให้พักผ่อน
ตัวผมในตอนนั้นยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไป ผมอยู่ข้างเขาตลอดเวลา และเพราะตอนนี้เขาหลับอยู่เพราะพิษไข้ ผมจึงเดินออกมาในจุดที่ใกล้กับเขา..ใกล้จนเขาอาจจะรู้สึกถึงตัวตนของผม
นานแล้วที่ผมไม่ได้เห็นเด็กชายตัวน้อยของผมชัดๆ เช่นนี้ เพราะยิ่งเขาโตขึ้น ผมก็ยิ่งปรากฏตัวให้เขาเห็นไม่ได้ เรียกว่าแม้จะอยู่ข้างกายตลอดเวลา แต่ก็อยู่ห่างกันจนไม่เห็นใบหน้า นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมได้เห็นใบหน้าของเขาอีกครั้ง
ดวงตาที่ปรือฉ่ำของเขายังคงเป็นสีฟ้าครามเช่นเดียวกับวันนั้น... เส้นผมสีคาราเมลของเขายาวขึ้นนิดหน่อยเพราะเจ้าตัวไม่ใส่ใจจะตัดให้เป็นทรง ใบหน้าของเขาแดงเรื่อด้วยความทรมานจากพิษไข้ พร้อมเสียงครวญครางแผ่วเบาที่ดังออกมาจนผมกลัวว่าเขาจะตื่น
ผมยืนลังเลอยู่ข้างเตียงของเขา พร้อมกับเดินไปใกล้เตียงที่เขานอนอยู่ให้มากขึ้น ทีละก้าว ทีละก้าว เด็กชายตัวน้อยของผมร้องไห้สะอื้นนิดหน่อย…แล้วเรียกร้องหาแม่ของตนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
‘แม่ครับ..ปวดหัว..ทรมาน’
เสียงของเขาที่เปล่งออกมาดูทรมานจนผมรู้สึกเจ็บแทน แวบหนึ่ง ผมอยากจะยื่นมือไปแตะที่ใบหน้าของเขาให้เขาสบายใจ แต่แล้วก็ต้องชะงักแล้วค้างมือตนไว้ที่เหนือร่างของเขาแบบนั้น เมื่อคำห้ามยังคงหลอกหลอนอยู่ในความทรงจำ
ผมแตะตัวเขาไม่ได้..
และในเมื่อแตะตัวไม่ได้..ก็ได้แต่เฝ้าดูเขาทรมานเท่านั้น
มือของผมลอยอยู่เหนือหน้าผากของเขา มันยังไม่ละออกไป แต่ก็ยังไม่สัมผัสลงที่ใบหน้าของเขา ผมมองเขาที่กำลังทรมานอย่ครู่ใหญ่…ก่อนจะค่อยๆ เปล่งเสียง…เอ่ยคำปลอบโยนออกมา
‘ไม่เป็นไรหรอก…ไม่เป็นไร….นะ’
ผมเบิกตาขึ้นเล็กน้อย..ไม่ใช่เพราะเขาตื่นขึ้นมา ไม่ใช่เพราะผมเผลอสัมผัสตัวเขา
แต่เพราะผมเพิ่งเคยได้ยินเสียงของตัวเอง…
เสียงของผมทุ้มต่ำ..แต่ไม่ต่ำเท่าเสียงของผู้ชายทั่วไป มันดูกังวานและสูงกว่านั้น แต่ก็ไม่เท่าผู้หญิงทั่วไป เป็นเสียงที่ผมรู้สึกประหลาดเมื่อได้ยิน…
ผมไม่เคยได้ยินเสียงของตัวเอง..เพราะตลอดมาไมม่มีใครมองเห็นผม ผมจึงเคยสนทนากับใคร และเพราะผมให้เด็กคนนี้มองเห็นผมไม่ได้ ผมจึงไม่ได้พูดกับเขา และเพราะผมมักจะอยู่เฉยๆ คอยมองเขา ดังนั้นผมจึงไม่เคยพูดรำพึงอะไรกับตัวเอง
นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของตัวเอง
ดูเหมือนเด็กชายตัวน้อยของผมจะได้ยินเสียงนั้น เขาขยับเปลือกตาเบิกขึ้นจนหัวใจของผมเต้นรัวเพราะกลัวเขาจะเห็น แต่เพราะพิษไข้ สติของเขาจึงไม่ครบสมบูรณ์ และพึมพำเรียกเพียงนามของพ่อและแม่ของตน
ดังนั้น…ผมจึงเอ่ยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ฟังเสียงของตนที่ดูราบเรียบและอ่อนโยนอย่างประหลาดจนกระทั่งเขาหลับไปพร้อมลมหายใจสม่ำเสมอ
ใจจริงแล้ว.. ผมอยากจะใช้มือจับผ้าห่มคลุมร่างของเขา พร้อมกับแนบมือลงบนใบหน้าร้อนผ่าว… แต่ว่าผมทำไม่ได้
ผมอาจจะแตะต้องผ้าห่มของเขาได้ แต่ก็กลัวเหลือเกินว่าจะใกล้เกินไปจนเผลออยากสัมผัส ดังนั้น…
‘ราตรี..สวัสดิ์นะ’
ผมจึงทำได้แค่พูดเท่านั้น
++++++++++++++++++++
หลังจากนั้น ผมมักจะแอบมองใบหน้ายามหลับใหลของเขา
ทำไมผมถึงไม่คิดให้เร็วกว่านี้นะ..ว่าถ้ามองใบหน้ายามหลับใหลของเขา ผมก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเห็น ไม่ต้องคอยซ่อนตัวแล้วมองจากมุมที่เขาจะมองไม่เห็นผม ถึงแม้ว่าจะลำบากซักหน่อยที่ใบหน้ายามหลับใหลของมักจะซ่อนดวงตาสีฟ้าครามที่ผมชอบมองไว้ภายใต้เปลือกตาของเขาเสมอ แต่ไม่เป็นไร ผมมองมันได้ในยามที่เขาตื่น ดังนั้นตอนนี้..ขอแค่ให้ได้มองใบหน้าของเขาใกล้ๆ ได้ก็พอ
ใบหน้ายามนอนของเขาช่างน่ารักจนผมอดยิ้มไม่ได้ เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเขาช่างน่าฟังและกล่อมให้ผมสงบใจได้ดีเสียยิ่งกว่าเสียงเพลงของกวีคนไหน และถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปจนเขาเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้น นิสัยไม่ชอบห่มผ้าห่มก็ยังเป็นเหมือนเดิมจนมารดาของเขาละเหี่ยใจ..
ทุกครั้งที่มองเขา ผมจะรู้สึกอยากดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างกายของเขาทุกครั้ง ในวันนี้ก็เช่นกัน
ในตอนแรกนั้นผมยังคงกลัวที่จะแตะต้องผ้าห่มของเขา แต่แล้วผมก็เริ่มรวบรวมความกล้าดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายของเขาแล้วรีบดึงมือออกมา…พยายามอดกลั้นใจไม่ให้แตะต้องเขา ไม่ให้จุมพิตที่หน้าผากเหมือนที่มารดาของเขาทำ ไม่ให้ไล้มือที่ผิวหน้านุ่มที่มีรอยยิ้มบ่อยครั้งในยามหลับใหลและฝันดี
ผมสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเปล่งคำพูด..ที่เอ่ยบอกในทุกค่ำคืนออกไป
‘ฝันดี..นะครับ’
หลังจากนั้น..ผมก็เดินละออกมา กลับไปสู่มุมมืดอีกครั้ง
++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็น