ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    If Only I Can Touch You [Yaoi, BL]

    ลำดับตอนที่ #1 : Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH1 : แรกพบ

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 56



    แต่ละตอนจะสั้นหน่อยนะคะ ตอนแต่งไม่ได้กะจะเป็นเรื่องยาว เลยกะไม่ถูก ^^"

    Title : If Only I can touch you

    Rating : PG13

    Another note : ฟิคสั้นฉบับฉลองฮัลโลวีนค่า (ตอนต้นๆ คงไม่รู้ว่ามันฮัลโลวีนตรงหน..หรือางทีจนจบลงอาจงงว่ามันฮัลโลวีนยังำง เอาเป็นว่าแรงบันดาลใจมันเกิดจากฮัลโลวีนแล้วกันค่ะ)

    Author : Sinnerdarker

     

    Part I : ผู้เฝ้ามอง : CH1 : แรกพบ

     

    เธอน่ะ..เกิดมาเพื่อคนผู้นี้

    นั่นเป็นสิ่งแรกที่ผมได้ยินหลังจากที่ตัวเองเกิดมา และสิ่งที่ผมเห็นหลังจากนั้น คือทารกน้อยผู้หลับใหลอยู่ในอ้อมแขนของมารดาของเขา

    บรรยากาศตรงหน้าช่างธรรมดา เป็นเพียงภาพของมารดาคนหนึ่งผู้โอบกอดลูกรักของเธอในอ้อมแขน ท่ามกลางเหล่าญาติพี่น้อง เพื่อน สามี และคนรอบกายที่พากันแสดงความยินดีให้กับการกำเนิดของสมาชิกใหม่

    มือของผู้ที่บอกความหมายแห่งชีวิตของผมบีบหน่อยๆ ที่ไหล่ทั้งสองข้างของผม ขณะดวงตากลมโตของผมจ้องมองไปยังทารกน้อยซึ่งบัดนี้ยังคงหลับตานิ่ง ก่อนจะค่อยๆ เบิกขึ้นจนเห็นดวงตากลมโตใสแจ๋วสีฟ้าคราม พร้อมรอยยิ้มบนริมฝีปากจิ้มลิ้มที่คลี่ออก และตามด้วยเสียงหัวเราะกังวานใสที่ดังสะท้อนอย่างอ่อนโยนไปทั่วห้องเล็กๆ  ในบ้านที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆ สีเขียวขจี

    ผมมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความรู้สึกหลงใหล หัวใจอิ่มเอิบเมื่อคิดว่าต่อไปนี้ตนจะได้อยู่ข้างๆ เด็กน้อยคนนี้ไปทั้งชีวิต แต่ไม่ทันที่ผมจะเดินเข้าไปหาเขา เจ้าของเสียงที่ดังกังวานข้างกายผมกลับเอ่ยขึ้น

    ไม่ได้นะ

    คำพูดนั้นเอ่ยพร้อมมือที่บีบไหล่ผมแน่นขึ้นจนรู้สึกเจ็บ และตามด้วยน้ำเสียงจริงจังที่ดังขึ้นราวต้องสาป

    จนกว่าจะถึงเวลานั้น….เธอจะแตะต้องเขาไม่ได้เด็ดขาดนะ

    .

    .

    .

    ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา..

    การรอคอยของผมก็เริ่มต้นขึ้น

    .

    .

    .

    สิ่งที่ผมทำได้คือการเฝ้ามอง

    อันที่จริง ผมไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้คุยกับเขา ไม่ได้ถูกห้ามไม่ให้พบกับเขา

    แต่ผมไม่มั่นใจเลย ว่าถ้าเป็นเช่นนั้น ผมจะอดใจไม่สัมผัสเขาได้อย่างไร

    ดังนั้นผมจึงพยายามไม่ปรากฏตัวต่อหน้าเขา และเฝ้ามองเขาอยู่ห่างๆ จากมุมมืดที่เขาจะไม่มีวันมองเห็น

    ผมเฝ้ามองเขาอยู่เสมอ สังเกตทุกท่าทางอย่างสนใจ คอยเฝ้ามองทั้งยามตื่นและยามนอน เฝ้ามองเขาเติบโตขึ้นจากทารกเป็นเด็กน้อยน่ารักน่าเอ็นดู ..เด็กน้อยที่ร้องอ้อแอ้กับพ่อแม่ของเขา และพยายามลุกขึ้นเดินและล้มลงหลายครั้งหลายครา ท่ามกลางเสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างเอื้อเอ็นดูของผู้คนที่อยู่รอบกายเขา

    กลุ่มของเสียงหัวเราะที่ไม่มีเสียงของผมอยู่ร่วมด้วยในนั้น

    เพราะผมไม่สามารถเข้าไปร่วมอยู่ในที่แห่งนั้นได้

    ผมไม่มีปัญหากับการติดตามเขาหรือเฝ้ามองเขา เพราะไม่มีใครในบ้านหลังนี้เห็นผม ซึ่งผมไม่เข้าใจและไม่ทราบว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจเช่นกัน เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่มีค่าอะไรกับผม หน้าที่ของผมคือการอยู่ข้างๆ เด็กคนนั้น แค่เท่านั้น….ซึ่งเป็นหน้าที่ที่ผมรับมันมาอย่างเต็มใจ และรอคอย..วันที่ผมจะได้สัมผัสกับเขา

    .

    .

    รอคอยวันที่เขาจะยิ้มให้ผม….อย่างที่เขายิ้มให้คนที่อยู่รอบกายเขา

    ++++++++++++++

    เขา….โตขึ้นมาเป็นเด็กชายผู้ร่าเริงแจ่มใส เป็นที่รักของผู้คนรอบข้าง เขาเป็นเด็กดีที่รักแม่ของตน รักพ่อของตน และมักจะยิ้มอยู่เสมอรอยยิ้มที่ผมรู้สึกว่ามันช่างน่าหลงใหลเหลือเกิน

    เขาชอบหัวเราะ..หัวเราะเพราะมีความสุข หัวเราะด้วยเสียงกังวานใส หัวเราะและพาให้คนรอบข้างหัวเราะไปด้วย ไม่เว้นแม้แต่ผม

    ดวงตาของเขาเป็นประกายอยู่เสมอ..ดวงตาสีฟ้าครามเหมือนท้องฟ้าที่อยู่เหนือขึ้นไป ดวงตากลมโตแสนน่ารักที่มักสะท้อนภาพของผู้ที่เขาสนทนาด้วย

    นอกจากนี้เขาเป็นคนที่มักจะยิ้มให้กับคนอื่นอย่างง่ายๆ เป็นคนที่กล้าแสดงออก แต่เพราะอย่างนั้นคนมากมายจึงรักเขา และนั่นทำให้เขามีเพื่อนมากมายอยู่รอบตัว

    เขาเป็นคนอ่อนโยน          .. เป็นคนที่มักไวกับความรู้สึกของคนอื่น เมื่อไหร่ที่ใครเศร้า เขาจะรู้ เมื่อไหร่ที่ใครมีเรื่องหนักใจ เขาจะเห็น และมักจะเข้าไปถามอย่างห่วงใยอยู่เสมอ จนบิดามารดาของเขาภูมิใจในตัวเขาอย่างมากมายนัก

    แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นเหมือนเด็กทั่วไป ที่มักอยากรู้อยากเห็น และดื้อซนไปทั่ว มีครั้งหนึ่ง..อันที่จริงคือหลายครั้ง ที่เขาจะออกบ้านตั้งแต่เช้าและกลับมาในตอนเย็นพร้อมกับร่างที่เปื้อนไปด้วยโคลนและฝุ่น และรอยยิ้มแหยที่ระบายบนใบหน้า ในเวลาเช่นนี้ แม่ของเขาจะดุว่าอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนที่เขาจะตอบรับมันพร้อมยิ้มสุดริมฝีปาก และวิ่งเข้าบ้านไปด้วยความซุกซน จากนั้นแม่ของเขาก็จะเล่าให้ผู้เป็นบิดาฟัง และพ่อของเขาก็จะชมเขาว่าโตเป็นหนุ่มแล้วและหัวเราะ..ซึ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกเหนื่อยใจกับพ่อลูกคู่นี้ ก่อนจะหัวเราะร่วน ผสานเสียงไปกับสามีและลูกของเธอ

    บรรยากาศที่ทำให้ผมยิ้มเล็กน้อยอย่างชอบใจ

    ++++++++++++++++

    เด็กชายตัวน้อยของผมไม่เคยชอบอยู่ติดบ้าน

    เขามักจะวิ่งออกไปในตอนเช้า และกลับมาในตอนเย็น บางครั้งกลับมาสะอาดสะอ้านเหมือนตอนออกไป บางครั้งกลับมาด้วยเสื้อผ้าเปื้อนโคลน เขาชอบป่าเขา..ชอบท้องทุ่ง เขาชอบการวิ่งขึ้นไปบนเนินเตี้ยๆ  ท้ายหมู่บ้าน ชอบอยู่กับเพื่อนฝูง ชอบใบไม้ ชอบต้นหญ้า..ชอบสายลม ชอบกลิ่นหอมของดินในยามที่ฝนหยุด และชอบเสียงเพลงของกวีที่มักดังแว่วกังวานขับานมาจากในเมือง

    ในยามหลับใหล.ดูเหมือนเขาจะไม่ชอบห่มผ้าห่มเท่าใดนัก แต่สุดท้ายมารดาของเขานั่นเองทีมักต้องเดินเข้ามาพร้อมดึงผ้าห่มคลุมร่างของเขา แต่ไม่นานนักเขาก็เตะออก ซึ่งผมไม่แน่ใจเช่นกันว่าเป็นเพราะรำคาญหรือร้อน..แต่ผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่าน่าจะเป็นข้อแรกมากกว่า ในเมื่ออากาศยามค่ำคืนนั้นค่อนข้างจะหนาวพอสมควรเลยทีเดียว

    และคงเพราะเขาทำแบบนั้นบ่อยๆ สุดท้ายจึงเป็นไข้จนได้

    แม่ของเขาบ่นพึมพำเรื่องที่เขาไปเที่ยวตากฝนจนเป็นไข้กลับมา พร้อมกับกล่าวทำนองว่าสมควรแล้วที่ต้องมาร้องครวญครางทรมานเช่นนี้ด้วยพิษไข้ แต่ถึงอย่างนั้น หญิงสาวก็บิดผ้าเปียกวางบนหน้าผากและแตะหลังมือกับใบหน้าของเด็กชายด้วยความห่วงใย ก่อนจะเดินออกไปพร้อมเสียงอันอ่อนโยนที่บอกให้พักผ่อน

    ตัวผมในตอนนั้นยังคงทำหน้าที่ของตนต่อไป ผมอยู่ข้างเขาตลอดเวลา และเพราะตอนนี้เขาหลับอยู่เพราะพิษไข้ ผมจึงเดินออกมาในจุดที่ใกล้กับเขา..ใกล้จนเขาอาจจะรู้สึกถึงตัวตนของผม

    นานแล้วที่ผมไม่ได้เห็นเด็กชายตัวน้อยของผมชัดๆ เช่นนี้  เพราะยิ่งเขาโตขึ้น ผมก็ยิ่งปรากฏตัวให้เขาเห็นไม่ได้ เรียกว่าแม้จะอยู่ข้างกายตลอดเวลา แต่ก็อยู่ห่างกันจนไม่เห็นใบหน้า นี่จึงเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ผมได้เห็นใบหน้าของเขาอีกครั้ง

    ดวงตาที่ปรือฉ่ำของเขายังคงเป็นสีฟ้าครามเช่นเดียวกับวันนั้น... เส้นผมสีคาราเมลของเขายาวขึ้นนิดหน่อยเพราะเจ้าตัวไม่ใส่ใจจะตัดให้เป็นทรง ใบหน้าของเขาแดงเรื่อด้วยความทรมานจากพิษไข้ พร้อมเสียงครวญครางแผ่วเบาที่ดังออกมาจนผมกลัวว่าเขาจะตื่น

    ผมยืนลังเลอยู่ข้างเตียงของเขา พร้อมกับเดินไปใกล้เตียงที่เขานอนอยู่ให้มากขึ้น ทีละก้าว ทีละก้าว เด็กชายตัวน้อยของผมร้องไห้สะอื้นนิดหน่อยแล้วเรียกร้องหาแม่ของตนด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

    แม่ครับ..ปวดหัว..ทรมาน

    เสียงของเขาที่เปล่งออกมาดูทรมานจนผมรู้สึกเจ็บแทน แวบหนึ่ง ผมอยากจะยื่นมือไปแตะที่ใบหน้าของเขาให้เขาสบายใจ แต่แล้วก็ต้องชะงักแล้วค้างมือตนไว้ที่เหนือร่างของเขาแบบนั้น เมื่อคำห้ามยังคงหลอกหลอนอยู่ในความทรงจำ

    ผมแตะตัวเขาไม่ได้..

    และในเมื่อแตะตัวไม่ได้..ก็ได้แต่เฝ้าดูเขาทรมานเท่านั้น

    มือของผมลอยอยู่เหนือหน้าผากของเขา มันยังไม่ละออกไป แต่ก็ยังไม่สัมผัสลงที่ใบหน้าของเขา ผมมองเขาที่กำลังทรมานอย่ครู่ใหญ่ก่อนจะค่อยๆ เปล่งเสียงเอ่ยคำปลอบโยนออกมา

    ไม่เป็นไรหรอกไม่เป็นไร….นะ

    ผมเบิกตาขึ้นเล็กน้อย..ไม่ใช่เพราะเขาตื่นขึ้นมา ไม่ใช่เพราะผมเผลอสัมผัสตัวเขา

    แต่เพราะผมเพิ่งเคยได้ยินเสียงของตัวเอง

    เสียงของผมทุ้มต่ำ..แต่ไม่ต่ำเท่าเสียงของผู้ชายทั่วไป มันดูกังวานและสูงกว่านั้น แต่ก็ไม่เท่าผู้หญิงทั่วไป เป็นเสียงที่ผมรู้สึกประหลาดเมื่อได้ยิน

    ผมไม่เคยได้ยินเสียงของตัวเอง..เพราะตลอดมาไมม่มีใครมองเห็นผม ผมจึงเคยสนทนากับใคร และเพราะผมให้เด็กคนนี้มองเห็นผมไม่ได้ ผมจึงไม่ได้พูดกับเขา และเพราะผมมักจะอยู่เฉยๆ คอยมองเขา ดังนั้นผมจึงไม่เคยพูดรำพึงอะไรกับตัวเอง

    นี่จึงเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินเสียงของตัวเอง

    ดูเหมือนเด็กชายตัวน้อยของผมจะได้ยินเสียงนั้น เขาขยับเปลือกตาเบิกขึ้นจนหัวใจของผมเต้นรัวเพราะกลัวเขาจะเห็น แต่เพราะพิษไข้ สติของเขาจึงไม่ครบสมบูรณ์ และพึมพำเรียกเพียงนามของพ่อและแม่ของตน

    ดังนั้นผมจึงเอ่ยคำเดิมซ้ำไปซ้ำมา ฟังเสียงของตนที่ดูราบเรียบและอ่อนโยนอย่างประหลาดจนกระทั่งเขาหลับไปพร้อมลมหายใจสม่ำเสมอ

     ใจจริงแล้ว.. ผมอยากจะใช้มือจับผ้าห่มคลุมร่างของเขา พร้อมกับแนบมือลงบนใบหน้าร้อนผ่าว แต่ว่าผมทำไม่ได้

    ผมอาจจะแตะต้องผ้าห่มของเขาได้ แต่ก็กลัวเหลือเกินว่าจะใกล้เกินไปจนเผลออยากสัมผัส ดังนั้น

    ราตรี..สวัสดิ์นะ

    ผมจึงทำได้แค่พูดเท่านั้น

    ++++++++++++++++++++

    หลังจากนั้น ผมมักจะแอบมองใบหน้ายามหลับใหลของเขา

    ทำไมผมถึงไม่คิดให้เร็วกว่านี้นะ..ว่าถ้ามองใบหน้ายามหลับใหลของเขา ผมก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเห็น ไม่ต้องคอยซ่อนตัวแล้วมองจากมุมที่เขาจะมองไม่เห็นผม ถึงแม้ว่าจะลำบากซักหน่อยที่ใบหน้ายามหลับใหลของมักจะซ่อนดวงตาสีฟ้าครามที่ผมชอบมองไว้ภายใต้เปลือกตาของเขาเสมอ แต่ไม่เป็นไร ผมมองมันได้ในยามที่เขาตื่น ดังนั้นตอนนี้..ขอแค่ให้ได้มองใบหน้าของเขาใกล้ๆ ได้ก็พอ

    ใบหน้ายามนอนของเขาช่างน่ารักจนผมอดยิ้มไม่ได้ เสียงลมหายใจสม่ำเสมอของเขาช่างน่าฟังและกล่อมให้ผมสงบใจได้ดีเสียยิ่งกว่าเสียงเพลงของกวีคนไหน และถึงแม้ว่าเวลาจะผ่านไปจนเขาเริ่มเป็นผู้ใหญ่ขึ้น นิสัยไม่ชอบห่มผ้าห่มก็ยังเป็นเหมือนเดิมจนมารดาของเขาละเหี่ยใจ..

    ทุกครั้งที่มองเขา ผมจะรู้สึกอยากดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างกายของเขาทุกครั้ง ในวันนี้ก็เช่นกัน

     ในตอนแรกนั้นผมยังคงกลัวที่จะแตะต้องผ้าห่มของเขา แต่แล้วผมก็เริ่มรวบรวมความกล้าดึงผ้าห่มขึ้นคลุมกายของเขาแล้วรีบดึงมือออกมาพยายามอดกลั้นใจไม่ให้แตะต้องเขา ไม่ให้จุมพิตที่หน้าผากเหมือนที่มารดาของเขาทำ ไม่ให้ไล้มือที่ผิวหน้านุ่มที่มีรอยยิ้มบ่อยครั้งในยามหลับใหลและฝันดี

    ผมสูดลมหายใจลึก ก่อนจะเปล่งคำพูด..ที่เอ่ยบอกในทุกค่ำคืนออกไป

    ฝันดี..นะครับ

    หลังจากนั้น..ผมก็เดินละออกมา กลับไปสู่มุมมืดอีกครั้ง

    ++++++++++++++++++++++++++++

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×