ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : กวินฟ้า๑
ศึกเทพอสูรมหาสงคราม ภาคพิเศษ๑
ภาคงานแต่งของกวินฟ้า ๑
    “ ซ่าๆๆๆ “
    เสียงคลื่นทะเลกระทบกับโขดหิน ระลอกแล้วระลอกเล่า หมู่นกน้อยบินว่อนในท้องนภา ท้องทะเลในยามนี้ช่างดูงดงามจนเหลือเชื่อ ฟ้าเป็นสีคราม น้ำทะเลดั่งมรกต หากจะเปรียบที่นี้เป็นแดนสวรรค์ของเหล่าเทพ เหล่านกน้อยก็คือนางฟ้าที่แต่งแต้มให้แดนสวรรค์แห่งนี้ ดูงดงามไม่สร่างสาง
    “ ย๊ากกกกกกกก ”  เสียงของหนุ่มน้อย ดังมาจากโขดหินอีกด้านหนึ่ง
    “ วิวๆๆ ”  พร้อมกับบังเกิดกระแสลมลูกใหญ่ขึ้นมาดั่งพายุสลาตันที่รุนแรงเกินใครต้าน ภายในพายุนี้ปรากฏร่างของหนุ่มน้อยรูปงามทะลวงผ่านออกมาก่อนกลายร่างเป็นพญานาคสีมรกตแต่จะแปลกตาหน่อยก็ตรงที่เกล็ดของพญานาคตนนี้บางครั้งกลับสะท้อนแสงสีฟ้าครามออกมาด้วย
    “ ตูมมมมมมม ” นาคใหญ่กระโจนตัวลงสู่ทะเลดำผุดดำว่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทะยานร่างขึ้นมาอีกคราพร้อมกับพายุที่หมุนหอบเอาน้ำในท้องทะเลขึ้นมาเป็นสาย
    “ นาคาวายุรุณ ”
สุดท้ายก็มาหยุดลงที่โขดหินใหญ่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์หนุ่มอีกครั้ง
“ อืมมมมม ” หนุ่มน้อยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
“ วันนี้อากาศดีจังเลย ”
เขาคือ
“ กวินฟ้า ”
นาคหนุ่มรูปงามผู้มีนัยตาเปล่งประกายราวกับอัญมณี ผมยาวสยายถึงกลางหลัง รูปร่างล่ำสัน เขามักจะมาที่นี้อยู่เสมอ เพื่อหลีกหนีความจำเจที่น่าเบื่อในนครบาดาล
“ ระบำมยุรา ไกลดุจฟ้าใกล้เพียงชิด ” สายพลังสายหนึ่งพุ่งตรงมายังเขาอย่างสุดรุนแรง อานุภาพที่สามารถทำลายพื้นแผ่นดินที่ไกลออกไปนับ ๑๐ โยชน์ได้ การบุกจู่โจมที่ไวปานสายฟ้านี้หมายเอาชีวิตเขาอย่างนั้นหรือ?
กวินฟ้า ไม่ได้หลบหลีกออกหมัดโต้พลังที่พุ่งมา
“ พระเวทย์วายุรุณท่าที่ ๘ เว้าวอนแก้วตา ” บังเกิดลมสลาตันออกมาจากหมัดทั้งสองข้าง มีทั้งช้าและเร็วดึงดูดพลังที่พุ่งมาเอาไว้และสลายไปเสียสิ้น
หลังจากสลายพลังได้ กวินฟ้า ปล่อยพลังออกโจมตีคนที่ลอบทำร้ายเขาในทันที
“ พระเวทย์วายุรุณท่าที่ ๒ โอบกอดอรชร ” ลมสลาตันลูกใหญ่คุมทั่วร่างของคนที่แอบลอบทำร้าย บุรุษรุ่นใหญ่ ยิ้มรับกับฝีมือของเด็กรุ่นหลัง รวบพัดสะบัดไปมา ๑๒ จุด
“ ระบำมยุรา เทพพิทักษ์เนรมิตรสิบสองสถาน ” อย่างไรฝีมือของหนุ่มใหญ่ก็ร้ายกาจกว่าเพียงแค่สะบัดมือก็สลายพลังที่รุนแรงของลมสลาตันออกได้ โดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่ก้าวเดียว
“ ฮะๆๆ ไม่ได้พบกันเพียงแค่พักเดียว ฝีมือของหลานข้าร้ายกาจขึ้นทุกครา ไม่เสียทีที่เป็นลูกของ อนันตวาโย ”
กวินฟ้า สุดแสนจะดีใจที่ได้พบกับเสด็จอา
“ เสด็จอา โภคินันท์  .เสด็จอา กุสุมาวดี ”
นอกจาก โภคินันท์ แล้วยังมี กุสุมาวดี อีกคนหนึ่ง เวลานี้นางมีสง่าราศีสมกับเป็นเมเหสีของพญาหงส์ผู้เกรียงไกร
“ หลานขอถวายบังคมเสด็จอาทั้งสองพระองค์ พระเจ้าข้า ”
กุสุมาวดี ยื่นมือลูบผมของกวินฟ้า อย่างเอ็นดู
“ เจ้านี้นับวันจะมีส่วนคล้าย กรรณิการ์นาคี โดยเฉพาะเวลาที่ยิ้มนี้แหละช่างเหมือนแม่ของเจ้านัก ” นาคน้อยยิ้มอย่างสดใสเมื่อได้รับคำชม
“ เสด็จอามาหาเสด็จแม่หรือพระเจ้าข้า ” กวินฟ้า ถาม
“ ไม่ใช่หรอก อากับเสด็จอาโภคินันท์ ออกมาตรวจดูพวกวิหคตระกูลครุฑ ต่างหาก เห็นว่าเดี๋ยวนี้มีพวกครุฑออกมาระราน มนุษย์และนาคอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นพวกไหนกันแน่ ท่านสุบรรณก็ทรงพิโรธ ถึงขนาดออกคำสั่งให้ตามล่าพวกมันมาให้ได้ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเจ้าอยู่ที่นี้ แล้วนี้เจ้าจะกลับเข้านครบาดาลหรือยังล่ะอาจะได้ตามไปเยี่ยมแม่ของเจ้าด้วย ”
กวินฟ้าถึงกับอึกอักพร้อมกับทำหน้าเจื่อนๆ
“ เออ . คือหลานยังไม่กลับหรอกพระเจ้าข้า คือ .หลาน ”
กุสุมาวดี พอจะเดาอะไรออก
“ นี้อย่าบอกอานะว่า เจ้าแอบหนีออกมาจากนครบาดาล ”
กวินฟ้ารู้สึกเกลอเขินไม่น้อย เมื่อเสด็จอาเดาถูก
“ .พระเจ้าข้า ”
   
    กุสุมาวดี ทั้งส่ายหน้าและตำหนิ
    “ อะไรกันกวินฟ้า เจ้าก็โตจนป่านนี้ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ทำไมถึงทำอะไรไม่รู้จักคิด แล้วนี้แม่ของเจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้าหนีออกมาอยู่ที่นี้ ”
    “ ทรงทราบพระเจ้าข้า ” กวินฟ้า ตอบ
    กุสุมาวดี ถึงกับส่งเสียงร้องด้วยความแปลกพระทัย
    “ เอ๊ะ นี้อย่างไรกันแม่ของเจ้าก็เป็นไปกับเจ้าด้วยหรือ นี้นางคิดอะไรของนางอยู่กันแน่ ”
    กวินฟ้า กลัวว่าเสด็จอาทั้งสองจะทรงเข้าพระทัยผิดจึงรีบอธิบายเรื่องราวให้ฟัง
    “ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้พระเจ้าข้า เสด็จยาย ทรงดำริจะให้หม่อมฉัน แต่งงาน จึงไปเกณฑ์ เหล่านางนาค นางไม้ นางฟ้า นางกินรี ทั้งแถบใกล้และไกลมาให้หม่อมฉันเลือก ไม่ว่าหม่อมฉันจะทัดทานอย่างไรก็มิทรงยอมรับฟัง หากหม่อมฉันไม่รีบหนีออกมาป่านนี้ก็คงถูกกักบริเวณเป็นแน่พระเจ้าข้า ”
    กุสุมาวดี ได้ฟังถึงกับเอามือตบที่พระอุระของพระนางเอง
    “ ต๊ายแล้ว นี้เสด็จป้าทรงเป็นมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ แล้วพ่อกับแม่ของเจ้าว่าอย่างไรบ้าง? ”
    “ ก็ทรงคัดค้านอะไรไม่ได้นะสิพระเจ้าข้า แค่เสด็จยายทรงอ้างเรื่องที่เสด็จพ่อทรงทอดทิ้งเสด็จแม่ไป ก็ทรงไม่รู้ว่าจะตรัสอย่างไรดีแล้ว ”
    โภคินันท์ หัวเราะเบาๆ
    “ นี้แหละน๊า เพราะเสด็จยาย ทรงรักเจ้ามากนะสิ ถึงได้ทำแบบนี้ ”
    “ นี้นะหรือเพคะ เรียกว่าความรัก คลุมถุงชนเสียมากกว่า ” กุสุมาวดี ทั้งแย้งและทั้งไม่พอพระทัย
    “ เจ้าก็รู้อยู่นี้ กุสุมาวดี ตอนกวินฟ้า เกิด อนันตวาโย ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของพ่อ พระนางกิณยราตีก็ทรงกริ้วที่  กรรณิการ์นาคี ไปได้เสียกับ อนันตวาโย ทั้งยังอุ้มท้องกลับมาอีก เข้าหน้ากันไม่ติดอยู่ตั้งหลายปี กว่าแม่ลูกจะปรับความเข้าใจกันได้  เขาก็คงรู้สึกผิดกระมัง จึงไม่กล้าทูลคัดค้านพระนางกิณยราตี ไม่เช่นนั้น กวินฟ้า คงไม่หนีขึ้นมาบนโลกมนุษย์แบบนี้หรอก ”
    แม้อยากจะแก้ตัวแทนเสด็จพ่อแต่เรื่องที่เสด็จอาทรงตรัสมาล้วนแต่เป็นความจริงจึงจำเป็นต้องนิ่งเสีย
“ แน่สิเพคะ  กวินฟ้า รักแม่ออกปานนี้จะให้มีนิสัยเหมือนกับ อนันตวาโย ที่มีหลายบ้านหลายเมียได้อย่างไร พูดแล้วก็น่าโมโหนัก หากไม่คิดว่าสงสารหลานแล้ว หม่อมฉันคงยุให้ กรรณิการ์นาคี เลิกกับ อนันตวาโย ไปตั้งนานแล้ว ”
“ ไม่เอาน่า กุสุมาวดี เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว อีกอย่างเขาก็ปรับปรุงตัวขึ้นตั้งเยอะ จะไปพรากลูกพรากเมียเขามันไม่ดีหรอก ”
ว่าแล้ว ก็ทรงตรัสถาม กวินฟ้าต่อ
“ แล้วนี้เจ้า จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ? ”
“ หลานคิดว่าจะออกท่องเที่ยวในโลกมนุษย์ซักหน่อย รอให้เสด็จยายทรงเลิกคิดที่จะจับหม่อมฉันแต่งงานเสียก่อน ค่อยกลับมาอีกทีพระเจ้าข้า ”
“ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ ”  โภคินันท์ ถอนแหวนที่สวมอยู่ที่นิ้วออกมา
“ แต่เจ้าต้องเอาแหวนวงนี้สวมติดตัวเอาไว้ด้วย มันมีชื่อ สุวรรณธำรงค์ หากเกิดภัยอันตรายขึ้นมา มันจะช่วยให้เจ้ารอดพ้นอันตรายได้ ”
กวินฟ้า ไม่กล้าขัดรับสั่งของเสด็จอาจึงรับแหวนวงนั้นมาสวมไว้ที่นิ้วของตัวเอง
“ ขอบพระทัย เสด็จอา พระเจ้าข้า ”
“ หากเจ้าต้องการให้อา ช่วยเหลืออะไรก็จงแจ้งแก่เหล่าวิหค พวกเขาจะส่งข่าวของเจ้ามาให้อาเอง แต่อย่างไรก็อย่าลืมส่งข่าวให้เสด็จแม่ของเจ้ารู้บ้าง แม่ของเจ้าจะได้ไม่ได้เป็นห่วงเจ้ามากนัก เข้าใจไหม? ” กุสุมาวดี กำชับ
“ พระเจ้าข้า ”
“ เออ.. นี้ก็สายมากแล้ว อากับกุสุมาวดี ต้องไปก่อนแล้วค่อยพบกันใหม่ ”
“ พระเจ้าข้า เสด็จอา “
หลังจากกำชับ กวินฟ้า เรียบร้อย แล้ว ทั้ง โภคินันท์ และ กุสุมาวดี ก็เหาะจากไปคงเหลือแต่เพียงกวินฟ้า อยู่ ณ ที่แห่งนั้นแต่เพียงลำพัง
“ ว่าแต่จะไปทางไหนดีน่า ซ้าย หรือว่า ขวา ” กวินฟ้า หันรีหันขวาง อยู่นานเมื่อตัดสินใจไม่ได้ จนกระทั่ง
“ พระนัดดา พระเจ้าข้า ทรงอยู่ไหนพระเจ้าข้า พระนัดดา ”
กวินฟ้า รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“ จะทางไหนก็ช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้รีบเผ่นก่อนดีกว่า ”
ว่าแล้ว นาคหนุ่มก็เหาะหนีอย่างไม่คิดชีวิต และนี้ก็คือจุดเริ่มต้นของวุ่นวายที่ตามมาโดยที่เขาไม่เคยนึกถึงเอาก่อนไว้เลย
กวินฟ้า เหาะหนีมาได้เป็นเวลาครึ่งค่อนวันแล้ว ถึงเรื่องหนีจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ยังมีเรื่องใหญ่กว่านั้นอีก
“ จ๊อกๆๆ ” เสียงท้องร้องดังมาตลอดทาง
“ โอย หิวชะมัดเลย ”
แน่นอน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย คงน่าอยู่หรอกที่ตัวเขาจะหิวซกขนาดนี้
“ เอ๊ะ ข้าหน้าเป็นหัวเมืองนี้น่า น่าจะมีอะไรให้ข้ากินได้บ้าง ”
กวินฟ้าเหาะลงมาสู่พื้น ก่อนเดินไปตามทาง หัวเมืองนี้เป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ มีผู้คนมากหน้าหลายตา โดยเฉพาะสาวๆสวยๆก็หลายคน ยิ่งเวลานี้ มีหนุ่มรูปงาม ต่างถิ่นอย่างเขาเดินทางเข้ามาย่อมตกเป็นเป้าสายตาเป็นธรรมดา
“ คนอะไร หล่อจังเลย ” สาวๆต่างแอบชม้ายส่งสายตามอง
“ นี้ ข้าคงไม่โชคร้ายหนีเสือปะจระเข้หรอกนะ ” พูดแล้วก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ จึงรีบเดินหนีเสีย เดินมาได้ครู่เดียวก็พบร้านอาหารร้านใหญ่ ร้านหนึ่ง
“ ว้าว! นี้แหละ ร้านในฝัน มื้อนี้คงไม่อดแล้ว ”
กวินฟ้าเดินเข้าไปภายในร้าน ลูกจ้างในร้านให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
“ เชิญเลยครับ นายท่าน ไม่ทราบว่านายท่านต้องการอาหารอะไร ไม่ว่าจะเป็น เนื้อแกะอบ ไก่ภูเขา เหล้าสาหร่าย หมูหั่น ปลาเก๋าราดพริก ต้มยำปลาแรด เรามีบริการให้ทั้งนั้นขอรับ ”
ฟังแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความอยากอาหารขึ้นอีกนับสิบเท่า
“ เอาทุกอย่างที่มีและเด็ดที่สุดในร้านเอามาให้ข้า “
นานๆจะมีคนสั่งแบบนี้เสียที เหล่าลูกจ้างถึงกับกุลีกุจอเชื้อเชิญให้ กวินฟ้า ไปนั่งที่โต๊ะพิเศษ  และนี้ก็คือคติประจำใจของ กวินฟ้า
รักไม่ยุ่งมุ่งแต่กิน
‘ นี้ถ้า ฤทธิ์นาคี ตามมาด้วยก็คงจะดีหรอก ’
นึกถึง เพื่อนรักอีกคนที่ รักการกินไม่น้อยไปกว่าเขาก็อดที่จะรู้สึก หว่าเหว่  ไม่ได้ ที่เขาติดนิสัยเรื่องกินเป็นชีวิตจิตใจ ก็เพราะมาจาก ฤทธิ์นาคี นี้แหละ
“ อาหารได้แล้วขอรับ นายท่าน ”
บรรดาอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ชวนให้น้ำลายสอเสียนี้กระไร
“ ช่วยไม่ได้นะ ฤทธิ์นาคี เจ้าไม่ตามข้ามาเอง วันนี้ข้าจะหม่ำให้พุ่งก้างเลย ฮะฮา ”
ระหว่างที่ กวินฟ้า กำลังอิ่มหน่ำสำราญ กับอาหารชุดใหญ่อยู่ ที่โต๊ะข้างๆ กลับมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันแทน
“ หนอย ไอ้หนู มาซ่าผิดที่ซะแล้วอยากตายหรือไงฟะ? ”
เด็กหนุ่มหน้าตาดี ๒ คนกำลังมีเรื่อง กับกลุ่มอันธพาล
“ นี้ๆ ไอ้น้อง ถ้าอยากเก็บปากไว้แตกหน้าหนาว ก็รีบไสหัวไปไกลๆ ดีกว่า ข้าไม่อยากทำร้ายคนไม่มีทางสู้หรอกนะ ”
“ เจ้าอัดลูกน้องข้าปางตาย จะให้ข้าปล่อยเจ้าสองคนไปได้ง่ายๆอย่างนั้นนะหรือฝันไปเถอะ ”
ได้ฟังแล้วก็ทำให้มีน้ำโหขึ้นมา
“ แล้วทีลูกน้องเจ้าไปฉุดลูกสาวชาวบ้านมาล่ะ จะว่าอย่างไร ข้าไม่เอามันตายก็บุญโข แล้วนี้มันยังอุตสาห์หาเรื่องให้ลูกพี่ของมันตามมาเจ็บตัวอีกหรือ งี่เง่าสิ้นดี? ”
เมื่อการเจรจาไม่เป็นผลการลงไม้ลงมือก็ตามมา
“ ฮะ เจ้าสองคนนี้ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา เฮ้ย เอามันให้ตาย ”
กลุ่มอันธพาลนับสิบคน พร้อมอาวุธครบมือรุมเข้าทำร้ายคนสองคนที่ไม่มีอาวุธในมือเลยแม้แต่ชิ้นเดียวช่างเป็นวิธีการที่สกปรกสิ้นดี แต่ฝีมือของสองหนุ่มกลับร้ายกาจกว่า แม้ไม่มีอาวุธในมือ แต่ก็ต่อสู้กับกลุ่มอันธพาลได้อย่างสบาย หนึ่งในกลุ่มอันธพาลจวกแทงมีดเข้าหาหนึ่งในสองหนุ่มน้อย แต่เด็กหนุ่มรู้ทันจึงเอี้ยวตัวหลบพร้อมทั้งศอกกลับเข้าให้  การทะเลาะวิวาททำให้ลูกค้าที่อยู่ภายในร้านต่างเผ่นหนีออกจากร้านไปทั้งหมด คงเหลือแต่เพียง กวินฟ้า เพียงผู้เดียวที่ยังคงกินอาหารอยู่บนโต๊ะอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ อร่อย อร่อยจริงๆ สุดยอด ”
แต่นับเป็นความโชคร้ายก็ว่าได้ เพราะบังเอิญกลุ่มอันธพาลคนหนึ่ง อาวุธหลุดจากมือ จึงยกเก้าอี้ ทุ่มใส่ ชายหนุ่มทั้งสอง ปรากฏว่า สองหนุ่มหลบได้ทัน แต่เก้าอี้ตัวนั้นกลับไปถูกโต๊ะ อาหารของ กวินฟ้า จนล้มระเนระนาดทั้งหมด
“ เพล้งงงงงงงงง ”
“ อะ อาหารของข้า ”
เจ็บปวด เจ็บปวดที่สุด ความรู้สึกเจ็ดปวดในการที่ถูกขัดขวางในการทานอาหารอันแสนอร่อยของเขาพุ่งปรี๊ดขึ้นมาแทบทะลักจุดเดือด เขาหรือสู้ทนอุตสาห์หนีออกมาอย่างอยากลำบาก อาหารก็กินเข้าไปยังไม่ได้ถึงครึ่งของที่มี กลับกลายต้องมาเป็นเศษขยะที่ดูแสนทุเรศนี้แทน แค้นนี้ฝังลึกจนเกินจะทนได้
“ เอาอาหารของข้า คืนมา ”
กวินฟ้า พุ่งพรวดอย่างเร็ว ซัดหมัดถูกกลุ่มอันธพาลไม่ต่ำกว่า ๔-๕ คน จนจุกลุกไม่ขึ้น
“ อุ๊บ ”
“ ย๊ากกก ” อันธพาลคนหนึ่งรีบยกเก้าอี้ขึ้นมาฟาดเข้าที่กลางหลังของ กวินฟ้า หมายแก้แค้นให้กับพวกพ้อง
“ ปัง ” เก้าอี้หักไม่มีชิ้นดีแต่ตัวของ กวินฟ้า กลับไม่มีแม่แต่รอยขีดข่วน อันธพาล คนนี้เริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี เมื่อ กวินฟ้า หันหน้ามามองอย่างช้าๆ พร้อมกับแววตาที่ดุร้ายเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังกระหายเลือด
“ โครมมมมมมม ”
ร่างของอันธพาลคนนั้นและคนอื่นๆต่างลอยละลิ่วปลิวออกมากองอยู่นอกร้านคนแล้วคนเล่า พร้อมกับ ฝ่าเท้า ของ กวินฟ้า ก็ตามมาประเคนติดๆถึงที่
“  นี้แน่ๆ ชดใช้อาหารของข้ามานะ เอาอาหารของข้าคืนมา ”
“ พลั่ก ”
กลุ่มอันธพาลถูกกระทืบโครมใหญ่
“ โอยๆๆ พอแล้ว พวกข้ายอมแล้ว ...พวกข้ายอมแล้ว ”
“ เอาอาหารข้าคืนมาๆๆ “ กวินฟ้า ยังร่ำร้องไม่เลิก
พวก อันธพาล ต่างล้วงเงินออกมาให้ พร้อมกับรีบเผ่นหนี
“ ไอ้พวกบ้า ข้าบอกให้เอาอาหารของข้าคืนมา ไม่ใช่เศษเงินนี้ ”
“ นายท่านขอรับ ร้านของข้าพังหมดแล้วขอรับ จะทำอย่างไรดีขอรับ ฮือๆๆ ”
เจ้าของร้านโผล่หน้าออกมา หลังจากหลบไปได้พักใหญ่
“ เออ คือ .. นั้นสินะ ”
กวินฟ้า เพิ่งสังเกตว่า ร้านอาหารพังลงเป็นแถบๆ แล้วนี้เขาจะต้องจ่ายเงินค่าเสียหายเท่าไรกันล่ะ
“ ตุ๊บ ”
ทองก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งถูกโยนเข้ามาตรงหน้าเจ้าของร้าน
“ นี้เป็นค่าเสียหาย พร้อมกับจัดอาหารชุดใหญ่ เลี้ยงขอบคุณเพื่อนของพวกข้าด้วย ”
เจ้าของร้านถึงกับตาโต เมื่อเห็นทองก้อนนี้ ส่วน กวินฟ้า หันกลับมามองหนุ่มหน้ามนสองคนที่มีเรื่องกับกลุ่ม อันธพาล ก่อนหน้าเขา
“ มื้อนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง เจ้าจะรังเกียจไหม? ”
กวินฟ้า สูดลมหายใจเข้า พร้อมกับยืดอกและยกมือขึ้นเปลี่ยนเป็นสองนิ้ว
“ โอเช เลย ”
ของฟรีใครล่ะจะไม่ชอบ เพราะสำหรับ กวินฟ้า เรื่องกินมันเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องอื่นๆมันเป็นเรื่องเล็ก
......... กวินฟ้า นั่งอยู่กับชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งสองคนจากลักษณะหน้าตาย่อมรู้กันเป็นอย่างดีว่าพวกเขาคือพี่น้องกัน ส่วนตัวเขาเองไม่ได้สนใจเรื่องอื่นหากแต่กำลังจัดการอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า อย่างเอร็ดอร่อย
“ พวกเจ้านี้ใจดีจริงๆ อุตสาห์จ่ายเงินแทนข้า ทั้งค่าอาหารแล้วก็ค่าเสียหายด้วย ”
หนึ่งในสองหนุ่มตอบกลับมาว่า
“ เรื่องเล็กน้อยเอง พวกข้าก็ต้องขอบใจเจ้าเหมือนกันที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกข้า เจ้านี้ช่างเป็นคนมีคุณธรรมจริงๆ ”
ชายหนุ่มทั้งสองคนหารู้ไม่ว่าที่จริงแล้วมันไม่เกี่ยวกับเรื่องคุณธรรม แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่ กวินฟ้า หิวจนหน้ามืดต่างหาก
“ แฮะๆ งั้นหรือ? ” หากพวกเขารู้จะว่าอย่างไรบ้างเนี้ยะ
“ เออ...จริงสิ คุยกันมาตั้งนานแล้ว ข้ายังไม่รู้ชื่อของพวกเจ้าเลย ” กวินฟ้า เพิ่งจะนึกขึ้นได้
ชายหนุ่มทั้งสองจึงแนะนำตัวเอง
“ ข้าชื่อ มรกต ”
“ ส่วนข้าชื่อ มุก ”
กวินฟ้า รู้สึกแปลกๆอย่างไรชอบกล
“ มรกต กับ มุก ทำไมชื่อมันคล้ายๆกับชื่อของผู้หญิงอย่างนั้นล่ะ รูปร่างหน้าตาก็ดูอ้อนแอ้นผิดวิสัยผู้ชาย ” นาคหนุ่ม แอบรำพึงกับตัวเองเบาๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเหมือน กวินฟ้า กำลังพูดคุยกับชายหนุ่มทั้งสองอยู่
“ เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ? ” มุกถาม
“ อะ..อ๋อ เมื่อกี้ข้าว่าชื่อของพวกเจ้าดูแปลกดี ”
กวินฟ้าแก้ตัว
“ พวกข้าสองคนเป็นคนในตระกูลนักรบทางแถบเหนือชื่อก็เลยออกไม่ค่อยคุ้นหูซักเท่าไร แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร เป็นคนที่ไหน? ”
หน้าตานวลเนียร ผิวพรรณ์ก็ดูไม่หยาบกร้าน นี้นะหรือคนของตระกูลนักรบ?
“ ข้าชื่อ กวินฟ้า เป็นชาวนคร ..บา........ “ กวินฟ้า หยุดพูดไปทันทีใด เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกือบจะหลุดคำพูดชื่อนครบาดาลออกมา
“ นครบา...บาอะไร?”  มุก เป็นฝ่ายถามขึ้นเมื่อเห็น กวินฟ้า หยุดพูดไป
“ บาเล ข้าเป็นชาวนครบาเล ”
สองหนุ่มต่างมองหน้ากันและครุ่นคิด
“ นครบาเล เกิดมาพวกข้าสองคนยังไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย ”
‘ ขืนข้าบอกพวกเจ้าสองคนไปว่าข้าเป็นชาวนครบาดาลก็ยุ่งนะสิ ’ กวินฟ้า รีบคิดหาคำตอบเพื่อไม่ให้ทั้งมรกต และ มุก สงสัยในตัวเขา
“ ไม่แปลกหรอก ที่พวกเจ้าจะไม่เคยได้ยิน นครของข้านะเป็นนครเล็กๆ แค่เป็นทางผ่านของนครใหญ่ๆ ไม่ค่อยมีคนแวะเวียนเข้ามามากนักหรอก ”
ทั้งมุกและมรกตได้ฟังก็รู้สึกว่าอาจจะเป็นไปได้เช่นกัน
“ คงจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ นครใหญ่ๆส่วนมากจะมีชื่อเสียงมากกว่าอยู่แล้ว ส่วนนครเล็กๆไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไร ยิ่งถ้าเป็นรายทางด้วยแล้วแทบจะไม่มีใครสนใจจดจำเลย เท่าที่พวกข้าเคยเดินทางผ่านมาก็มีหลายนครเช่นกันที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ”
เพื่อไม่ให้ทั้งสองถามต่ออีก กวินฟ้า จึงเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
“ แล้วนี้พวกเจ้ากำลังจะเดินทางไปที่ไหนกัน? ”
สองหนุ่มตอบว่า
“ ข้าสองคนเดินทางมาติดต่อสั่งซื้ออาวุธ นี้ก็เสร็จธุระแล้ว คิดว่าจะเดินทางไปนครโรมพัตรต่อ ”
“ นครโรมพัตร? พวกเจ้าจะไปที่นครนั้นทำไมกัน? ”
สองหนุ่มต่างแสดงสีหน้าที่แปลกใจ
“ อ้าว! นี้เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า  นครโรมพัตร กำลังมีงานใหญ่ ”
กวินฟ้า ส่ายหน้า
“ ไม่รู้หรอก นครโรมพัตรมีงานอะไรอย่างนั้นหรือ? “
“ ก็จะอะไรซะอีกเล่า ก็งานพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยของ นครโรมพัตรไงล่ะ ”
‘ นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องไร้สาระนี้เอง ’ กวินฟ้า สุดแสนจะเซ็งเพิ่งหนีมาอยู่หยกๆกลับมาเจอเรื่องแบบนี้อีกแล้ว
“ อ๋อ .. ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกเจ้าคิดจะไปเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรด้วยล่ะสิ ”
พวกเขาต่างตอบขึ้นพร้อมกันว่า
“ เปล่า ”
“ อ้าว ”  ทำไมถึงผิดคาดอย่างนี้ ช่างน่าสงสัยเสียจริง แล้วพวกเขาจะเดินทางไปที่ นครโรมพัตร ทำไมกัน?
“ แล้วพวกเจ้าจะไปที่นครโรมพัตร ทำไมกันถ้าไม่ไปเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรเขย ”
มรกตตอบว่า
“ พวกข้าจะไปเที่ยวชมงานสมโภชนครโรมพัตรต่างหาก เพราะวันพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยมาตรงกับงานสมโภชนครด้วย เห็นใครๆเขาก็ว่ากันว่านครนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย อีกทั้งอาหารก็เลิศรส หากไม่ได้ไปก็เสียดายแย่ ”
ประโยคหลังนี้แหละที่น่าสนใจขึ้นมาหน่อย
“ ฮะฮ่า อย่างนี้ก็ดีเลยสิ ข้าเองก็ออกมาท่องเที่ยวเหมือนกัน เจ้าเห็นเป็นอย่างไรบ้างถ้าพวกเราสามคนจะเดินทางไปนครโรมพัตรด้วยกัน ”
“ ภาษิตว่า คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนมันก็สบาย พวกข้าไม่ขัดข้องอยู่แล้ว “
ได้ข้อสรุปในทันที
“ งั้นก็ตกลงตามนี้ ”
มรกต และ มุก ต่างดีใจที่จะได้เพื่อนร่วมเดินทางอีกคน
“ เออ กวินฟ้า ไหนๆเจ้าก็ไปที่นครโรมพัตรแล้ว ทำไมเจ้าไม่ลองเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยดูบ้างล่ะ? รูปร่างหน้าเจ้าก็ดี ฝีมือก็เป็นเยี่ยม ดีไม่ดี อาจมีสิทธิ์ได้เป็นราชบุตรเขยนะ ”
หากต้องการอย่างนั้น กวินฟ้า คงไม่หนีมาจนถึงที่หรอก
“ มะ...ไม่ดีกว่า ข้านะยังไม่อยากแต่งงาน เอาไว้ข้าอยากแต่งงานเมื่อไรจะขอใช้บริการพ่อสื่ออย่างพวกเจ้าก็แล้วกัน ”
สองหนุ่มหัวเราะ
“ คิก ฮะๆ นี้พวกข้าคิดแพงนะเจ้าจ่ายไหวหรือ? ”
กวินฟ้า ยิ้มและตอบว่า
“ เจ้ารับเงินผ่อนหรือเปล่าล่ะ หากรับข้าคิดว่าอย่างไรก็จ่ายไหว ”
“ เอาไว้พวกข้าจะรับไว้พิจารณาก็แล้วกัน ”
กวินฟ้า ลองแย้มถามพวกเขาดูบ้าง
“ แล้วพวกเจ้าจะไม่ลองเข้าร่วมพิธีการคัดเลือกบ้างหรือ? เผื่อวาสนาพวกเจ้าดีได้เป็นราชบุตรเขยกับเขาบ้าง ข้าจะพลอยสบายไปด้วย ”
ทั้งสองยิ้มและหัวเราะ
“ เห็นที จะคงไม่ได้หรอก เพราะพวกข้ามีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ”
กวินฟ้า สบช่องพูดต่อทันที
“ โอย ข้าเห็นนรกร่ำไร แทนพวกเจ้าแล้ว แต่บอกไว้ก่อนงานแต่งของพวกเจ้าอย่าลืมเชิญข้าไปด้วย ”
“ แน่นอน ข้าต้องเชิญเจ้าแน่ เจ้าต้องมาให้ได้นะ ”
กวินฟ้า เข้ามากอดคอพวกเขา
“ ฮะฮะๆๆ  เพื่อนเอ๋ย ไม่ต้องห่วงหรอกข้าไปแน่ เพราะข้ากะจะถล่มอาหารในงานแต่งของเจ้าให้ราบเลย ”
ทั้งสามต่างประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน เพียงเวลาไม่นาน พวกเขาก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว นี้คือโชคชะตาที่ไม่แน่นอนของแต่ละคนวันนี้อาจเป็นเพื่อน วันหน้าอาจเป็นศัตรู แต่พวกเขาทั้งสามย่อมจะเป็นอย่างแรกมากกว่าอย่างหลังแน่นอน
พอใกล้ค่ำเขาทั้งสามก็หาที่พักและนอนห้องเดียวกัน ห้องนอนของพวกเขาแบ่งออกเป็นสองเตียง แต่ละเตียงสามารถนอนสองคนได้อย่างสบาย ภายในห้องมีเครื่องหอมสมุนไพรเอาไว้คอยไล่แมลงที่จะเข้ามารบกวน ถัดจากนั้นเป็นห้องอาบน้ำที่ถูกออกแบบอยู่ภายในห้องเดียวกับห้องพัก กวินฟ้า อาบก่อนเป็นคนแรก เพียงได้สัมผัสกับน้ำ เขาก็รู้สบายไปทั้งตัว เพราะวิสัยของนาคย่อมรู้สึกสบายเมื่อได้สัมผัสกับน้ำเป็นเวลานานๆ พอออกจากห้องอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จก็ล้มตัวลงนอนเลย ทีแรกตั้งใจว่าจะพูดคุยกับ มรกต และ มุก ต่อ แต่พอได้กลิ่นที่หอมเหมือนกับกลิ่นของดอกไม้ ตาของเขาก็ค่อยหรี่ลง
“ หาว.... ” และหลับลงไปในที่สุด
กลิ่นหอมของดอกไม้นั้นเหมือนนำพาให้เขาเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความฝัน ณ ดินแดนสวรรค์ อันวิจิตรและงดงาม
“ ซ่าๆๆ ” เสียงอาบน้ำดังมาเป็นระยะๆ แต่เขาหาได้รู้สึกตัวไม่
“ เอี๊ยดๆ ” สุดท้ายประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้ก็ฟุ้งกระจายยิ่งกว่าเดิม
หญิงสาวแรกรุ่นสองคนหน้าตาหมดจด ผิวเนียรขาวแซมชมพูที่ราวกับไข่มุกเม็ดงาม เปล่งปลั่งในยามค่ำคืน เนินอกที่อวบอิ่ม รูปร่างที่เย้ายวนบุรุษเพศ ซ่อนอยู่ในใต้ผื้นผ้าที่พันกายคนละพื้น พวกนางต่างเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่นอนหลับใหล และใช้เส้นผมเขี่ยเล่นที่ใบหน้าของหนุ่มรูปงาม
“ เจ้านี้ ทึ่มกว่าที่ข้าสองคนคิดไว้ตั้งเยอะ ”
หญิงสาวทั้งสองต่างมองหน้าและยิ้มให้แก่กัน เหมือนต่างมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจ
..เวลาสายของอีกวัน เรือลำหนึ่งที่บรรจุคนได้ประมาณสี่สิบกว่าคน กำลังแล่นอยู่ในแม่น้ำใหญ่  เรือลำนี้มีเป้าหมายเดินทางไปนครโรมพัตร ในเรือประกอบด้วยคนหลายประเภท ทั้งนักเดินทาง พ่อค้า และกลุ่มคนผู้หมายจะเข้าร่วมพิธีการคัดเลือกราชบุตรเขย กวินฟ้า มรกต และ มุก ต่างนั่งอยู่ที่บนหัวเรือ เอาอาหารที่ติดตัวมาออกมาแบ่งกันกิน
    “ อีกนานเท่าไร เราจะถึงนครโรมพัตร? ” กวินฟ้า ถามพลางเคี้ยวเนื้อย่างไปด้วย
    “ คงพรุ่งนี้เช้านั้นแหละ ”  มรกต เป็นผู้ตอบ
    ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาพวกเขาต่างเห็นเรือหลายลำทำให้ กวินฟ้า อดเป็นห่วงไม่ได้
    “ พวกคนตั้งมากมายต่างเดินทางไปนครโรมพัตรกันทั้งนั้น แล้วนี้พอเราไปถึงแล้วจะมีที่พักบ้างหรือเปล่า? “
    มรกต และ มุก ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
    “ ไม่ต้องห่วงหรอก พวกข้าจองที่พักเอาไว้แล้ว เพียงพอให้พวกเราพักกันได้อย่างสบาย “
    กวินฟ้า ออกจะรู้สึกถึงความไม่ถูกต้องในคำพูด
    “ พวกเจ้าบอกว่าจองที่พักไว้แล้วข้าออกไม่แปลกใจ แต่ทำไมเจ้าถึงบอกว่าเราถึงสามารถพักได้อย่างสบาย ตอนเจ้าจองห้องพักเจ้าจองเผื่อข้าไว้ด้วยอย่างนั้นหรือ? ”
   
    พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ มรกต และ มุก จะสามารถจองที่พักให้กวินฟ้า ในอีกนครหนึ่งได้ อย่างมากก็น่าจะแค่จองห้องพักให้กับตัวพวกเขาเองเท่านั้น
    “ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พวกข้านะส่วนใหญ่แล้วเวลาเดินทางมักจะมากันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ เวลาจองที่พักอย่างน้อยที่สุดหากได้เพียงแค่ห้องเดียวก็ต้องเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด แม้กระทั่งพวกข้าเองจะเดินทางเพียงแค่สองคนก็ตาม ก็ต้องจองห้องที่ใหญ่ที่สุดเอาไว้ เพราะหากพวกพ้องของข้าเกิดเดินทางมาสมทบกระทันหัน และไม่สามารถออกเดินทางได้ทันที อย่างน้อยก็มีที่พักให้พวกเขาอยู่อย่างสบายได้ ” มรกต อธิบายเหตุผลให้ฟัง
    กวินฟ้า พยักหน้าอย่างเข้าใจ
    “ อย่างนี้ๆเอง ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าเป็นนักรบและมักเดินทางอยู่บ่อยๆจึงต้องเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้เสมอ ผิดกับข้าที่เพิ่งจะออกเดินทางจึงไม่ได้คิดถึงข้อนี้เอาไว้เลย ”
    “ แรกๆพวกข้าก็เหมือนกับเจ้านี้แหละ พอได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่และประสบการณ์ในการเดินทางย่อมจะคิดแผนการในการเดินทางล่วงหน้าได้ อีกหน่อยเจ้าก็จะเรียนรู้ได้เอง ” มุก ว่า
    เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์เป็นคำกล่าวที่ไม่เคยผิดเลย
‘ พวกเขาสองคนดูเหมือนไม่ประสีประสาแต่แท้จริงแล้วทั้งฉลาดและรอบคอบ เทียบกับข้าแล้วพวกเขาดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่มากกว่าข้าเสียอีก ’ ยิ่งได้พูดคุยกับพวกเขากวินฟ้ายิ่งรู้สึกชื่นชม
ถึงแม้ กวินฟ้า จะมีฝีมือติดตัวแต่เนื่องจาก ได้รับการเอาใจใส่ อย่างดี จึงไม่เคยตกระกำลำบากมาก่อนหรือจะพูดอีกในหนึ่งก็คือ กวินฟ้า ก็เหมือนลูกคุณหนูดีๆนี้เอง แม้จะเป็นลูกผู้ชาย แต่ก็ไม่เคยออกมาร่อนเร่แบบนี้ดังนั้นความรู้เท่าที่มีในการเดินทางจึงเป็นความรู้ที่เกิดจากความนึกคิดของตนเองหาใช่ประสบการณ์ที่แท้จริงไม่
“ พี่มรกต แถวนี้ใช่ไหมที่มีข่าวลือ? ” 
“ อือ ”  มรกตพยักหน้าและทานอาหารต่อ
“ ข่าวลืออะไรอย่างนั้นหรือ? ” กวินฟ้า สังเกตสีหน้าของเพื่อนแล้วก็รู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไร
“ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ข่าวลือเกี่ยวกับโจรแม่น้ำเท่านั้นเอง ”
นครโรมพัตรอยู่ติดกับแม่น้ำใหญ่หลายสาย การส่งสินค้าส่วนใหญ่จึงอาศัยการขนส่งทางน้ำแม้กระทั่งสินค้าที่มาจากทะเลยังต้องขนส่งมาทางแม่น้ำเช่นกัน จึงทำให้เกิดการปล้นชิงจากกลุ่มโจรหลายกลุ่ม
“ โจรแม่น้ำอย่างนั้นหรือ? ”
“ ใช่.. มีข่าวลือกันมาว่าพวกมันดักปล้นเรืออยู่ตรงบริเวณแถวนี้ ส่วนใหญ่เรือที่โดนดักปล้นจะเป็นเรือที่เดินทางมาในเวลาค่ำคืน ”
“ พวกมันมีกันเยอะไหม? ” กวินฟ้าถาม
“ เท่าที่ข้ารู้มาก็มีอยู่ด้วยกัน ๓ กลุ่ม กลุ่มเลือดทมิฬ พวกนี้โหดเหี้ยมทั้งฆ่าปล้นและข่มขืน หัวหน้าของพวกมันมีชื่อว่า กามลี  อีกกลุ่มคือกลุ่มทะเลซัด พวกนี้ไม่ค่อยทำร้ายใคร ปล้นเอาแต่ข้าวของมีค่า ไม่ค่อยเข้ามาหากินทางแม่น้ำใหญ่ ส่วนใหญ่จะดักปล้นอยู่ปากทางเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำกับทะเล หัวหน้าของพวกมันมีชื่อว่า หะลูอา  กลุ่มสุดท้ายกลุ่มฟ้าครามหากินทางแถบนี้ ทั้งยังค้าของเถื่อน ( สินค้าต้องห้ามส่งออกบางประเภทเช่น ไม้หอม ) ไม่ค่อยทำร้ายใคร บ้างครั้งก็ปล้นเรือส่งสินค้าของเศรษฐีหน้าเลือดแล้วเอาเงินมาแจกชาวบ้าน  หัวหน้ากลุ่มมีชื่อว่า ไผ่สีทอง ”
“ โอ้โห พวกเจ้านี้ทำไมรู้มากจัง? ” กวินฟ้า เกาหัวเกราะๆ แค่ฟังอย่างเดียวก็แทบจะงงแล้วไหนเลยจะจำได้ไหว
“ ข้าไม่ได้รู้มากหรอกแต่ช่วงนี้ข่าวเรือถูกปล้นมีบ่อยขึ้น ถ้าเจ้าสังเกตให้ดีผู้คนภายในเรือต่างพกพาอาวุธมากันทั้งนั้น แม้กระทั่งเรือขนส่งที่เรานั่งมายังต้องติดปืนใหญ่เอาไว้เลย ”
“ หา.... ”  กวินฟ้าลองเหลียวมองดูก็เห็นจริงผู้คนส่วนใหญ่ต่างพากันพกพาอาวุธกันทุกคนแม้กระทั่งลูกเรือยังไม่ยอมให้อาวุธอยู่ห่างมือยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าออกมารบมากว่าออกมาเดินเรือตามปกติ
“ ถ้าอย่างงั้นพวกเจ้าก็มี.... ”
“ พวกข้าพกดาบมากันคนละเล่ม แล้วเจ้าล่ะมีอะไรติดตัวมาบ้าง? ”
ทั่วตัวของกวินฟ้าไม่มีอาวุธแม้แต่ชิ้นเดียว
“ คือ...ข้าไม่มีอาวุธอะไรติดตัวมาเลย ”
ทั้งสองเข้าใจเพราะรู้ว่ากวินฟ้าเพิ่งจะออกเดินทางเป็นครั้งแรก
“ ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าจะลองสอบถามพ่อค้าเร่ที่อยู่บนเรือดูให้อย่างน้อยเขาก็น่าจะมีมีดสั้นขายให้เราบ้าง ” มรกตพูดบอก
“ ขอบใจนะ ”
เป็นครั้งแรกที่ กวินฟ้า รู้สึกว่าตัวเองไร้เดียงสาเสียนี้กระไร
ทานอาหารกันยังไม่ทันอิ่มพลันก็เกิดเรื่องขึ้น
“ ตูมมมมมมมมม ”
ลูกปืนใหญ่กระทบกับน้ำเกิดเสียงดังสะนั่น
“ เกิดอะไรขึ้นนะ!!!! ” ทั้งสามต่างตกใจกับเสียงระเบิดที่เกิดขึ้น
ปรากฏเรือใหญ่สามลำวิ่งขวางมาทางแม่น้ำบนใบเรือทั้งสามลำปรากฏรูปหัวกะโหลกที่มีเกลียวคลื่นทะเล พร้อมกับคนและอาวุธเต็มลำเรือ
“ โจรแม่น้ำ ” เสียงอลหม่านโกลาหลของผู้คนในเรือดังออกมาไม่ขาดสาย เรือที่พวกเขาโดยสารมาต่างถูกโจรแม่น้ำล้อมไว้ทั้งหมดทุกด้าน
“ กลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัด เป็นไปได้ไง ทำไมพวกมันถึงบุกเข้ามาหากินทางแถบแม่น้ำแถวนี้ ”
ความสงสัยยังไม่มีประโยชน์ใดๆในเวลานี้ กลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัดต่างระดมยิ่งปืนใหญ่ปิดสกัดการหนีของเรือโดยสาร เรือโดยสารแม้มีปืนใหญ่ติดตั้งอยู่แต่อนุภาพการยิงยังไม่เท่ากับของอีกฝ่าย  เพียงเวลาไม่นานลูกสมุนโจรกลุ่มใหญ่ก็พาดบันไดบุกขึ้นมาบนเรือแล้ว
“ กวินฟ้า หาทางหนีกันก่อนเถอะ ”
แทบไม่ต้องบอกกวินฟ้าวิ่งตามทั้งสองมาติดๆหมายลงเรือเล็กพายเข้าฝั่งขึ้นบกแต่ถูกลูกสมุนโจรแม่น้ำที่ขึ้นมาบนเรือเข้าขวางทาง
“ เคร้งๆๆๆ ”
มรกตและมุกชักดาบออกจากฝักตรงเข้าต่อสู้กับพวกโจร กวินฟ้าที่ไม่มีอาวุธในมือได้แต่ใช้สองเท้ากับสองหมัดเข้าต่อสู้ 
“ อ๊อคคคคคค ” นาคหนุ่มออกหมัดทั้งเร็วและหนักเขาแทบไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเลย โจรอีกพวกหนึ่งที่ถือหอกมาด้วยเห็นชายหนุ่มมีแรงมากกว่าคนปกติก็ให้รู้สึกประหลาดใจ รีบตรงเข้ามาช่วยเหลือพวกพ้องที่กำลังต่อสู้อยู่
“ ย๊ากกกกกกกกกกกก ”
“ เฮ้ย! หมาหมู่นี้หว่า ”
กวินฟ้า เอี้ยวตัวหลบพร้อมเตะกลับเข้าที่ด้านหลังโจรจนล้ม ช่วงระหว่างนั้นพัดเล่มหนึ่งลอยมาตกอยู่ที่มือของกวินฟ้าพอดี
“ มาจากไหนนั้นเนี้ยะ ”
เวลาไม่มีให้ถามเพราะต้องคอยหลบคมอาวุธที่พุ่งแทงเข้ามา ขณะที่หลบคมอาวุธนั้น ก็ยังถือพัดไว้ในมือด้วย ดูไปดูมาเหมือนกับโภคินันท์กำลังต่อสู้อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น
‘ เสด็จอา..... ’
เพียงนึกถึงเสด็จอา กวินฟ้า ก็จดจำถึงท่าเพลงรำเพลงหนึ่งของสกุลหงส์เข้าได้
“ เสด็จอา ทรงรำสวยจังเลย ”
ภาพในห้วงความคิด เสด็จอาโภคินันท์ ทรงหันพระพักตร์มายิ้มและบอกว่า
“ จำไว้นะ กวินฟ้า หงส์นอกจากสง่าแล้วต้องเร็วและกรีดกราย ”
กวินฟ้า คลี่พัดเหมือนกับที่เสด็จอาโภคินันท์ทรงรำให้เขาดูในวันนั้น
“ ท่ารำสกุณาโผผิน ”
กวินฟ้า เอี้ยวตัวตามจังหวะของนก แม้ถึงเขาจะเป็นนาคแต่ท่าทางก็ปราดเปรียวไม่แพ้วิหคเลย จังหวะเท้าเดินหน้าและกลับ เคลื่อนไหวตัวอย่างอิสระ บังคับมือดั่งใจ
“ ฉับบบบบบบบบ ” เสียงพัดกระทบกับอากาศ
“ อ๊าคคคคคคคคคคคค ”  ส่วนปลายของพัดคล้ายกับใบมีดที่คมกริบตัดได้แม้กระทั่งโลหะ
“ ท่ารำสกุณาโผผิน คลื่นลมตัดอากาศ ”
เหล่าสมุนโจรถูกคมอากาศบาดเข้าเป็นแผลลึก ได้รับบาดเจ็บหลายคน ไม่ว่ากวินฟ้าเคลื่อนไหวไปทางทิศใดสมุนโจรล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บ ”
“ ฟ้าวววววววววว ”  ลูกธนูดอกหนึ่งแล่นเข้ามา
กวินฟ้า ตวัดพัดกลับคืนถูกลูกธนูดอกนั้น ลูกธนูถูกตัดออกเป็นสองท่อน
“ พัดดี ท่ารำสวย ”  เสียงทุ้มใหญ่ของคนผู้หนึ่งดังอยู่บนหัวเรือ ชายคนนี้สวมชุดสีดำเสื้อที่ใส่เปลือยแผ่นอกมีหนวดและเคราอยู่เต็มใบหน้า ผมยาวพอประมาณ คนที่อยู่ในเรือส่วนใหญ่ต่างรู้จักเขาเป็นอย่างดี
“ หัวหน้ากลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัด หะลูอา ”
************* ให้อ่านคั่นเวลาระหว่างรอ ศึกเทพอสูรมหาสงคราม ตอนที่ 44 ***************
              หนทางยังอีกยาวไกลสู้เข้าไปเถอะตัวเรา
                    ^______^
ภาคงานแต่งของกวินฟ้า ๑
    “ ซ่าๆๆๆ “
    เสียงคลื่นทะเลกระทบกับโขดหิน ระลอกแล้วระลอกเล่า หมู่นกน้อยบินว่อนในท้องนภา ท้องทะเลในยามนี้ช่างดูงดงามจนเหลือเชื่อ ฟ้าเป็นสีคราม น้ำทะเลดั่งมรกต หากจะเปรียบที่นี้เป็นแดนสวรรค์ของเหล่าเทพ เหล่านกน้อยก็คือนางฟ้าที่แต่งแต้มให้แดนสวรรค์แห่งนี้ ดูงดงามไม่สร่างสาง
    “ ย๊ากกกกกกกก ”  เสียงของหนุ่มน้อย ดังมาจากโขดหินอีกด้านหนึ่ง
    “ วิวๆๆ ”  พร้อมกับบังเกิดกระแสลมลูกใหญ่ขึ้นมาดั่งพายุสลาตันที่รุนแรงเกินใครต้าน ภายในพายุนี้ปรากฏร่างของหนุ่มน้อยรูปงามทะลวงผ่านออกมาก่อนกลายร่างเป็นพญานาคสีมรกตแต่จะแปลกตาหน่อยก็ตรงที่เกล็ดของพญานาคตนนี้บางครั้งกลับสะท้อนแสงสีฟ้าครามออกมาด้วย
    “ ตูมมมมมมม ” นาคใหญ่กระโจนตัวลงสู่ทะเลดำผุดดำว่ายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทะยานร่างขึ้นมาอีกคราพร้อมกับพายุที่หมุนหอบเอาน้ำในท้องทะเลขึ้นมาเป็นสาย
    “ นาคาวายุรุณ ”
สุดท้ายก็มาหยุดลงที่โขดหินใหญ่เปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์หนุ่มอีกครั้ง
“ อืมมมมม ” หนุ่มน้อยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด
“ วันนี้อากาศดีจังเลย ”
เขาคือ
“ กวินฟ้า ”
นาคหนุ่มรูปงามผู้มีนัยตาเปล่งประกายราวกับอัญมณี ผมยาวสยายถึงกลางหลัง รูปร่างล่ำสัน เขามักจะมาที่นี้อยู่เสมอ เพื่อหลีกหนีความจำเจที่น่าเบื่อในนครบาดาล
“ ระบำมยุรา ไกลดุจฟ้าใกล้เพียงชิด ” สายพลังสายหนึ่งพุ่งตรงมายังเขาอย่างสุดรุนแรง อานุภาพที่สามารถทำลายพื้นแผ่นดินที่ไกลออกไปนับ ๑๐ โยชน์ได้ การบุกจู่โจมที่ไวปานสายฟ้านี้หมายเอาชีวิตเขาอย่างนั้นหรือ?
กวินฟ้า ไม่ได้หลบหลีกออกหมัดโต้พลังที่พุ่งมา
“ พระเวทย์วายุรุณท่าที่ ๘ เว้าวอนแก้วตา ” บังเกิดลมสลาตันออกมาจากหมัดทั้งสองข้าง มีทั้งช้าและเร็วดึงดูดพลังที่พุ่งมาเอาไว้และสลายไปเสียสิ้น
หลังจากสลายพลังได้ กวินฟ้า ปล่อยพลังออกโจมตีคนที่ลอบทำร้ายเขาในทันที
“ พระเวทย์วายุรุณท่าที่ ๒ โอบกอดอรชร ” ลมสลาตันลูกใหญ่คุมทั่วร่างของคนที่แอบลอบทำร้าย บุรุษรุ่นใหญ่ ยิ้มรับกับฝีมือของเด็กรุ่นหลัง รวบพัดสะบัดไปมา ๑๒ จุด
“ ระบำมยุรา เทพพิทักษ์เนรมิตรสิบสองสถาน ” อย่างไรฝีมือของหนุ่มใหญ่ก็ร้ายกาจกว่าเพียงแค่สะบัดมือก็สลายพลังที่รุนแรงของลมสลาตันออกได้ โดยไม่ขยับเขยื้อนเลยแม้แต่ก้าวเดียว
“ ฮะๆๆ ไม่ได้พบกันเพียงแค่พักเดียว ฝีมือของหลานข้าร้ายกาจขึ้นทุกครา ไม่เสียทีที่เป็นลูกของ อนันตวาโย ”
กวินฟ้า สุดแสนจะดีใจที่ได้พบกับเสด็จอา
“ เสด็จอา โภคินันท์  .เสด็จอา กุสุมาวดี ”
นอกจาก โภคินันท์ แล้วยังมี กุสุมาวดี อีกคนหนึ่ง เวลานี้นางมีสง่าราศีสมกับเป็นเมเหสีของพญาหงส์ผู้เกรียงไกร
“ หลานขอถวายบังคมเสด็จอาทั้งสองพระองค์ พระเจ้าข้า ”
กุสุมาวดี ยื่นมือลูบผมของกวินฟ้า อย่างเอ็นดู
“ เจ้านี้นับวันจะมีส่วนคล้าย กรรณิการ์นาคี โดยเฉพาะเวลาที่ยิ้มนี้แหละช่างเหมือนแม่ของเจ้านัก ” นาคน้อยยิ้มอย่างสดใสเมื่อได้รับคำชม
“ เสด็จอามาหาเสด็จแม่หรือพระเจ้าข้า ” กวินฟ้า ถาม
“ ไม่ใช่หรอก อากับเสด็จอาโภคินันท์ ออกมาตรวจดูพวกวิหคตระกูลครุฑ ต่างหาก เห็นว่าเดี๋ยวนี้มีพวกครุฑออกมาระราน มนุษย์และนาคอยู่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นพวกไหนกันแน่ ท่านสุบรรณก็ทรงพิโรธ ถึงขนาดออกคำสั่งให้ตามล่าพวกมันมาให้ได้ ไม่คิดเลยว่าจะมาเจอเจ้าอยู่ที่นี้ แล้วนี้เจ้าจะกลับเข้านครบาดาลหรือยังล่ะอาจะได้ตามไปเยี่ยมแม่ของเจ้าด้วย ”
กวินฟ้าถึงกับอึกอักพร้อมกับทำหน้าเจื่อนๆ
“ เออ . คือหลานยังไม่กลับหรอกพระเจ้าข้า คือ .หลาน ”
กุสุมาวดี พอจะเดาอะไรออก
“ นี้อย่าบอกอานะว่า เจ้าแอบหนีออกมาจากนครบาดาล ”
กวินฟ้ารู้สึกเกลอเขินไม่น้อย เมื่อเสด็จอาเดาถูก
“ .พระเจ้าข้า ”
   
    กุสุมาวดี ทั้งส่ายหน้าและตำหนิ
    “ อะไรกันกวินฟ้า เจ้าก็โตจนป่านนี้ไม่ใช่เด็กๆแล้ว ทำไมถึงทำอะไรไม่รู้จักคิด แล้วนี้แม่ของเจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้าหนีออกมาอยู่ที่นี้ ”
    “ ทรงทราบพระเจ้าข้า ” กวินฟ้า ตอบ
    กุสุมาวดี ถึงกับส่งเสียงร้องด้วยความแปลกพระทัย
    “ เอ๊ะ นี้อย่างไรกันแม่ของเจ้าก็เป็นไปกับเจ้าด้วยหรือ นี้นางคิดอะไรของนางอยู่กันแน่ ”
    กวินฟ้า กลัวว่าเสด็จอาทั้งสองจะทรงเข้าพระทัยผิดจึงรีบอธิบายเรื่องราวให้ฟัง
    “ คือเรื่องมันเป็นอย่างนี้พระเจ้าข้า เสด็จยาย ทรงดำริจะให้หม่อมฉัน แต่งงาน จึงไปเกณฑ์ เหล่านางนาค นางไม้ นางฟ้า นางกินรี ทั้งแถบใกล้และไกลมาให้หม่อมฉันเลือก ไม่ว่าหม่อมฉันจะทัดทานอย่างไรก็มิทรงยอมรับฟัง หากหม่อมฉันไม่รีบหนีออกมาป่านนี้ก็คงถูกกักบริเวณเป็นแน่พระเจ้าข้า ”
    กุสุมาวดี ได้ฟังถึงกับเอามือตบที่พระอุระของพระนางเอง
    “ ต๊ายแล้ว นี้เสด็จป้าทรงเป็นมากถึงขนาดนี้เชียวหรือ แล้วพ่อกับแม่ของเจ้าว่าอย่างไรบ้าง? ”
    “ ก็ทรงคัดค้านอะไรไม่ได้นะสิพระเจ้าข้า แค่เสด็จยายทรงอ้างเรื่องที่เสด็จพ่อทรงทอดทิ้งเสด็จแม่ไป ก็ทรงไม่รู้ว่าจะตรัสอย่างไรดีแล้ว ”
    โภคินันท์ หัวเราะเบาๆ
    “ นี้แหละน๊า เพราะเสด็จยาย ทรงรักเจ้ามากนะสิ ถึงได้ทำแบบนี้ ”
    “ นี้นะหรือเพคะ เรียกว่าความรัก คลุมถุงชนเสียมากกว่า ” กุสุมาวดี ทั้งแย้งและทั้งไม่พอพระทัย
    “ เจ้าก็รู้อยู่นี้ กุสุมาวดี ตอนกวินฟ้า เกิด อนันตวาโย ก็ไม่ได้ทำหน้าที่ของพ่อ พระนางกิณยราตีก็ทรงกริ้วที่  กรรณิการ์นาคี ไปได้เสียกับ อนันตวาโย ทั้งยังอุ้มท้องกลับมาอีก เข้าหน้ากันไม่ติดอยู่ตั้งหลายปี กว่าแม่ลูกจะปรับความเข้าใจกันได้  เขาก็คงรู้สึกผิดกระมัง จึงไม่กล้าทูลคัดค้านพระนางกิณยราตี ไม่เช่นนั้น กวินฟ้า คงไม่หนีขึ้นมาบนโลกมนุษย์แบบนี้หรอก ”
    แม้อยากจะแก้ตัวแทนเสด็จพ่อแต่เรื่องที่เสด็จอาทรงตรัสมาล้วนแต่เป็นความจริงจึงจำเป็นต้องนิ่งเสีย
“ แน่สิเพคะ  กวินฟ้า รักแม่ออกปานนี้จะให้มีนิสัยเหมือนกับ อนันตวาโย ที่มีหลายบ้านหลายเมียได้อย่างไร พูดแล้วก็น่าโมโหนัก หากไม่คิดว่าสงสารหลานแล้ว หม่อมฉันคงยุให้ กรรณิการ์นาคี เลิกกับ อนันตวาโย ไปตั้งนานแล้ว ”
“ ไม่เอาน่า กุสุมาวดี เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว อีกอย่างเขาก็ปรับปรุงตัวขึ้นตั้งเยอะ จะไปพรากลูกพรากเมียเขามันไม่ดีหรอก ”
ว่าแล้ว ก็ทรงตรัสถาม กวินฟ้าต่อ
“ แล้วนี้เจ้า จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ? ”
“ หลานคิดว่าจะออกท่องเที่ยวในโลกมนุษย์ซักหน่อย รอให้เสด็จยายทรงเลิกคิดที่จะจับหม่อมฉันแต่งงานเสียก่อน ค่อยกลับมาอีกทีพระเจ้าข้า ”
“ ถ้าอย่างนั้นก็ตามใจเจ้าเถอะ ”  โภคินันท์ ถอนแหวนที่สวมอยู่ที่นิ้วออกมา
“ แต่เจ้าต้องเอาแหวนวงนี้สวมติดตัวเอาไว้ด้วย มันมีชื่อ สุวรรณธำรงค์ หากเกิดภัยอันตรายขึ้นมา มันจะช่วยให้เจ้ารอดพ้นอันตรายได้ ”
กวินฟ้า ไม่กล้าขัดรับสั่งของเสด็จอาจึงรับแหวนวงนั้นมาสวมไว้ที่นิ้วของตัวเอง
“ ขอบพระทัย เสด็จอา พระเจ้าข้า ”
“ หากเจ้าต้องการให้อา ช่วยเหลืออะไรก็จงแจ้งแก่เหล่าวิหค พวกเขาจะส่งข่าวของเจ้ามาให้อาเอง แต่อย่างไรก็อย่าลืมส่งข่าวให้เสด็จแม่ของเจ้ารู้บ้าง แม่ของเจ้าจะได้ไม่ได้เป็นห่วงเจ้ามากนัก เข้าใจไหม? ” กุสุมาวดี กำชับ
“ พระเจ้าข้า ”
“ เออ.. นี้ก็สายมากแล้ว อากับกุสุมาวดี ต้องไปก่อนแล้วค่อยพบกันใหม่ ”
“ พระเจ้าข้า เสด็จอา “
หลังจากกำชับ กวินฟ้า เรียบร้อย แล้ว ทั้ง โภคินันท์ และ กุสุมาวดี ก็เหาะจากไปคงเหลือแต่เพียงกวินฟ้า อยู่ ณ ที่แห่งนั้นแต่เพียงลำพัง
“ ว่าแต่จะไปทางไหนดีน่า ซ้าย หรือว่า ขวา ” กวินฟ้า หันรีหันขวาง อยู่นานเมื่อตัดสินใจไม่ได้ จนกระทั่ง
“ พระนัดดา พระเจ้าข้า ทรงอยู่ไหนพระเจ้าข้า พระนัดดา ”
กวินฟ้า รู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“ จะทางไหนก็ช่างมันก่อนเถอะ ตอนนี้รีบเผ่นก่อนดีกว่า ”
ว่าแล้ว นาคหนุ่มก็เหาะหนีอย่างไม่คิดชีวิต และนี้ก็คือจุดเริ่มต้นของวุ่นวายที่ตามมาโดยที่เขาไม่เคยนึกถึงเอาก่อนไว้เลย
กวินฟ้า เหาะหนีมาได้เป็นเวลาครึ่งค่อนวันแล้ว ถึงเรื่องหนีจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็ยังมีเรื่องใหญ่กว่านั้นอีก
“ จ๊อกๆๆ ” เสียงท้องร้องดังมาตลอดทาง
“ โอย หิวชะมัดเลย ”
แน่นอน กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ตั้งแต่เช้าแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย คงน่าอยู่หรอกที่ตัวเขาจะหิวซกขนาดนี้
“ เอ๊ะ ข้าหน้าเป็นหัวเมืองนี้น่า น่าจะมีอะไรให้ข้ากินได้บ้าง ”
กวินฟ้าเหาะลงมาสู่พื้น ก่อนเดินไปตามทาง หัวเมืองนี้เป็นเมืองค่อนข้างใหญ่ มีผู้คนมากหน้าหลายตา โดยเฉพาะสาวๆสวยๆก็หลายคน ยิ่งเวลานี้ มีหนุ่มรูปงาม ต่างถิ่นอย่างเขาเดินทางเข้ามาย่อมตกเป็นเป้าสายตาเป็นธรรมดา
“ คนอะไร หล่อจังเลย ” สาวๆต่างแอบชม้ายส่งสายตามอง
“ นี้ ข้าคงไม่โชคร้ายหนีเสือปะจระเข้หรอกนะ ” พูดแล้วก็อดหวาดหวั่นไม่ได้ จึงรีบเดินหนีเสีย เดินมาได้ครู่เดียวก็พบร้านอาหารร้านใหญ่ ร้านหนึ่ง
“ ว้าว! นี้แหละ ร้านในฝัน มื้อนี้คงไม่อดแล้ว ”
กวินฟ้าเดินเข้าไปภายในร้าน ลูกจ้างในร้านให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
“ เชิญเลยครับ นายท่าน ไม่ทราบว่านายท่านต้องการอาหารอะไร ไม่ว่าจะเป็น เนื้อแกะอบ ไก่ภูเขา เหล้าสาหร่าย หมูหั่น ปลาเก๋าราดพริก ต้มยำปลาแรด เรามีบริการให้ทั้งนั้นขอรับ ”
ฟังแล้ว ก็ยิ่งเพิ่มความอยากอาหารขึ้นอีกนับสิบเท่า
“ เอาทุกอย่างที่มีและเด็ดที่สุดในร้านเอามาให้ข้า “
นานๆจะมีคนสั่งแบบนี้เสียที เหล่าลูกจ้างถึงกับกุลีกุจอเชื้อเชิญให้ กวินฟ้า ไปนั่งที่โต๊ะพิเศษ  และนี้ก็คือคติประจำใจของ กวินฟ้า
รักไม่ยุ่งมุ่งแต่กิน
‘ นี้ถ้า ฤทธิ์นาคี ตามมาด้วยก็คงจะดีหรอก ’
นึกถึง เพื่อนรักอีกคนที่ รักการกินไม่น้อยไปกว่าเขาก็อดที่จะรู้สึก หว่าเหว่  ไม่ได้ ที่เขาติดนิสัยเรื่องกินเป็นชีวิตจิตใจ ก็เพราะมาจาก ฤทธิ์นาคี นี้แหละ
“ อาหารได้แล้วขอรับ นายท่าน ”
บรรดาอาหารที่วางอยู่บนโต๊ะ ชวนให้น้ำลายสอเสียนี้กระไร
“ ช่วยไม่ได้นะ ฤทธิ์นาคี เจ้าไม่ตามข้ามาเอง วันนี้ข้าจะหม่ำให้พุ่งก้างเลย ฮะฮา ”
ระหว่างที่ กวินฟ้า กำลังอิ่มหน่ำสำราญ กับอาหารชุดใหญ่อยู่ ที่โต๊ะข้างๆ กลับมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันแทน
“ หนอย ไอ้หนู มาซ่าผิดที่ซะแล้วอยากตายหรือไงฟะ? ”
เด็กหนุ่มหน้าตาดี ๒ คนกำลังมีเรื่อง กับกลุ่มอันธพาล
“ นี้ๆ ไอ้น้อง ถ้าอยากเก็บปากไว้แตกหน้าหนาว ก็รีบไสหัวไปไกลๆ ดีกว่า ข้าไม่อยากทำร้ายคนไม่มีทางสู้หรอกนะ ”
“ เจ้าอัดลูกน้องข้าปางตาย จะให้ข้าปล่อยเจ้าสองคนไปได้ง่ายๆอย่างนั้นนะหรือฝันไปเถอะ ”
ได้ฟังแล้วก็ทำให้มีน้ำโหขึ้นมา
“ แล้วทีลูกน้องเจ้าไปฉุดลูกสาวชาวบ้านมาล่ะ จะว่าอย่างไร ข้าไม่เอามันตายก็บุญโข แล้วนี้มันยังอุตสาห์หาเรื่องให้ลูกพี่ของมันตามมาเจ็บตัวอีกหรือ งี่เง่าสิ้นดี? ”
เมื่อการเจรจาไม่เป็นผลการลงไม้ลงมือก็ตามมา
“ ฮะ เจ้าสองคนนี้ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา เฮ้ย เอามันให้ตาย ”
กลุ่มอันธพาลนับสิบคน พร้อมอาวุธครบมือรุมเข้าทำร้ายคนสองคนที่ไม่มีอาวุธในมือเลยแม้แต่ชิ้นเดียวช่างเป็นวิธีการที่สกปรกสิ้นดี แต่ฝีมือของสองหนุ่มกลับร้ายกาจกว่า แม้ไม่มีอาวุธในมือ แต่ก็ต่อสู้กับกลุ่มอันธพาลได้อย่างสบาย หนึ่งในกลุ่มอันธพาลจวกแทงมีดเข้าหาหนึ่งในสองหนุ่มน้อย แต่เด็กหนุ่มรู้ทันจึงเอี้ยวตัวหลบพร้อมทั้งศอกกลับเข้าให้  การทะเลาะวิวาททำให้ลูกค้าที่อยู่ภายในร้านต่างเผ่นหนีออกจากร้านไปทั้งหมด คงเหลือแต่เพียง กวินฟ้า เพียงผู้เดียวที่ยังคงกินอาหารอยู่บนโต๊ะอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว
“ อร่อย อร่อยจริงๆ สุดยอด ”
แต่นับเป็นความโชคร้ายก็ว่าได้ เพราะบังเอิญกลุ่มอันธพาลคนหนึ่ง อาวุธหลุดจากมือ จึงยกเก้าอี้ ทุ่มใส่ ชายหนุ่มทั้งสอง ปรากฏว่า สองหนุ่มหลบได้ทัน แต่เก้าอี้ตัวนั้นกลับไปถูกโต๊ะ อาหารของ กวินฟ้า จนล้มระเนระนาดทั้งหมด
“ เพล้งงงงงงงงง ”
“ อะ อาหารของข้า ”
เจ็บปวด เจ็บปวดที่สุด ความรู้สึกเจ็ดปวดในการที่ถูกขัดขวางในการทานอาหารอันแสนอร่อยของเขาพุ่งปรี๊ดขึ้นมาแทบทะลักจุดเดือด เขาหรือสู้ทนอุตสาห์หนีออกมาอย่างอยากลำบาก อาหารก็กินเข้าไปยังไม่ได้ถึงครึ่งของที่มี กลับกลายต้องมาเป็นเศษขยะที่ดูแสนทุเรศนี้แทน แค้นนี้ฝังลึกจนเกินจะทนได้
“ เอาอาหารของข้า คืนมา ”
กวินฟ้า พุ่งพรวดอย่างเร็ว ซัดหมัดถูกกลุ่มอันธพาลไม่ต่ำกว่า ๔-๕ คน จนจุกลุกไม่ขึ้น
“ อุ๊บ ”
“ ย๊ากกก ” อันธพาลคนหนึ่งรีบยกเก้าอี้ขึ้นมาฟาดเข้าที่กลางหลังของ กวินฟ้า หมายแก้แค้นให้กับพวกพ้อง
“ ปัง ” เก้าอี้หักไม่มีชิ้นดีแต่ตัวของ กวินฟ้า กลับไม่มีแม่แต่รอยขีดข่วน อันธพาล คนนี้เริ่มรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี เมื่อ กวินฟ้า หันหน้ามามองอย่างช้าๆ พร้อมกับแววตาที่ดุร้ายเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังกระหายเลือด
“ โครมมมมมมม ”
ร่างของอันธพาลคนนั้นและคนอื่นๆต่างลอยละลิ่วปลิวออกมากองอยู่นอกร้านคนแล้วคนเล่า พร้อมกับ ฝ่าเท้า ของ กวินฟ้า ก็ตามมาประเคนติดๆถึงที่
“  นี้แน่ๆ ชดใช้อาหารของข้ามานะ เอาอาหารของข้าคืนมา ”
“ พลั่ก ”
กลุ่มอันธพาลถูกกระทืบโครมใหญ่
“ โอยๆๆ พอแล้ว พวกข้ายอมแล้ว ...พวกข้ายอมแล้ว ”
“ เอาอาหารข้าคืนมาๆๆ “ กวินฟ้า ยังร่ำร้องไม่เลิก
พวก อันธพาล ต่างล้วงเงินออกมาให้ พร้อมกับรีบเผ่นหนี
“ ไอ้พวกบ้า ข้าบอกให้เอาอาหารของข้าคืนมา ไม่ใช่เศษเงินนี้ ”
“ นายท่านขอรับ ร้านของข้าพังหมดแล้วขอรับ จะทำอย่างไรดีขอรับ ฮือๆๆ ”
เจ้าของร้านโผล่หน้าออกมา หลังจากหลบไปได้พักใหญ่
“ เออ คือ .. นั้นสินะ ”
กวินฟ้า เพิ่งสังเกตว่า ร้านอาหารพังลงเป็นแถบๆ แล้วนี้เขาจะต้องจ่ายเงินค่าเสียหายเท่าไรกันล่ะ
“ ตุ๊บ ”
ทองก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งถูกโยนเข้ามาตรงหน้าเจ้าของร้าน
“ นี้เป็นค่าเสียหาย พร้อมกับจัดอาหารชุดใหญ่ เลี้ยงขอบคุณเพื่อนของพวกข้าด้วย ”
เจ้าของร้านถึงกับตาโต เมื่อเห็นทองก้อนนี้ ส่วน กวินฟ้า หันกลับมามองหนุ่มหน้ามนสองคนที่มีเรื่องกับกลุ่ม อันธพาล ก่อนหน้าเขา
“ มื้อนี้ข้าเป็นเจ้ามือเอง เจ้าจะรังเกียจไหม? ”
กวินฟ้า สูดลมหายใจเข้า พร้อมกับยืดอกและยกมือขึ้นเปลี่ยนเป็นสองนิ้ว
“ โอเช เลย ”
ของฟรีใครล่ะจะไม่ชอบ เพราะสำหรับ กวินฟ้า เรื่องกินมันเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องอื่นๆมันเป็นเรื่องเล็ก
......... กวินฟ้า นั่งอยู่กับชายหนุ่มแปลกหน้าทั้งสองคนจากลักษณะหน้าตาย่อมรู้กันเป็นอย่างดีว่าพวกเขาคือพี่น้องกัน ส่วนตัวเขาเองไม่ได้สนใจเรื่องอื่นหากแต่กำลังจัดการอาหารที่วางอยู่ตรงหน้า อย่างเอร็ดอร่อย
“ พวกเจ้านี้ใจดีจริงๆ อุตสาห์จ่ายเงินแทนข้า ทั้งค่าอาหารแล้วก็ค่าเสียหายด้วย ”
หนึ่งในสองหนุ่มตอบกลับมาว่า
“ เรื่องเล็กน้อยเอง พวกข้าก็ต้องขอบใจเจ้าเหมือนกันที่ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือพวกข้า เจ้านี้ช่างเป็นคนมีคุณธรรมจริงๆ ”
ชายหนุ่มทั้งสองคนหารู้ไม่ว่าที่จริงแล้วมันไม่เกี่ยวกับเรื่องคุณธรรม แต่มันเกี่ยวกับเรื่องที่ กวินฟ้า หิวจนหน้ามืดต่างหาก
“ แฮะๆ งั้นหรือ? ” หากพวกเขารู้จะว่าอย่างไรบ้างเนี้ยะ
“ เออ...จริงสิ คุยกันมาตั้งนานแล้ว ข้ายังไม่รู้ชื่อของพวกเจ้าเลย ” กวินฟ้า เพิ่งจะนึกขึ้นได้
ชายหนุ่มทั้งสองจึงแนะนำตัวเอง
“ ข้าชื่อ มรกต ”
“ ส่วนข้าชื่อ มุก ”
กวินฟ้า รู้สึกแปลกๆอย่างไรชอบกล
“ มรกต กับ มุก ทำไมชื่อมันคล้ายๆกับชื่อของผู้หญิงอย่างนั้นล่ะ รูปร่างหน้าตาก็ดูอ้อนแอ้นผิดวิสัยผู้ชาย ” นาคหนุ่ม แอบรำพึงกับตัวเองเบาๆ แต่กลับกลายเป็นว่าเหมือน กวินฟ้า กำลังพูดคุยกับชายหนุ่มทั้งสองอยู่
“ เมื่อกี้เจ้าว่าอะไรนะ? ” มุกถาม
“ อะ..อ๋อ เมื่อกี้ข้าว่าชื่อของพวกเจ้าดูแปลกดี ”
กวินฟ้าแก้ตัว
“ พวกข้าสองคนเป็นคนในตระกูลนักรบทางแถบเหนือชื่อก็เลยออกไม่ค่อยคุ้นหูซักเท่าไร แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร เป็นคนที่ไหน? ”
หน้าตานวลเนียร ผิวพรรณ์ก็ดูไม่หยาบกร้าน นี้นะหรือคนของตระกูลนักรบ?
“ ข้าชื่อ กวินฟ้า เป็นชาวนคร ..บา........ “ กวินฟ้า หยุดพูดไปทันทีใด เมื่อนึกขึ้นได้ว่าเกือบจะหลุดคำพูดชื่อนครบาดาลออกมา
“ นครบา...บาอะไร?”  มุก เป็นฝ่ายถามขึ้นเมื่อเห็น กวินฟ้า หยุดพูดไป
“ บาเล ข้าเป็นชาวนครบาเล ”
สองหนุ่มต่างมองหน้ากันและครุ่นคิด
“ นครบาเล เกิดมาพวกข้าสองคนยังไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อนเลย ”
‘ ขืนข้าบอกพวกเจ้าสองคนไปว่าข้าเป็นชาวนครบาดาลก็ยุ่งนะสิ ’ กวินฟ้า รีบคิดหาคำตอบเพื่อไม่ให้ทั้งมรกต และ มุก สงสัยในตัวเขา
“ ไม่แปลกหรอก ที่พวกเจ้าจะไม่เคยได้ยิน นครของข้านะเป็นนครเล็กๆ แค่เป็นทางผ่านของนครใหญ่ๆ ไม่ค่อยมีคนแวะเวียนเข้ามามากนักหรอก ”
ทั้งมุกและมรกตได้ฟังก็รู้สึกว่าอาจจะเป็นไปได้เช่นกัน
“ คงจะเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ นครใหญ่ๆส่วนมากจะมีชื่อเสียงมากกว่าอยู่แล้ว ส่วนนครเล็กๆไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไร ยิ่งถ้าเป็นรายทางด้วยแล้วแทบจะไม่มีใครสนใจจดจำเลย เท่าที่พวกข้าเคยเดินทางผ่านมาก็มีหลายนครเช่นกันที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก ”
เพื่อไม่ให้ทั้งสองถามต่ออีก กวินฟ้า จึงเปลี่ยนเรื่องพูดคุย
“ แล้วนี้พวกเจ้ากำลังจะเดินทางไปที่ไหนกัน? ”
สองหนุ่มตอบว่า
“ ข้าสองคนเดินทางมาติดต่อสั่งซื้ออาวุธ นี้ก็เสร็จธุระแล้ว คิดว่าจะเดินทางไปนครโรมพัตรต่อ ”
“ นครโรมพัตร? พวกเจ้าจะไปที่นครนั้นทำไมกัน? ”
สองหนุ่มต่างแสดงสีหน้าที่แปลกใจ
“ อ้าว! นี้เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่า  นครโรมพัตร กำลังมีงานใหญ่ ”
กวินฟ้า ส่ายหน้า
“ ไม่รู้หรอก นครโรมพัตรมีงานอะไรอย่างนั้นหรือ? “
“ ก็จะอะไรซะอีกเล่า ก็งานพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยของ นครโรมพัตรไงล่ะ ”
‘ นึกว่าเรื่องอะไรเสียอีก ที่แท้ก็เรื่องไร้สาระนี้เอง ’ กวินฟ้า สุดแสนจะเซ็งเพิ่งหนีมาอยู่หยกๆกลับมาเจอเรื่องแบบนี้อีกแล้ว
“ อ๋อ .. ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าพวกเจ้าคิดจะไปเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรด้วยล่ะสิ ”
พวกเขาต่างตอบขึ้นพร้อมกันว่า
“ เปล่า ”
“ อ้าว ”  ทำไมถึงผิดคาดอย่างนี้ ช่างน่าสงสัยเสียจริง แล้วพวกเขาจะเดินทางไปที่ นครโรมพัตร ทำไมกัน?
“ แล้วพวกเจ้าจะไปที่นครโรมพัตร ทำไมกันถ้าไม่ไปเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรเขย ”
มรกตตอบว่า
“ พวกข้าจะไปเที่ยวชมงานสมโภชนครโรมพัตรต่างหาก เพราะวันพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยมาตรงกับงานสมโภชนครด้วย เห็นใครๆเขาก็ว่ากันว่านครนี้มีสถานที่ท่องเที่ยวมากมาย อีกทั้งอาหารก็เลิศรส หากไม่ได้ไปก็เสียดายแย่ ”
ประโยคหลังนี้แหละที่น่าสนใจขึ้นมาหน่อย
“ ฮะฮ่า อย่างนี้ก็ดีเลยสิ ข้าเองก็ออกมาท่องเที่ยวเหมือนกัน เจ้าเห็นเป็นอย่างไรบ้างถ้าพวกเราสามคนจะเดินทางไปนครโรมพัตรด้วยกัน ”
“ ภาษิตว่า คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย สามคนมันก็สบาย พวกข้าไม่ขัดข้องอยู่แล้ว “
ได้ข้อสรุปในทันที
“ งั้นก็ตกลงตามนี้ ”
มรกต และ มุก ต่างดีใจที่จะได้เพื่อนร่วมเดินทางอีกคน
“ เออ กวินฟ้า ไหนๆเจ้าก็ไปที่นครโรมพัตรแล้ว ทำไมเจ้าไม่ลองเข้าร่วมพิธีคัดเลือกราชบุตรเขยดูบ้างล่ะ? รูปร่างหน้าเจ้าก็ดี ฝีมือก็เป็นเยี่ยม ดีไม่ดี อาจมีสิทธิ์ได้เป็นราชบุตรเขยนะ ”
หากต้องการอย่างนั้น กวินฟ้า คงไม่หนีมาจนถึงที่หรอก
“ มะ...ไม่ดีกว่า ข้านะยังไม่อยากแต่งงาน เอาไว้ข้าอยากแต่งงานเมื่อไรจะขอใช้บริการพ่อสื่ออย่างพวกเจ้าก็แล้วกัน ”
สองหนุ่มหัวเราะ
“ คิก ฮะๆ นี้พวกข้าคิดแพงนะเจ้าจ่ายไหวหรือ? ”
กวินฟ้า ยิ้มและตอบว่า
“ เจ้ารับเงินผ่อนหรือเปล่าล่ะ หากรับข้าคิดว่าอย่างไรก็จ่ายไหว ”
“ เอาไว้พวกข้าจะรับไว้พิจารณาก็แล้วกัน ”
กวินฟ้า ลองแย้มถามพวกเขาดูบ้าง
“ แล้วพวกเจ้าจะไม่ลองเข้าร่วมพิธีการคัดเลือกบ้างหรือ? เผื่อวาสนาพวกเจ้าดีได้เป็นราชบุตรเขยกับเขาบ้าง ข้าจะพลอยสบายไปด้วย ”
ทั้งสองยิ้มและหัวเราะ
“ เห็นที จะคงไม่ได้หรอก เพราะพวกข้ามีคู่หมั้นคู่หมายแล้ว ”
กวินฟ้า สบช่องพูดต่อทันที
“ โอย ข้าเห็นนรกร่ำไร แทนพวกเจ้าแล้ว แต่บอกไว้ก่อนงานแต่งของพวกเจ้าอย่าลืมเชิญข้าไปด้วย ”
“ แน่นอน ข้าต้องเชิญเจ้าแน่ เจ้าต้องมาให้ได้นะ ”
กวินฟ้า เข้ามากอดคอพวกเขา
“ ฮะฮะๆๆ  เพื่อนเอ๋ย ไม่ต้องห่วงหรอกข้าไปแน่ เพราะข้ากะจะถล่มอาหารในงานแต่งของเจ้าให้ราบเลย ”
ทั้งสามต่างประสานเสียงหัวเราะพร้อมกัน เพียงเวลาไม่นาน พวกเขาก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว นี้คือโชคชะตาที่ไม่แน่นอนของแต่ละคนวันนี้อาจเป็นเพื่อน วันหน้าอาจเป็นศัตรู แต่พวกเขาทั้งสามย่อมจะเป็นอย่างแรกมากกว่าอย่างหลังแน่นอน
พอใกล้ค่ำเขาทั้งสามก็หาที่พักและนอนห้องเดียวกัน ห้องนอนของพวกเขาแบ่งออกเป็นสองเตียง แต่ละเตียงสามารถนอนสองคนได้อย่างสบาย ภายในห้องมีเครื่องหอมสมุนไพรเอาไว้คอยไล่แมลงที่จะเข้ามารบกวน ถัดจากนั้นเป็นห้องอาบน้ำที่ถูกออกแบบอยู่ภายในห้องเดียวกับห้องพัก กวินฟ้า อาบก่อนเป็นคนแรก เพียงได้สัมผัสกับน้ำ เขาก็รู้สบายไปทั้งตัว เพราะวิสัยของนาคย่อมรู้สึกสบายเมื่อได้สัมผัสกับน้ำเป็นเวลานานๆ พอออกจากห้องอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จก็ล้มตัวลงนอนเลย ทีแรกตั้งใจว่าจะพูดคุยกับ มรกต และ มุก ต่อ แต่พอได้กลิ่นที่หอมเหมือนกับกลิ่นของดอกไม้ ตาของเขาก็ค่อยหรี่ลง
“ หาว.... ” และหลับลงไปในที่สุด
กลิ่นหอมของดอกไม้นั้นเหมือนนำพาให้เขาเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความฝัน ณ ดินแดนสวรรค์ อันวิจิตรและงดงาม
“ ซ่าๆๆ ” เสียงอาบน้ำดังมาเป็นระยะๆ แต่เขาหาได้รู้สึกตัวไม่
“ เอี๊ยดๆ ” สุดท้ายประตูห้องน้ำก็เปิดออกพร้อมกับกลิ่นหอมของดอกไม้ก็ฟุ้งกระจายยิ่งกว่าเดิม
หญิงสาวแรกรุ่นสองคนหน้าตาหมดจด ผิวเนียรขาวแซมชมพูที่ราวกับไข่มุกเม็ดงาม เปล่งปลั่งในยามค่ำคืน เนินอกที่อวบอิ่ม รูปร่างที่เย้ายวนบุรุษเพศ ซ่อนอยู่ในใต้ผื้นผ้าที่พันกายคนละพื้น พวกนางต่างเดินเข้าไปหาชายหนุ่มที่นอนหลับใหล และใช้เส้นผมเขี่ยเล่นที่ใบหน้าของหนุ่มรูปงาม
“ เจ้านี้ ทึ่มกว่าที่ข้าสองคนคิดไว้ตั้งเยอะ ”
หญิงสาวทั้งสองต่างมองหน้าและยิ้มให้แก่กัน เหมือนต่างมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจ
..เวลาสายของอีกวัน เรือลำหนึ่งที่บรรจุคนได้ประมาณสี่สิบกว่าคน กำลังแล่นอยู่ในแม่น้ำใหญ่  เรือลำนี้มีเป้าหมายเดินทางไปนครโรมพัตร ในเรือประกอบด้วยคนหลายประเภท ทั้งนักเดินทาง พ่อค้า และกลุ่มคนผู้หมายจะเข้าร่วมพิธีการคัดเลือกราชบุตรเขย กวินฟ้า มรกต และ มุก ต่างนั่งอยู่ที่บนหัวเรือ เอาอาหารที่ติดตัวมาออกมาแบ่งกันกิน
    “ อีกนานเท่าไร เราจะถึงนครโรมพัตร? ” กวินฟ้า ถามพลางเคี้ยวเนื้อย่างไปด้วย
    “ คงพรุ่งนี้เช้านั้นแหละ ”  มรกต เป็นผู้ตอบ
    ตลอดเส้นทางที่ผ่านมาพวกเขาต่างเห็นเรือหลายลำทำให้ กวินฟ้า อดเป็นห่วงไม่ได้
    “ พวกคนตั้งมากมายต่างเดินทางไปนครโรมพัตรกันทั้งนั้น แล้วนี้พอเราไปถึงแล้วจะมีที่พักบ้างหรือเปล่า? “
    มรกต และ มุก ไม่มีท่าทีทุกข์ร้อนแต่อย่างใด
    “ ไม่ต้องห่วงหรอก พวกข้าจองที่พักเอาไว้แล้ว เพียงพอให้พวกเราพักกันได้อย่างสบาย “
    กวินฟ้า ออกจะรู้สึกถึงความไม่ถูกต้องในคำพูด
    “ พวกเจ้าบอกว่าจองที่พักไว้แล้วข้าออกไม่แปลกใจ แต่ทำไมเจ้าถึงบอกว่าเราถึงสามารถพักได้อย่างสบาย ตอนเจ้าจองห้องพักเจ้าจองเผื่อข้าไว้ด้วยอย่างนั้นหรือ? ”
   
    พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันจะเป็นไปได้อย่างไรที่ มรกต และ มุก จะสามารถจองที่พักให้กวินฟ้า ในอีกนครหนึ่งได้ อย่างมากก็น่าจะแค่จองห้องพักให้กับตัวพวกเขาเองเท่านั้น
    “ เจ้าเข้าใจผิดแล้ว พวกข้านะส่วนใหญ่แล้วเวลาเดินทางมักจะมากันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ เวลาจองที่พักอย่างน้อยที่สุดหากได้เพียงแค่ห้องเดียวก็ต้องเป็นห้องที่ใหญ่ที่สุด แม้กระทั่งพวกข้าเองจะเดินทางเพียงแค่สองคนก็ตาม ก็ต้องจองห้องที่ใหญ่ที่สุดเอาไว้ เพราะหากพวกพ้องของข้าเกิดเดินทางมาสมทบกระทันหัน และไม่สามารถออกเดินทางได้ทันที อย่างน้อยก็มีที่พักให้พวกเขาอยู่อย่างสบายได้ ” มรกต อธิบายเหตุผลให้ฟัง
    กวินฟ้า พยักหน้าอย่างเข้าใจ
    “ อย่างนี้ๆเอง ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าเป็นนักรบและมักเดินทางอยู่บ่อยๆจึงต้องเตรียมตัวสำหรับเหตุการณ์ล่วงหน้าไว้เสมอ ผิดกับข้าที่เพิ่งจะออกเดินทางจึงไม่ได้คิดถึงข้อนี้เอาไว้เลย ”
    “ แรกๆพวกข้าก็เหมือนกับเจ้านี้แหละ พอได้รับคำแนะนำจากผู้ใหญ่และประสบการณ์ในการเดินทางย่อมจะคิดแผนการในการเดินทางล่วงหน้าได้ อีกหน่อยเจ้าก็จะเรียนรู้ได้เอง ” มุก ว่า
    เตรียมพร้อมทุกสถานการณ์เป็นคำกล่าวที่ไม่เคยผิดเลย
‘ พวกเขาสองคนดูเหมือนไม่ประสีประสาแต่แท้จริงแล้วทั้งฉลาดและรอบคอบ เทียบกับข้าแล้วพวกเขาดูเหมือนเป็นผู้ใหญ่มากกว่าข้าเสียอีก ’ ยิ่งได้พูดคุยกับพวกเขากวินฟ้ายิ่งรู้สึกชื่นชม
ถึงแม้ กวินฟ้า จะมีฝีมือติดตัวแต่เนื่องจาก ได้รับการเอาใจใส่ อย่างดี จึงไม่เคยตกระกำลำบากมาก่อนหรือจะพูดอีกในหนึ่งก็คือ กวินฟ้า ก็เหมือนลูกคุณหนูดีๆนี้เอง แม้จะเป็นลูกผู้ชาย แต่ก็ไม่เคยออกมาร่อนเร่แบบนี้ดังนั้นความรู้เท่าที่มีในการเดินทางจึงเป็นความรู้ที่เกิดจากความนึกคิดของตนเองหาใช่ประสบการณ์ที่แท้จริงไม่
“ พี่มรกต แถวนี้ใช่ไหมที่มีข่าวลือ? ” 
“ อือ ”  มรกตพยักหน้าและทานอาหารต่อ
“ ข่าวลืออะไรอย่างนั้นหรือ? ” กวินฟ้า สังเกตสีหน้าของเพื่อนแล้วก็รู้ว่าเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไร
“ ก็ไม่มีอะไรมากหรอก แค่ข่าวลือเกี่ยวกับโจรแม่น้ำเท่านั้นเอง ”
นครโรมพัตรอยู่ติดกับแม่น้ำใหญ่หลายสาย การส่งสินค้าส่วนใหญ่จึงอาศัยการขนส่งทางน้ำแม้กระทั่งสินค้าที่มาจากทะเลยังต้องขนส่งมาทางแม่น้ำเช่นกัน จึงทำให้เกิดการปล้นชิงจากกลุ่มโจรหลายกลุ่ม
“ โจรแม่น้ำอย่างนั้นหรือ? ”
“ ใช่.. มีข่าวลือกันมาว่าพวกมันดักปล้นเรืออยู่ตรงบริเวณแถวนี้ ส่วนใหญ่เรือที่โดนดักปล้นจะเป็นเรือที่เดินทางมาในเวลาค่ำคืน ”
“ พวกมันมีกันเยอะไหม? ” กวินฟ้าถาม
“ เท่าที่ข้ารู้มาก็มีอยู่ด้วยกัน ๓ กลุ่ม กลุ่มเลือดทมิฬ พวกนี้โหดเหี้ยมทั้งฆ่าปล้นและข่มขืน หัวหน้าของพวกมันมีชื่อว่า กามลี  อีกกลุ่มคือกลุ่มทะเลซัด พวกนี้ไม่ค่อยทำร้ายใคร ปล้นเอาแต่ข้าวของมีค่า ไม่ค่อยเข้ามาหากินทางแม่น้ำใหญ่ ส่วนใหญ่จะดักปล้นอยู่ปากทางเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำกับทะเล หัวหน้าของพวกมันมีชื่อว่า หะลูอา  กลุ่มสุดท้ายกลุ่มฟ้าครามหากินทางแถบนี้ ทั้งยังค้าของเถื่อน ( สินค้าต้องห้ามส่งออกบางประเภทเช่น ไม้หอม ) ไม่ค่อยทำร้ายใคร บ้างครั้งก็ปล้นเรือส่งสินค้าของเศรษฐีหน้าเลือดแล้วเอาเงินมาแจกชาวบ้าน  หัวหน้ากลุ่มมีชื่อว่า ไผ่สีทอง ”
“ โอ้โห พวกเจ้านี้ทำไมรู้มากจัง? ” กวินฟ้า เกาหัวเกราะๆ แค่ฟังอย่างเดียวก็แทบจะงงแล้วไหนเลยจะจำได้ไหว
“ ข้าไม่ได้รู้มากหรอกแต่ช่วงนี้ข่าวเรือถูกปล้นมีบ่อยขึ้น ถ้าเจ้าสังเกตให้ดีผู้คนภายในเรือต่างพกพาอาวุธมากันทั้งนั้น แม้กระทั่งเรือขนส่งที่เรานั่งมายังต้องติดปืนใหญ่เอาไว้เลย ”
“ หา.... ”  กวินฟ้าลองเหลียวมองดูก็เห็นจริงผู้คนส่วนใหญ่ต่างพากันพกพาอาวุธกันทุกคนแม้กระทั่งลูกเรือยังไม่ยอมให้อาวุธอยู่ห่างมือยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าออกมารบมากว่าออกมาเดินเรือตามปกติ
“ ถ้าอย่างงั้นพวกเจ้าก็มี.... ”
“ พวกข้าพกดาบมากันคนละเล่ม แล้วเจ้าล่ะมีอะไรติดตัวมาบ้าง? ”
ทั่วตัวของกวินฟ้าไม่มีอาวุธแม้แต่ชิ้นเดียว
“ คือ...ข้าไม่มีอาวุธอะไรติดตัวมาเลย ”
ทั้งสองเข้าใจเพราะรู้ว่ากวินฟ้าเพิ่งจะออกเดินทางเป็นครั้งแรก
“ ไม่เป็นไรเดี๋ยวข้าจะลองสอบถามพ่อค้าเร่ที่อยู่บนเรือดูให้อย่างน้อยเขาก็น่าจะมีมีดสั้นขายให้เราบ้าง ” มรกตพูดบอก
“ ขอบใจนะ ”
เป็นครั้งแรกที่ กวินฟ้า รู้สึกว่าตัวเองไร้เดียงสาเสียนี้กระไร
ทานอาหารกันยังไม่ทันอิ่มพลันก็เกิดเรื่องขึ้น
“ ตูมมมมมมมมม ”
ลูกปืนใหญ่กระทบกับน้ำเกิดเสียงดังสะนั่น
“ เกิดอะไรขึ้นนะ!!!! ” ทั้งสามต่างตกใจกับเสียงระเบิดที่เกิดขึ้น
ปรากฏเรือใหญ่สามลำวิ่งขวางมาทางแม่น้ำบนใบเรือทั้งสามลำปรากฏรูปหัวกะโหลกที่มีเกลียวคลื่นทะเล พร้อมกับคนและอาวุธเต็มลำเรือ
“ โจรแม่น้ำ ” เสียงอลหม่านโกลาหลของผู้คนในเรือดังออกมาไม่ขาดสาย เรือที่พวกเขาโดยสารมาต่างถูกโจรแม่น้ำล้อมไว้ทั้งหมดทุกด้าน
“ กลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัด เป็นไปได้ไง ทำไมพวกมันถึงบุกเข้ามาหากินทางแถบแม่น้ำแถวนี้ ”
ความสงสัยยังไม่มีประโยชน์ใดๆในเวลานี้ กลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัดต่างระดมยิ่งปืนใหญ่ปิดสกัดการหนีของเรือโดยสาร เรือโดยสารแม้มีปืนใหญ่ติดตั้งอยู่แต่อนุภาพการยิงยังไม่เท่ากับของอีกฝ่าย  เพียงเวลาไม่นานลูกสมุนโจรกลุ่มใหญ่ก็พาดบันไดบุกขึ้นมาบนเรือแล้ว
“ กวินฟ้า หาทางหนีกันก่อนเถอะ ”
แทบไม่ต้องบอกกวินฟ้าวิ่งตามทั้งสองมาติดๆหมายลงเรือเล็กพายเข้าฝั่งขึ้นบกแต่ถูกลูกสมุนโจรแม่น้ำที่ขึ้นมาบนเรือเข้าขวางทาง
“ เคร้งๆๆๆ ”
มรกตและมุกชักดาบออกจากฝักตรงเข้าต่อสู้กับพวกโจร กวินฟ้าที่ไม่มีอาวุธในมือได้แต่ใช้สองเท้ากับสองหมัดเข้าต่อสู้ 
“ อ๊อคคคคคค ” นาคหนุ่มออกหมัดทั้งเร็วและหนักเขาแทบไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเลย โจรอีกพวกหนึ่งที่ถือหอกมาด้วยเห็นชายหนุ่มมีแรงมากกว่าคนปกติก็ให้รู้สึกประหลาดใจ รีบตรงเข้ามาช่วยเหลือพวกพ้องที่กำลังต่อสู้อยู่
“ ย๊ากกกกกกกกกกกก ”
“ เฮ้ย! หมาหมู่นี้หว่า ”
กวินฟ้า เอี้ยวตัวหลบพร้อมเตะกลับเข้าที่ด้านหลังโจรจนล้ม ช่วงระหว่างนั้นพัดเล่มหนึ่งลอยมาตกอยู่ที่มือของกวินฟ้าพอดี
“ มาจากไหนนั้นเนี้ยะ ”
เวลาไม่มีให้ถามเพราะต้องคอยหลบคมอาวุธที่พุ่งแทงเข้ามา ขณะที่หลบคมอาวุธนั้น ก็ยังถือพัดไว้ในมือด้วย ดูไปดูมาเหมือนกับโภคินันท์กำลังต่อสู้อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น
‘ เสด็จอา..... ’
เพียงนึกถึงเสด็จอา กวินฟ้า ก็จดจำถึงท่าเพลงรำเพลงหนึ่งของสกุลหงส์เข้าได้
“ เสด็จอา ทรงรำสวยจังเลย ”
ภาพในห้วงความคิด เสด็จอาโภคินันท์ ทรงหันพระพักตร์มายิ้มและบอกว่า
“ จำไว้นะ กวินฟ้า หงส์นอกจากสง่าแล้วต้องเร็วและกรีดกราย ”
กวินฟ้า คลี่พัดเหมือนกับที่เสด็จอาโภคินันท์ทรงรำให้เขาดูในวันนั้น
“ ท่ารำสกุณาโผผิน ”
กวินฟ้า เอี้ยวตัวตามจังหวะของนก แม้ถึงเขาจะเป็นนาคแต่ท่าทางก็ปราดเปรียวไม่แพ้วิหคเลย จังหวะเท้าเดินหน้าและกลับ เคลื่อนไหวตัวอย่างอิสระ บังคับมือดั่งใจ
“ ฉับบบบบบบบบ ” เสียงพัดกระทบกับอากาศ
“ อ๊าคคคคคคคคคคคค ”  ส่วนปลายของพัดคล้ายกับใบมีดที่คมกริบตัดได้แม้กระทั่งโลหะ
“ ท่ารำสกุณาโผผิน คลื่นลมตัดอากาศ ”
เหล่าสมุนโจรถูกคมอากาศบาดเข้าเป็นแผลลึก ได้รับบาดเจ็บหลายคน ไม่ว่ากวินฟ้าเคลื่อนไหวไปทางทิศใดสมุนโจรล้วนแต่ได้รับบาดเจ็บ ”
“ ฟ้าวววววววววว ”  ลูกธนูดอกหนึ่งแล่นเข้ามา
กวินฟ้า ตวัดพัดกลับคืนถูกลูกธนูดอกนั้น ลูกธนูถูกตัดออกเป็นสองท่อน
“ พัดดี ท่ารำสวย ”  เสียงทุ้มใหญ่ของคนผู้หนึ่งดังอยู่บนหัวเรือ ชายคนนี้สวมชุดสีดำเสื้อที่ใส่เปลือยแผ่นอกมีหนวดและเคราอยู่เต็มใบหน้า ผมยาวพอประมาณ คนที่อยู่ในเรือส่วนใหญ่ต่างรู้จักเขาเป็นอย่างดี
“ หัวหน้ากลุ่มโจรแม่น้ำทะเลซัด หะลูอา ”
************* ให้อ่านคั่นเวลาระหว่างรอ ศึกเทพอสูรมหาสงคราม ตอนที่ 44 ***************
              หนทางยังอีกยาวไกลสู้เข้าไปเถอะตัวเรา
                    ^______^
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น