คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Prologue || It's all about those three seconds
..สามวินาที
มันเป็นเวลาแค่สามวินาที.. หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ตอนที่ยงกุกเดินสวนกับนักศึกษาแปลกหน้าคนหนึ่ง
เหมือนจะเป็นแค่ช่วงสั้นๆ แต่ก็นานพอจะทำให้เขาจดจำปอยผมหน้าม้าสีฟ้าสดที่ระอยู่เหนือคิ้ว กลิ่นหอมเย็นของโคโลญจ์แบบเด็กๆและรายละเอียดของสีเรื่อฝาดบนผิวแก้มใสได้
ยงกุกมั่นใจว่าเขาไม่เคยเห็นเด็กคนนี้มาก่อน ชายหนุ่มเป็นหนึ่งในกรรมการนักศึกษา จัดกิจกรรมมาแล้วทุกอย่างตั้งแต่ห้องเชียร์ ค่ายรับน้อง หรือแม้กระทั่งอีเว้นท์เต้นสันทนาการบ้าๆบอๆดังนั้นเขาจึงค่อนข้างมั่นใจว่าตัวเองคลุกคลีกับน้องปีหนึ่งจนคุ้นหน้ากันพอสมควรเรื่องจะบอกว่าเป็นคนในรุ่นอื่นที่เขาเผลอจำไม่ได้เองนี่ก็ลืมไปได้เลย คณะศิลปกรรมศาสตร์เล็กนิดเดียวเท่านั้น มีคนหลงผิดเข้ามาเรียนอยู่แค่หยิบมือ ไม่มีทางที่เขาจะลืมหน้าพี่ๆน้องๆคนอื่นที่อยู่ด้วยกันมาเป็นปีๆได้ลงคอแน่
ร่างสูงโปร่งที่เพิ่งแทรกตัวผ่านเขากับฮิมชานไปนั้นอยู่ในชุดไปรเวทธรรมดาๆอย่างเสื้อยืดลายกราฟฟิคแปลกตาและกางเกงยีนส์เข้ารูปสีซีด หากก็ยังแสดงเอกลักษณ์ของความเป็นเด็กศิลปกรรม ซึ่งคือการแสดงความตัวตนผ่านทางแฟชั่นขาดๆเกินๆไว้อย่างชัดเจนด้วยการห้อยเป้เก่าๆพังๆไว้ที่ไหล่ซ้าย หนีบกระดานวาดรูปอันใหญ่ไว้ใต้แขนขวา ลากรองเท้าแตะเน่าๆเปื้อนสีจนเกรอะกรัง และคาบอมยิ้มไว้ในปากซ้อนกันสองอัน แทนที่จะเป็นมวนบุหรี่เหมือนอย่างที่เด็กเกินเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์ของที่นี่ชอบทำกัน
ผมสีบลอนด์ซีดตัดสั้นแค่ต้นคอรับกับโครงหน้าเรียวยาว เครื่องหน้าอ่อนละมุนติดจะหวานนิดๆ ดวงตากลมโตรวมไปถึงผิวเนื้อเนียนละเอียด
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ยงกุกสังเกตได้ภายในเวลาสามวินาทีภายในช่วงที่เขารู้สึกว่าห้วงเวลามันเหมือนจะหมุนช้าลง
เขาเผลอหยุดเดิน มองตามคนที่เพิ่งเบียดตัวผ่านไปจนเหลียวหลัง
“เฮ่ย!” แรงถองที่ข้อศอกไม่เบานักจากเพื่อนข้างตัวเรียกสติของชายหนุ่มให้กลับคืนมา “น้ำลายย้อยแล้วไอ้แก่ ไง ชอบเหรอ?”
คนถูกถามทำหน้าพิลึก
“ชอบพ่อมึงดิ กูแค่ติดใจน้องมันหน้าไม่คุ้น”
“ควาย บังยงกุก มึงคิดจะหลอกท่านฮิมชานคนนี้เรอะ”
ความจริงแล้วคิมฮิมชานก็เป็นเพื่อนที่ดีคนหนึ่ง ยกเว้นก็แต่เวลาที่สมองของมันซึ่งปกติมักจะฝ่ออยู่เสมอดันอัพเลเวลฉลาดเป็นกรดขึ้นมา แล้วผ่ารู้ดีไปหมดอย่างเช่นตอนนี้
“ตามึงเมื่อกี้แทบถลนออกจากเบ้า อย่าเสือกทำมาเป็นพูดว่าไม่สนใจ”
“กูเปล่า ก็แค่เห็นว่าหน้าไม่คุ้น” ยงกุกยังย้ำคำเดิม เขาเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกลอกตาอย่างอ่อนใจเมื่อเห็นเพื่อนยังจ้องมองอย่างคาดคั้น
“เออ แล้วก็.. เออ ก็เห็นว่าน่ารักดี”
สีหน้าของฮิมชานสว่างวาบเหมือนนักล่ารางวัลเพิ่งพบแหล่งขุมทรัพย์ ตั้งท่าเหมือนจะร้องไชโยออกมา จนยงกุกต้องรีบสำทับเสียงเข้ม
“แค่น่ารัก! แค่นั้น แค่นั้น ไม่มีอย่างอื่น จบมึงคิดอะไรอยู่หยุดได้เลย”
“กูไม่ได้คิดอะไรสักหน่อย ร้อนตัว” ฮิมชานย้อน ขัดกับสีหน้ายิ้มเผล่และสายตารู้ทันกึ่งล้อเลียนของตัวเอง ซึ่งเรียกให้ยงกุกรู้สึกใบหน้าร้อนวูบวาบ นึกคันส้นเท้าขึ้นมายิบๆ
“ก็แค่แปลกใจที่คนปากหนักอย่างมึงยอมชมใคร”
“มึงบีบให้กูพูด”
คนโดนโบ้ยกลั้นหัวเราะกึกๆ
“กูเปล่า”ก่อนที่จะตบไหล่เพื่อนผู้ซึ่งบัดนี้สีหน้าตึงสนิทหนักๆเป็นเชิงลุแก่โทษ “แก่ปูนนี้จะมาทำหน้าหงิกหน้างอมันก็ไม่ได้น่ารักเท่าเด็กๆทำหรอกนะ เอ้า นี่เห็นว่ามึงเป็นเพื่อนรักนะเนี่ย กูบอกให้เอาบุญก็ได้”
ชายหนุ่มเจ้าของดีกรีเชียร์ลีดเดอร์ชายหนึ่งในสามคนของรุ่นยี่สิบเก้า บุ้ยใบ้ไปทางเด็กหนุ่มตัวสูงที่เพิ่งเลี้ยวมุมตึกลับสายตาไป
“ชเวจุนฮง ปีหนึ่ง เอกฟายน์อาร์ต.. ไม่เข้าห้องเชียร์ ไม่มารับน้อง ไม่เคยเข้าร่วมกิจกรรมคณะ.. เพิ่งย้ายมาจากอเมริกาสดๆร้อนๆ ได้ยินว่าเพิ่งเคยเหยียบแผ่นดินเกาหลีเป็นครั้งแรกเมื่ออาทิตย์ที่แล้วนี่เอง”คนพูดยิ้มกริ่ม
“บ้านรวย เก่ง กูเคยเห็นงานน้องครั้งนึง เซ้นส์ดีฉิบหาย.. เพื่อนเยอะ ไม่สิ ต้องบอกว่าคนเข้าหาเยอะมากกว่า แต่ก็ไม่เห็นจะสนิทกับใครเป็นพิเศษนอกจากเด็กปีหนึ่งเอกเดียวกันที่ตัวเตี้ยๆชื่อมุนจงออบ คนอื่นบอกมาว่าน้องหยิ่ง แต่กูว่าจริงๆแล้วมันนิสัยดี แค่รักสันโดษกับหวงความเป็นส่วนตัวมากกว่า แม่งอินดี้ แต่ก็นะ ไอ้พวกที่มันบ่นๆเรื่องน้องหยิ่ง ทุกวันนี้กูก็ยังเห็นมันพยายามวิ่งเข้าหาน้องกันไม่เลิกอยู่เลย”
รายละเอียดยาวเหยียดที่เพื่อนเพิ่งร่ายให้ฟัง ทำให้ยงกุกอดไม่ได้ที่จะหลุดเสียงพึมพำอย่างทึ่งจัด
“นี่มึงเป็นสตอล์คเกอร์น้องมันรึไงวะ รู้ดีนัก”
“กูมันโปรเฟสชันนอล” ฮิมชานยักคิ้วให้ “เอาจริงๆน้องมันป็อปจะตายห่า เท้าแตะคณะวันแรกคนเขาก็เนื้อเต้นกันทั้งตึกแล้ว มีแต่มึงคนเดียวล่ะมั้งที่ไม่รู้จัก”
“ก็กูทำงานอยู่ เพิ่งเข้าคณะวันนี้วันแรกเนี่ย มึงอย่ามาย้อน” มหาวิทยาลัยเปิดมาได้อาทิตย์กว่าๆแล้ว แต่งานชิ้นใหญ่ที่ยงกุกรับจ็อบพิเศษไว้ตั้งแต่ช่วงปิดเทอมเกิดมีปัญหาต้องแก้กะทันหัน ลูกค้าเองก็เร่งเขาเช้าเย็นจะเอางานให้ทันกำหนดเวลาเดิม ชายหนุ่มเลยต้องโดดเรียนไปหลายวันกว่าจะปิดจ็อบได้
“ตกลงยังไงเนี่ย มึงรู้เรื่องน้องเขาขนาดนี้ อย่าบอกนะว่าเล็งไว้?”
ถึงน้ำเสียงจะกลั้วหัวเราะ และท่าทางจะไม่จริงจังเหมือนแค่แซวเล่นกันขำๆอย่างทุกครั้งไป แต่ฮิมชานก็ยังสะดุดกับสีหน้าแปลกๆของอีกฝ่ายตอนที่ถามคำถามนั้นออกมา.. วูบหนึ่งที่เขาเห็นเหมือนกับว่าบังยงกุกกำลัง.. กลั้นหายใจ?..เหมือนกำลังลุ้นอะไรอยู่?..อย่างกับว่า..?
ชายหนุ่มดีกรีเชียร์ลีดเดอร์คณะเลิกคิ้วขึ้น เขาคิดว่าเขาเพิ่งค้นพบสมมติฐานน่าสนใจบางอย่างที่ควรค่าแก่การลองพิสูจน์
“กูมันพูดมากมึงก็รู้ พูดน้อยแบบนี้ไม่ใช่สเป็ค คุยด้วยแล้วเหงาหู”
ฮิมชานสังเกตมุมปากที่ยกขึ้นอีกเล็กน้อยของอีกฝ่ายอย่างจับผิด ชัดเลย.. เขานึกในใจอย่างขบขัน พยายามซ่อนสีหน้า รวมถึงประกายตาวาววับอย่างเจ้าเล่ห์ของตนเองไว้ให้มิดชิด ขณะที่แกล้งแหย่
“ทำไม? ถามยังงี้แอบชอบกูอ่ะดิสัด” ยงกุกมองเจ้าของคำถามด้วยสีหน้าที่เหมือนเห็นตัวอะไรสักอย่างที่ไม่มีอยู่บนโลก กำลังพล่ามอะไรสักอย่างที่เขาฟังไม่รู้เรื่อง ฮิมชานหัวเราะเสียงดังขึ้นอีกอย่างไม่ถือสา แต่ไม่วายเตะข้อพับไอ้คนคอหนากลับไปทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้
“แดกข้าวกันจะได้รีบไปจองที่คลาสอาจารย์มิน ขึ้นช้าทีไรโดนไอ้พวกซองยอลขโมยที่ข้างหลังไปหมด ไอ้ห่า กูไม่มีที่จะนอน” ชายหนุ่มว่าพลางยกมือขึ้นจัดขยี้ผมสีเข้มของตนเองให้เป็นทรงยุ่งๆตามสมัย ก่อนจะกึ่งลากกึ่งกระชากแขนยงกุกให้ออกเดินไปยังโรงอาหารด้วยกัน
“เฮ้ย เดี๋ยว” คนถูกบังคับให้เดินตามร้อง ยงกุกดึงแขนกลับจากการยึดเกาะของฮิมชาน เมื่อรู้สึกถึงเสียงประหลาดดังกรอบแกรบจากใต้ฝ่าเท้า
ชายหนุ่มก้มมองบนพื้น ยกเท้าที่สวมไนกี้แอร์ฟอร์สวันคู่โปรดขึ้น เผยให้เห็นกระดาษเนื้อกลางอ่อนกลางแข็งเลอะรอยเท้าจางๆที่แนบติดอยู่กับพื้นกระเบื้อง.. กระดาษขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือเท่านั้นเอง เจาะรูสองรูที่ริมด้านยาวฝั่งหนึ่ง แล้วผูกเชือกไว้เป็นสายคล้องคอดูแล้วลักษณะคุ้นๆ เหมือนจะเป็นป้ายชื่อที่ระเบียบคณะสั่งให้เด็กปีหนึ่งทุกคนทำแขวนติดตัว.. น้องสักคนคงทำตกไว้
อะไรบางอย่างดลใจให้ยงกุกก้มลงหยิบมันขึ้นมาพลิกดู
แผ่นกระดาษว่างโล่ง นอกจากรอยเปื้อนสีเทามัวๆแล้วก็มีแค่สีเขียวเทอควอยซ์ของปากกาเมจิกกันน้ำที่ฝากลายเส้นไว้เป็นตัวอักษรหวัดๆไม่กี่ตัวเท่านั้นเอง
‘ JUNHONG #1 FINE-ART ‘
ประธานฝ่ายกีฬาประจำคณะศิลปกรรมศาสตร์สบตากับหลีดคณะอย่างขอความคิดเห็น หากอีกฝ่ายกลับทำเพียงแค่เลิกคิ้วมองกลับมา เหมือนตั้งใจรอดูว่าเขาจะทำยังไงต่อไป ยงกุกจึงยักไหล่ เขาปัดๆเศษฝุ่นที่ติดตามแผ่นการ์ดออก ก่อนจะยัดป้ายชื่อของชเวจุนฮงเข้ากระเป๋าอย่างลวกๆแล้วเริ่มก้าวเดินต่อ
รอยยิ้มประหลาดผุดขึ้นที่มุมปากของฮิมชานอย่างห้ามไม่ได้
ชายหนุ่มเคยได้ยินทฤษฎีเรื่องบัทเทอร์ฟลายเอฟเฟ็กต์ ว่าด้วยตรรกะที่ว่า เรื่องใหญ่ๆหลายเรื่องมักจะมีจุดเริ่มต้นมาจากเรื่องเล็กๆที่ดูไม่สลักสำคัญอะไรเสมอ และเขาก็จำประโยค ‘โลกนี้ไม่มีความบังเอิญหรอก จะมีก็แต่พรหมลิขิตเท่านั้น’ จากหนังสือการ์ตูนเรื่องโปรดได้ขึ้นใจ
ดังนั้น เขาจึงรู้สึกสังหรณ์ใจบางอย่าง
ร่างสูงสมส่วนมองภาพแผ่นหลังของเพื่อนที่ค่อยๆเคลื่อนห่างออกไปด้วยรอยยิ้ม เขายกมือขึ้นโบกให้ยงกุกที่หันกลับมามองอย่างสงสัยว่าทำไมถึงไม่เดินตามไปเป็นเชิงตอบให้หายข้องใจว่าทุกอย่างโอเคดี ก่อนจะออกวิ่งเหยาะๆพุ่งเข้าคว้าคอคนที่หยุดยืนรออยู่ให้ออกวิ่งทั้งที่ไม่จำเป็นไปด้วยกัน
ในชีวิตของคนเราไม่เคยมีอะไรที่เป็นเรื่องบังเอิญ..มันมีเหตุผลอยู่เบื้องหลังทุกการกระทำ มีจุดประสงค์ซ่อนอยู่ในทุกเหตุการณ์ ขึ้นอยู่กับว่าใครมองเห็นและใครมองไม่เห็นก็เท่านั้น
สำหรับคราวนี้..ฮิมชานว่าตัวเองเห็น.. ค่อนข้างชัดเจนทีเดียวล่ะ
บางที.. นี่อาจจะเป็นจิ๊กซอว์ตัวแรกสำหรับอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งน่าจะกำลังเดินทางมาอย่างช้าๆ และคงจะมาถึงในอนาคตอันไม่ใกล้ไม่ไกลนี้
นัยยะบางอย่าง ซึ่งมีกลิ่นหวานๆคล้ายกับสิ่งที่มนุษย์เรียกกันว่าความรัก
สองคนบนดาวที่กว้างใหญ่
ฉันลืมไปแล้วว่าเมื่อไหร่
ที่เราได้เจอกัน.
อินโทรสั้นๆที่แบบแก้หลายรอบมาก๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕
เรื่องแนวมุมิๆ ไม่มีอะไรนอกจากความเพ้อเจ้อส่วนตัวล้วนๆ
ขอบคุณที่แวะเวียนเข้ามาอ่านนะคะ J
kyosama 22/12/2012
∆ data-cke-323-href="http://writer.dek-d.com/zmlash/writer/view.php?id=805600">∆ ( คูลิโอ้' ) 。
ความคิดเห็น