ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : คืนนี้มีดาว
ตอนที่ 1 :
ฉันกำลังนั่งมอง ภาพดวงอาทิตย์กลมโตสีแดงส้มสุกใสใกล้หลุดขอบฟ้าของนครที่แสนวุ่นวายในกรอบหน้าต่างใสบานใหญ่ของสถาบันกวดวิชาบนตึกสูงแห่งนี้
ภาพที่ใครได้เห็นก็ต้องเอ่ยชมไม่ขาดปากถึงความสวยงามของธรรมชาติท่ามกลางสิ่งก่อสร้างแห่งโลกสมัยใหม่ที่มารวมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
สำหรับฉันแล้ว มันเป็นภาพที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา 
มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวไปหน่อยไหม  ถ้าฉันจะขอเก็บภาพนี้ไว้ชื่นชมเพียงคนเดียว
ก็ฉันน่ะ  เกลียดท้องฟ้ายามอื่นมากเลยนะสิ
ม่านกั้นสีขาวเลื่อนปิดหน้าต่างอย่างจงใจบดบังทิวทัศน์ให้คนที่นั่งเหม่ออยู่ตั้งสติมาสนใจคนที่ยืนฉีกยิ้มกว้างตั้งใจแกล้งให้  “เอาแต่นั่งเหม่ออีกแล้วนะ  แล้วไอ้แบบฝึกหัดที่พี่ให้ไปทำเสร็จหรือยังจ๊ะ?”
คนถูกถามเอาแต่ยิ้มตอบแววทะเล้นพร้อมส่ายหัวดิ๊ก ๆ
“น้องรันอ่ะเอาอีกแล้วนะ  แบบฝึกหัดเนี่ยพี่ให้ไปฝึกทำมานะจ๊ะไม่ได้ให้ไปนั่งดูเฉย ๆ  เฮ้ย ไม่ลองฝึกทำโจทย์ให้เยอะ ๆ แล้วจะคล่องได้ไงล่ะจ๊ะ”
ชักรู้สึกไม่อยากเรียนขึ้นมาดื้อ ๆ แล้วสิ
“แหม ก็มันยากนี่ค่ะ  พี่แนนช่วยหาโจทย์ที่ง่ายกว่านี้ให้หน่อยไม่ได้หรอค่ะ  เอาแบบเห็นปุ๊บตอบได้ปั๊บจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไง  หนูเองก็ไม่ค่อยจะมีเวลาว่างอยู่แล้วนะค่ะ”  รันหลุบตาลงต่ำหลังจากส่งคำแก้ตัวยาวพรืดให้อาจารย์ยังสาวที่ส่งสายตาดุตำหนิลูกศิษย์ปากกล้า
แนนยกมือทั้งสองขึ้นเท้าสะเอว  “ก็แก้ตัวแบบเดิม ๆ อีกนั้นแหละ  มีคำแก้ตัวอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้ได้ไหมจ๊ะ?”
รันฝืนฉีกปากยิ้มกว้างแต่แห้งแล้งสุด ๆ
อยากจะเถียงแผลงฤทธิ์ให้ดูเป็นขวัญตาอยู่เหมือนกันนะ  แต่ด้วยความเกรงใจในความอาวุโสกว่าของอาจารย์สาว  เดี๋ยวเขาจะนึกว่าเธอได้รับการสั่งสอนมาไม่ดีพอประเดี๋ยวมันจะเสื่อมเสียไปถึงที่บ้านมันจะไม่งาม
หลังจากที่ทั้งคู่เล่นเงียบกันอยู่ซักพักอาจารย์สาวก็ตัดใจทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วดึงแบบฝึกหัดที่ถูกแขนรันวางทับอยู่ออกมาดู  “เออ ๆ ๆ ช่างมันเถอะ  เริ่มเรียนเลยดีกว่านะ  อืม  เอาข้อ ”
กริ้ง! กริ้ง!
โทรศัพท์ติดผนังซึ่งเป็นสายต่อภายในดังขึ้น
แนนรีบลุกไปรับก่อนจะวางสายแล้วหันมาพร้อมกับใบหน้าที่บานเป็นกระด้งทำเอาดวงตาสีน้ำตาลเข้มของลูกศิษย์สาวลุกวาวขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์  “เอ้า!  เรามาเรียน ”
“พี่เอกมาเหรอค่ะ?”  เธอลากเสียงยียวนอย่างรู้ทัน
พอโดนจี้เข้าถูกเสียจุดหน่อยคนมีแฟนถึงกับหน้าแดงฉ่าทำท่าเปิ่น ๆ ให้รันอดขำไม่ได้
เจ้าตัวแสบเห็นท่าแบบนั้นยิ่งได้ใจเข้าทางแผนที่ตัวตั้งไว้อย่างเหมาะเจาะ  ทำเป็นแก้มป่องส่งสายตางอน ๆ ใส่แนนที่อยู่ในขั้นสมาธิกระเจิง  “แหม จะแอบทิ้งหนูไปเที่ยวกับพี่เอกกันสองต่อสองอีกแล้วใช่ม่ะ ” 
“อ่ะ   เอ่อ   เปล่าซะหน่อย”  พูดไปอย่างนั้นแต่มือเลื่อนขึ้นไปม้วนเส้นผมของตนเองอย่างเขินอาย 
“พูดอย่างนี้ก็แปลว่าชัวร์ล่ะสิ  พี่แนนใจร้ายจริง ๆ เลย   เฮ้ย!  แต่ไม่เป็นไรนะคะ  เดี๋ยวหนูกลับบ้านเองก็ได้พี่แนนไม่ต้องไปส่งหรอก  ไปเที่ยวกับพี่เอกให้สนุกเลยนะคะ”  เธอจัดการโวยวายไปปล่อยช่องว่างให้แนนแทรกได้ซักคำ  มือบางก็จัดการกวาดอุปกรณ์ที่มีอยู่น้อยนิดลงกระเป๋าจัดการเหวี่ยงขึ้นบ่าเตรียมตัวกลับบ้านมากกว่าคนที่มีแฟนมานั่งรออยู่ข้างล่างเสียอีก
“เอ่อ รัน  แต่เอกแค่มานั่งรอเฉย ๆ เรียนให้เสร็จก่อนก็ได้ ”  แนนพยายามดึงเอาสติที่ยังไม่หลุดลอยไปกับอาการอายหาเหตุผลฉุดรั้งลูกศิษย์เอาไว้
รันที่เตรียมจะก้าวออกจากห้องหันมามองอาจารย์ตาปริ ๆ 
ถ้าปล่อยให้พี่แนนมีโอกาสตั้งสติรับรองว่าแผนการหนีเรียนพิเศษวันนี้ของเธออาจจะล่มไม่เป็นท่าได้
“เอาน่าพี่เอกนาน ๆ เขาจะว่างซักที  พี่แนนเองก็เหมือนกันหนูเห็นวัน ๆ ก็เอาแต่เรียนตอนเย็นก็ต้องมาเป็นครูสอนพิเศษให้หนูอีก  เอางี้!  ถือว่าวันนี้หนูยกให้พี่สองคนเลยแล้วกันนะคะ  ไปหาร้านหรู ๆ บรรยากาศดี ๆ อาหารอร่อย ๆ สวีทกันให้หวานเยิ้มกันสองต่อสอง   อุ้ย!  โรแมนติกเนอะ”  เธอทำเหมือนว่าเป็นคนจะไปเดทเสียเอง
มันได้ผล  พี่แนนยิ่งแก้มแดงเป็นลูกตำลึงเข้าไปใหญ่  ตาก็ลอย ๆ แบบคนฝันกลางวันซ้ำยังเป็นฝันหวานเป็นสุด ๆ เสียด้วย
รันยิ้มเจ้าเล่ห์  ตรงแผน!!
“ไม่ต้องเกรงจงเกรงใจอะไรไปหรอกนะคะเรามันคนกันเอง  หนูเป็นพวกเจอคนรักกันก็ต้องช่วยสาน  เจอคนเกลียดกันก็ต้องช่วยสงบ  อ้า  หนูรู้จักร้านอาหารดี ๆ อยู่ร้านหนึ่ง  เดี๋ยวลงไปบอกทางพี่เอกให้แล้วกันนะค่ะ  อ๋อ  เดทกันให้สนุกนะคะ”
เสร็จสรรพเจ้าตัวดีก็รีบเผ่นออกจากห้อง  ลงไปยังชั้นล่างของตึก  แวะหยอดคำแซวพอให้เป็นที่สนุกสนานแก่ตนเองและให้เอกแข็งเป็นหินขยับไม่ได้เพราะความเขินอายที่พุ่งพรวดขึ้นมาเพราะไอ้เด็กแก่แดดแสนแสบที่ทั้งสถาบันกวดวิชาแห่งนี้เขารู้ฤทธิ์มันมากันหมดแล้ว
รันเดินเอื่อย ๆ ก้มหน้ามองปลายเท้าที่สาวเตะฝุ่นให้ฟุ้งขึ้นมาจากพื้นซีเมนต์แห้ง ๆ ของสวนสาธารณกลางเมือง
ไม่รู้ว่ามีอะไรมันมาดลใจให้เธอเกิดอารมณ์เปลี่ยวอยากเดินกลับบ้านเองซะงั้น  ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้อุตส่าห์เดินไปถึงสถานีรถไฟฟ้าแล้วแท้ ๆ กลับตัดสินใจหมุนปลายเท้ากลับลงมาเดินดินเอาง่าย ๆ แถมยังมีอารมณ์สุนทรีเข้าจู่โจมให้เธอมาเดินตัดสวนสาธารณตอนกลางค่ำกลางคืนแบบนี้อีก
แล้วร่างเล็กก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงอาการสั่นถี่ ๆ ของมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากระโปรง  รันล้วงเอามันขึ้นมาและรีบกดรับด้วยความกลัวว่าจะต้องเสียเงินโทรกลับอีก
พอดวงตาสีน้ำตาลเข้มปราดไปเห็นเบอร์เพื่อนซี้ที่โชว์อยู่ยิ่งออกอาการตาลีตาเหลือกลนลานมากกว่าเดิม
“ฮัลโหล ”  ลองส่งเสียงเบา ๆ หยั่งเชิงดูเสียก่อน
“นี่ยัยรัตนราตรี!  แกมัวแต่หลับอยู่หรือไงว่ะไม่รับโทรศัพท์ซะที!  อย่าบอกนะว่าเอาแต่ตั้งใจเรียนเลยไม่รู้ว่ามีโทรศัพท์เข้า!  ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นว่าจะเรียนซักวัน!”  เสียงทางปลายสายแผดเข้าเต็มเบ้าเหมือนเจ้าตัวมายืนจิกด่าอยู่ใกล้ ๆ ไม่มีผิด
รันหันมือถือออกห่างอย่างว่องไวแต่ก็ไม่วายโดนคลื่นความถี่เสียงกระทบแก้วหูเกือบขาด  ไม่รู้ว่าเพื่อนเธอไปกินอะไรมากล่องเสียงมันถึงทนรับการใช้งานอย่างหนักได้ขนาดนั้น 
“แหม ขอโทษ ๆ วันนี้ลืมเปิดเสียงแล้วมือถือมันก็สั่น เบ๊า เบา ไม่รู้สึกเลย”
“เออ! ให้มันได้อย่างงี้ซิว่ะ  เชอะ! ไม่เป็นไรเว้ย  ไอ้เราชินแล้ว!”  กระแทกเสียงเพื่อต้องการเน้น  “ แต่มันยังมีอีกคนที่ไม่เคยชินเลยเนี่ยซินะ”
“หา!?”  เธอเผลอหลุดปากร้องออกมาด้วยความตกใจ  หน้าก็ซีดไปกว่าครึ่งซีกแล้ว  “มุ้ย แกอย่าบอกเรานะว่านันมันอยู่ด้วยอ่ะ”
“ถ้าขอร้องอย่างนั้นเราก็จะไม่บอกแล้วกันนะ   เอาเป็นว่าแกรีบลงมาดีกว่าว่ะ  ไม่งั้นไอ้นันมันอาจจะบุกไปหาแกถึงข้างบนก็ได้”  เสียงบ่งบอกความเบื่อแบบว่าสุด ๆ
“อุ้ย!  งั้นแกก็รีบดึงนันเอาไว้ก่อนได้เลยนะเว้ย  แล้วฝากบอกมันด้วยว่าเรากำลังเดินอยู่ระหว่างทางเดินกลับบ้านไม่ได้เรียนอยู่อ่ะนะ  อีกไม่เกินห้านาทีก็ถึงบ้านแล้วแหละ”  แล้วยังจะมีหน้าหัวเราะเสียงแห้งเสริม
กะว่าจะไม่บอกใครแล้วนะว่าแอบโดดเรียน
“อ้าว!  แกทำงี้ได้ไงว่ะ!  เราอุตส่าห์แบกงานแกลืมมาให้นะ เฮ้ย!  ช่วยไม่ได้นะถ้าพรุ่งนี้แกไม่มีงานมาส่งไปตายแบบฉายเดียวเอาเองแล้วกัน”  น้ำเสียงเพื่อนช่วงท้ายฟังร่าเริงขึ้นผิดปกติประมาณว่าสะใจมาก
อาการเสียวสันหลังแล่นปลาบเข้าครอบงำร่างกายเพิ่งนึกออกว่าวานเพื่อนไปหยิบการบ้านที่โรงเรียนมาให้  ผนวกกับกรรมเก่าที่เคยก่อเอาไว้หากว่าพรุ่งนี้ไม่มีส่งเธอไม่เหลือรอดชีวิตแน่ ๆ  “ง้า เดี๋ยวดิเพื่อนรัก  คุณมณีสุรางค์เพื่อนเลิฟ  เพื่อนสุดน่ารัก  คุณนันทธิดาคนสวย  คนเก่งที่สุดในโลกไม่อาจหาใครมาเทียบเท่าได้  เอามาให้หน่อยสิน้า ”
มุ้ยฟังเพื่อนอ้อนก็รู้ว่าลูกไม้เดิม  กลอกตามองไฟบนเพดานก็จะส่งมือถือที่ยังมีเสียงคร่ำครวญขอความเห็นใจเล็ดลอดออกมาให้นันที่นั่งหน้าบูดอยู่ดื้อ ๆ  “คุยเอาเองแล้วกัน  แกว่าไงเราก็ตกลงตามนั้นแหละ”
นันขมวดคิ้วอารมณ์เสียอยู่นิดหน่อยแต่ก็ยื่นมือออกไปรับมือถือมาจัดการเองให้เสร็จ ๆ  “ว่าไง!”
เสียงทางปลายสายเงียบไปซักพักเหมือนกับว่าตั้งสติที่จู่ ๆ คนสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเพื่อนอีกคนที่ไม่ต้องการคุยด้วยมากที่สุดในตอนนี้  “นะ นัน  นันจ๊า   เอาการบ้านมาให้เราหน่อยนะ นะ ”
“ไม่!”  คำขาดสั้น ๆ ง่าย ๆ ตัดเอาโอกาสรอดของเพื่อนสะบั้น  “แค่นี้นะ!”
“เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ ๆ เดินมาหากันคนละครึ่งทางก็ได้  ในสวนสาธารณตอนนี้บรรยากาศดีด้วยนะ”
“ดีกับผีดิ!”  ตะคอกซ้ำเสียงดุ
หัวสมองน้อย ๆ เร่งทำงานอย่างหนัก  “นะ ๆ ๆ ๆ พรุ่งนี้แกคงไม่อยากให้เกิดโศกนาฎกรรมกลางห้องหรอกนะนัน”
นันฟังแล้วเหยียดยิ้มยาวมุ้ยเห็นแล้วยังขนลุกไปดพ้วยชักหวั่นเกรงชะตาชีวิตแทนเพื่อนซะแล้ว  “เหอะ เหอะ   จะว่าไปเราก็อยากเห็นเหมือนกันนะ  ไม่รู้ว่าเจ๊โหดจะงัดเอาไม้ไหนออกมาทรมานแก”
“ฮือ นันอ่ะ  แกจะเอายังไงกับเรากันแน่ว่ะ!”
“เอางี้!  แกต้องรับเงื่อนไขเราข้อหนึ่งก่อน”
“อะไรนะ?”
“เพื่อความอยู่รอดและสวัสดิภาพของแกเองในวันพรุ่งนี้ไง ตกลงไหม?”
รันชักกลืนน้ำลายไม่ลงคอ  เหมือนมีอะไรมาจุกเอาไว้เตือนถึงความไม่ปลอดภัยที่ไหลมาตามสัญญาณมือถือ  “เงื่อนไขอะไรล่ะ?”
“ตกลงก่อนดิ!  มันไม่อยากมากมายหรอกเว้ย  เรื่องง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำกันได้  ถ้าไม่ตกลงก็ไปหาทางช่วยตัวเองตอนคาบแรกกับเจ๊โหดพรุ่งนี้เช้าเอาเองแล้วกัน”
ขู่อย่างนี้แล้วทำเอาคนใกล้ความซวยใจหาย
“ก็ได้ ๆ แกอย่าขู่กันอย่างนี้ดิว่ะ  เรายอมแกก็ได้!  จะให้ทำอะไรว่ามา!”
เพื่อนหนอเพื่อนทำกันได้
“เอ้า ๆ ! มาช้าจริง ๆ การบ้านจะเอาป่ะเนี่ย”  คนใส่แว่นลุกขึ้นวิ่งมาต้อนรับหรือเรียกกันให้ถูกคือกวนประสาท
รันกัดฟันกรอดมองหน้าสองสหายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อได้
ที่ตกลงกันไว้คือคนล่ะครึ่งทางแต่ที่เพื่อนทั้งสองทำกับเธอคือการปิดมือถือเงียบทั้งคู่และนั่งรอเธออยู่ห่างจากประตูสวนสาธารณไม่เกิน 100 เมตร
มุ้ยหันไปเปิดกระเป๋าหยิบการบ้านเจ้าปัญหาส่งให้พร้อมรอยยิ้มกวน  “เหนื่อยไหมจ๊ะ?”
เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเหล่มองคนถามอย่างค้อน ๆ รับการบ้านมาเก็บใส่กระเป๋าแล้วล้มตัวนั่งแทนที่เพื่อนด้วยอาการหอบเล็กน้อย  “พวกแกใจร้ายชะมัด!  เฮ้ย เพื่อนหนอเพื่อนทำกันได้” 
อยากล้มตัวลงยึดตักเพื่อนด้านข้างเป็นหมอนอยู่เหมือนกัน  แต่แค่เห็นหน้ามันด้วยหางตายังอยากจะพุ่งตัวหนีด้วยซ้ำ
“ดีซะอีกนะ  ได้ดัดนิสัยคนขี้ลืมและยังจะโดดเรียนอีก  ถ้านั่งตั้งใจเรียนอยู่ก็ไม่ต้องเดือดร้อนมาออกกำลังกายรอบดึกหรอก”  มุ้ยอ้อมไปยืนด้านหลังแล้วจัดการขยี้หัวเพื่อนที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อให้ชี้ฟูขึ้นกว่าเดิม
รันพยายามเอามือปัดออกแล้วจัดทรงให้เหมือนเดิม  “ไม่เอาน่ามุ้ย!”
“เล่นเป็นเด็กอนุบาล 1ไปได้  พวกเราอยู่ม.4กันแล้วนะ”  คนร่างสูงที่สุดในกลุ่มและดูจะมีมุฐิภาวะสูงสุด  แต่วันนี้กลับพูดน้ำเสียงขุ่น ๆ
ทั้งคู่หยุดเล่นกันไปเลย  ต่างพากันเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง
วันนี้ท่าทางมันจะอารมณ์ไม่ดี  ทำเป็นเล่นกับมันวันนี้มีหวังตายคาสวนสาธารณ
บรรยายกาศรอบตัวตกอยู่ในความเงียบหากไม่นับเสียงเอ็ดตะโรจากเหล่าพ่อค้าแม่ขายที่จับจองพื้นที่ตั้งร้านรวงของตนข้างถนนเป็นแถวยาว  เสียงสังสรรค์เริงรื่นจานชามกระทบกันของร้านอาหารโปร่ง ๆ ที่มีเพียงโต๊ะเก้าอี้ 4-5 ชุด ขึงผ้าใบปิดเป็นเพดาน ซึ่งอยู่ภายในสวนสาธารณที่ยังเปิดให้บริการ  เสียงพูดคุยถกเถียงของเหล่าคนรักสุขภาพที่มาออกกำลังกายรอบดึกและวิ่งผ่านหน้าพวกเธอไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า  และเสียงโครมครามจากพาหนะสองล้อสี่ล้อที่แล่นไปมาให้คึกคักที่ถนนด้านหน้าและบางคันก็หักเลี้ยวเข้ามาเพื่อใช้ทางในสวนสาธารณเป็นเส้นทางลัด
แสงสว่างตอนนี้หาได้จากดวงไฟข้างถนนสีส้มที่เรียงยาวไปตลอดทางเดินของสวนสาธารณเล็ก ๆ ใจกลางเมืองแห่งนี้  ต้นไม้ที่ไม่ได้หนาครึ้มทำให้การนั่งพักอยู่ในสวนนี้ยังคงมีแสงสีจากตึกราต่าง ๆ สาดส่องให้เห็น
มุ้ยเริ่มหาหางทำลายความเงียบเนื่องจากไม่มีเรื่องจะคุย  มองซ้ายหันขวาหาหัวข้อที่คิดว่าจะดึงมาเป็นเรื่องถกเถียงกันได้นาน ๆ แล้วเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าหัวข้อก็ลอยเด่นขึ้นมาในหัว  “ดูดิ   วันนี้ท้องฟ้าใสจังเลยเนอะ  สวยดี  ไม่มีเมฆสักก้อน”
“ไม่มีทั้งพระจันทร์  ไม่มีทั้งดวงดาว  มันสวยตรงไหนว่ะ!”  นันร่วมออกความคิดเห็น 
ถึงแม้ว่าเสียงมันจะกระชากไปหน่อยแต่ก็พอทำให้มุ้ยโล่งใจว่าเพื่อนเธอก็ยังไม่เครียดจนสติหลุดไปแล้ว  “โหย   แกนี่ไม่มีหัวศิลป์เอาซะเลย  ก็ความสวยของความมืดไง!”  เธอวาดมือไปกลางอากาศเลียนแบบท่าและเสียงของศิลปินชื่อดังแล้วตัวเองก็หัวเราะอยู่คนเดียวอย่างสนุกสนาน
รันแหงนหน้าขึ้นบ้าง  “ไม่รู้สินะ   เราเกลียดท้องฟ้าตอนนี้จัง”
เกลียดที่สุดเลย   เกลียดความมืดที่ไร้ต้นทางหรือจุดจบ
“เหอะ  ไม่แปลกหรอกเว้ย  มีตั้งหลายคนที่กลัวความมืด  จริงม่ะนัน?”  เอาศอกกระทุ้งต้นแขนแหย่คนอารมณ์เสียซึ่งก็โดนปัดออกอย่างแรงเป็นสัญญาณว่าอย่ายุ่ง
รันรีบส่ายหน้า  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปี่ยมไปด้วยแววจริงจัง  “เราไม่กลัว  แต่เรา ”
“เรื่องไม่เป็นเรื่องน่า รีบกลับบ้านเถอะ  ฝนจะตกแล้ว”  ว่าแล้วนันก็ยันตัวลุกจากเก้าอี้  ก้มลงไปหยิบกระเป๋าที่วางพิงอยู่ข้าง ๆ แล้วเปิดเอาร่มออกมาเตรียม
มุ้ยขมวดคิ้วไม่เข้าใจ  ดวงตาสีดำหลังเลนส์แว่นเต็มไปด้วยความฉงนในการกระทำของเพื่อน  “จะเป็นไปได้ไง?  ท้องฟ้าใสซะขนาดนี้   เฮ้ย?  มาจากไหนว่ะ?”  คำถามที่ไม่มีใครอาจหาคำตอบให้เธอได้ 
ท้องฟ้าสีมืดสนิทเมื่อครู่กลับถูกเมฆฝนสีแดงคล้ำรุกคืบครอบครองที่ว่างไปกว่าครึ่งส่วนแล้ว  เสียงเปรี้ยงปร้างดังแว่วมาแต่ไกลและดูท่าว่ามันกำลังเดินทางมาทางพวกเธออย่างรวดเร็ว
คนตัวเล็กสปริงร่างลุกพร้อมคว้าเป้มาควานหาร่มที่มักจะพกไปมาอย่างไร้ประโยชน์เสมอ  ในที่สุดวันนี้ก็ได้ใช้เสียที  “พายุเข้าหรอไงว่ะ?  อะไรอากาศมันจะเปลี่ยนได้เร็วขนาดนี้”
“พักนี้อากาศก็แปรปรวนเร็วอย่างนี้แหละ”  ถึงนันจะพูดไปแต่ดวงตาคู่โตสีดำใสก็ยังเต็มไปด้วยความแปลกใจเช่นกัน
มุ้ยยกเป้สะพายขึ้นหลังเสร็จก็หันมาวุ่นวายกับการกางฉลองร่มอันใหม่ล่าสุดครั้งแรกนับจากซื้อมาเกือบ 3 เดือน  “แล้วนี่แกจะกลับไงเนี่ย?”
รันแทบจะแยกเขี้ยวใส่  “รถไฟฟ้าสิว่ะ!  ใครไม่รู้ขี้โกงให้เดินมาไกลถึงเนี่ย!”
มุ้ยแลบลิ้นใส่กวน ๆ  “ช่วยไม่ได้โว้ยอยากโง่เองทำไมล่ะ!”
“โห! พูดอย่างงี้เพื่อนก็เพื่อนเหอะว่ะให้อภัยไม่ได้แล้ว!”  รันทำทีเหวี่ยงร่มของตนใส่มุ้ยซึ่งฝ่ายนั้นเขาก็ยกร่มขึ้นกันได้ทุกท่วงท่าอย่างชำนาญ
พรึบ!!!
เสียงกางร่มอย่างรุนแรงของนันที่เกือบทำให้ร่มสีเทาโกโรโกโสที่มีคนเอามาขายลดครึ่งราคาหน้าโรงเรียนกระเด็นหลุดออกเป็นชิ้นส่วนบ่งบอกถึงกระแสพลังอาฆาตของเจ้าตัวที่ปรายตาดุ ๆ มามอง  “มัวแต่เล่นกันอยู่ได้  ถ้าฝนตกหนักแล้วจะรู้สึก!”  แล้วคุณเธอก็ยกร่มขึ้นซึ่งในขนาดนั้นฝนก็เริ่มโปรยปรายเป็นเม็ดใหญ่ ๆ ลงมาบ้างแล้ว
รันเผลอยกมือลูบขนแขนที่พร้อมใจกันตั้งขึ้น  “เฮ้ย!  นันมันไปกินรังต่อรังแตนที่ไหนมาว่ะ  กะอีแค่กลัวคะแนนที่สอบเคมีออกมาไม่ดีต้องแยกเขี้ยวดุเป็นหมาตำรวจขนาดนั้นเลยเหรอไง  ประทาสจริง ๆ เลย  ดูเราดิยังร่าเริงอย่างกะทำได้เต็ม  ทำไมมันไม่มองดูคนอื่นบ้างล่ะว่ะถ้าตัวมันตกพวกเราคงติดลบ”
มุ้ยดึงยิ้มที่มุมปากแล้วเดินนำไปก่อนโดยไม่พูดอะไร
“อ้าว   เดี๋ยวดิมุ้ย  รอเราด้วยดิ!”  โวยวายเสร็จก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ ตามไป
เมื่อทั้งสามเดินมาถึงด้านหน้าของสวนสาธารณก็ได้แต่หยุดยืนที่ริมทางเท้าเพราะจุดหมายปลายทางมันอยู่อีกฟากถนน  แต่ทว่ามันข้ามไปไม่ได้เพราะความเร็วรถที่แล่นมาโดยไม่ได้คำนึงว่าจะมีคนคิดจะข้ามถนนที่ไม่มีทางม้าลายหรือไม่และฝนที่ตกกระหน่ำลงมาทวีความแรงขึ้นเรื่อย ๆ หนาจนมองวัตถุด้านหน้าได้ไกลสุดเพียงเมตรกว่า ๆ แล้วโดยเฉพาะคนใส่แว่นอย่างมุ้ยที่ต้องคอยยกมือขึ้นปัดไอน้ำออกจากเลนส์แว่นและคนใช้คอนแทคเลนส์ที่มักถอดออกหลังเรียนเสร็จด้วยเหตุผลว่ารำคาญที่ต้องคอยหยอดน้ำตาเทียมอย่างนันยิ่งทำให้ทั้งคู่ต้องพึ่งดวงตาเล็ก ๆ ของรันซึ่งมีความลับที่รู้กันอยู่เพียงไม่กี่คนว่าเธอข้ามถนนไม่เป็น
“รัน   ข้ามซักทีสิว่ะ”  มุ้ยเร่งเพื่อนเสียงเรียบ  แต่รันก็รับรู้ถึงความรู้สึกของประโยคนั้นได้อย่างชัดเจน  ถ้ามันตะโกนแหกหูเธอได้ก็คงทำไปแล้ว
รันพยักหน้าสองสามที  “รู้แล้ว ๆ ก็รอให้รถมันติดไฟแดงอยู่ไง  จะได้ปลอดภัยไม่ต้องเสี่ยงตาย”  พูดไปอย่างนั้นแหละ  รู้ ๆ กันอยู่ว่าถนนสายนี้เป็นเหมือนซอยที่ไม่มีทางแยกย่อยความยาวก็เกือบ 2 กิโลกว่าซึ่งไม่มีสัญญาณไฟตลอดสาย  เรื่องที่จะรอให้รถติดคงเป็นได้แค่ฝัน
“กลัวว่าตอนนี้จะเป็นหวัดตายมากกว่านะสิ  นี่ถ้าแกไม่กล้าข้ามก็เดินขึ้นสะพานลอยเอาแล้วกัน”  หนึ่งในผู้รู้ล่วงความลับของรันชี้ไปยังทางที่เธอจำได้ว่ามันมีสะพานลอยตั้งอยู่  ซึ่งปกติพวกเธอก็ไม่เคยใช้มันเลย
มุ้ยกลับเป็นคนที่ส่ายหน้าพัลวันปฏิเสธ  “บ้าเหรอไง!  สะพานลอยนั้นอยู่ตั้งไกลเดินเป็นกิโลได้เลยมั้ง!”
“งั้นแกจะรอไอ้รันพาข้าม!  พรุ่งนี้เย็นล่ะมั้งถึงจะกลับถึงบ้าน!”  นันพูดเสียงประชดประชัน
รันทำหน้ารับไม่ถูกได้แต่หันมาฉีกยิ้มไม่เต็มที่  “เอาน่า   รอฝนซาลงหน่อยเดี๋ยวก็ได้ข้ามเองแหละ”  แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่  และขาของเธอก็เปียกแฉะไปจนถึงข้างในถุงเท้าก็เริ่มสั่นเบา ๆ ด้วยอุณหภูมิที่ลดต่ำลงเรื่อย ๆ ตอนนี้พูดได้เพียงว่ามันชาไร้ความรู้สึกจนไม่สามารถก้าวขานำเพื่อนข้ามถนนไปได้  ความจริงคือเธอทำไม่ได้แม้แต่จะขยับให้มั่นใจเธอยังไม่ถูกตัดขาไป
เวลาผ่านไปเพียงสิบนาทีแต่พวกเด็ก ๆ กลับรู้สึกว่ามันเนิ่นนานราวกับเป็นชั่วโมง  ทั้งสามขยับตัวเบียดเข้าหากันทั้ง ๆ ที่ถือร่มอยู่ด้วยความหนาวที่จู่โจมมาจากทุกทิศโดยที่ไม่มีใครปริปากบ่นออกมากลัวว่าถ้าเอ่ยปากแล้วไอร้องมันจะลอยออกจากร่างกายไปมากกว่าเดิม
“เอ๋!”  รันร้องขึ้นอย่างแปลกใจ  เธอก้มลงดูที่เท้าตัวเองที่รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาเฉย ๆ
ก้อนผ้าขี้ริ้วสีเทาขมุกขมอมกองอยู่บนรองเท้าเธอเพื่อจะค้นหาความอบอุ่นจากร่างกายคนตัวโตกว่า  ร่างกายเล็ก ๆ เปียกโชกและกำลังสั่นอย่างน่าสงสาร
นันกระโดดถอยออกไปเกือบเมตรพร้อมสีหน้าไม่ยินดีจะต้อนรับตัวอะไรก็ตามที่กองอยู่บนเท้าเพื่อน
มุ้ยก้มมองอย่างสนใจด้วยนิสัยรักสัตว์ทุกชนิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแต่ก็ยังไม่ใจกล้าเอื้อมมือไปแตะต้องมัน  “ตัวอะไรน่ะ?”
รันส่ายหน้านิด ๆ ก้มตัวไปสำรวจสิ่งมีชีวิตบนรองเท้าและลองขยับขา(ที่นึกว่าใช้การไม่ได้ซะแล้ว)เพื่อดูปฏิกิริยาของมัน  แล้วร่างเล็กก็กลิ้งตกจากรองเท้านักเรียนสีดำเป็นกองแปะอยู่บนพื้นแฉะ  “ลูกหมา ”  เธอพึมพำออกมาเบา ๆ  พลางใช้มือเขี่ย ๆ ตรวจสอบว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก่อนจะใช้มือเดียวช้อนมันขึ้นมาอย่างง่ายดาย  “มันน่าสงสารเนอะ ”
“วางมันลงไปรัน ”  นันพยายามใช้เสียงข่มขู่  แต่คราวนี้กลับไม่ได้ผลเหมือนปกติ  รันทำเป็นหูทวนลมซะงั้น  “รัน!  วางมันลงบนพื้น!”  ครั้งนี้นันเพิ่มความดังและกระชากขึ้น
มันทำให้รันหันมามองเธอตาขุ่นแต่ก็ยังไม่ทิ้งแววไม่มั่นใจ  “มีเหตุผลหน่อยสินัน  มันหนาวจะตายอยู่แล้วอย่าใจดำต่อสัตว์ร่วมโลกไปหน่อยเลย”
“มันสลบอยู่อย่างนี้ไม่ลุกขึ้นมากัดแกหรอกน่า”  มุ้ยเสริมแล้วก้มไปดูลูกสุนัขที่ดูเหมือนจะเพิ่งเกิดมาได้ไม่นานด้วยสายตาสงสารจับใจ  “วันนี้เอาไว้ที่บ้านเราก่อนก็ได้นะ  เดี๋ยวดูแลให้”
“ก็ดีเหมือนกัน อุ้ย! พวกแกดูดิ มันฟื้นแล้ว”  รันตื่นเต้นใหญ่ที่เห็นลูกสุนัขในอ้อมแขนขยับตัวช้า ๆ และลืมตาสีดำใสกลอกมองพวกเธอทีละคน
“ท่าทางมันไม่เป็นอะไรซักหน่อย  ปล่อย ๆ มันไปได้แล้วน่า”  คนเกลียดสัตว์เหล่มองด้วยนัยน์ตาสีดำดุ ๆ ที่ขนาดลูกสุนัขเห็นแล้วยังกลัวซุกตัวเป็นก้อนพยายามถอยออกห่างนันให้ได้มากที่สุด
มุ้ยยกมือขึ้นดันแว่นที่เลื่อนลงมาให้เข้าที่ก่อนจะจ้องมองผ่านเลนส์แว่นอย่างตำหนิ
เปรี้ยง!!!
เสียงฟ้าฟาดดังกัมปนาทลั่นเมือง  แสงสว่างสีเงินฉายขึ้นทาบให้ทั่วบริเวณกลายเป็นสีขาว  ทั้งสามโผเข้ากอดกันอย่างลืมตัวและส่งเสียงร้องต่าง ๆ นานออกมาด้วยความตกใจ  สายฟ้าที่ปรากฏบนท้องฟ้าไกลลักษณะหงิกงอดังงูสีเงินตัวใหญ่กำลังขู่ฟ่อด้วยความโกรธ  ดวงตาที่เบิกกว้างพลอยไล่ไปตามความยาวของลำตัวงู 
แต่แทนที่จะพบจุดสิ้นสุดของหางสีเงินในคืนวันฟ้าคะนอง   ทั้งสามกลับได้พบท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้เมฆดำแม้เพียงก้อนเดียว   ดวงจันทร์กลมโตดวงใหญ่ถูกจับวางไว้ตรงกลางฟ้าอย่างพอดิบพอดีกำลังทอแสงสีอ่อนนวลตาอาบลูบไล้ต้นหญ้าและผืนป่าเบื้องหน้าให้เป็นสีเงินสวย   หมู่ดาวนับไม่ถ้วนพากันส่องแสงระยิบระยับประหนึ่งเพชรพลอยหลายสีที่ประดับประดาตกแต่งฉากสีดำด้านหลังให้ดูมีชีวิตชีวา   รอบกายมีลมอุ่นที่พัดหอบเอากลิ่นธรรมชาติจากต้นไม้ใบหญ้าขึ้นแตะจมูก   เสียงแห่งความสงบท่ามกลางธรรมชาติในผืนป่าใหญ่เฉกเช่นเพลงกล่อมแสนไพเราะที่ทำให้เคลิบเคลิ้มได้ทุกเมื่อที่ได้ยิน   ความรู้สึกนุ่มและสบายที่แทรกผ่านรองเท้าเมื่อมีต้นหญ้ามารับรอง
เปรี้ยง!!!
ภาพสายฟ้าพาดอยู่ตรงกลางและเสียงฟ้าลั่นเรียกสติที่เคลิ้มไปให้กลับคืนมาเจอท้องฟ้าสีมัวผ่านม่านฝนหนา  สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักกระแทกใส่ร่มที่ถืออยู่ส่งแรงสะเทือนที่ผู้ถือได้รับรู้ 
ไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยปากสบถหรืออุทานอะไรออกมา  ลูกสุนัขตัวสกปรกกระโดดผล๋อยออกจากอ้อมแขนของคนที่อุ้มมันอยู่แล้ววิ่งฝ่าฝนตรงไปด้านหน้า  ด้วยความตกใจรันก้าวเท้าตามลูกสุนัขไป
เพื่อนทั้งสองยังคงยืนนิ่งติดอยู่ในห้วงภวังค์ของความคิดไม่อาจถอนตัวออกมาได้โดยทันที  ความทรงจำที่ปนแปลกเข้ามาทำให้ประสาทสัมผัสสับสนไปหมด  กว่าภาพที่เห็นในปัจจุบันจะแล่นเข้าสู่ส่วนสมองได้ก็ตอนเห็นเพื่อนไปยืนอยู่ในสายฝนมัว ๆ กลางถนนเสียแล้ว  “รัน!!!” 
เสียงเพื่อนที่ดังแว่วเข้ามาปลุกให้เธอรู้สึกตัว  เธอหันรีไปตามเสียแต่ทว่าแสงสีขาวแสบตาก็ตรงเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว  สมองเธอมีแต่ความว่างเปล่า  ดวงตาเบิกกว้างโดยสัญชาตญาณ  ร่างกายทั้งหมดเกร็งสุดตัวรับรู้เพียงว่าสิ่งที่กำลังตรงมาหานั้นคืออะไร  รันหลับตานั้นพร้อมรับความเจ็บปวด 
เวลาช่วงสั้น ๆ เธอกลับต้องรอให้มันผ่านมานานแสนนาน  หรือนี้คือวาระก่อนตายที่ให้เธอได้ระลึกอะโหสิแก่ผู้อื่นและขออะโหสิให้กับตนเองกันแน่
แล้วก่อนที่ภาพความทรงจำทุกอย่างจะฉายขึ้นเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วเบา ๆ
เด็กสาวรวบรวมความกล้าที่จะลืมตาขึ้นมาเพื่อหวังได้เห็นที่มาขอต้นเสียงไม่ว่ามันจะเป็นเทวดาหรือซาตานก็ตาม
ฉันกำลังนั่งมอง ภาพดวงอาทิตย์กลมโตสีแดงส้มสุกใสใกล้หลุดขอบฟ้าของนครที่แสนวุ่นวายในกรอบหน้าต่างใสบานใหญ่ของสถาบันกวดวิชาบนตึกสูงแห่งนี้
ภาพที่ใครได้เห็นก็ต้องเอ่ยชมไม่ขาดปากถึงความสวยงามของธรรมชาติท่ามกลางสิ่งก่อสร้างแห่งโลกสมัยใหม่ที่มารวมเข้าด้วยกันอย่างลงตัว
สำหรับฉันแล้ว มันเป็นภาพที่สวยที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา 
มันจะเป็นการเห็นแก่ตัวไปหน่อยไหม  ถ้าฉันจะขอเก็บภาพนี้ไว้ชื่นชมเพียงคนเดียว
ก็ฉันน่ะ  เกลียดท้องฟ้ายามอื่นมากเลยนะสิ
ม่านกั้นสีขาวเลื่อนปิดหน้าต่างอย่างจงใจบดบังทิวทัศน์ให้คนที่นั่งเหม่ออยู่ตั้งสติมาสนใจคนที่ยืนฉีกยิ้มกว้างตั้งใจแกล้งให้  “เอาแต่นั่งเหม่ออีกแล้วนะ  แล้วไอ้แบบฝึกหัดที่พี่ให้ไปทำเสร็จหรือยังจ๊ะ?”
คนถูกถามเอาแต่ยิ้มตอบแววทะเล้นพร้อมส่ายหัวดิ๊ก ๆ
“น้องรันอ่ะเอาอีกแล้วนะ  แบบฝึกหัดเนี่ยพี่ให้ไปฝึกทำมานะจ๊ะไม่ได้ให้ไปนั่งดูเฉย ๆ  เฮ้ย ไม่ลองฝึกทำโจทย์ให้เยอะ ๆ แล้วจะคล่องได้ไงล่ะจ๊ะ”
ชักรู้สึกไม่อยากเรียนขึ้นมาดื้อ ๆ แล้วสิ
“แหม ก็มันยากนี่ค่ะ  พี่แนนช่วยหาโจทย์ที่ง่ายกว่านี้ให้หน่อยไม่ได้หรอค่ะ  เอาแบบเห็นปุ๊บตอบได้ปั๊บจะได้ไม่ต้องเสียเวลาไง  หนูเองก็ไม่ค่อยจะมีเวลาว่างอยู่แล้วนะค่ะ”  รันหลุบตาลงต่ำหลังจากส่งคำแก้ตัวยาวพรืดให้อาจารย์ยังสาวที่ส่งสายตาดุตำหนิลูกศิษย์ปากกล้า
แนนยกมือทั้งสองขึ้นเท้าสะเอว  “ก็แก้ตัวแบบเดิม ๆ อีกนั้นแหละ  มีคำแก้ตัวอะไรที่สร้างสรรค์กว่านี้ได้ไหมจ๊ะ?”
รันฝืนฉีกปากยิ้มกว้างแต่แห้งแล้งสุด ๆ
อยากจะเถียงแผลงฤทธิ์ให้ดูเป็นขวัญตาอยู่เหมือนกันนะ  แต่ด้วยความเกรงใจในความอาวุโสกว่าของอาจารย์สาว  เดี๋ยวเขาจะนึกว่าเธอได้รับการสั่งสอนมาไม่ดีพอประเดี๋ยวมันจะเสื่อมเสียไปถึงที่บ้านมันจะไม่งาม
หลังจากที่ทั้งคู่เล่นเงียบกันอยู่ซักพักอาจารย์สาวก็ตัดใจทิ้งตัวนั่งที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามแล้วดึงแบบฝึกหัดที่ถูกแขนรันวางทับอยู่ออกมาดู  “เออ ๆ ๆ ช่างมันเถอะ  เริ่มเรียนเลยดีกว่านะ  อืม  เอาข้อ ”
กริ้ง! กริ้ง!
โทรศัพท์ติดผนังซึ่งเป็นสายต่อภายในดังขึ้น
แนนรีบลุกไปรับก่อนจะวางสายแล้วหันมาพร้อมกับใบหน้าที่บานเป็นกระด้งทำเอาดวงตาสีน้ำตาลเข้มของลูกศิษย์สาวลุกวาวขึ้นอย่างเจ้าเล่ห์  “เอ้า!  เรามาเรียน ”
“พี่เอกมาเหรอค่ะ?”  เธอลากเสียงยียวนอย่างรู้ทัน
พอโดนจี้เข้าถูกเสียจุดหน่อยคนมีแฟนถึงกับหน้าแดงฉ่าทำท่าเปิ่น ๆ ให้รันอดขำไม่ได้
เจ้าตัวแสบเห็นท่าแบบนั้นยิ่งได้ใจเข้าทางแผนที่ตัวตั้งไว้อย่างเหมาะเจาะ  ทำเป็นแก้มป่องส่งสายตางอน ๆ ใส่แนนที่อยู่ในขั้นสมาธิกระเจิง  “แหม จะแอบทิ้งหนูไปเที่ยวกับพี่เอกกันสองต่อสองอีกแล้วใช่ม่ะ ” 
“อ่ะ   เอ่อ   เปล่าซะหน่อย”  พูดไปอย่างนั้นแต่มือเลื่อนขึ้นไปม้วนเส้นผมของตนเองอย่างเขินอาย 
“พูดอย่างนี้ก็แปลว่าชัวร์ล่ะสิ  พี่แนนใจร้ายจริง ๆ เลย   เฮ้ย!  แต่ไม่เป็นไรนะคะ  เดี๋ยวหนูกลับบ้านเองก็ได้พี่แนนไม่ต้องไปส่งหรอก  ไปเที่ยวกับพี่เอกให้สนุกเลยนะคะ”  เธอจัดการโวยวายไปปล่อยช่องว่างให้แนนแทรกได้ซักคำ  มือบางก็จัดการกวาดอุปกรณ์ที่มีอยู่น้อยนิดลงกระเป๋าจัดการเหวี่ยงขึ้นบ่าเตรียมตัวกลับบ้านมากกว่าคนที่มีแฟนมานั่งรออยู่ข้างล่างเสียอีก
“เอ่อ รัน  แต่เอกแค่มานั่งรอเฉย ๆ เรียนให้เสร็จก่อนก็ได้ ”  แนนพยายามดึงเอาสติที่ยังไม่หลุดลอยไปกับอาการอายหาเหตุผลฉุดรั้งลูกศิษย์เอาไว้
รันที่เตรียมจะก้าวออกจากห้องหันมามองอาจารย์ตาปริ ๆ 
ถ้าปล่อยให้พี่แนนมีโอกาสตั้งสติรับรองว่าแผนการหนีเรียนพิเศษวันนี้ของเธออาจจะล่มไม่เป็นท่าได้
“เอาน่าพี่เอกนาน ๆ เขาจะว่างซักที  พี่แนนเองก็เหมือนกันหนูเห็นวัน ๆ ก็เอาแต่เรียนตอนเย็นก็ต้องมาเป็นครูสอนพิเศษให้หนูอีก  เอางี้!  ถือว่าวันนี้หนูยกให้พี่สองคนเลยแล้วกันนะคะ  ไปหาร้านหรู ๆ บรรยากาศดี ๆ อาหารอร่อย ๆ สวีทกันให้หวานเยิ้มกันสองต่อสอง   อุ้ย!  โรแมนติกเนอะ”  เธอทำเหมือนว่าเป็นคนจะไปเดทเสียเอง
มันได้ผล  พี่แนนยิ่งแก้มแดงเป็นลูกตำลึงเข้าไปใหญ่  ตาก็ลอย ๆ แบบคนฝันกลางวันซ้ำยังเป็นฝันหวานเป็นสุด ๆ เสียด้วย
รันยิ้มเจ้าเล่ห์  ตรงแผน!!
“ไม่ต้องเกรงจงเกรงใจอะไรไปหรอกนะคะเรามันคนกันเอง  หนูเป็นพวกเจอคนรักกันก็ต้องช่วยสาน  เจอคนเกลียดกันก็ต้องช่วยสงบ  อ้า  หนูรู้จักร้านอาหารดี ๆ อยู่ร้านหนึ่ง  เดี๋ยวลงไปบอกทางพี่เอกให้แล้วกันนะค่ะ  อ๋อ  เดทกันให้สนุกนะคะ”
เสร็จสรรพเจ้าตัวดีก็รีบเผ่นออกจากห้อง  ลงไปยังชั้นล่างของตึก  แวะหยอดคำแซวพอให้เป็นที่สนุกสนานแก่ตนเองและให้เอกแข็งเป็นหินขยับไม่ได้เพราะความเขินอายที่พุ่งพรวดขึ้นมาเพราะไอ้เด็กแก่แดดแสนแสบที่ทั้งสถาบันกวดวิชาแห่งนี้เขารู้ฤทธิ์มันมากันหมดแล้ว
รันเดินเอื่อย ๆ ก้มหน้ามองปลายเท้าที่สาวเตะฝุ่นให้ฟุ้งขึ้นมาจากพื้นซีเมนต์แห้ง ๆ ของสวนสาธารณกลางเมือง
ไม่รู้ว่ามีอะไรมันมาดลใจให้เธอเกิดอารมณ์เปลี่ยวอยากเดินกลับบ้านเองซะงั้น  ทั้ง ๆ ที่เมื่อกี้อุตส่าห์เดินไปถึงสถานีรถไฟฟ้าแล้วแท้ ๆ กลับตัดสินใจหมุนปลายเท้ากลับลงมาเดินดินเอาง่าย ๆ แถมยังมีอารมณ์สุนทรีเข้าจู่โจมให้เธอมาเดินตัดสวนสาธารณตอนกลางค่ำกลางคืนแบบนี้อีก
แล้วร่างเล็กก็ต้องสะดุ้งเมื่อรู้สึกถึงอาการสั่นถี่ ๆ ของมือถือที่อยู่ในกระเป๋ากระโปรง  รันล้วงเอามันขึ้นมาและรีบกดรับด้วยความกลัวว่าจะต้องเสียเงินโทรกลับอีก
พอดวงตาสีน้ำตาลเข้มปราดไปเห็นเบอร์เพื่อนซี้ที่โชว์อยู่ยิ่งออกอาการตาลีตาเหลือกลนลานมากกว่าเดิม
“ฮัลโหล ”  ลองส่งเสียงเบา ๆ หยั่งเชิงดูเสียก่อน
“นี่ยัยรัตนราตรี!  แกมัวแต่หลับอยู่หรือไงว่ะไม่รับโทรศัพท์ซะที!  อย่าบอกนะว่าเอาแต่ตั้งใจเรียนเลยไม่รู้ว่ามีโทรศัพท์เข้า!  ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นว่าจะเรียนซักวัน!”  เสียงทางปลายสายแผดเข้าเต็มเบ้าเหมือนเจ้าตัวมายืนจิกด่าอยู่ใกล้ ๆ ไม่มีผิด
รันหันมือถือออกห่างอย่างว่องไวแต่ก็ไม่วายโดนคลื่นความถี่เสียงกระทบแก้วหูเกือบขาด  ไม่รู้ว่าเพื่อนเธอไปกินอะไรมากล่องเสียงมันถึงทนรับการใช้งานอย่างหนักได้ขนาดนั้น 
“แหม ขอโทษ ๆ วันนี้ลืมเปิดเสียงแล้วมือถือมันก็สั่น เบ๊า เบา ไม่รู้สึกเลย”
“เออ! ให้มันได้อย่างงี้ซิว่ะ  เชอะ! ไม่เป็นไรเว้ย  ไอ้เราชินแล้ว!”  กระแทกเสียงเพื่อต้องการเน้น  “ แต่มันยังมีอีกคนที่ไม่เคยชินเลยเนี่ยซินะ”
“หา!?”  เธอเผลอหลุดปากร้องออกมาด้วยความตกใจ  หน้าก็ซีดไปกว่าครึ่งซีกแล้ว  “มุ้ย แกอย่าบอกเรานะว่านันมันอยู่ด้วยอ่ะ”
“ถ้าขอร้องอย่างนั้นเราก็จะไม่บอกแล้วกันนะ   เอาเป็นว่าแกรีบลงมาดีกว่าว่ะ  ไม่งั้นไอ้นันมันอาจจะบุกไปหาแกถึงข้างบนก็ได้”  เสียงบ่งบอกความเบื่อแบบว่าสุด ๆ
“อุ้ย!  งั้นแกก็รีบดึงนันเอาไว้ก่อนได้เลยนะเว้ย  แล้วฝากบอกมันด้วยว่าเรากำลังเดินอยู่ระหว่างทางเดินกลับบ้านไม่ได้เรียนอยู่อ่ะนะ  อีกไม่เกินห้านาทีก็ถึงบ้านแล้วแหละ”  แล้วยังจะมีหน้าหัวเราะเสียงแห้งเสริม
กะว่าจะไม่บอกใครแล้วนะว่าแอบโดดเรียน
“อ้าว!  แกทำงี้ได้ไงว่ะ!  เราอุตส่าห์แบกงานแกลืมมาให้นะ เฮ้ย!  ช่วยไม่ได้นะถ้าพรุ่งนี้แกไม่มีงานมาส่งไปตายแบบฉายเดียวเอาเองแล้วกัน”  น้ำเสียงเพื่อนช่วงท้ายฟังร่าเริงขึ้นผิดปกติประมาณว่าสะใจมาก
อาการเสียวสันหลังแล่นปลาบเข้าครอบงำร่างกายเพิ่งนึกออกว่าวานเพื่อนไปหยิบการบ้านที่โรงเรียนมาให้  ผนวกกับกรรมเก่าที่เคยก่อเอาไว้หากว่าพรุ่งนี้ไม่มีส่งเธอไม่เหลือรอดชีวิตแน่ ๆ  “ง้า เดี๋ยวดิเพื่อนรัก  คุณมณีสุรางค์เพื่อนเลิฟ  เพื่อนสุดน่ารัก  คุณนันทธิดาคนสวย  คนเก่งที่สุดในโลกไม่อาจหาใครมาเทียบเท่าได้  เอามาให้หน่อยสิน้า ”
มุ้ยฟังเพื่อนอ้อนก็รู้ว่าลูกไม้เดิม  กลอกตามองไฟบนเพดานก็จะส่งมือถือที่ยังมีเสียงคร่ำครวญขอความเห็นใจเล็ดลอดออกมาให้นันที่นั่งหน้าบูดอยู่ดื้อ ๆ  “คุยเอาเองแล้วกัน  แกว่าไงเราก็ตกลงตามนั้นแหละ”
นันขมวดคิ้วอารมณ์เสียอยู่นิดหน่อยแต่ก็ยื่นมือออกไปรับมือถือมาจัดการเองให้เสร็จ ๆ  “ว่าไง!”
เสียงทางปลายสายเงียบไปซักพักเหมือนกับว่าตั้งสติที่จู่ ๆ คนสนทนาก็เปลี่ยนไปเป็นเพื่อนอีกคนที่ไม่ต้องการคุยด้วยมากที่สุดในตอนนี้  “นะ นัน  นันจ๊า   เอาการบ้านมาให้เราหน่อยนะ นะ ”
“ไม่!”  คำขาดสั้น ๆ ง่าย ๆ ตัดเอาโอกาสรอดของเพื่อนสะบั้น  “แค่นี้นะ!”
“เดี๋ยว ๆ ๆ ๆ ๆ เดินมาหากันคนละครึ่งทางก็ได้  ในสวนสาธารณตอนนี้บรรยากาศดีด้วยนะ”
“ดีกับผีดิ!”  ตะคอกซ้ำเสียงดุ
หัวสมองน้อย ๆ เร่งทำงานอย่างหนัก  “นะ ๆ ๆ ๆ พรุ่งนี้แกคงไม่อยากให้เกิดโศกนาฎกรรมกลางห้องหรอกนะนัน”
นันฟังแล้วเหยียดยิ้มยาวมุ้ยเห็นแล้วยังขนลุกไปดพ้วยชักหวั่นเกรงชะตาชีวิตแทนเพื่อนซะแล้ว  “เหอะ เหอะ   จะว่าไปเราก็อยากเห็นเหมือนกันนะ  ไม่รู้ว่าเจ๊โหดจะงัดเอาไม้ไหนออกมาทรมานแก”
“ฮือ นันอ่ะ  แกจะเอายังไงกับเรากันแน่ว่ะ!”
“เอางี้!  แกต้องรับเงื่อนไขเราข้อหนึ่งก่อน”
“อะไรนะ?”
“เพื่อความอยู่รอดและสวัสดิภาพของแกเองในวันพรุ่งนี้ไง ตกลงไหม?”
รันชักกลืนน้ำลายไม่ลงคอ  เหมือนมีอะไรมาจุกเอาไว้เตือนถึงความไม่ปลอดภัยที่ไหลมาตามสัญญาณมือถือ  “เงื่อนไขอะไรล่ะ?”
“ตกลงก่อนดิ!  มันไม่อยากมากมายหรอกเว้ย  เรื่องง่าย ๆ ที่ใคร ๆ ก็ทำกันได้  ถ้าไม่ตกลงก็ไปหาทางช่วยตัวเองตอนคาบแรกกับเจ๊โหดพรุ่งนี้เช้าเอาเองแล้วกัน”
ขู่อย่างนี้แล้วทำเอาคนใกล้ความซวยใจหาย
“ก็ได้ ๆ แกอย่าขู่กันอย่างนี้ดิว่ะ  เรายอมแกก็ได้!  จะให้ทำอะไรว่ามา!”
เพื่อนหนอเพื่อนทำกันได้
“เอ้า ๆ ! มาช้าจริง ๆ การบ้านจะเอาป่ะเนี่ย”  คนใส่แว่นลุกขึ้นวิ่งมาต้อนรับหรือเรียกกันให้ถูกคือกวนประสาท
รันกัดฟันกรอดมองหน้าสองสหายราวกับจะกินเลือดกินเนื้อได้
ที่ตกลงกันไว้คือคนล่ะครึ่งทางแต่ที่เพื่อนทั้งสองทำกับเธอคือการปิดมือถือเงียบทั้งคู่และนั่งรอเธออยู่ห่างจากประตูสวนสาธารณไม่เกิน 100 เมตร
มุ้ยหันไปเปิดกระเป๋าหยิบการบ้านเจ้าปัญหาส่งให้พร้อมรอยยิ้มกวน  “เหนื่อยไหมจ๊ะ?”
เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเหล่มองคนถามอย่างค้อน ๆ รับการบ้านมาเก็บใส่กระเป๋าแล้วล้มตัวนั่งแทนที่เพื่อนด้วยอาการหอบเล็กน้อย  “พวกแกใจร้ายชะมัด!  เฮ้ย เพื่อนหนอเพื่อนทำกันได้” 
อยากล้มตัวลงยึดตักเพื่อนด้านข้างเป็นหมอนอยู่เหมือนกัน  แต่แค่เห็นหน้ามันด้วยหางตายังอยากจะพุ่งตัวหนีด้วยซ้ำ
“ดีซะอีกนะ  ได้ดัดนิสัยคนขี้ลืมและยังจะโดดเรียนอีก  ถ้านั่งตั้งใจเรียนอยู่ก็ไม่ต้องเดือดร้อนมาออกกำลังกายรอบดึกหรอก”  มุ้ยอ้อมไปยืนด้านหลังแล้วจัดการขยี้หัวเพื่อนที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อให้ชี้ฟูขึ้นกว่าเดิม
รันพยายามเอามือปัดออกแล้วจัดทรงให้เหมือนเดิม  “ไม่เอาน่ามุ้ย!”
“เล่นเป็นเด็กอนุบาล 1ไปได้  พวกเราอยู่ม.4กันแล้วนะ”  คนร่างสูงที่สุดในกลุ่มและดูจะมีมุฐิภาวะสูงสุด  แต่วันนี้กลับพูดน้ำเสียงขุ่น ๆ
ทั้งคู่หยุดเล่นกันไปเลย  ต่างพากันเบือนหน้าหนีกันไปคนละทาง
วันนี้ท่าทางมันจะอารมณ์ไม่ดี  ทำเป็นเล่นกับมันวันนี้มีหวังตายคาสวนสาธารณ
บรรยายกาศรอบตัวตกอยู่ในความเงียบหากไม่นับเสียงเอ็ดตะโรจากเหล่าพ่อค้าแม่ขายที่จับจองพื้นที่ตั้งร้านรวงของตนข้างถนนเป็นแถวยาว  เสียงสังสรรค์เริงรื่นจานชามกระทบกันของร้านอาหารโปร่ง ๆ ที่มีเพียงโต๊ะเก้าอี้ 4-5 ชุด ขึงผ้าใบปิดเป็นเพดาน ซึ่งอยู่ภายในสวนสาธารณที่ยังเปิดให้บริการ  เสียงพูดคุยถกเถียงของเหล่าคนรักสุขภาพที่มาออกกำลังกายรอบดึกและวิ่งผ่านหน้าพวกเธอไปกลุ่มแล้วกลุ่มเล่า  และเสียงโครมครามจากพาหนะสองล้อสี่ล้อที่แล่นไปมาให้คึกคักที่ถนนด้านหน้าและบางคันก็หักเลี้ยวเข้ามาเพื่อใช้ทางในสวนสาธารณเป็นเส้นทางลัด
แสงสว่างตอนนี้หาได้จากดวงไฟข้างถนนสีส้มที่เรียงยาวไปตลอดทางเดินของสวนสาธารณเล็ก ๆ ใจกลางเมืองแห่งนี้  ต้นไม้ที่ไม่ได้หนาครึ้มทำให้การนั่งพักอยู่ในสวนนี้ยังคงมีแสงสีจากตึกราต่าง ๆ สาดส่องให้เห็น
มุ้ยเริ่มหาหางทำลายความเงียบเนื่องจากไม่มีเรื่องจะคุย  มองซ้ายหันขวาหาหัวข้อที่คิดว่าจะดึงมาเป็นเรื่องถกเถียงกันได้นาน ๆ แล้วเมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าหัวข้อก็ลอยเด่นขึ้นมาในหัว  “ดูดิ   วันนี้ท้องฟ้าใสจังเลยเนอะ  สวยดี  ไม่มีเมฆสักก้อน”
“ไม่มีทั้งพระจันทร์  ไม่มีทั้งดวงดาว  มันสวยตรงไหนว่ะ!”  นันร่วมออกความคิดเห็น 
ถึงแม้ว่าเสียงมันจะกระชากไปหน่อยแต่ก็พอทำให้มุ้ยโล่งใจว่าเพื่อนเธอก็ยังไม่เครียดจนสติหลุดไปแล้ว  “โหย   แกนี่ไม่มีหัวศิลป์เอาซะเลย  ก็ความสวยของความมืดไง!”  เธอวาดมือไปกลางอากาศเลียนแบบท่าและเสียงของศิลปินชื่อดังแล้วตัวเองก็หัวเราะอยู่คนเดียวอย่างสนุกสนาน
รันแหงนหน้าขึ้นบ้าง  “ไม่รู้สินะ   เราเกลียดท้องฟ้าตอนนี้จัง”
เกลียดที่สุดเลย   เกลียดความมืดที่ไร้ต้นทางหรือจุดจบ
“เหอะ  ไม่แปลกหรอกเว้ย  มีตั้งหลายคนที่กลัวความมืด  จริงม่ะนัน?”  เอาศอกกระทุ้งต้นแขนแหย่คนอารมณ์เสียซึ่งก็โดนปัดออกอย่างแรงเป็นสัญญาณว่าอย่ายุ่ง
รันรีบส่ายหน้า  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเปี่ยมไปด้วยแววจริงจัง  “เราไม่กลัว  แต่เรา ”
“เรื่องไม่เป็นเรื่องน่า รีบกลับบ้านเถอะ  ฝนจะตกแล้ว”  ว่าแล้วนันก็ยันตัวลุกจากเก้าอี้  ก้มลงไปหยิบกระเป๋าที่วางพิงอยู่ข้าง ๆ แล้วเปิดเอาร่มออกมาเตรียม
มุ้ยขมวดคิ้วไม่เข้าใจ  ดวงตาสีดำหลังเลนส์แว่นเต็มไปด้วยความฉงนในการกระทำของเพื่อน  “จะเป็นไปได้ไง?  ท้องฟ้าใสซะขนาดนี้   เฮ้ย?  มาจากไหนว่ะ?”  คำถามที่ไม่มีใครอาจหาคำตอบให้เธอได้ 
ท้องฟ้าสีมืดสนิทเมื่อครู่กลับถูกเมฆฝนสีแดงคล้ำรุกคืบครอบครองที่ว่างไปกว่าครึ่งส่วนแล้ว  เสียงเปรี้ยงปร้างดังแว่วมาแต่ไกลและดูท่าว่ามันกำลังเดินทางมาทางพวกเธออย่างรวดเร็ว
คนตัวเล็กสปริงร่างลุกพร้อมคว้าเป้มาควานหาร่มที่มักจะพกไปมาอย่างไร้ประโยชน์เสมอ  ในที่สุดวันนี้ก็ได้ใช้เสียที  “พายุเข้าหรอไงว่ะ?  อะไรอากาศมันจะเปลี่ยนได้เร็วขนาดนี้”
“พักนี้อากาศก็แปรปรวนเร็วอย่างนี้แหละ”  ถึงนันจะพูดไปแต่ดวงตาคู่โตสีดำใสก็ยังเต็มไปด้วยความแปลกใจเช่นกัน
มุ้ยยกเป้สะพายขึ้นหลังเสร็จก็หันมาวุ่นวายกับการกางฉลองร่มอันใหม่ล่าสุดครั้งแรกนับจากซื้อมาเกือบ 3 เดือน  “แล้วนี่แกจะกลับไงเนี่ย?”
รันแทบจะแยกเขี้ยวใส่  “รถไฟฟ้าสิว่ะ!  ใครไม่รู้ขี้โกงให้เดินมาไกลถึงเนี่ย!”
มุ้ยแลบลิ้นใส่กวน ๆ  “ช่วยไม่ได้โว้ยอยากโง่เองทำไมล่ะ!”
“โห! พูดอย่างงี้เพื่อนก็เพื่อนเหอะว่ะให้อภัยไม่ได้แล้ว!”  รันทำทีเหวี่ยงร่มของตนใส่มุ้ยซึ่งฝ่ายนั้นเขาก็ยกร่มขึ้นกันได้ทุกท่วงท่าอย่างชำนาญ
พรึบ!!!
เสียงกางร่มอย่างรุนแรงของนันที่เกือบทำให้ร่มสีเทาโกโรโกโสที่มีคนเอามาขายลดครึ่งราคาหน้าโรงเรียนกระเด็นหลุดออกเป็นชิ้นส่วนบ่งบอกถึงกระแสพลังอาฆาตของเจ้าตัวที่ปรายตาดุ ๆ มามอง  “มัวแต่เล่นกันอยู่ได้  ถ้าฝนตกหนักแล้วจะรู้สึก!”  แล้วคุณเธอก็ยกร่มขึ้นซึ่งในขนาดนั้นฝนก็เริ่มโปรยปรายเป็นเม็ดใหญ่ ๆ ลงมาบ้างแล้ว
รันเผลอยกมือลูบขนแขนที่พร้อมใจกันตั้งขึ้น  “เฮ้ย!  นันมันไปกินรังต่อรังแตนที่ไหนมาว่ะ  กะอีแค่กลัวคะแนนที่สอบเคมีออกมาไม่ดีต้องแยกเขี้ยวดุเป็นหมาตำรวจขนาดนั้นเลยเหรอไง  ประทาสจริง ๆ เลย  ดูเราดิยังร่าเริงอย่างกะทำได้เต็ม  ทำไมมันไม่มองดูคนอื่นบ้างล่ะว่ะถ้าตัวมันตกพวกเราคงติดลบ”
มุ้ยดึงยิ้มที่มุมปากแล้วเดินนำไปก่อนโดยไม่พูดอะไร
“อ้าว   เดี๋ยวดิมุ้ย  รอเราด้วยดิ!”  โวยวายเสร็จก็รีบวิ่งเหยาะ ๆ ตามไป
เมื่อทั้งสามเดินมาถึงด้านหน้าของสวนสาธารณก็ได้แต่หยุดยืนที่ริมทางเท้าเพราะจุดหมายปลายทางมันอยู่อีกฟากถนน  แต่ทว่ามันข้ามไปไม่ได้เพราะความเร็วรถที่แล่นมาโดยไม่ได้คำนึงว่าจะมีคนคิดจะข้ามถนนที่ไม่มีทางม้าลายหรือไม่และฝนที่ตกกระหน่ำลงมาทวีความแรงขึ้นเรื่อย ๆ หนาจนมองวัตถุด้านหน้าได้ไกลสุดเพียงเมตรกว่า ๆ แล้วโดยเฉพาะคนใส่แว่นอย่างมุ้ยที่ต้องคอยยกมือขึ้นปัดไอน้ำออกจากเลนส์แว่นและคนใช้คอนแทคเลนส์ที่มักถอดออกหลังเรียนเสร็จด้วยเหตุผลว่ารำคาญที่ต้องคอยหยอดน้ำตาเทียมอย่างนันยิ่งทำให้ทั้งคู่ต้องพึ่งดวงตาเล็ก ๆ ของรันซึ่งมีความลับที่รู้กันอยู่เพียงไม่กี่คนว่าเธอข้ามถนนไม่เป็น
“รัน   ข้ามซักทีสิว่ะ”  มุ้ยเร่งเพื่อนเสียงเรียบ  แต่รันก็รับรู้ถึงความรู้สึกของประโยคนั้นได้อย่างชัดเจน  ถ้ามันตะโกนแหกหูเธอได้ก็คงทำไปแล้ว
รันพยักหน้าสองสามที  “รู้แล้ว ๆ ก็รอให้รถมันติดไฟแดงอยู่ไง  จะได้ปลอดภัยไม่ต้องเสี่ยงตาย”  พูดไปอย่างนั้นแหละ  รู้ ๆ กันอยู่ว่าถนนสายนี้เป็นเหมือนซอยที่ไม่มีทางแยกย่อยความยาวก็เกือบ 2 กิโลกว่าซึ่งไม่มีสัญญาณไฟตลอดสาย  เรื่องที่จะรอให้รถติดคงเป็นได้แค่ฝัน
“กลัวว่าตอนนี้จะเป็นหวัดตายมากกว่านะสิ  นี่ถ้าแกไม่กล้าข้ามก็เดินขึ้นสะพานลอยเอาแล้วกัน”  หนึ่งในผู้รู้ล่วงความลับของรันชี้ไปยังทางที่เธอจำได้ว่ามันมีสะพานลอยตั้งอยู่  ซึ่งปกติพวกเธอก็ไม่เคยใช้มันเลย
มุ้ยกลับเป็นคนที่ส่ายหน้าพัลวันปฏิเสธ  “บ้าเหรอไง!  สะพานลอยนั้นอยู่ตั้งไกลเดินเป็นกิโลได้เลยมั้ง!”
“งั้นแกจะรอไอ้รันพาข้าม!  พรุ่งนี้เย็นล่ะมั้งถึงจะกลับถึงบ้าน!”  นันพูดเสียงประชดประชัน
รันทำหน้ารับไม่ถูกได้แต่หันมาฉีกยิ้มไม่เต็มที่  “เอาน่า   รอฝนซาลงหน่อยเดี๋ยวก็ได้ข้ามเองแหละ”  แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่  และขาของเธอก็เปียกแฉะไปจนถึงข้างในถุงเท้าก็เริ่มสั่นเบา ๆ ด้วยอุณหภูมิที่ลดต่ำลงเรื่อย ๆ ตอนนี้พูดได้เพียงว่ามันชาไร้ความรู้สึกจนไม่สามารถก้าวขานำเพื่อนข้ามถนนไปได้  ความจริงคือเธอทำไม่ได้แม้แต่จะขยับให้มั่นใจเธอยังไม่ถูกตัดขาไป
เวลาผ่านไปเพียงสิบนาทีแต่พวกเด็ก ๆ กลับรู้สึกว่ามันเนิ่นนานราวกับเป็นชั่วโมง  ทั้งสามขยับตัวเบียดเข้าหากันทั้ง ๆ ที่ถือร่มอยู่ด้วยความหนาวที่จู่โจมมาจากทุกทิศโดยที่ไม่มีใครปริปากบ่นออกมากลัวว่าถ้าเอ่ยปากแล้วไอร้องมันจะลอยออกจากร่างกายไปมากกว่าเดิม
“เอ๋!”  รันร้องขึ้นอย่างแปลกใจ  เธอก้มลงดูที่เท้าตัวเองที่รู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาเฉย ๆ
ก้อนผ้าขี้ริ้วสีเทาขมุกขมอมกองอยู่บนรองเท้าเธอเพื่อจะค้นหาความอบอุ่นจากร่างกายคนตัวโตกว่า  ร่างกายเล็ก ๆ เปียกโชกและกำลังสั่นอย่างน่าสงสาร
นันกระโดดถอยออกไปเกือบเมตรพร้อมสีหน้าไม่ยินดีจะต้อนรับตัวอะไรก็ตามที่กองอยู่บนเท้าเพื่อน
มุ้ยก้มมองอย่างสนใจด้วยนิสัยรักสัตว์ทุกชนิดเป็นทุนเดิมอยู่แล้วแต่ก็ยังไม่ใจกล้าเอื้อมมือไปแตะต้องมัน  “ตัวอะไรน่ะ?”
รันส่ายหน้านิด ๆ ก้มตัวไปสำรวจสิ่งมีชีวิตบนรองเท้าและลองขยับขา(ที่นึกว่าใช้การไม่ได้ซะแล้ว)เพื่อดูปฏิกิริยาของมัน  แล้วร่างเล็กก็กลิ้งตกจากรองเท้านักเรียนสีดำเป็นกองแปะอยู่บนพื้นแฉะ  “ลูกหมา ”  เธอพึมพำออกมาเบา ๆ  พลางใช้มือเขี่ย ๆ ตรวจสอบว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก่อนจะใช้มือเดียวช้อนมันขึ้นมาอย่างง่ายดาย  “มันน่าสงสารเนอะ ”
“วางมันลงไปรัน ”  นันพยายามใช้เสียงข่มขู่  แต่คราวนี้กลับไม่ได้ผลเหมือนปกติ  รันทำเป็นหูทวนลมซะงั้น  “รัน!  วางมันลงบนพื้น!”  ครั้งนี้นันเพิ่มความดังและกระชากขึ้น
มันทำให้รันหันมามองเธอตาขุ่นแต่ก็ยังไม่ทิ้งแววไม่มั่นใจ  “มีเหตุผลหน่อยสินัน  มันหนาวจะตายอยู่แล้วอย่าใจดำต่อสัตว์ร่วมโลกไปหน่อยเลย”
“มันสลบอยู่อย่างนี้ไม่ลุกขึ้นมากัดแกหรอกน่า”  มุ้ยเสริมแล้วก้มไปดูลูกสุนัขที่ดูเหมือนจะเพิ่งเกิดมาได้ไม่นานด้วยสายตาสงสารจับใจ  “วันนี้เอาไว้ที่บ้านเราก่อนก็ได้นะ  เดี๋ยวดูแลให้”
“ก็ดีเหมือนกัน อุ้ย! พวกแกดูดิ มันฟื้นแล้ว”  รันตื่นเต้นใหญ่ที่เห็นลูกสุนัขในอ้อมแขนขยับตัวช้า ๆ และลืมตาสีดำใสกลอกมองพวกเธอทีละคน
“ท่าทางมันไม่เป็นอะไรซักหน่อย  ปล่อย ๆ มันไปได้แล้วน่า”  คนเกลียดสัตว์เหล่มองด้วยนัยน์ตาสีดำดุ ๆ ที่ขนาดลูกสุนัขเห็นแล้วยังกลัวซุกตัวเป็นก้อนพยายามถอยออกห่างนันให้ได้มากที่สุด
มุ้ยยกมือขึ้นดันแว่นที่เลื่อนลงมาให้เข้าที่ก่อนจะจ้องมองผ่านเลนส์แว่นอย่างตำหนิ
เปรี้ยง!!!
เสียงฟ้าฟาดดังกัมปนาทลั่นเมือง  แสงสว่างสีเงินฉายขึ้นทาบให้ทั่วบริเวณกลายเป็นสีขาว  ทั้งสามโผเข้ากอดกันอย่างลืมตัวและส่งเสียงร้องต่าง ๆ นานออกมาด้วยความตกใจ  สายฟ้าที่ปรากฏบนท้องฟ้าไกลลักษณะหงิกงอดังงูสีเงินตัวใหญ่กำลังขู่ฟ่อด้วยความโกรธ  ดวงตาที่เบิกกว้างพลอยไล่ไปตามความยาวของลำตัวงู 
แต่แทนที่จะพบจุดสิ้นสุดของหางสีเงินในคืนวันฟ้าคะนอง   ทั้งสามกลับได้พบท้องฟ้ายามราตรีที่ไร้เมฆดำแม้เพียงก้อนเดียว   ดวงจันทร์กลมโตดวงใหญ่ถูกจับวางไว้ตรงกลางฟ้าอย่างพอดิบพอดีกำลังทอแสงสีอ่อนนวลตาอาบลูบไล้ต้นหญ้าและผืนป่าเบื้องหน้าให้เป็นสีเงินสวย   หมู่ดาวนับไม่ถ้วนพากันส่องแสงระยิบระยับประหนึ่งเพชรพลอยหลายสีที่ประดับประดาตกแต่งฉากสีดำด้านหลังให้ดูมีชีวิตชีวา   รอบกายมีลมอุ่นที่พัดหอบเอากลิ่นธรรมชาติจากต้นไม้ใบหญ้าขึ้นแตะจมูก   เสียงแห่งความสงบท่ามกลางธรรมชาติในผืนป่าใหญ่เฉกเช่นเพลงกล่อมแสนไพเราะที่ทำให้เคลิบเคลิ้มได้ทุกเมื่อที่ได้ยิน   ความรู้สึกนุ่มและสบายที่แทรกผ่านรองเท้าเมื่อมีต้นหญ้ามารับรอง
เปรี้ยง!!!
ภาพสายฟ้าพาดอยู่ตรงกลางและเสียงฟ้าลั่นเรียกสติที่เคลิ้มไปให้กลับคืนมาเจอท้องฟ้าสีมัวผ่านม่านฝนหนา  สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างหนักกระแทกใส่ร่มที่ถืออยู่ส่งแรงสะเทือนที่ผู้ถือได้รับรู้ 
ไม่ทันที่ใครจะได้เอ่ยปากสบถหรืออุทานอะไรออกมา  ลูกสุนัขตัวสกปรกกระโดดผล๋อยออกจากอ้อมแขนของคนที่อุ้มมันอยู่แล้ววิ่งฝ่าฝนตรงไปด้านหน้า  ด้วยความตกใจรันก้าวเท้าตามลูกสุนัขไป
เพื่อนทั้งสองยังคงยืนนิ่งติดอยู่ในห้วงภวังค์ของความคิดไม่อาจถอนตัวออกมาได้โดยทันที  ความทรงจำที่ปนแปลกเข้ามาทำให้ประสาทสัมผัสสับสนไปหมด  กว่าภาพที่เห็นในปัจจุบันจะแล่นเข้าสู่ส่วนสมองได้ก็ตอนเห็นเพื่อนไปยืนอยู่ในสายฝนมัว ๆ กลางถนนเสียแล้ว  “รัน!!!” 
เสียงเพื่อนที่ดังแว่วเข้ามาปลุกให้เธอรู้สึกตัว  เธอหันรีไปตามเสียแต่ทว่าแสงสีขาวแสบตาก็ตรงเข้ามาหาเธออย่างรวดเร็ว  สมองเธอมีแต่ความว่างเปล่า  ดวงตาเบิกกว้างโดยสัญชาตญาณ  ร่างกายทั้งหมดเกร็งสุดตัวรับรู้เพียงว่าสิ่งที่กำลังตรงมาหานั้นคืออะไร  รันหลับตานั้นพร้อมรับความเจ็บปวด 
เวลาช่วงสั้น ๆ เธอกลับต้องรอให้มันผ่านมานานแสนนาน  หรือนี้คือวาระก่อนตายที่ให้เธอได้ระลึกอะโหสิแก่ผู้อื่นและขออะโหสิให้กับตนเองกันแน่
แล้วก่อนที่ภาพความทรงจำทุกอย่างจะฉายขึ้นเธอก็ได้ยินเสียงหัวเราะแว่วเบา ๆ
เด็กสาวรวบรวมความกล้าที่จะลืมตาขึ้นมาเพื่อหวังได้เห็นที่มาขอต้นเสียงไม่ว่ามันจะเป็นเทวดาหรือซาตานก็ตาม
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น