ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    กำ้เนิดใหม่สายพันธ์อมตะ

    ลำดับตอนที่ #1 : กำเนิด

    • อัปเดตล่าสุด 23 ก.ย. 55


    โอปาติกะคือ อะไร?

    ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน  ทุกอย่างมันเริ่มต้นในวันนั้น วันที่ข้าเป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุ14

    วันที่หิมะตกพร่างพราว ทุกสิ่งขาวโพลนราวกับดินแดนแห่งพระผู้เป็นเจ้า  และอากาศหนาวเหน็บจับใจ

      ข้าหนีการตามล่าของบรรดาคนที่แม่เคยช่วยเหลือ ในหัวของข้ามีแต่คำว่า ทำไม ทำไม และทำไม ทำไมถึงเป็นแบบนี้ 

    ข้าเฝ้าถามตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าเคยเชื่อว่าตัวเองฉลาดเหนือใคร แต่คำถามนี้ไร้ซึ่งคำตอบ 

     

    ข้าสะดุดรากไม้ที่ถูกฝังในกองหิมะ ความเจ็บปวดที่ขาแล่นขึ้นมาทันที

    ข้าได้ยินเสียง “มันอยู่แถวนี้  จับลูกนังแม่มดนั่นให้ได้“ และคำสุดท้ายคือคำว่า ฆ่ามัน   เสียงสุดท้ายนั่น ข้าจำได้ เป็นเสียงของอาโนด์  เด็กหนุ่มที่ครั้งหนึ่งเคยวิ่งเล่นกับข้า  เคยเป็นเพื่อน และครั้งหนึ่งข้าเคยหวังว่าเขาจะรับข้าเป็นเจ้าสาว

      ข้าตะเกียกตะกาย  ข้าอยากลุกขึ้นแต่ขาข้าเจ็บเหลือเกิน มันเจ็บ.....แม้ในอกเจ็บยิ่งกว่า  แต่ตอนนี้ข้าต้องหนี

     ข้าคลานไปที่โพรงไม้ใหญ่นั่น แล้วดึงพุ่มไม้หนาปิดปากโพรง 

    พระเจ้า.....ได้โปรดเถอะ

     

    ท่ามกลางหิมะที่กำลังตก ข้าเห็นแสงไฟ และเสียงคนก็เข้ามาใกล้ทุกที

    ใจข้าเต้นระรัว มันดังจนข้าต้องกดหน้าอกเอาไว้  เสียงฝีเท้าและเสียงพูดคุยค่อยๆใกล้มาทุกที

    ใจข้าเต้นแรงเกินกว่าครั้งไหน  ข้ากลัว  ข้าเจ็บ   และข้าไม่อยากตาย.....

    “มันอยู่แถวนี้รึเปล่า “ เสียงนั่นเป็นคนของพระที่มาพร้อมๆกับกองทหาร มีคนเคยบอกว่า พวกเขามาล่าแม่มด

     

    ข้าได้ยินเสียงลุงเซบาสเตียนตอบกลับไป “ข้าว่าตามรอยที่เห็นนี่ มันเดินทางขึ้นไปทางเหนือน่ะขอรับท่าน“

     ข้าจำรอยยิ้มในยามที่แกไม่เมาได้ดี  ลุงเซบาสเตียนเป็นนายพรานชั้นยอด กวางป่าที่แกล่า ตัวโตทุกครั้ง

    แกต้องเห็นรอยเท้าของข้าแน่เลย  ข้ากลัวเหลือเกิน

    แต่แล้ว  เสียงนั่นก็ค่อยๆห่างออกไป พร้อมๆกับที่ใจเริ่มสงบลง

     

    เมื่อความเงียบเข้ามาแทนที่  ข้าก็เริ่มกลัวขึ้นมาอีกครั้ง

    ป่านนี้แม่จะเป็นยังไงบ้าง แม่บอกให้ข้าหนีไป เมื่อตอนที่พวกชาวบ้านบุกมาที่ไร่แล้วเริ่มเผาทุกสิ่งที่เห็น

    แม่บอกให้ข้าหนีไปแล้วไปเจอกันในป่า  ส่วนพ่อก็คว้าดาบที่แขวนไว้เหนือประตู  หน้าตาของพ่อน่ากลัว อย่างที่ข้าไม่เคยเห็นมาก่อน   แล้วแม่ก็เปิดประตูออกไป ตะโกนโหวกเหวก  เรียกผู้คนให้มาหา บางทีข้าอาจจะช่วยแม่ก็ได้

    แต่ข้ากลัวเหลือเกิน  ข้าจึงทำตามที่แม่บอก ข้าหนี  ข้ามันคนขี้ขลาด

     

    แม่เป็นคนที่รอบรู้ในเรื่องสมุนไพร และแม่เคยช่วยเหลือผู้คนมานักต่อนัก ทุกคนในหมู่บ้าน เรียกแม่ข้าว่าแม่หมอ

    ยาของแม่เป็นของดี  และราคาก็ถูกกว่าของวัดมากมายนัก  และบ่อยครั้ง แม่ก็ให้ไปโดยไม่คิดเงิน

    พ่อเคยเตือนแม่ว่า “ระวังไว้เถอะ สักวันหนึ่งจะมีคนหาว่าเจ้า เป็นแม่มด “ แม่ได้แต่ยิ้มและหัวเราะ

    แม่ไม่เคยคิดว่า ชาวบ้านที่ใจดี และคุ้นเคยกันราวกับพี่น้องจะเป็นได้ถึงเพียงนั้น

     

    ข้าหนาว ข้าคิดอ้อมกอดของแม่  ตัวของแม่อุ่นนัก แม่เคยจับข้านั่งตัก แล้วเล่าถึงที่ที่แม่จากมา  แม่บอกว่าที่นั่นเรียกว่าโยเดีย เมื่อถึงเวลาทั้งเมืองจะกลายเป็นทะเลสาป ที่นั่นไม่มีหิมะ ไม่มีความอดอยาก และทุกอย่างสวยงาม

    ข้าเคยถามว่าที่นั่นสวยงาม แล้วเหตุใดแม่จึงจากมา  แม่บอกว่าเพราะแม่รักพ่อ

    ข้าอยากเห็นโยเดีย

     

    ข้ามองอะไรไม่เห็นเลย บางทีเมฆคงจะเคลื่อนมาบังแสงจันทร์ เงาวูบไหว เหมือนเจ้าวัวที่ข้าเคยเห็น

    เสียดายที่มันตายไปแล้ว มันตายพร้อมๆกับพี่น้องมัน  และอีกหลายฝูงในหลายหมู่บ้าน  ไม่มีใครรู้ว่าทำไม

    แต่แล้วทุกอย่าง ก็ดูเหมือนจะคลี่คลาย  เมื่อพระที่โบสถ์บอกว่า เป็นฝีมือของแม่มด  ทุกคนตามหาแม่มด

    แต่แล้ว วันหนึ่ง คนที่ตามหาแม่มดก็มาที่บ้านเรา.........

     

     

    ข้าขยับตัวเพื่อให้นั่งสบาย  ก่อนจะเลิกชายเสื้อขึ้น  ดูเหมือนเลือดจะหยุดแล้ว  ข้าจับปลายหน้าไม้ที่ปักเอวอยู่ ก่อนพยามดึงมันออก แต่ข้าก็ต้องยอมแพ้ มันเจ็บจนทนไม่ไหว   ข้าเคยเห็นน้าแกว์โลร์ที่ตายไปเมื่อสองปีก่อน ตอนนั้นแกก็มาให้แม่รักษา  เพราะโดนลูกธนูลูกหลงตอนไปล่าสัตว์กับพวกผู้ชายในหมู่บ้าน แผลของแกเป็นสีม่วงดูน่ากลัว ข้าแอบได้ยิน แม่คุยกับพ่อ บอกว่า  แผลของน้าแกว์โลร์อาจเป็นซีตแล้วก็หาย หรือไม่ก็เลือดเป็นพิษแล้วก็ตาย   ชีวิตของน้าแกร์โลร์อยู่ในมือของพระเจ้า

    ตอนนี้ชีวิตของข้า ก็อยู่ในมือของพระเจ้าแล้วสินะ

     

    ข้าง่วง

    ข้าเหนื่อย

    ข้าหิว

    แม้เป็นเด็กผู้หญิงอายุแค่ 14 แต่ข้าก็รู้ได้ว่า ข้ากำลังจะตาย....

    แล้วทุกอย่างก็เริ่มพร่ามัว  ข้าเริ่มมองอะไรไม่เห็น ทุกอย่างค่อยๆมืดลง......มืดลง.....

    แล้วข้า....ก็ไม่รู้สึกอีกอะไรเลย

     

    เวลา ผ่านไปเท่าไหร่ไม่รู้   วันนึง  สองวัน เดือนหนึ่ง  หรือเป็นปี สิ่งเดียวที่รู้คือ

    เมื่อข้าเริ่มรู้สึกอีกครั้ง มีเสียงในหัวบอกข้า

    ข้าไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว

    ข้าไม่ใช่คนตาย ข้าไม่ใช่คนเป็น แต่ข้าก็เป็นทั้งคนตายและคนเป็น

    ข้าคือ โอปาติกะ

     

     

     

     

     

    ข้ายืนดูร่างสีดำที่ยังมีร่องรอยหลงเหลืออยู่   พ่อกอดแม่เอาไว้แม้ในวาระสุดท้าย  ดาบเล่มนั้นยังอยุ่ในมือของพ่อ ธนูนับสิบปักที่เบื้องหลังท่าน บ้านของข้ากลายเป็นเพียงกองเถ้าสีดำ ทุ่งนาของข้ากลายเป็นที่รกร้าง  เจ้าบิสกิตม้าไถนาของข้า มีซากของมันนอนตายอยู่ไม่ไกล  ทุ่งนาที่ข้าเคยวิ่งเล่น  บ้านที่เคยนอน  อ้อมกอดที่เคยอบอุ่น ม้าที่ข้าเคยขี่

     

    น้ำตา 

    น้ำตา

    น้ำตามากมาย  ข้าไม่เคยคิดว่าคนเราจะมีน้ำตาได้ขนาดนั้น  หัวใจบีบรัดจนเจ็บชาไปหมด

     ทำไมข้ายังไม่ตาย

    ทำไมพระเจ้าเลือกให้ข้าอยู่

    ทำไมข้าไม่เหลืออะไร

     

    ข้าไม่เหลือใครอีกแล้ว

     

    ทำไม ข้าต้องเจ็บ

    ทำไม ข้าต้องเสียใจ

    ทำไม ต้องถูกพรากจากสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตข้า

    ทำไม

    เสียงในหัวข้า ให้คำตอบ

    เพราะพวกมัน

    ข้าจับด้ามดาบแล้วค่อยๆบีบมัน แน่นขึ้น แน่นขึ้น

    ข้าหยิบดาบของพ่อขึ้นมา  ข้าตั้งใจจะฟาดฟันคนแรกทันทีที่ข้าเห็น  ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่  

    ให้มันได้รับความเจ็บปวดอย่างที่ข้าเคยได้รับ  ให้มันรับรู้ถึงการสูญเสีย อย่างที่ข้าเคยเป็น

    ดาบที่เคยหนักอึ้งตอนนี้มันเบาเท่าปลายกิ่งไม้

     

    ข้าเดินถือดาบยาวเกือบครึ่งเอวตัวเอง ไปตามทางที่นำไปสู่หมู่บ้าน

     

    ข้าแค้น ข้าเกลียด ข้าชัง  พวกมันทรยศความดีของแม่ ทรยศความมีน้ำใจของพ่อ 

    ข้าไม่รู้ว่าทำไมแม้เป็นคืนเดือนมืด แต่ดวงตาข้ากลับมองเห็นชัดเจน ราวกับดวงตะวันยังคงตั้งตรง  

     

     

    ทันทีที่ไปถึง  ข้าเปิดประตูบ้านที่อยู่ใกล้ที่สุด ข้าตั้งใจฟันทันทีไม่ว่าอะไรจะโผล่มาก็ตาม

    แต่แล้ว ข้าพบว่าที่นั่นไม่มีใครอยู่เลย  ช่างมัน ข้าเดินไปหลังที่สอง หลังที่สาม และหลังถัดไป

    บ้านทุกหลังกลายเป็นบ้านร้าง  ไม่ว่าข้าจะหาสักเท่าไหร่ วิ่งรวดเร็วแค่ไหน ข้าก็พบเพียงความว่างเปล่า

     เมื่อข้าไปที่โบสถ์ก็พบว่า  สุสานมีมากมายมากกว่าแต่ก่อน

     

    นี่มันเกิดอะไรขึ้น  ข้ามองชื่อที่ป้ายหลุมศพ ก่อนจะสะกดมันทีล่ะคำ  พ่อข้าเคยสอนให้อ่านหนังสือ แต่ว่าท่านไม่ค่อยมีเวลามากมายนัก  ข้าเคยคิดว่า  เมื่อไหร่ก็ได้จึงไม่เคยรบเร้าท่าน แต่ทว่า....เมื่อไหร่ก็ได้ของข้า  กลับไม่มีอีกแล้ว

     

     

     

    หลังสะกดอย่างยากลำบาก  เวลาผ่านไป  ข้าก็พบว่า ชื่อที่ป้ายหลุมเป็นของคนในหมู่บ้าน เมื่ออ่านดูทุกป้ายมีเกือบทุกคนในหมู่บ้าน มีทั้งของลุงแกร์โรล์ อาโนด์เด็กหนุ่มที่เคยเป็นเพื่อนข้า ป้าเกรต้าและคนอื่นอีกหลายคน

     ทุกคนเป็นคนในหมู่บ้านข้า

    และมีหลุมใหญ่ที่ฝังกลบยังไม่ได้ดีนัก เมื่อเห็นสัญลักษณ์ที่บนป้ายหลุม ข้าก็เข้าใจได้ทันที

     

    โรคระบาดงั้นเหรอ  ทุกคนในหมู่บ้านตายด้วยโรคระบาด ที่เหลือถ้าไม่ย้ายหนีไปให้ไกล ก็คงตายหมดแล้ว

     

    เป็นอีกครั้งที่ข้าไม่เหลืออะไร   ในเมื่อไม่มีใครให้แก้แค้นแล้วข้าจะทำยังไงดี

     

    ข้าทรุดลงนั่งอยู่หน้าหลุมศพของลุงแกร์โลร์ กอดดาบของพ่อแล้วเริ่มถาม

    ข้าหาคำตอบกับป้ายหลุมที่เย็นเฉียบในฤดุหนาว ข้าจะทำอย่างไรดี  ข้าจะไปที่ไหน

      ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

     อีกครั้งและอีกครั้ง

     

    แล้วข้าควรจะทำอะไร   ข้าควรจะแค้นใครดี

     

    และข้า......ควรจะไปที่ไหนดี

     

    คำถามสุดท้าย ข้าก็ได้รับคำตอบ ไม่รู้ว่าเป็นวิญญาณของลุงแกร์โลว์ หรือพ่อกับแม่ที่ตายไปดลใจ

    แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่ในหัวคือ.......  โยเดีย

     

     

    .............

     

    ข้าออกเดินทางอย่างไร้จุดหมาย  ไม่รู้ทิศที่ตัวเองจะไป ไม่รู้ว่าโยเดียอยู่ไหน ไม่รู้อะไรทั้งนั้น

     สิ่งเดียวที่ติดตัวนอกจากสัมภาระคือดาบของพ่อ เงินอีกนิดหน่อยจากในบ้าน  เศษชายกระโปรงของแม่ที่หลงเหลืออยู่

    ข้าถามคนแรกที่เจอ  คนที่สอง  คนที่สาม  และอีกมากมาย  ไม่มีใครรู้  ไม่มีใครเคยได้ยิน

    หรือแม่จะโกหกข้า  ไม่มีทาง แม่ไม่โกหก  ข้าไม่เคยสงสัยในข้อนั้น

     

    ทุกวันที่ข้าเดินทาง ข้าเริ่มรู้จักตัวเองมากขึ้นทุกวัน

     

    ข้ารับรู้ว่าตัวเองว่องไวขึ้นทุกที  แข็งแรงขึ้น    ดวงตาข้ามองเห็นในที่มืดชัดขึ้น  รับรู้กลิ่นได้ไกลขึ้น  ได้ยินเสียงที่ไม่น่าจะได้ยิน   ข้าเดินทางไปเรื่อยๆจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง เผ้าถามหา โยเดียไปเรื่อย  ไม่หิว ไม่เหนื่อย  ไม่อ่อนแรง

     

    วันหนึ่ง  ข้าหลังจากถามหาโยเดีย มีคนบอกว่ารู้จักคนที่รู้ ข้าเดินตามเขาไปโดยไม่ระแวง  ทันที่รู้ตัวว่ามีคนล้อมข้าอยู่ ข้าก็โดนรวบตัวจากด้านหลัง และพยามกดตัวข้าลงกับพื้น มือหยาบช้าของพวกมันปิดปากข้าไว้ พวกมันมีห้าคน   มันคนหนึ่งที่กดตัวอยู่บนข้าพยามฉีกเสื้อของข้า  ข้าตัดสินใจใช้มือข้างเดียวที่เป็นอิสระผลักเต็มแรง  มันผู้นั้นลอยกระเด็นไปชนกับกองไม้ และไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย  ข้าอาศัยจังหวะที่พวกมันตื่นตะลึงสลัดตัวหลุด ก่อนจะชักดาบของพ่อ

     

    ข้ากลัว ข้าตั้งดาบขึ้น  ข้าไม่ยอมตายจนกว่า จะเห็น โยเดีย

     

    พวกมันหัวเราะ  คนหนึ่งฟาดดาบมาที่ข้า ข้ากลัวเจ็บจึงหลับตา แต่ก็พบว่าเนิ่นนานเกินไป ความเจ็บยังคงไม่มาถึง

    พวกมันเปลี่ยนใจงั้นหรือ.......

    แต่ข้าก็พบว่าไม่ใช่   ทุกสิ่งราวกับถูกแช่ในน้ำแข็ง  พวกมันเป็นยืนนิ่งไม่ไหวติง   แม้แต่ใบไม้ที่ล่วงหล่นก็ยังค้างในอากาศ

    แต่ทว่าเมื่อมองให้ดี ดาบของมันเลื่อนลงมา  แต่ มันช้ามากต่างหาก จึงมองเห็นว่ามันแทบหยุดเคลื่อนไหว

     หากเนิ่นนานไปดาบคงมาถึงตัวข้า

    ความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว

    ไม่ฆ่าก็ถูก ฆ่า 

    ข้าตัดสินใจลงดาบ

    เลือดมากมายสาดกระเซ็น ทั้งเหม็นคาว และแดงยิ่งกว่าครั่งจากผืนดินใดๆ

    นั่น....เป็นครั้งแรกที่ข้าสังหาร

     

    จากนั้นข้าจึงเลิกไว้ใจผู้คน  เปิดประสาทแหลมคมของข้าถึงขีดสุด   ในโลกนี้ไม่มีใครไว้ใจได้อีกแล้ว

    ข้าหวาดกลัว

    ข้าหวาดระแวง

    ข้าไม่เคยหลับเต็มตา

    ข้าไม่เคยให้ดาบห่างจากตัว

     

    และแล้วในความพยามครั้งที่เท่าไหร่ ข้าเองก็ลืมเลือนมันไปแล้ว

    ในการถามครั้งสุดท้าย ที่ร้านเหล้าเก่าซอมซ่อแห่งหนึ่ง ข้าก็ได้รับคำตอบจากชายชราตาเดียว

    แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังคิดว่าคำถามนี้เหมือนคนบ้า แต่ทว่าข้ากลับได้รับคำตอบที่คาดไม่ถึง

     “ บางทีพวกสเปนอาจจะรู้ “

     

    “ แล้วพวกสเปนอยู่ที่ไหนล่ะ “  ข้าถามกลับไปอย่างร้อนรน

     

     “จงเดินทางลงใต้จนกว่าจะเจอทะเล และผู้คนที่ไม่พูดภาษาฝรั่งเศส “

     

    อย่างน้อยก็ดีกว่าไม่รู้อะไรเลย  ข้าตัดสินใจลงใต้ตามคำแนะนำ

    ตอนนั้น ข้าไม่รู้เลยว่านั่น จะทำให้ข้าได้พบกับเขา

     

    .......................................................................................................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×