ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    WONKYU 4 SECTION DUET

    ลำดับตอนที่ #1 : AUTHOR : 13ONTOP10 LOVE 001

    • อัปเดตล่าสุด 19 มิ.ย. 55













     Love 
    “แสนล้านนาที”
    Chapter 1: Puppy Love







    ท่ามกลางแดดอ่อนและลมเย็นที่โชยเอื่อยๆ ใบ้ไม้บนต้นไม้ใหญ่น้อยสั่นไหวบ้างก็ปลิวลู่ไปตามลม ในฤดูร้อนที่อากาศกำลังพอดี ไม่ร้อนจนเกินไปก็เหมือนสวรรค์ของบรรดาเด็กเล็กๆทั้งหลายที่อยู่ในช่วงปิดภาคเรียน ร่างเล็กๆต่างเพศที่วิ่งขวักไขว่ไปมาเต็มสนามเด็กเล่นของหมู่บ้านแลดูมีชีวิตชีวาสมวัย แต่มีอยู่หนึ่งคนนั่งนิ่งบนชิงช้าที่ไม่มีใครมาไกวให้ ได้แต่ปล่อยให้โซ่เหล็กที่ถักกันเป็นสายยึดชิงช้าไว้กับคานนั้นไหวเชื่องช้าตามแรงลม ร่างเล็กขาวจัดในชุดเอี๊ยมสีน้ำเงินมองไปยังเพื่อนวัยเดียวกันที่วิ่งเล่นอยู่ด้วยแววตาหมองหม่น ปากเล็กสีแดงฉ่ำบิดเบ้ออกเล็กน้อย ตากลมคลอไปด้วยน้ำตาเม็ดใสที่พร้อมจะหยดได้ทุกวินาที








    “นี่ๆ” เสียงเล็กจากใครอีกคนพร้อมกับนิ้วป้อมๆที่จิ้มไหล่จึ้กๆอยู่เรียกความสนใจของเด็กน้อยให้หันไปมองได้ในทันที ตากลมเบิกขึ้นนิดๆ






    “เรียกเราเหรอ?” เด็กชายผู้มาใหม่พยักหน้าหงึกหงัก






    “ใช่ๆ เราเรียกตัวเล็กนั่นแหละ..ทำไมตัวเล็กมานั่งคนเดียวล่ะ ไม่เห็นไปวิ่งเล่นเหมือนคนอื่นเลย” เอ่ยถามพร้อมกับเอียงคอ เห็นอีกคนตัวเล็กกว่าเลยเรียกตามตัวซะโดยไม่นึกจะถามชื่อแม้แต่น้อย คนตัวเล็กทำหน้ามุ่ย ปากจิ้มลิ้มสีสดบิดคว่ำนอดหน่อยอย่างขัดใจ





    “ก็.. เพื่อนผู้ชายไม่ยอมให้เราเล่นด้วยเพราะเราตัวเล็กที่สุด ต่อสู้ก็ไม่ชนะสัตว์ประหลาด ส่วนเพื่อนผู้หญิงก็บอกว่าเราน่ารักกว่า ถ้าเล่นด้วยกันแล้วเดี๋ยวเราได้เป็นแม่ เลยไม่มีใครให้เราเล่นด้วยเลย ฮึก..โฮฮฮฮ” พูดถึงสาเหตุที่ต้องมานั่งเหงาคนเดียวแล้วก็ร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลพรากเป็นน้ำป่าไหลหลากเสียอย่างนั้น ร้อนถึงเพื่อนใหม่ตัวโตต้องเข้าไปกอดปลอบ






    “อย่าร้องไห้เลยนะตัวเล็ก ใครไม่เล่นกับตัวเล็กไม่เป็นไร เดี๋ยวเราเล่นกับตัวเล็กเอง เป็นเพื่อนกันนะ”  มือป้อมๆตีหลังคนตัวเล็กดังเบา ๆ เป็นเชิงปลอบ คนตัวเล็กดันตัวเองออกจากอ้อมกอดของเพื่อนใหม่ เช็ดน้ำตาให้ตัวเองก่อนจะยิ้มหวานให้คนตรงหน้า






    “ตัวโตจะเล่นกับเราจริงๆเหรอ อย่าโกหกนะ” เพื่อนใหม่ที่ได้ชื่อว่าตัวโตพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าตกลง






    “อื้อ เราไม่โกหกหรอก คุณแม่สอนไว้ว่าโกหกตกนรก”






    “สัญญานะ” คนตัวเล็กยกนิ้วก้อยขึ้นมาชูระดับสายตาของคนตัวโต เมื่ออีกคนยกนิ้วก้อยขึ้นมาเกี่ยวก็ยิ้มกว้างอย่างดีใจ 






    “สัญญาว่าจะเป็นเพื่อนกับตัวเล็กตลอดไปนะ” เด็กน้อยตัวโตบอกแล้วก็ยื่นหน้าเข้าไปจุ๊บแก้มป่องๆของคนตัวเล็กอย่างขวยเขิน แก้มแดงลอยเด่นยั่วตาซะจนเด็กน้อยอดใจไม่ไหว ส่วนคนโดนหอมก็นั่งตาโตเอามือกุมแก้มและบิดไปมาด้วยความเขิน






    “ว่าแต่..ตัวเล็กเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเหรอ เราจะได้ชวนเล่นถูก”






    ง่ะ..






    ตากลมป๊อกช้อนมองเพื่อนตัวโตแล้วทำปากยื่น กระโดดลงมาจากชิงช้ามายืนอยู่ตรงหน้าเพื่อนใหม่ตัวสูง หน้าเล็กเงยมองอีกคนก่อนจะคว้าเอามือที่ตกอยู่ข้างตัวมาแปะหมับเข้าที่เป้ากางเกงของตัวเอง






    “เห้ยย! ตัวเล็กทำอะไรอ้ะ” ร้องด้วยความตกใจก่อนชักมือออกและสะดุ้งโหยง คนตัวเล็กยิ้มแฉ่งคล้ายไม่รู้สาอะไรสักนิดกับการกระทำอันอุกอาจเมื่อครู่






    “ก็ตัวโตถามว่าเราเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง เราก็ให้คำตอบแล้วไง” 






    “ตัวเล็กตอบดีๆก็ได้ ไม่เห็นต้องเอามือเราไปจับช้างน้อยของตัวเล็กเลยนี่นา” บอกพร้อมกับพวงแก้มแดงก่ำเพราะความเขิน คนตัวเล็กหัวเราะคิกคัก






    “คิคิ.. ไม่เห็นต้องเขินเลยนี่นาตัวโต เราเป็นผู้ชายเหมือนกันนะ” พอยิ้มได้หน่อยก็เอาใหญ่ ขยับตัวเข้าไปชิดคนตัวโตอีกนิด มือเล็กขาวจั๊วะยื่นไปเกาคางอีกฝ่ายเบาๆ






    “อ๋า..ตัวโตเขินเราเหรอ อย่าเขินเลยน๊า” เสียงเล็กเอ่ยล้อเลียนแล้วก็ฉีกยิ้มหวานให้ เห็นเพื่อนตัวโตยื่นนิ่งไม่ขยับเสียทีก็ดึงมือออกไปเล่นตรงบ่อทราย คนตัวเล็กนั่งแหมะลงกับพื้นดินแล้วกระตุกมือคนตัวโตให้นั่งลงด้วยกัน จากนั้นมือน้อยก็กอบทรายใส่แม่พิมพ์ที่วางเกลื่อนอยู่แถวนั้น อัดดินให้แน่นแล้วคว่ำลงให้เป็นรูปทรง






    “หายเขินได้แล้วน่า มาเล่นให้สนุกกันดีกว่านะตัวโต” เห็นอีกคนยังจ้องตัวเองตาไม่กระพริบอยู่ก็ยู่ปากงอน มือน้อยที่หาความสะอาดไม่เจอแล้วยกขึ้นป้ายแก้มนิ่มของเพื่อนตัวโตเสียอย่างนั้น






    “อ๊ะ!! ตัวเล็กแกล้งเราเหรอ” เริ่มมีปฏิกิริยาตอบรับบ้างเพราะหายงอนแล้ว ก็เพื่อนใหม่ตัวเล็กน่ารักซะขนาดนี้ ใครจะไปงอนได้นานล่ะ แค่หันไปเจอตาแป๋วกลมใสนั่นจ้องมาเด็กน้อยตัวโตก็รู้สึกเหมือนจะย้วยลงดินทุกที






    “เราไม่ได้แกล้งน้า เราอยากให้ตัวโตมาเล่นด้วยกันมากกว่า นี่ๆ มาทำปราสาททรายกันเถอะ” เอ่ยชักชวนด้วยน้ำเสียงร่าเริงสุดขีดและเริ่มต้นทำไอ้สิ่งที่เรียกว่าปราสาททรายนั่นแหละ เพื่อนตัวโตที่นั่งนิ่งๆในตอนแรกบัดนี้กลับช่วยกันกอบทรายอย่างสุดฝีมือ เสียงหัวเราะใสกังวานดังไปทั่ว บ่งบอกให้รู้ว่ามิตรภาพอันงดงามและบริสุทธิ์สดใสได้ก่อตัวขึ้นพร้อมกับปราสาททรายจากมือน้อยๆทั้งสี่ข้างนั้นแล้ว






    ----Love----






    เป็นภาพที่เห็นจนชินตาไปเสียแล้วสำหรับเด็กผู้ชายหน้าตาน่ารักค่อนไปทางจิ้มลิ้มที่มักจะใส่ชุดเอี๊ยมมาแต่ละวันสีไม่ซ้ำกันนั่งเล่นอยู่กับเด็กผู้ชายอีกคนที่ตัวสูงกว่าและมีท่าทางว่าจะหล่อตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าคนหนึ่งจะเดินไปทางไหนก็จะมีอีกคนหนึ่งเดินตามกันเสมอ เรียกได้ว่าเป็นเงาตามตัวเลยล่ะ 






    “นี่ตัวโต บ้านตัวโตอยู่ไหนเหรอ ทำไมเราเพิ่งเคยเจอกันล่ะ?” เสียงเล็กๆของคนตัวเล็กที่นั่งปั้นดินน้ำมันอยู่บนพื้นหญ้าเอ่ยถามเพื่อนตัวโต คนถูกถามไม่ให้รอคำตอบนาน เพราะหน้าหล่อแต่เด็กนั้นเผยอยิ้มหวานใส่ตากลมใสราวกับลูกแก้วแล้วตอบฉะฉานว่า






    “เราเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรกเหมือนกัน จริงๆบ้านเราอยู่ในเมืองใหญ่ๆที่มีแต่ตึกสูงๆเต็มไปหมดเลย ตัวเล็กรู้จักหรือเปล่า?” คนตัวเล็กทำหน้ามุ่ย






    “ไม่รู้จักหรอก แล้วตัวโตจะอยู่ที่นี่อีกนานมั๊ย?”






    “คงนานนั่นแหละ อาจจะอยู่ตลอดไปด้วย” ตากลมของคนตัวเล็กเบิกให้กว้างขึ้นด้วยความตื่นเต้น






    “จริงนะ? ตัวโตจะอยู่ที่นี่ตลอดไปจริงๆนะ อย่าโกหกเรานะ” ทิ้งดินน้ำมันสีสดในมือและโผเข้าไปหาเพื่อนตัวโตอย่างดีใจจนอีกคนหัวเราะ






    “ฮ่าๆ ตัวเล็กดูตื่นเต้นจังเลยเนอะ จริงๆสิ เราจะอยู่กับตัวเล็กตลอดไปนะ” เด็กน้อยสองคนกำลังส่งยิ้มให้กันด้วยความยินดีที่จะได้เห็นหน้ากันทุกวัน ทั้งๆที่ไม่รู้หรอกว่าความจริงแล้วที่บ้านของแต่ละคนเป็นยังไง แต่ในความคิดของเด็กเจ็ดขวบก็คงไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าการได้มีเพื่อนเล่นที่รู้ใจกันแทบทุกเรื่อง คนหนึ่งพูดอะไรอีกคนก็ไม่เคยขัด ตามใจและให้ท้ายกันตลอดทั้งที่เพิ่งรู้จักและเพิ่งเคยเห็นหน้ากันแท้ๆ 






    “นี่! ไอ้เตี้ยตาโต ได้เพื่อนใหม่แล้วทำเป็นลืมกันเหรอ? เล่นกับเพื่อนใหม่ไม่เห็นหัวกันเลยนะ นายรู้มั๊ยว่าที่นี่ใครใหญ่” ประโยคสุดจะหาเรื่องดังมาจากเด็กผู้ชายตัวสูงกว่าคนตัวเล็กนิดหน่อยเท่านั้น ทั้งคนตัวโตและคนตัวเล็กหันขวับไปมอง ตากลมทอประกายหวาดหวั่นเมื่อเห็นว่าเป็นใครที่เดินมาถามด้วยท่าทีสุดจะกร่าง (ตามประสาเด็ก) พร้อมกับเด็กผู้ชายตัวเท่าๆกันอีกสองคนที่ดูเผินๆเหมือนลิ่วล้อยังไงชอบกล คนตัวโตเงยหน้ามองแล้วลุกขึ้นยืน ด้วยความสูงที่ต่างกันและพอจะข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามได้ก็ทำให้คนที่เข้ามาหาเรื่องถอยหลังไปหน่อยหนึ่ง มือเล็กป้อมฉุดมือน้อยของเพื่อนตัวเล็กและดึงให้ยืนขึ้น อาจจะขี้ขลาดไปเสียหน่อยจึงหลบอยู่ข้างหลังและโผล่แค่เสี้ยวหน้าออกมาดูเท่านั้น จะให้ทำไงได้ล่ะ ก็คนมันกลัวนี่นา






    “ใครใหญ่เราไม่สนหรอก แต่นายอย่ามายุ่งกับตัวเล็กของเรานะ” ไม่ได้มีความกลัวอยู่ในน้ำเสียงแม้แต่น้อย ถึงจะไม่เคยมีเรื่องกับเพื่อนวัยเดียวกันมาก่อน แต่เพื่อเพื่อนตัวเล็กแล้ว เด็กน้อยตัวโตหน้าหล่อขอสู้ตาย!






    “เอ่อ.. ไม่ยุ่งก็ได้ ..ไปพวกเรา กลับ!!” เห็นท่าทางเอาจริงของเด็กใหม่ที่ไม่คุ้นหน้าเอาซะเลยก็หันไปบอกบรรดาเพื่อนๆให้เดินกลับไปยังที่ก่อนหน้านี้ที่เล่นกันอยู่ ถึงคนเยอะกว่าก็จริง แต่อีกฝั่งตัวสูงใหญ่กว่านี่นา ไม่อยากเอาแผลไปฝากแม่ที่บ้านหรอกนะ เผลอๆจะโดนตีซ้ำอีกต่างหาก 






    เสียงถอนหายใจดังเฮือกหลุดออกมาจากจมูกเล็ก คนตัวโตกว่าหันกลับไปหาเพื่อนที่ทำตัวเป็นลูกลิงเกาะหลังตัวเองไว้อยู่ มือเล็กยกลูบหัวอีกคนเบาๆ






    “ตัวเล็กกลัวใช่มั๊ย?”






    “กลัวสิ พวกนั้นไม่ยอมให้เราเล่นด้วยไม่พอ ยังตามมาหาเรื่องอีก นิสัยไม่ดีเลย” เสียงเล็กบ่นกระปอดประแปด มือน้อยยังคงยึดเสื้อยืดของเพื่อนตัวโตไว้ไม่ยอมปล่อย แม้ว่าอีกฝ่ายจะหันหน้ามาหาแล้วก็เถอะ






    “อื้อ นิสัยไม่ดีเลย แต่ตัวเล็กไม่ต้องไปสนใจนะ ต่อจากนี้จะไม่มีใครหาเรื่องตัวเล็กได้แล้ว เราจะปกป้องตัวเล็กเองนะ” เจ้าของตากลมเอียงคอด้วยความสงสัย 






    “ปกป้อง? แบบไหนเหรอตัวโต” ตาโตจัดจ้องมองนิ่งเสียจนเพื่อนตัวโตหน้าแดง พวงแก้มอิ่มซับสีเลือดเปล่งปลั่ง ยังเด็กเกินกว่าจะรู้ว่าอาการนี้คืออะไร แต่ที่แน่ๆ เห็นอีกคนทำหน้าเหมือนแมวมองมาแบบนี้ อยากจะม้วนตัวลงบ่อจริงๆเลย *น่ารัก* 






    “ก็..แบบ เป็นแฟนกันไง ตัวโตเคยได้ยินพี่สาวบอกว่า ถ้าเป็นแฟนกันต้องปกป้องกัน เพราะงั้น ..ให้เราปกป้องดูแลตัวเล็กแบบแฟนนะ เราเป็นแฟนกันเถอะ” เอ่ยชวนด้วยใบหน้าสุกปลั่งยิ่งกว่าผลสตรอเบอร์รี่เสียอีก แทนที่คนถูกขอเป็นแฟนจะเขิน แต่เด็กตัวโตกลับยืนบิดไปมาพร้อมกับแก้มที่แทบปริเพราะรอยยิ้มเสียอย่างนั้น 






    คนตัวเล็กกว่ายิ้มกว้าง หัวเล็กผงกขึ้นลงหลายๆทีเหมือนจะยืนยันคำตอบ






    “อื้ออ ตกลง เราจะเป็นแฟนกับตัวโตนะ” 






    ----Love----






    หลังจากวันที่ตกลงเป็นแฟนกัน (แก่แดดเหลือเกิน) สองคนตัวโตกับตัวเล็กก็ตัวติดกันหนุบหนับยิ่งกว่าเดิมเสียอีก นัดเจอกันทุกวันที่สวนสาธารณะของหมู่บ้าน เรียกได้ว่าวันไหนที่ไม่ได้เห็นหน้ากันจะเกิดอาการหงุดหงิดงอแงจนคนที่บ้านต้องพามาส่ง แม้ว่าต่างคนต่างก็ไม่เคยได้ไปบ้านของอีกฝ่ายและไม่รู้ว่าบ้านของแต่ละคนอยู่ส่วนไหนของหมู่บ้านด้วยซ้ำ แต่มิตรภาพและความผูกพันที่ทั้งสองคนช่วยกันถักทอมันกลับแน่นแฟ้นขึ้นเรื่อยๆ จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน กระทั่งย่างเข้าเดือนที่สองที่ได้รู้จัก(และเป็นแฟน)กัน วันหนึ่งในขณะที่อากาศร้อนจนแทบละลาย คนตัวเล็กที่นั่งเลียไอศกรีมรอคนตัวโตมาเล่นด้วยเหมือนเดิมนั้นก็เลิกคิ้วด้วยความแปลกใจนิดๆ เมื่อคราวนี้แฟน(?)หนุ่ม(?)ของตัวเองมีกล้องถ่ายรูปคล้องคอมาด้วย 






    “ตัวโต เอากล้องมาทำไมอ่ะ” เอ่ยทักเป็นคำแรก ทั้งสงสัยทั้งอยากรู้ 






    “เอามาถ่ายรูปเราสองคนเก็บไว้ไงตัวเล็ก เวลาที่เราไม่เจอหน้ากัน ดูรูปแล้วจะได้คิดถึงกันไง” บอกด้วยถ้อยคำที่ดูผู้ใหญ๊ผู้ใหญ่ราวกับไปจำใครมาอย่างนั้น คนตัวเล็กหงึกหน้าพร้อมกับกลืนไอศกรีมคำสุดท้ายลงคอไป 






    “แล้วจะถ่ายยังไงอ่ะ ให้ใครถ่ายให้เหรอ” ถามเพราะไม่เข้าใจจริงๆ คนตัวโตยิ้มร่าแล้วยักไหล่เหมือนกับว่าเป็นเรื่องง่ายมากกับการที่จะหาใครมาถ่ายรูปให้ หันซ้ายหันขวาก็เจอผู้หญิงคนหนึ่งเดินจูงมือเด็กอายุไล่เลี่ยกันผ่านมา ไม่รอช้าขายาวเกินวัยก็ก้าวเข้าไปโค้งให้และแจ้งความประสงค์ทันที






    “คุณน้าครับ ช่วยถ่ายรูปให้ผมสองคนหน่อยได้มั๊ยครับ” พูดจาไพเราะพร้อมกับท่าทางที่อ่อนน้อม ไม่ยากเลยกับการที่จะขอความช่วยเหลือจากใคร หญิงสาวที่ถูกขอให้ช่วยพยักหน้าพร้อมกับยิ้มให้อย่างใจดี หันไปบอกลูกของตัวเองให้ยืนรอเฉยๆ และก็หันกลับมารับกล้องจากเด็กตัวโต






    “พร้อมหรือยังจ๊ะ?”






    “พร้อมแล้วครับ”






    “โอเคจ๊ะ เอ้า..ไปยืนข้างกันได้แล้ว น้าจะนับนะ..หนึ่ง..สอง...” เสียงนับช้าๆเพื่อให้เด็กน้อยสองจัดท่าทางในการถ่ายรูปให้ทัน แต่เด็กน้อยก็คือเด็กน้อยวันยังค่ำ ก็ไอ้ท่ายืนตรงมือแนบลำตัวเหมือนจะซ้อมถ่ายบัตรประชาชนนี่สิมันทำให้รู้สึกว่าช่างน่ารักเสียนี่กระไร ใบหน้ากลมแป้นแล้นของเด็กทั้งคู่ฉีกยิ้มจนตาแทบปิด กระทั่งหญิงสาวนับสามและกดชัตเตอร์ กระดาษอัดรูปแผ่นน้อยก็ไหลออกมาจากตัวกล้องช้าๆ นิ้วเรียวคีบไว้และสะบัดไปมาในอากาศเล็กน้อย จากนั้นก็ค่อยๆปรากฏสีสันขึ้นมาและกลายเป็นรูปของเด็กทั้งคู่ในที่สุด






    “คุณน้าครับ ขอรบกวนอีกรูปนะครับ เราจะเก็บไว้คนละใบ” เสียงพินอบพิเทาของเด็กตัวโตเอ่ยบอกผู้ใหญ่ใจดีตรงหน้า แถมท่าทีสุดเกรงใจเท่าที่เด็กไม่ถึงสิบขวบคนหนึ่งจะทำได้มันก็ทำให้คนถูกขอร้องยิ้มแก้มแทบปริ






    “ได้สิจ๊ะ คราวนี้กอดคอกันหน่อยเร้ววว เมื่อกี้ยืนทื่อไปนะลูก เอ้า..หนึ่ง สอง สาม” เสียงชัตเตอร์ดังขึ้นอีกครั้งและกระบวนการเดิมก็เริ่มต้นใหม่อีกรอบ เด็กน้อยสองคนเดินเข้าไปหาหญิงสาวด้วยสีหน้าตื่นเต้น อยากจะเห็นนักว่ารูปจะออกมาเป็นแบบไหน






    “นี่จ๊ะ น่ารักทั้งคู่เลย เป็นแฟนกันหรือเปล่าเนี่ย?” อดถามไม่ได้ รู้อยู่หรอกว่าเป็นเด็กผู้ชายทั้งคู่ แต่ท่าทางสนิทสนมกันขนาดนี้ก็น่าแซวใช่เล่น






    “ครับ ผมกับตัวเล็กเป็นแฟนกัน ขอบคุณคุณน้ามากนะครับ” เด็กชายตัวโตตอบพร้อมรอยยิ้มเอียงอายประสาเด็ก มือเล็กยื่นรับกล้องมาคล้องคอและรับรูปทั้งสองใบมาไว้ในมือ แว่วเสียงหัวเราะจากผู้ใหญ่ตรงหน้าก็เงยหน้ามองอีกครั้ง






    “แหม น่ารักจริงๆ ยอมรับว่าเป็นแฟนกันด้วย ยังไงก็รักกันนานๆนะจ๊ะ น้าไปแล้วนะ บ๊ายบาย..” อวยพรด้วยความเอ็นดูมากกว่าจะจริงจังอะไร เด็กน้อยสองคนโค้งให้เธอและโบกมือลาจนกระทั่งเธอเดินลับตาไป คนตัวเล็กถึงได้เอ่ยปากขอดูรูป






    “ตัวโต เราอยากเห็นแล้ว เอารูปมาดูหน่อยซี่”






    “อื้อ ..อ่ะนี่ ตัวเล็กเลือกเอาเลยนะ อยากได้รูปไหน” ทำตามคำร้องขอแต่โดยดีพร้อมกับยื่นรูปทั้งสองใบให้คนตัวเล็กเอาไปพิจารณา หัวเล็กเอียงซ้ายขวาพร้อมกับปากสีสดที่ยืดเข้ายืดออกเหมือนจะคิดไม่ตก รูปยืนตรงก็ชอบ รูปกอดคอก็ชอบ..






    “งั้นเราขอรูปนี้แล้วกันนะ” ยกรูปที่กอดคอกันขึ้นมาชูไว้ระดับสายตาอีกคนก่อนจะยัดเข้ากระเป๋าเอี๊ยมสีเขียวที่ใส่อยู่ ส่วนอีกใบก็ยื่นส่งให้คนตัวสูงกว่า






    “วันนี้เราจะเล่นอะไรกันดีล่ะตัวเล็ก” เมื่อเก็บรูปไว้อย่างดีแล้วเด็กตัวโตก็เอ่ยถาม เพราะเจอหน้ากันทุกวันนี่ก็เล่นกันสารพัดอย่างแบบแทบไม่ซ้ำแล้ว จะให้ไปคลุกดินคลุกทรายก็ไม่อยากเสี่ยงทำกล้องของพี่สาวพัง ทั้งสองคนเลยได้แต่นอนคุยกันอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้เท่านั้น






    “ไม่ต้องเล่นก็ได้ แค่เราได้อยู่ใกล้ๆตัวโตก็พอแล้ว”






    “คิคิ ตัวเล็กปากหวานเนอะ”






    “แน่อยู่แล้วสิ เออนี่ตัวโต.. เกือบลืมแหน่ะ พรุ่งนี้เราคงไม่ได้มาเจอตัวโตวันนึง คุณพ่อบอกว่าจะพาไปเยี่ยมคุณย่าที่ต่างจังหวัด ตัวโตจะเหงาหรือเปล่า” เพิ่งนึกได้ในสิ่งที่เพิ่งรับรู้มาเมื่อเช้า ก่อนออกจากบ้านจะมาเล่นกับเพื่อนตัวโต (ที่ตอนนี้เป็นแฟนกันแล้ว) คุณแม่ของเด็กน้อยตากลมตัวเล็กได้กำชับว่าพรุ่งนี้จะต้องไปต่างจังหวัดแต่เช้า เพราะฉะนั้นอย่ากลับบ้านให้เย็นนักในวันนี้ 






    คนตัวโตขยับตัวตะแคงข้างหันมาหาแฟน(?)สาว(?)ในชุดเอี๊ยมที่นอนทำตาแป๋วอยู่ด้วยสีหน้าหม่นๆ






    “อ่า จริงเหรอ ...งั้นเราก็คิดถึงตัวเล็กแย่เลยสิเนี่ย”






    “วันเดียวเองนะตัวโต อย่าคิดมากเป็นเด็กไปหน่อยเลย” พูดออกมาราวกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่อย่างนั้นล่ะ มือเล็กข้างหนึ่งยื่นไปลูบแก้มอีกฝ่ายเบาๆเหมือนจะปลอบ






    “เรากลัวไม่ได้เจอตัวเล็กอีกนี่นา” พูดแล้วก็ทำหน้ามุ่ย ท่าทางจะกลัวจริงๆนั่นแหละ แต่ก็เป็นความกังวลทั่วไปตามประสาเด็กน้อยที่ไม่รู้ภาษาอะไรนัก






    “ต้องเจอสิ.. ตัวโตเคยบอกเราว่าจะอยู่กับเราตลอดไป เราเองก็จะอยู่กับตัวโตตลอดไปนะ” ให้คำมั่นพร้อมรอยยิ้มกว้างโชว์ฟันซี่เล็กๆเต็มปาก คนตัวโตที่กลัวไปล่วงหน้าแล้วนั้นค่อยๆเผยอยิ้มออกมาได้บ้าง






    “นี่ตัวเล็ก”






    “หืออ”






    “เรารักตัวเล็กนะ” สังเกตเห็นว่าอยู่ๆแก้มกลมของคนตรงหน้าอยู่ดีๆก็มีสีชมพูเข้มลามเป็นปื้นเต็มแก้มเสียอย่างนั้น คนถูกบอกรักยกมือขึ้นมาปิดหน้าทำท่าเอียงอายราวกับสาวน้อยวัยแรกรุ่นที่โดนหนุ่มมาสารภาพรักยังไงยังงั้น ทำเสียงอู้อี้ขลุกขลักอยู่ในคอพักใหญ่ก็เปิดปากพูดบ้างว่า






    “เราก็รักตัวโตเหมือนกัน” บอกจบปุ๊บต่างคนก็ต่างเขิน คราวนี้นอนม้วนไปมาบนผืนหญ้านุ่มอย่างไม่รู้จะพูดอะไรต่อ ความรักแบบเด็กๆที่เอ่ยบอกกันมันคงดูไร้สาระสำหรับผู้ใหญ่หรือใครก็ตามที่มาได้ยิน หากคนที่รู้ดีที่สุดว่ามันจริงจังและยิ่งใหญ่แค่ไหน (ในความคิดของเด็กน่ะนะ) ก็คงมีแค่สองคนเท่านั้นกระมัง






    หนึ่งก็คือคนบอก และสองก็คือ...คนฟัง  






    ----Love----






    “หนู..ทำไมวันนี้กลับบ้านเย็นนักล่ะลูก”






    “หนู..ทำไมไม่ค่อยกินข้าวเลยครับ เป็นอะไรไป”






    “หนู..พักนี้ไม่ค่อยยิ้มเลยนะลูก ใครรังแกอะไรหนูมาหรือเปล่า?”






    “หนู..ออกไปเล่นกับเพื่อนมาแต่ทำไมหน้าตาบูดบึ้งจังเลยครับ เพื่อนทำให้ไม่พอใจเหรอ?”






    สารพัดคำถามจากคุณแม่ผู้อารีดูเหมือนจะไม่เข้าหูของเด็กน้อยวัยเจ็ดขวบที่นั่งจ้องรูปถ่ายด้วยตาแดงก่ำมาเป็นอาทิตย์เลยด้วยซ้ำ ก็หลังจากวันที่ไปเยี่ยมคุณย่าที่ต่างจังหวัดและกลับมาถึงบ้านแล้ว เด็กตัวเล็กตากลมแก้มป่องที่มักจะมียูนิฟอร์มประจำตัวเป็นชุดเอี๊ยมใส่กับเสื้อยืดนั้นก็เตรียมพร้อมจะออกไปเจอคนตัวโตเหมือนทุกวันตามปกติ แต่แล้วก็ต้องพบกับความผิดหวังเป็นครั้งแรกในชีวิต เมื่อสนามเด็กเล่นของหมู่บ้านไม่ปรากฏร่างสูงใหญ่ของเพื่อนตัวโตเหมือนทุกที






    ร่างเล็กนั่งชะเง้อชะแง้แลหาเผื่อว่าคนตัวโตอาจจะโผล่มาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่จนแล้วจนรอด วันทั้งวันก็ต้องนั่งหงอยอยู่กับที่ รู้สึกโดดเดี่ยวเสียยิ่งกว่าตอนที่ไม่เพื่อนเล่นด้วยก่อนที่จะมาเจอกันเสียอีก






    “ตัวโต..ทำไมวันนี้ไม่มาหาเราเลย..” เสียงเล็กได้แค่รำพันด้วยความเศร้าหมอง นั่งไกวชิงช้าเหงาๆเพราะคิดถึงคนที่เข้ามาแชร์พื้นที่หัวใจไปแล้วเรียบร้อย โชคดีที่ไม่มีเด็กเกเรกลุ่มไหนกล้าเข้ามาหาเรื่องอีก คงต้องยกผลประโยชน์ให้คนตัวโตนั่นแหละนะ เพราะออกโรงปกป้องแค่ครั้งเดียวแต่กลับใช้ได้ผลตลอดชีวิต






    นั่งรอจนแทบจะหลับคาชิงช้า รู้สึกตัวอีกทีท้องฟ้าก็เป็นสีส้มเพราะใกล้ค่ำเต็มที คิดได้ตามประสาเด็กว่ารอต่อไปอีกคนก็คงไม่มาแน่ๆ ร่างเล็กจึงได้แต่เดินห่อไหล่ลากขากลับบ้านด้วยความเสียใจ พร้อมกับความหวังว่าพรุ่งนี้อีกคนก็คงจะมา






    แต่คนตัวโตก็ไม่มาให้คนตัวเล็กเห็นหน้าอีกเลย






    ไปนั่งเฝ้านั่งรอน้ำตาคลอแทบทุกวันตรงที่ประจำที่ใช้นัดพบกันด้วยความหวังลมๆแล้งๆว่าเดี๋ยวอีกคนก็โผล่มาเองนั่นแหละ แต่สมองน้อยๆก็จำได้ว่าตัวเองรอใครอีกคนมาเกือบเดือนแล้ว มานั่งรอเงียบๆพร้อมกับรูปถ่ายใบที่อีกคนให้มา นั่งมองแต่รูปจนไม่สนใจแม้กระทั่งจะมีเพื่อนบางคนมาชวนไปเล่นด้วยกันแล้ว ร่างเล็กเอาแต่ส่ายหัวปฏิเสธเพราะรู้ว่าเล่นกับใครก็ไม่สนุกเท่าเล่นกับเพื่อนตัวโตหรอก






    คนตัวเล็กรอ... รอจนกระทั่งวันสุดท้ายที่ได้อยู่ที่นี่






    “หนู..จะไปไหนลูก อีกชั่วโมงนึงรถก็จะออกแล้วนะครับ” เสียงหวานของผู้เป็นแม่เอ่ยท้วงเมื่อเห็นลูกชายตัวเล็กของตนกำลังจะก้าวขาออกจากรั้วบ้านในวันที่แสนจะวุ่นวายแบบนี้ ..รถหกล้อสองสามคันที่จอดอยู่หน้าบ้านพร้อมกับกล่องหลายใบที่บรรจุของสำคัญสำหรับการย้ายบ้านไว้ถูกลำเลียงใส่หลังรถอย่างระมัดระวังทีละกล่อง ด้วยหน้าที่การงานของผู้เป็นสามีที่ขยับขยายได้ย้ายตำแหน่งขึ้นสูงและต้องเข้าไปทำงานในกรุงโซล จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องย้ายบ้านตามกันไปหมดทั้งครอบครัว รวมไปถึงย้ายโรงเรียนให้ลูกชายคนเดียวด้วย เป็นอันแน่นอนว่าครอบครัวนี้คงขายบ้านทิ้งและจะไม่ได้กลับมาอยู่ที่นี่อีกแล้ว







    คนตัวเล็กชะงักและหันไปตอบผู้เป็นแม่ด้วยเสียงเงื่องหงอยว่า







    “คุณแม่แวะรับหนูที่สนามเด็กเล่นนะฮะ หนูจะรออยู่ที่นั่น” พูดจบก็ไม่รอคำตอบใดๆ ขาสั้นรีบก้าวออกไปจากบ้านและมุ่งตรงไปยังสถานที่ประจำที่เป็นแหล่งรวมเอาความทรงจำทั้งหลายของตัวเองไว้ทันที






    ไปถึงก็นั่งแหมะอยู่บนชิงช้า ที่แรกที่ได้เจอกันกับคนตัวโต ..ที่ๆเปรียบเสมือนกล่องเก็บความสุขของเด็กน้อยเอาไว้ รูปถ่ายใบเดิมถูกล้วงออกมาจากกระเป๋าเอี๊ยมอีกครั้งหนึ่ง ตากลมที่ไม่ได้สัมผัสกับคำว่าเป็นประกายใสมานานวันนั้นมีแววหมองหม่น มองรูปในมือนิ่งพร้อมกับปากอิ่มที่เบะน้อยๆ






    “เราไม่เชื่อหรอกนะว่าตัวโตจะไม่รักษาสัญญา เราจะรอตัวโตกลับมาหาเรานะ..ฮึก.. ฮืออ” เด็กน้อยว่าด้วยเสียงสั่นระริกก่อนจะปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร แม้จะมีเพื่อนวัยเดียวกันมายืนหัวเราะบ้าง ยืนมองบ้างแต่ก็ไม่สนใจ ในทุกความคิดของเด็กน้อยตอนนี้มีแต่เพื่อนตัวโตวิ่งวนอยู่เท่านั้น ความรู้สึกของเด็กเล็กๆคนหนึ่งที่รู้สึกเหมือนโดนเพื่อนทิ้งไปมันเจ็บปวดแบบที่ใครไม่โดนกับตัวก็ไม่เข้าใจ น้ำตาเม็ดเล็กไหล่เอ่อล้นขอบตาและนองเต็มหน้าไปหมด มือน้อยยกปัดปาดทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ สะอื้นฮักอยู่พักหนึ่งก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงบีบแตรอยู่ด้านหลัง หันกลับไปก็เห็นรถยนต์ของที่บ้านซึ่งขับนำหน้ารถบรรทุกสำหรับย้ายของนั้นจอดอยู่ไม่ไกลจากชิงช้านัก รู้ได้เลยว่าเวลาของตัวเองสำหรับที่นี่มันหมดแล้ว ตากลมกวาดมองภาพทั่วสนามเด็กเล่นให้หมดเหมือนจะให้อิ่ม เก็บทุกความทรงจำและสิ่งดีๆที่เคยเจอที่นี่ไว้ จากนั้นก็ยัดรูปถ่ายไว้ในกระเป๋าเสื้อ...ตรงอกข้างซ้าย แล้วก็เดินไปที่รถโดยไม่หันหลังกลับมามองอีกเลย 











     TBC… Love Chapter 2 >>>>>>>>>>>>>>


    แฮ่.. หวัดดีค่า คนอ่านทุกคนที่หลงเข้ามา
    ไม่พูดอะไรมากนะคะ ก่อนอื่นขอแนะนำตัวก่อน นัทเองค่า (13ontop10 หรือ JustWonKyu1013 นั่นแหละค่า) สำหรับใครที่เคยอ่าน Love Overload หรือ Way of love (ทางรัก) มาบ้างก็พอจะรู้จักคุ้นเคยกันบ้างนั่นแหละเนอะ แต่ถ้าใครที่ยังไม่เคยอ่านและมาเจอกับนัทเรื่องนี้เรื่องแรกก็ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ


    เอาเป็นว่า..ไม่เวิ่นมาก เพราะมันจะกลายเป็นยาวกว่าเนื้อหาฟิคไป ขอต้อนรับสู่โปรเจ็คต์ดูเอ็ทฟิคชั่นวอนคยู ในเซคชั่นแรก “รัก” นะคะ


    รัก..นี่จะออกแนวหวานๆหน่อย..มั้งนะคะ ฮ่าๆ 


    ตอนหน้าพบกันเซคชั่นที่สอง “โลภ” จากกวาง (XIAOMEI) นะคะ หวังว่าคนอ่านจะไม่งงกัน คือ รัก โลภ โกรธ หลง เรื่องละ 5 ตอนค่ะ แต่จะลงไม่ต่อกัน อธิบายง่ายๆนะคะ รัก ตอนที่ 1 จบ ต่อด้วย โลภ ตอนที่ 1 ต่อด้วย โกรธ ตอนที่ 1 และตามท้ายด้วย หลง ตอนที่ 1 ค่ะ พอวนครบแล้วก็จะเป็น รัก ตอนที่ 2 ไล่ไปแบบนี้ จนจบสมบูรณ์ด้วย หลง ตอนที่ 5 นะคะ (งงกันไหม?) หวังว่าคงจะไม่ทำให้งงไปกว่านี้นะคะ เอาเป็นว่าติดตามอ่านด้วยเน้อออ :) 


    “รัก” คนอ่านค่ะ







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×