ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อาลาเบล้าโรงเรียนพิศวง

    ลำดับตอนที่ #1 : อารัมภบท

    • อัปเดตล่าสุด 6 ก.ย. 55


    อารัมภบท ณ ที่แห่งนี้คือปราสาทที่มีลักษณะและอัตลักษ์ที่แม้จะดูเก่าแก่เป็นพันๆปีก็ดูดีและมีสไตล์แม้จะเป็นสไตล์ที่ชวนให้ขนลุกก็ตามที่แต่ก็ดูสงอำนาจ ปราสาทแห่งนี้มียอดปราสาทแหลมและสูงลิบริ้ว ผนังปราสาทถูกทาด้วยสีดำ มีเถาวัลย์เลื้อยตามผนังภายนอกปราสาท ถัดจากปราสาทไปด้านหน้าอีกประมาณร้อยกว่าเมตร จะเป็นกำแพงที่ทำจากอิฐเรียงต่อกันจนกลายเป็นกำแพง กำแพงนั้นมีตระใคร่น้ำจับ ถัดจากประตูกำแพงกำแพงไปข้างหน้าก็จะมีประตูอีกบานแต่ว่า...ประตูบานนั้นตั้งตระหง่านอยู่กลางทุ่งหญ้าที่มีเพียงดินยึดประตูเพียงเท่านั้นและห่างจากกำแพงมาอีกสามร้อยเมตรประตูนั้นทั้งด้านหน้าและหลังนั้นว่างเปล่า แต่เพิ่มความแปลกด้วย พรมแดงปูมาจากประตูบานนั้น ถ้าใครมาเห็นเข้าก็คงสงสัยว่า เอามาตั้งทำไม? เพื่อเหตุใด? แฟชั่นเหรอ? คงไม่งั้นเอามาทำไม? อากาศโดยรอบถึงแม้จะมีลมพัดเบาๆแต่ต่อเนืองก็อาจสามารถทำให้สั่นหรือแข่งไปเลยก็ได้ และด้วยสภาพอากาศที่เรียกว่า ”เย็นยะเยือก”และบวกกับสถานที่ที่ทำให้ขนลุกยิ่งสามารถทำให้คนที่อยู่บริเวณนี้สติแตกได้เหมือนกัน ทันใดนั้นเอง! เอี้ยด! และแล้วก็มีบุคคลคนหนึ่ง เปิดประตูออกมาจากประตูที่ว่างเปล่าทั้งหน้าหลัง เขาออกมาจากไหนกัน! คนที่เปิดประตูคือชายหนุ่มอายุราวๆ 30 ปีเจ้าของ เรือนผมสีเทาดูเงางามจงใจจะเซทผมให้ยุ่งฟู ใบหน้าเรียวยาว หูเรียวยาว จมูกโด่งแหลมได้รูป เขาใส่แว่นที่ดูไม่หนาเตอะจนเกินไป จึงที่ให้เห็นถึงนัยน์ตาสีน้ำตาลดูแวววาว และชายหนุ่มก็เดินไปตามพรมแดงไปเรื้อยๆจนผ่านประประตูกำแพง และแล้วก็เดินมาถึงประตูของปราสาทแห่งนี้ เอี๊ยด! เสียงดัง กึกก้องทั้งโถง ทันใดนั้น พรึบ! จากที่ข้างหน้ามืดสนิท ตอนนี้มีเปลวเพลิงก็ลุกขึ้น จากเทียนและโพรกเพลิงในห้องก็สว่างทันที่ ดูเหมือนเจ้าของปราสาทจะรู้แล้วว่า มีแขกรับเชิญผู้นี้มาเยือน ภายในปราสาทชั้นล่างมีห้องโถงซึ่งทำแบบสไตล์ อีตาลีผสมโรมันดูแปลกตาและถัดไปทางขวาจะเป็นบันได ชายหนุ่มเดินไปที่บันไดชายหนุ่มเดินไปที่บันได ตลอดทางเดินของบันใดนั้นมีแสงสว่างพอสลัวๆเพราะมีเพียงแสงจากเปลวเทียนเล็กๆตามทางเดินแต่แปลกที่ที่ไม่เคยละลายเลยเพราะดูจากรอยที่พื้นไม่มีสักหยดเดียวมีแต่น้ำตาเทียนที่เอ่อแต่ก็ไม่ล้นจน ทะลัก และแล้วก็เดินไปถึงชั้นบนสุดของปราสาทซึ่งมีประตูบานใหญ่ที่แกะสลักเป็นนกพิราบสองตัวกับต้นไม้ เอี๊ยด! ภายในห้องนี้มีกระเบื้องที่ดำสนิทปูตลอดทั้งห้อง เพดานยกสูง ตกแตงแบบโรมัน ตรงผนังห้องด้านขวามีรูปใบใหญ่ รูปนี้เป็นของชายหนุ่มอีกคนที่อยู่หน้าของชายผู้มาเยือน ชายตรงหน้าเขามีนัยน์ตาสีแดงดูเปล่งประกาย ผมสีแดงยาวประบ่า น่าเรียวยาว ปากขนาดปลานกลางสีน้ำตาลเข้ากับใบหน้า คงเหมือนหนุ่มในอายุ21-25ปี แต่ที่จริงเขาอายุตง27,100ปีเลยทีเดียว . . . “ท่านมีอันใดจะรับสั่งข้าน้อยหรือท่านอพอลโล” เขาทำสีหน้าเรียบเฉยและโค้งลงตัวเล็กน้อย “มาแล้วหรือคำบราว” อพอลโลกล่าว พร้อมหันไปทางคำบราวและหันไปทางหน้าต่างซึ่งอยู่ทางด้านซ้ายของเขาอีกครั้ง “ไอ้มีน่ะมีอยู่หรอก...ว่าแต่เรื่องอาลาเบล่าเรียบร้อยดีไหม” อพอลโลกล่าว เสียงสงบ “เรียบร้อยดีนี่ขอรับ” คำบราวเอ่ย ด้วยสีหน้าเรียบเฉยเช่นเคย“อืม...นักเรียนที่เข้ามาไหมมีกี่คนหรือ” อพอลโลเอ่ยถาม “1,700 คนขอรับ...ปีนี่ดาวที่ส่งมากที่สุดก็ แม้มเป้เช่นเคยขอรับและดาวที่ส่งหน่อยที่สุดก็คงจะเป็นดาวโลกเช่นเคยขอรับ” คำบราวกล่าว “แล้วเรื่องลูซิเฟอร์ล่ะ 7คนนั้นจัดการได้ไหมคำบราว”อพอลโลกล่าวสีน่าเรียบเฉย “เอ่อ...คือ ลีเบียร์...ตะตายแล้วขอรับ”คำบราวพูดเสียงสั่นอย่างสลด “อืม...งั้นแล้วศพเขาอยู่ไหน?”อพอลเอ่ยถาม “อยู่โรงพยาบาลเรชี่พิศวง อาคารลำลึกผู้ล่วงลับ รอให้ญาติเค้ามาขอรับ”คำบราวกล่าว “อืม...ไม่ต้องห่วงเขาต้องได้ขึ้นสวรรค์แน่นอน”อพอลโลพูดทำนองปลอบใจ “ข้าไม่นึกเลยว่าคนที่ข้าส่งไปเพื่อถ่วงเวลานั้น จะต้องไปเร็วขนาดนี้”อพอลโลทันใดนั้นคำบราวก็ต้องทำหน้าตกตลึงแกลมสงสัย “ถ่วงเวลา?”คำบราวทวนคำถามอย่างุนงง “ใช่ ถ่วงเวลา...จากที่ข้าทำนายจากอนาคตแล้ว จะมีคนทั้ง12 และใน12 คนนั้นจะมีอยู่4คน ที่จะมีสายเลือดแห่ง โพไซดอน อาร์เทมีส อะธีนาและเนรีสเท่านั้นที่จะสามารถขัดขวางแผนการของลูซิเฟอร์ที่คิดจะแย่ชิงคาถาแห่งจักวาลได้”อพอลโลกล่าวอย่างจิงจัง สถานการณ์ในตอนนี้เริ่มตรึงเครียดและแรงกดดันอันมหาศาลทำให้คำบราวถึงกับต้องอยุดหายใจไปครู่หนึ่ง เขาคอยถามกับตัวเองว่า คนคนพวกนั้นใครกัน? แล้วพวกนั้นอยู่ที่ไหนกัน? ลูซิเฟอร์จะช่วงชิงคาถาแห่งจักวาลจริงหรือ? คำถามมากมายยังคงวนเวียนอยู่ในหัว ของคำบราวจนหัวเขาแทบระเบิด “เอ่อแล้วแล้วเด็กพวกนั้นจะมาเมื่อไรหรือท่านอพอลโล”เขาพูดด้วยถ้าที่งุนงง “อีกไม่นานหรอกคำบราว เจ้าคงรู้นะว่าบุตรแห่ง เนรีสและอะธีนาคือใคร และที่เหลือจะตามมาที่หลัง”อพอลโลพูดพร้อมกับหันไปทางหน้าต่างอีกรอบ และพึมพำออกมาอีก “ไม่นานเกินรอหรอกคำบราว”อพอลโลพูดพร้อมยิ้มที่มุมปาก
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×