คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : IN THE「BLACK MEMORY」| PART I "HALF-SERAPH"
IN THE「BLACK MEMORY」
PART I "HALF-SERAPH"
“ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงวิญญาณกึ่งยมทูต ภายในหกสิบวัน เจ้าต้องพรากชีวิตเป้าหมาย หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้กลับไปมีชีวิตอีกครั้ง แต่ถ้าหากเจ้าทำไม่สำเร็จ ร่างเนื้อที่เป็นเจ้าชายนิทราของเจ้าในตอนนี้จะตาย เจ้าจะกลายเป็นวิญญาณที่รอวันกลายเป็นยมทูต”
นั่นเป็นคำอธิบายจากร่างสูงใหญ่ของชายหัวเกรียนที่ใส่ชุดคลุมสีดำสนิท ทั่วตัวประดับไปด้วยสายสร้อยและเครื่องแต่งกายที่ทำจากกระดูก ใบหน้ากร้านโลกมองโพยกระดาษในมืออย่างเอือมระอาราวกับว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาต้องพูดประโยคเดิมในกระดาษนั้น
ผมชื่ออีแทมิน อายุยี่สิบสามปีสี่เดือนสองวัน ปัจจุบันเป็นนักเปียโนมืออาชีพ จบการศึกษาวุฒิปริญญาตรีและโทเอกการดนตรีจากมหาวิทยาลัยในออสเตรีย ฐานะครอบครัวร่ำรวย พ่อแม่ประกอบกิจการธุรกิจเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ มีน้องชายกำลังศึกษาอยู่คณะแพทยศาสตร์ที่มหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งในโซล ชีวิตเพียบพร้อมทุกด้าน พูดให้ง่ายคือมีความสุขดี
จนกระทั่งในวันหนึ่ง...
หลังจากที่เหนื่อยอ่อนจากซ้อมการแสดงใหญ่ที่ห้างโคแอกซ์มอลล์ ผมขับฮุนไดคันหรูวิ่งขึ้นไฮเวย์ไปด้วยความเร็วไม่มากนักอย่างทุกที รถแล่นไปเรื่อยๆ จนถึงสี่แยก ไม่รู้ทำไมผมถึงเห็นสัญญาณไฟสีแดงเป็นสีเขียวไปได้
โครม!
เสียงวัตถุขนาดใหญ่ปะทะกันเข้าอย่างจังดังก้องประสาตหู ก่อนผมจะเริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่ไม่เคยได้รู้สึกมาก่อน เขม่าควันปิดทัศนวิสัยทางสายตาจนหมดสิ้น วินาทีต่อมาผมรู้สึกได้ว่าทั่วทั้งตัวเต็มไปด้วยเศษกระจกรถที่แตกกระจายเต็มหน้าตัก
เจ็บเหลือเกิน...แต่ผมจะตายไม่ได้
“พ่อ...แม่...ชานชิค”
คนใกล้ตายรำพึงถึงครอบครัวคนสำคัญ ลมหายใจเข้าออกเริ่มรวยริน แล้วสติก็ดับวูบ โดยที่ผมไม่ทันได้เห็นสภาพตัวเองที่ติดอยู่ในรถทั้งเลือดอาบ
หากพอมารู้สึกตัวอีกที รู้สึกได้ว่าร่างกายเบาหวิว พอมองออกไปโดยรอบ ผมไม่เจอใครเลย
‘กลัว’
ตอนนั้นผมช็อกเกินกว่าที่จะนึกถึงอุบัติเหตุที่เกิด ผมจำไม่ได้ เผลอคิดไปว่าตัวเองตาบอดด้วยซ้ำ
“เฮ้ย...ตั้งสตินิดนึง”
เหมือนเสียงนั้นจะเห็นผม พอได้ยินเสียงที่แตกต่างจากตนเอง ใจก็ชื้นขึ้น ผมรีบหันซ้ายแลขวาหาต้นเสียง แล้วจู่ๆ ก็โดนมือปริศนาโผล่มาคว้าตัวให้เอี้ยวไปด้านหลัง
“ไง!”
ชายร่างสูงผมเกรียนคนนั้นเรียกตัวเองว่า ‘ยมทูต’
แรกเริ่มผมนึกว่าเขาล้อเล่นและนี่คงจะเป็นนิทานหลอกเด็ก แต่เมื่อเขาพูดถึงเรื่องอุบัติเหตุ ความทรงจำก็เริ่มฟื้นคืนมาให้ตระหนักได้ แต่ก็ไม่วายคิดในใจว่าเป็นเพียงฝัน
“ไม่ได้ฝัน...ลองคิดถึงความเจ็บตอนเกิดอุบัติเหตุดูสิ แล้วเดี๋ยวจะพาไปดู สภาพของเจ้าตอนนี้”
ครั้นเมื่อฉุกคิดตามที่อีกฝ่ายแนะนำ ร่างกายก็เจ็บปวดราวกับถูกจับฉีกเป็นชิ้นๆ พอสลัดความคิดออกความเจ็บก็หายไป แล้วชายประหลาดก็เริ่มออกเดินฝ่าความมืดรอบกายไปยังชุดโต๊ะรับแขกที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้
ช่วงเวลาที่เดินตามยมทูตอยู่นั้นทำให้ผมคิดอะไรออกได้อย่างหนึ่ง อันที่จริงที่นี่ไม่มืดหมดเสียทีเดียว มันมีแสงสว่างล้อมรอบตัวผมอยู่ด้วย นั่นจึงพอให้ผมมองเห็นทั้งตัวผมและชายปริศนาคนนั้น
ใช่...ตัวผมในร่างเปลือย
“อย่าคิดมากน่า...ตายไปแล้วไม่เห็นต้องอายเลย”
ราวกับถูกอ่านใจได้ ยมทูตนั่งลงที่โซฟาอีกฝั่ง ผมจึงจัดการนั่งลงโซฟาฝั่งตรงข้ามกันโดยปัดความคิดเกี่ยวกับรูปลักษณ์ในตอนนี้ออกไป ไม่รอช้า ยมทูตดึงผ้าสีดำผืนหนึ่งออกมาจากเสื้อคลุม สะบัดนิดหน่อยพอเป็นพิธี ก่อนจะวางราบลงไปกับโต๊ะที่คั่นกลางระหว่างผมกับเขา
“วิญญาณพิเศษ เขตเจ็ด รหัสหนึ่งแปดสองสองศูนย์”
จู่ๆ ผ้าผืนบางก็มีควันผุดออกมาเหนือเนื้อผ้า ควันเหล่านั้นตีกรอบให้ตนเองอยู่ในเขตของผ้า ก่อนจะฉายภาพห้องไอซียูในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ในห้องนั้นมีเตียงตั้งตระหง่านอยู่เตียงเดียวล้อมรอบโดยอุปกรณ์ทางการแพทย์ทั้งเครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ สายน้ำเกลือ ถังออกซิเจน บนเตียงมีร่างของผู้ชายคนหนึ่งนอนนิ่งอยู่ หัวและแขนถูกพันด้วยผ้ากอชสีขาวสะอาด ใบหน้าถูกครอบด้วยเครื่องช่วยหายใจไปกว่าครึ่ง
ใครกัน?
“เจ้าไง”
ฝ่ายที่นั่งฝั่งตรงข้ามตอบให้ ท่าทางของยมทูตนั้นดูขบขันยามทอดมองมา ตาทั้งคู่ของผมจ้องมองภาพผ่านม่านควันนั้นอย่างหวั่นใจ นั่นคือผม แล้วพ่อแม่กับน้องชายของผมล่ะ เขาจะรู้เรื่องรึยัง
“อยากให้ฉันเลื่อนให้ดูไหมล่ะ?
ควันสีเทากลืนเอาภาพของห้องไอซียูทิ้งไปก่อนจะฉายรูปบ้านหลังใหญ่แสนคุ้นตาเข้ามาแทนที่ ราวกับเป็นกล้องพาชม ม่านภาพค่อยๆ เดินเข้าไปในตัวบ้าน ผ่านทางเดินก่อนจะหยุดลง ณ ห้องรับแขก มุมภาพเปลี่ยนไปฉายบรรยากาศภายในห้องอันแสนอึมครึมนั้น บุรุษสองคนกับสตรีอีกหนึ่งคนกำลังนั่งเรียงเคียงกันอยู่ หนึ่งคือบิดาของแทมิน เจ้าบ้านอีที่ดูอิดโรยและอ่อนล้า ริ้วรอยปมขมวดที่หว่างคิ้วเห็นเด่นชัดพอกันกับรอยย่นบนหน้าผากและตีนกาที่หางตา ที่นั่งถัดจากชายผู้นั้นคือหญิงวัยกลางคนผู้เป็นภรรยา เจ้าหล่อนกำลังร่ำไห้ไปพลางซับน้ำตาไปพลางอย่างโศกเศร้า ตาเเดงช้ำเป็นหลักฐานบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าตัวน่าจะร้องมาได้เกินชั่วโมงเเล้ว สุดท้ายที่เก้าอี้นวมอีกตัวที่เเยกมาเป็นร่างของเด็กชายวัยรุ่นคนหนึ่งที่นั่งก้มหน้านิ่ง มือผอมประสานเกาะกันเเน่นราวกับต้องการระบายความอัดอั้นอะไรบางอย่าง
"พ่อ...เเม่...ชานชิค"
น้ำตาของผมไหลลงมาเป็นสายอย่างมิอาจหักห้าม ร่องรอยความสุขของบ้านหายไป ทุกคนร้องไห้ ทุกคนเสียใจ ผมช่างเป็นลูกชายที่ไม่ได้เรื่องเสียเหลือเกิน
"นายไม่ใช่คนเเรกหรอกที่มานั่งร้องไห้หลังจากที่ได้เห็นอะไรเเบบนี้"
ยมทูตเปรยเรียบๆ ก่อนจะดึงผ้าสีดำออกมาสะบัดเเล้วยัดกลับเข้าไปในเสื้อคลุม
"ฮึก...ฮือ"
"วิญญาณส่วนใหญ่ชอบมานั่งเสียใจร้องไห้เมื่อยามตนเองตาย ทีตอนอยู่ไม่รู้จักใช้ชีวิตให้มีค่า ไม่รู้จักใช้ชีวิตในเเบบที่จะไม่ต้องมีอาลัย บางคนฟูมฟายไม่อยากได้ ทั้งๆ ที่เวลามันย้อนกลับไปไม่ได้ก็ยังไม่ยอมรับความจริง""
ผมปัดน้ำตาออกลวกๆ มันจริงอย่างที่ยมทูตว่า เรื่องพรรค์นี้จะโทษให้เป็นความผิดของความตายก็คงไม่ได้ ตอนมีชีวิตอยู่ไม่รู้จักคุณค่าของชีวิต พอตายไปถึงได้นึกคะนึง นึกโศก นึกห่วงหา ช่างน่าสมเพชเวทนาเหลือเกิน
"เเต่..." ริมฝีปากสีซีดเอ่ยด้วยน้ำเสียงขัดเเย้ง
"...จะสวรรค์ นรก โลกวิญญาณหรือโลกมนุษย์ก็ย่อมมีเรื่องผิดพลาด เเละสิ่งที่ข้าจะบอกก็คือ เจ้าเองก็เป็นความผิดพลาดเหล่านั้น..."
ผมเลิกคิ้วสงสัย พลางสบสายตายมทูตหนุ่มตรงหน้าเฝ้ารอฟังบทสนาต่อ
"...คนที่จะเป็นยมทูตได้ต้องเป็นวิญญาณที่ตายโดยอุบัติเหตุเเละมีค่ากรรมกับบุญบวกลบได้ศูนย์ เเต่ในอุบัติเหตุทั้งหลายที่เกิดมันก็มีความผิดพลาดของการตัดสินโชคชะตาบ้างอะไรบ้าง เช่นในกรณีของเจ้าที่ถูกตัดสินให้ตายก่อนวัยอันควร เป็นเรื่องที่ขัดเเย้งกัน ภาษาวัยรุ่นเขาว่า ผิดพลาดทางเทคนิครึเปล่านะ? น่าจะประมาณนั้นเเหละ..."
ยมทูตร่างสูงทำหน้านึกไปอธิบายไปอย่างตั้งอกตั้งใจ
"...เพราะเหตุนี้เลยทำให้เจ้าต้องกลายเป็นพวกกึ่งยมทูต หรือก็คือเป็นยมทูตชั่วคราวเพื่อทำภารกิจให้บรรลุ พวกนี้ร่างจริงจะยังไม่ตาย ก็เป็นพวกเจ้าชายเจ้าหญิงนิทราที่เห็นกันทั่วไปในโลกมนุษย์เเหละ เงื่อนไขในการที่จะกลับไปมีชีวิตคือเก็บวิญญาณที่เป็นโชคชะตากับตนเอง พูดง่ายๆ คือทำให้วิญญาณเป้าหมายตายเเล้วลากมาให้ข้า เจ้าก็จะได้ตื่นจากฝันนี้ เเต่หากทำไม่สำเร็จ...ก็ต้องเป็นยมทูตโดยถาวร"
รู้สึกเหมือนในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เเสงเเห่งความหวังฉายพาดให้เห็นรำไรจากเส้นทางที่เเรกเริ่มผมคิดว่ามืดมิดเสียเหลือเกิน ยิ้มเล็กๆ เริ่มเเย้มออกได้ ไม่ว่าจะต้องทำอะไรขอเเค่ให้ผมได้กลับไป กลับไปหาครอบครัวของผม
"เลือกที่จะทำภารกิจสินะ" ยมทูตตอบเเทน ผมจึงพยักหน้ายืนยันอีกที
"ร่างกึ่งยมทูตจะมีกายเนื้อในช่วงกลางคืน พูดง่ายๆ เจ้าจะเป็นเหมือนคนธรรมดาในเวลากลางคืน มนุษย์คนอื่นจะมองเห็นเจ้า ในขณะที่ตอนกลางวันจะไม่มีคนเห็นเจ้า เว้นเสียเเต่วิญญาณโชคชะตา เขาที่ยังเป็นมนุษย์มีชีวิตจะเห็นเจ้าเสมอ นอกจากนี้ยมทูตอย่างพวกเราจะมีมนต์บันดาล คล้ายๆ กับเวทย์มนตร์นั่นเเหละ เเต่มนต์ของกึ่งยมทูตสามารถบันดาลอะไรก็ได้เเค่สามอย่างในหนึ่งวัน เเละจะได้ผลหรือไม่นั่นก็อยู่ตามขอบเขตไม่น้อยไปเเละไม่มากไป เช่น สั่งให้ป้ายล้มทับเป้าหมายตายหรืออะไรก็ว่าไป..."
"...เเละสุดท้ายที่สำคัญที่สุด เจ้าจะมีเวลาเเค่สามเดือนในการปฎิบัติภารกิจ หากทำให้สำเร็จไม่ได้ก็ยินดีต้อนรับสู้สมาคมยมทูตเเล้วกันนะ เอาล่ะ...ข้าจะส่งเจ้าไปหาเป้าหมายเลย พร้อมนะ!"
ฟึบ!
ยังไม่ทันจะได้ประมวลผลข้อมูลยาวเหยียดเมื่อครู่ ร่างทั้งร่างก็หล่นร่วงลงไปในหลุมที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่อาจทราบได้ ผมเคลื่อนผ่านหลุมอากาศอย่างรวดเร็วราวกับกำลังนั่งรถไฟเหาะที่สวนสนุก เเละต่อมาไม่กี่อึดใจบั้นท้ายอันงามงอนก็หล่นลงมากระเเทกจูบกับพื้นปาเก้สีเบจของบ้านหลังหนึ่งเข้าอย่างจัง
โชคดีที่เป็นตอนเช้า...ร่างของกึ่งยมทูตทำให้ผมไม่รู้สึกเจ็บ
ห้องสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ผมหลุดเข้ามานี่คงเป็นห้องนอนของใครสักคน จากที่เดินวนรอบๆ ห้องนี้ใหญ่พอๆ กันกับห้องนอนผมที่บ้าน สไตล์การตกเเต่งเรียบง่ายเเละเป็นระเบียบเรียบร้อย โทนสีของห้องรวมไปถึงเครื่องเรือนทุกชิ้นเป็นล้วนสีน้ำตาลเข้มที่ถูกตกเเต่งด้วยผ้าม่าน ผ้าปูเตียง เเละผ้าอื่นๆ สีน้ำเงินกรมท่า เตียงขนาดสองคนนอนตั้งตระหง่านโดดเด่นอยู่กลางห้อง ขนาบข้างด้วยโต๊ะเก็บของเตี้ยๆ ข้างหนึ่งกับตู้หนังสือขนาดกลางอีกข้างหนึ่ง ปลายเตียงมีชุดโซฟาเล็กๆ หน้าทีวีจอเเอลซีดีทันสมัย ซ้ายมือเป็นเลื่อนกระจกที่กั้นระหว่างเฉลียงด้านนอกกับตัวห้อง ขวามือเป็นตู้เสื้อผ้าใหญ่ๆ สองตู้ไม่ไกลจะเป็นประตูห้องน้ำ
ลักษณะโดยรวมเป็นห้องของชายปกติทั่วไป
"ฮืม..."
เเต่กลิ่นความเหงา ความโดดเดี่ยว เเละความอ้างว้างที่รื่นเข้าในโสตประสาทของผมคืออะไรกัน ห้องใหญ่เเสนสะดวกสบาย เปิดเฉลียงออกไปตัวบ้านก็ดูร่มรื่น เเต่บ้านหลังนี้กลับก็ยังเงียบเหงา วังเวง เเละเต็มไปด้วยกลิ่นของความโศกเศร้าคลุกเคล้ากันไปกับธุลีความสุขที่เหมือนเคยเจือจางอยู่ลึกๆ
วันนี้เเทมินเริ่มใช้มนต์ของยมทูตในการขอเสื้อผ้าให้ร่างอันเปลือยเปล่าของตนเอง เขาเอนหลังนอนแผ่ลงบนเตียงใหญ่ เฝ้ารอ...เเละเฝ้ารอที่จะรู้ว่าวิญญาณโชคชะตาของเขาเป็นใคร
เป็นเจ้าของความเหงาของบ้านหลังนี้ใช่ไหม?
เป็นเจ้าของเตียงนอนทีเขากำลังกลิ้งเล่นอยู่นี่ใช่รึเปล่า?
"นิสัยเเย่นะเจ้า"
ร่างของหญิงสาวชุดดำคนหนึ่งปรากฎตัวเข้ามานั่งเเทนที่วิญญาณชายหนุ่มตัวจ้อยเมื่อครู่ ยมทูตที่เคยหัวเกรียนสัมผัสใบหน้าของตนเบาๆ ก่อนที่ใบหน้าของบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาจะปรากฎเเทนที่ใบหน้าเฉยชาของยมทูตคนเดิม ผมที่เคยโล่งเตียนงอกยาวมาเป็นผมสั้นประบ่าสีนิลสนิท เขาเเย้มยิ้มนิดๆ ก่อนจะทอดมองออกไปในเขตของความมืดมนอนธกาลอัน
กว้างใหญ่ไม่มีสิ้นสุดเเห่งนี้
"กึ่งยมทูตส่วนใหญ่มักเลือกที่จะทำทุกอย่างเพื่อจะรอดกลับไป ไม่สนใจอะไร ใส่ใจเเต่เพียงความหวัง โดยไม่ได้เข้าใจคำว่าวิญญาณเเห่งโชคชะตาเลยสักนิด ถ้าการเอามันกลับมาให้ข้าเป็นเรื่องที่ง่ายดายขนาดนั้น คนที่เป็นเจ้าชายหรือเจ้าหญิงนิทราก็ฟื้นตื่นขึ้นมาได้โดยไม่เรียกกันว่าปาฎิหาริย์กันเเล้วสิ"
หญิงสาวส่ายหน้าพลางทอดมองภาพของกึ่งยมทูตตนใหม่ล่าสุดที่เพิ่งถูกส่งไปหาวิญญาณเเห่งโชคชะตาในม่านควัน เจ้าหล่อนพึมพำถามชายฝั่งตรงข้ามอีกครั้งอย่างเหนื่อยใจ
"อีกคนปรารถนาที่จะตายกลับไม่เคยได้ตาย ในขณะที่อีกคนปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่เเต่กลับต้องมาตายโดยไม่รู้ตัว เจ้าคิดจะให้เขาได้เรียนรู้บทเรียนจากกันเเละกันเเล้วเจ้าคิดรึยังว่าผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร?"
"อยู่ที่พวกเขาจะเลือกเอง...จากนี้ไปจะเป็นทางเดินของพวกเขา"
เสียงทุ้มตอบไว้เพียงเท่านั้น
.........................................................................
ผมเเขวนกุญเเจไว้ยังที่เเขวนหน้าบ้าน ถอดโค้ทตัวหนาเกี่ยวกับไม้เกี่ยว ถอดรองเท้าเก็บเข้าตู้ กดเปิดไฟให้ปรากฎเเสงสว่างอาบทั่วบ้านหลังใหญ่ที่ไม่มีใครอยู่
"กลับมาเเล้วครับ"
รู้ทั้งรู้ว่าพูดไปก็ไม่มีใครตอบกลับ เเต่ปากเจ้ากรรมดันเคยชินที่จะพูดออกมา
บ้านหลังใหญ่ที่เคยเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความสุข เสียงหัวเราะ บัดนี้ช่างเงียบเหงา เเม้ตัวบ้านยังคงความสะอาดสะอ้าน รวมทั้งได้รับการดูเเลรักษาอยู่ทุกอาทิตย์ ทว่ามันกลับไม่อาจเติมความว่างเปล่าของความอบอุ่นที่ขาดหายไปได้เลย
สามีภรรยาตระกูลชเวประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตขณะขับรถไปเมื่อสองปีก่อน บ้านเเละทรัพย์สินทั้งหมดตกกลายเป็นของบุตรชายเพียงคนเดียวของพวกเขา ชเว มินโฮ ที่ตอนนั้นเพิ่งเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเป็นปีเเรก บรรดาญาติมิตรต่างยินดีรับมินโฮไปเลี้ยงดู เเต่เจ้าตัวกลับปฎิเสธ เขาอายุจะยี่สิบเอ็ดเเล้ว โตจนจะวัยบรรลุนิติภาวะขนาดนี้ไม่สมควรเป็นภาระให้กับใคร เงินทองที่พ่อเเม่เหลือไว้ทบกันกับเงินค่าประกันชีวิตก็มีมากพอที่จะเลี้ยงชีวิตเขาได้เเบบฟุ่มเฟือยไปอีกหลายสิบปี
'ถ้าหากรู้ว่าการอยู่คนเดียวมันทรมานขนาดนี้...ผมควรจะตายไปพร้อมพ่อกับเเม่จะดีกว่า'
ผมเคยลองใช้ชีวิตมาหลายเเบบ ทั้งเเบบเสเพล ตั้งใจเรียน ตั้งใจเล่นกีฬา หรือทำกิจกรรมอื่นๆ มีเพื่อนมากมาย เปลี่ยนหญิงชายคู่นอนไม่ซ้ำหน้า เเต่ผมไม่อาจเรียก 'ชีวิต' คืนมาให้บ้านหลังนี้ได้ ทุกอย่างเข้ามาเเล้วจากไป สุดท้ายบ้านหลังนี้ก็เหลือเพียงความว่างเปล่ากับอีกลมหายใจหนึ่งซึ่งก็คือตัวผม เคยลองพยายามฆ่าตัวตายมาครั้งหนึ่ง เเต่ท้ายที่สุดก็รู้สึกได้ว่าการตายโดยน้ำมือของตัวเองช่างเป็นเรื่องที่โง่เขลา ผมจึงเฝ้าภาวนาให้ความตายมาถึงตัวผมในเร็ววันแทน
เพราะผมไม่มีอะไรต้องอาวรณ์ ไม่มีเป้าหมายในการดำรงชีวิตอยู่ ไม่มีเชือกหรือสายใยที่ผูกติดกับใครในโลกนี้
เเกร๊ก!
ผมเดินขึ้นมายังชั้นสองของบ้าน เปิดประตูห้องนอนที่กินอาณาเขตชั้นสองไปถึงสองในห้า เดิมทีเป็นห้องของพ่อกับเเม่ที่ผมตัดสินใจย้ายมาอยู่เพราะไม่อยากให้ห้องนี้ต้องว่างลง ลึกๆ ผมคงอยากซึมซับกลิ่นอายที่ยังคงหลงเหลืออยู่ของพ่อกับเเม่มากกว่า
เเต่พอเวลาเปลี่ยนไป...ทุกอย่างเหลือเพียงร่องรอยของตัวผม
ผมเเหงนมองนาฬิกาเรือนงามที่ติดตกเเต่งอยู่บนฝาผนัง กว่าจะกลับมาถึงบ้านเข็มสั้นก็ชี้เลขเจ็ดเข้าไปเเล้ว ตอนนี้ควรจัดการอาบน้ำก่อนลงไปหาอะไรง่ายๆ ที่เหลือจากที่ทำไว้เมื่อเช้าในตู้เย็นทาน ขึ้นมาอ่านหนังสือสักเล่มเเล้วค่อยนอน เเผนชีวิตง่ายๆ ถูกร่างขึ้นในหัว ทว่าพลันหนึ่งที่สายตามองผ่านไปยังเตียงนอน ผมรู้สึกเหมือนเห็นร่างของใครสักคนนอนหลับอยู่บนนั้น
"ขโมย? หรือผี?"
ถ้าเป็นขโมยคงไม่มีอารมณ์สุนทรีมากขนาดมานอนรอให้เจ้าของบ้านมาจับ งั้นอาจเป็นสิ่งลี้ลับอย่างผี ผมบอกตามตรงว่าผมเป็นคนที่ยึดหลักเหตุผลที่เชื่อถือได้มากกว่าความเชื่อที่ยังไม่มีการพิสูจน์ เเต่ถึงเเม้จะไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่ ผมก็ยอมรับเล็กๆ ว่าในใจก็เเอบสนใจอยู่บ้างนิดๆ เหมือนกัน
"..."
ผมพยายามเงียบเสียง ค่อยๆ ย่างเท้าเข้าไปพินิจร่างที่เห็นในสายตา ครั้นพอก้าวมาถึงปลายเตียง ผมก็มองเห็นคู่กรณีอย่างชัดเจน ร่างที่นอนอยู่บนเตียงนอนของผมเป็นร่างบอบบางของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง ผมไม่สู้จะเเน่ใจว่าเขาเป็นเด็กรึเปล่า เเต่ดวงหน้านั้นดูอ่อนเยาว์ ผิวขาวดูนุ่มนิ่ม ริมฝีปากอิ่มยกยิ้มเคลิ้มนิดๆ ดวงตาทั้งคู่ปิดสนิท เส้นผมสีทองคลอเคลียยุ่งเหยิงอยู่บนใบหน้าเเละพื้นหมอน 'เขา' ไม่ได้สวย เเต่ติดจะน่ารักเเละมีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด ผมเข้าใจได้หลังจากที่สังเกตดูอยู่นานว่าเขาไม่ได้หายใจ นี่คงจะเป็นประสบการณ์การโดนผีหลอกครั้งเเรกในชีวิตของผม
มันควรจะน่ากลัวกว่านี้รึเปล่านะ?
"อืม..."
ผมชะงักฝีเท้ายามร่างนั้นเริ่มขยับเคลื่อนไหว ไม่เเน่ใจถึงเหตุการณ์ที่จะตามมาหลังจากที่เขาตื่น ผมจะโดนโจมตีเเบบที่เห็นตามหนังไหม หรือเขาจะหายไป เมื่อกี้ผมลองขยี้ตาเเล้วก็ยังเห็นอยู่นะ
"หือ...ไฟเปิดเมื่อไหร่อะ"
เขามีทีท่างัวเงีย ปากบางพึมพำถึงหลอดไฟที่ไม่รู้ใครเปิด ก่อนที่บุรุษร่างบางในเสื้อเชิ้ตสีขาวปลอดจะลุกขึ้นนั่งชันร่างกับหัวเตียงเเล้วเริ่มมองไปรอบๆ
สายตานั้นหยุดลงประสานกันกับสายตาของผม ฝ่ายเขาประหลาดใจ ส่วนฝ่ายผมกำลังพิจารณา
"ฮะ...เฮ้ย...ลูกเจ้าของบ้าน"
ร่างนั้นเด้งตัวเองออกมาจากเตียงก่อนเหลียวซ้ายเเลขวาราวกับระเเวงว่าจะเจออะไรอีก ผมเลิกจ้องตาดุ พลางเดินเข้าไปหาเขา
"คุณเป็นใคร?" รู้สึกเหมือนเขาจะไม่ใช่ผีเลยเเฮะ
"คุณเห็นผม? เห็นผมเหรอ? เออ..ใช่สิ มันกลางคืนเเล้วนี่หน่า เวรละ...โทษที คือผมมีธุระกับเจ้าของบ้าน พ่อหรือเเม่คุณอยู่ไหนล่ะ?"
เสียงนุ่มเอ่ยถามสุภาพในประโยคหลัง เเต่คำอธิบายในช่วงเเรกยังชวนให้งงๆ อยู่ ผมปัดความสงสัยนั้นทิ้งไป ก่อนจะเอ่ยตอบคำถามให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าบ้านหลังนี้ไม่มีใครนอกจากผม
"ผมเป็นเจ้าของบ้าน"
"ยังเด็กอยู่เลยนี่หน่า"
เขาทำหน้าตกใจ ก่อนจะเอ่ยวิจารณ์ตรงๆ ต่อหน้า ผมไม่ค่อยรู้สึกอะไรกับเรื่องอายุหรืออะไรเทือกนี้หรอก เเค่โดยส่วนใหญ่คนมักจะเห็นว่าผมดูเป็นผู้ใหญ่ เเต่เขาตรงหน้าผมนี้กลับประเมินว่าผมยังเด็กทั้งๆ ที่ตัวเองอาจหน้าเด็กกว่าผมด้วยซ้ำไป
"คุณก็เหมือนเด็ก"
ด้วยความที่เป็นคนตรงไปตรงมา ผมจึงเอ่ยกลับไปบ้าง เเละเเทบทันทีก็ถูกค้านกลับมาเสียงหลง
"ซะที่ไหน!!! ผมบัณฑิตปริญญาโทเเล้วนะ...ถึงจะมาเจอ...เออ...ช่างมันเถอะ"
"เเล้วคุณมาทำอะไรในบ้านของผม"
ระหว่างผมกับเขานิ่งกันไปชั่วอึดใจ ก่อนที่สายตาลอกเเลกเหมือนเเมวนั้นจะหยุดเคลื่อนไหว
"ผมมาเพื่อเอาชีวิตคุณ"
TO BE CONTINUE
TALK: ลงเเล้วนะจ้ะ...ลงในบ้านไว้นาน เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมอัพที่นี่ - BUTTERFLY DESTIN[B.D]
ความคิดเห็น