ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ` FIC WONKYU ¦ - Red Door ' ประตูแดง ' {yaoi}

    ลำดับตอนที่ #1 : ` ( reddoor ) ____introduction .

    • อัปเดตล่าสุด 8 ก.พ. 55




     







     

    What day is it? And in what month?

    This clock never seemed so alive

    I can't keep up and I can't back down

    I've been losing so much time

    Cause it's you and me and all of the people with nothing to do

    Nothing to lose

    And it's you and me and all of the people

    And I don't know why, I can't keep my eyes off of you

     

     










    ถนนเลียบทะเลในเมืองปูซานช่วงนี้ค่อนข้างเงียบ อาจเพราะไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวหรือเป็นวันทำงานก็ตามแต่ เพียงแค่ถนนโล่งๆบวกกับความเงียบสงบจนมองเห็นวิวทะเลได้ชัดเจนก็ทำให้ชายหนุ่มต่างเมืองรู้สึกดีไปทั้งวัน




    เพลงสากลเพลงโปรดถูกเปิดวนมาเป็นรอบที่สาม ในขณะที่ปากฮัมเพลง มือเรียวยาวก็จับอยู่กับพวงมาลัยรถ เอนไปทางซ้ายทีขวาที ท้ายแล้วก็ลงท้ายด้วยการเหยียบคันเร่ง บึ่งรถไปไม่ทันไร โทรศัพท์เครื่องสีดำเงาบนเบาะที่นั่งข้างคนขับก็ส่งเสียงร้องเรียกจนต้องเอื้อมมือไปกดหยุดเพลงโปรดไว้แทบจะทันที




    “ครับแม่~” เสียงแกมทะเล้นว่าหยอกปลายสายไปเสียตั้งแต่คำแรก นัยน์ตาสีดำสนิทยังทอดมองไปข้างหน้าโดยที่ยังเอนศีรษะไปเสียข้างหนึ่งเพื่อหนีบประคองเครื่องมือสื่อสารไว้ระหว่างช่วงไหล่กับใบหู




    ( ไปถึงปูซานหรือยังลูก ขับรถปลอดภัยดีไหม แล้วแวะทานอะไรรึยัง? )




    หัวเราะร่วนเบาๆพลางเสียบเอาสายสมอลล์ทอล์คเข้ากับเครื่องได้สำเร็จ ทิ้งโทรศัพท์คู่ใจลงหล่นปุกับหน้าตักเมื่อเสียบหูฟังเข้าทั้งสองหู ว่าประโยคโต้ตอบด้วยน้ำเสียงจริงจังขัดกับสีหน้า “เกือบเสยสิบล้อเล่นไปคันหนึ่งครับแม่”




    ( ตายจริง แล้วเป็นอะไรหรือเปล่า!? ลูกปลอดภัยดีใช่ไหมเนี่ย ไปโรงพยาบาลหรือยัง แล้ว... )




    “แม่ครับ... ผมล้อเล่น” พูดกลั้วหัวเราะโดยเดาได้ว่าอีกคนจะตอบอะไรกลับมา เขาก็เป็นแบบนี้เสมอ ชอบพูดหยอกเย้ากระเซ้าแหย่จนเป็นนิสัย




    ( ลูกคนนี้! ถ้าแม่หัวใจวายตายๆไปจะว่ายังไง แค่ดื้อจะไปทำงานอยู่ปูซานแม่ก็เป็นห่วงจะแย่ ยังจะมาแกล้งเรื่องคอขาดบาดตายแบบนี้อีก )




    พอรู้ตัวว่าจะโดนสวดอีกยกใหญ่กับเรื่องเดิมๆเลยตัดสินใจเปลี่ยนไปเรื่องใหม่มันเสียดื้อๆ จำได้ดีว่าก่อนออกจากบ้านต้องร่ำลากันอยู่ค่อนชั่วโมง แต่กว่าจะขออนุญาตมาได้นี่นานยิ่งกว่า ทั้งโดนค้านแล้วค้านอีกเรื่องที่มาทำงานไกลถึงปูซานทั้งที่บ้านอยู่โซล บอกไปแค่ว่าคิดเรื่องนี้มานานแล้ว ทั้งยังแอบไปผ่อนซื้อเอาบ้านหลังเล็กๆตรงถนนเลียบชายหาดไว้เผื่อสำหรับอนาคตซึ่งก็คือวันนี้




    โจวคยูฮยอนรู้ดี... การที่เขาตัดสินใจมาทำงานไกลถึงสาขาปูซานย่อมแลกมาด้วยตำแหน่งทางหน้าที่การงานในอนาคตที่เรียกได้ว่ารุ่งโรจน์ ปรึกษาเรื่องนี้กับหัวหน้าและรุ่นพี่ที่ทำงานมาพักใหญ่ ไม่ว่าจะคิดในแง่ไหนก็มีแต่เรื่องดี ได้เปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน อีกทั้งเพราะไม่ใช่คนขี้เหงา ชายหนุ่มจึงไม่ต้องกังวลเรื่องใดให้เป็นปัญหาอีก




    วางสายจากแม่บังเกิดเกล้าไปไม่นานนักก็ถึงที่หมาย ข้าวของที่จะย้ายมายังคงอยู่ภายในรถแต่คยูฮยอนเลือกแวะมาที่บริษัทสาขาปูซานก่อน อนาคตที่นี่จะขึ้นเป็นหลักสำคัญที่มีรายรับเข้าพอๆกับบริษัทแม่ หรือเรียกอีกนัยๆว่าบริษัทลูกรัก ในแง่การทำงานแล้วมาลงหลักปักฐานไว้เสียก่อนอะไรคงง่ายขึ้น




    พอถอยรถเข้าที่จอดทางด้านหลังบริษัทเรียบร้อยดีก็ขนเอาสัมภาระจำนวนหนึ่งซึ่งควรจะเอาไว้ในที่ทำงานออกมา เป็นแค่กล่องเล็กๆและเครื่องมือเครื่องไม้ไม่มาก มาอยู่ที่นี่ความเคร่งเครียดกดดันอาจจะน้อยกว่าบริษัทแม่ และนั่นหมายถึงโจวคยูฮยอนคงมีสิทธิ์ได้เอางานกลับไปทำที่บ้านพัก จิบชาสบายๆ เหนื่อยก็ทิ้งตัวลงนอนดูโทรทัศน์ แค่คิดก็รู้สึกสนุกจนอยากรีบไปหาบ้านหลังน้อยที่ซื้อไว้เต็มแก่ คิดๆดูแล้วก็ลืมโทรหารุ่นพี่คนสนิทไปเสียอย่างนั้น แต่คยูฮยอนคิดว่าเอาไว้ก่อน กับฮยอกแจน่ะค่อยโทรคุยกันตอนเสร็จธุระก็ยังได้




    แบกกล่องลังไม้เล็กๆเดินฉับๆเข้าไปภายในบริษัทรูปลักษณ์แปลกตา ที่นี่ดีไซน์สวย คยูฮยอนคิดแบบนั้น และความรู้สึกที่ตามมาคือเขารู้สึกชอบตึกทำงานโทนสีเขียวโมเดิร์นนี่เสียเหลือเกิน




    เร่งฝีเท้าจนกึ่งวิ่งเมื่อเห็นว่าลิฟท์กำลังจะปิด พอลิฟท์ปิดสนิทลงก็ถอนหายใจและผ่อนฝีเท้าลงจนช้ากว่าเดิม ให้ตายเถอะ จะรอกันบ้างก็ไม่ได้เลยคนที่นี่ คิดไปอย่างนั้นจึงเอื้อมมือไปจะกดปุ่มหน้าลิฟท์เสียใหม่เพื่อรอตัวต่อไป ถ้าไม่เพียงแต่ประตูลิฟท์ตัวเดิมเปิดออก พร้อมเสียงทุ้มเข้มของผู้ชายคนหนึ่งในชุดเสื้อเชิ้ตสีฟ้าน้ำเงินที่เอ่ยถามเขาอย่างสุภาพ




    “เมื่อกี้จะเข้าลิฟท์หรือเปล่าครับ?”




    คยูฮยอนพยักหน้าของคุณเสียทีหนึ่งแล้วจึงทุลักทุเลเดินเข้าลิฟท์ไป เยื้องไปทางข้างหน้าเขาคือผู้ชายร่างสูงใหญ่คนนั้น อาจจะสูงกว่าเขานิดหน่อย ตัดผมสั้นเรียบร้อย มีสายห้อยป้ายพนักงานสีดำโผล่พ้นปกคอเสื้อด้านหลังมานิดหนึ่ง แต่คยูฮยอนไม่ทันได้มองหน้า




    “ชั้นไหนครับ?”




    “นั่นแหละครับ”




    ชายหนุ่มเห็นว่าลิฟท์กดไว้เป็นชั้นเก้าอยู่แล้วจึงตอบไปแบบนั้น คนถามไม่ได้โต้ตอบอะไรอีก ได้แต่ยืนนิ่งไม่ต่างอะไรจากหุ่นยนต์จนกระทั่งถึงชั้นจุดหมาย เสียงลิฟท์ดังติ๊งอยู่ทีหนึ่งประตูลิฟท์เปิดออกพบเสียงผู้คนคาคั่ง เดินส่งเอกสารงานกันไปมา และผู้ชายคนที่ขึ้นลิฟท์มาด้วยกันเดินนำหน้าไปก่อนแล้ว




    คนต่างถิ่นรีบเอื้อมมือไปกดเปิดลิฟท์อีกครั้งเมื่อบานประตูกำลังจะเลื่อนปิด สาวเท้าช้าๆยืนเก้ๆกังอยู่ไม่นานผู้ชายร่างท้วมอ้วนใส่แว่นดูแล้วไม่น่าเกินวัยสี่สิบก็รีบกุลีกุจอเข้ามารับ และตอนนี้เองที่คยูฮยอนสังเกตว่าเจ้าของเสื้อเชิ้ตสีฟ้าน้ำเงินลับหายไปจากสายตาโดยปริยาย




    “คุณโจวคยูฮยอนใช่ไหมครับ ทำไมมาถึงไวนักผมเลยไม่ทันได้ลงไปรับ”




    ชายหนุ่มยิ้มตอบตามมารยาทแล้วว่าทักทายไปตามเรื่องจนรู้ว่าชื่อคังโฮดง คุยกันอยู่ไม่นานเจ้าถิ่นก็พาเดินดูแผนกอย่างคร่าวๆ แนะนำพนักงานคนนู้นทีคนนี้ที ดูๆแล้วก็วัยรุ่นพี่กันทั้งนั้น




    “คยูฮยอน! นั่นคยูฮยอนใช่ไหม?”




    เสียงที่ว่าคุ้นๆตรงดิ่งเข้ามาหาจากทางด้านหลัง ครั้นหันไปมองคยูฮยอนจึงได้เห็นว่าเป็นชิมชางมิน เพื่อนสมัยมัธยมปลายที่ไม่ได้เจอกันอีกเลยนับตั้งแต่วันจบการศึกษา “ชางมิน... ไม่คิดว่าจะเจอนายที่นี่”




    ยิ้มกว้างแสดงความยินดี ชิมชางมินดูเก้ๆกังๆอยู่ต่อหน้า คยูฮยอนไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยากจะเข้ามากอดให้หายคิดถึงหรืออะไรก็ตามแต่ แต่ในมือเขายังถือลังสัมภาระเอาไว้ อันที่จริงเขากับชางมินก็ไม่ได้เคยสนิทชิดเชื้ออะไรกันขนาดนั้น ดูจะห่างเหินและเป็นแค่เพื่อนร่วมห้องที่คุยกันรู้เรื่องเสียมากกว่า ถ้าไม่เพียงแต่เคยมีบางอย่างร่วมกัน บางอย่างที่เหมือนไม่เคยเกิดขึ้นทว่าทั้งคู่ล้วนรู้แก่ใจ




    ชางมินถอยออกไปสองก้าวพลางคำนับน้อยๆเมื่อร่างของใครคนหนึ่งเดินผ่านไป เขาจำได้ดีว่านี่คือผู้ชายที่ขึ้นลิฟท์มาด้วยกันเมื่อราวๆครึ่งชั่วโมงก่อน และยิ่งได้รู้มากกว่านั้น เมื่อรุ่นพี่คังโฮดงส่งเสียงเรียกจนร่างสูงใหญ่เอี้ยวตัวหันกลับมามอง




    “บอสครับ นี่คือ... โจวคยูฮยอน คนจากบริษัทแม่ที่บอกว่าจะย้ายมาทำงานที่นี่ในวันมะรืนครับ”




    คยูฮยอนโค้งศีรษะให้ก่อนด้วยรอยยิ้มซึ่งถือเป็นมารยาทมัดใจชั้นดี ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาจากหัวหน้างานของเขาในอนาคตมีเพียงการโค้งรับเล็กน้อย... แค่เล็กน้อยเท่านั้น โดยที่ไม่แสดงสีหน้าอาการหรือรอยยิ้มใดๆคล้ายมันเป็นเรื่องปกติธรรมดาจนไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น




    แค่นั้น... แล้วเขาก็เดินจากกลุ่มของคยูฮยอนออกไปอย่างไม่มากความ ลึกๆแล้วคยูฮยอนค่อนข้างรู้สึกเสียหน้า แต่เพราะไม่ใช่คนคิดอะไรมากจึงปล่อยผ่านมันให้เป็นเพียงความเคืองใจส่วนตัวเท่านั้น




    คังโฮดงว่าต่อ ผายมือไปทางคนที่เพิ่งเดินผ่านซึ่งกำลังก้มลงดูงานให้คนแผนกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด คยูฮยอนบอกไม่ถูกว่านี่คือความรู้สึกไม่ถูกชะตาหรือเรียกว่าอะไร เขารู้ตัวเองว่ากำลังสนใจ ในฐานะหัวหน้าแผนกที่ยังจะต้องทำงานร่วมกันอีกนาน และถ้าให้เดานิสัย คงจะตรงข้ามกับความหมายของชื่อที่รุ่นพี่โฮดงกำลังเอ่ยออกมากระมัง




    “เขาชื่อชเวซีวอน เป็นเจ้านายของคุณ”










     

    TBC
















    ไรท์เตอร์ทนไม่ไหวแล้ว.... ถ้าไงไปพร้อมกันกับแพะเลยนะคะ 55555555.
    เรื่องนี้ช่วงแรก ๆอาจจะน่ารัก ๆกรุบกริบ ._ .
    แต่อ่าน ๆไป..... (หัวเราะกรุบกริบ)









    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×