ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE RABBIT'S CLUES

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 13 พ.ค. 54


    บทนำ
           ลมหนาวพัดพาหิมะสีขาวโพลนสวยให้ปกคลุมทั่วทุกอาณาบริเวณ ผืนน้ำที่เคยมีฝูงปลาแหวกว่ายกันอย่างร่าเริงในฤดูร้อน พลันแปรเปลี่ยนเป็นผืนน้ำแข็งอันน่าเกรงขามและ เย็นชา ต้นสนที่มักจะมีสีเขียวชะอุ่มตลอดทั้งปีกลับปกคลุมด้วยสีขาวโพลน
            ภายใต้ร่มเงาของเหล่าเมกไม้ยังมีกระท่อม...กระท่อมไม้หลังน้อยซึ่งตั้งอยู่ถัดจากผาสูงซึ่งอาจมีหิมะถล่มลงมาได้ทุกเมื่อ ควันไฟแสดงถึงการมีคนอาศัยอยู่อาจเป็นสิ่งเดียวที่ให้ความอบอุ่นแก่ฤดูหนาวอันยาวนาน เตาผิงอันเป็นจุดกำเนิดของควันที่ลอยออกมาจากปล่องควันสูง ขับแสงแปลบปลาบ ส่งกลิ่นหอมทว่าร้อนแรง ไม่ต่างจากบุคคล ไม่สิ! ไม่น่าจะเรียกว่าคนได้ที่เดินไปเดินมาอยู่ด้านใน
            มองจากบานหน้าต่างที่ผู้สร้างเจตนาให้เล็กเพื่อกันลมหนาว กระต่ายน้อยสองตัวอยู่บริเวณหน้าเตาผิง ตัวหนึ่งเดินไปเดินมาอย่างร้อนใจ ส่วนอีกตัวกำลังนั่งจิบน้ำชาด้วยอุ้งมือเล็ก
            “ข้าจะทำยังไงดี ข้าจะทำยังไงดี” กระต่ายขนฟูสีน้ำตาลอ่อน และ ดวงตาสีนิลที่ส่อแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด สองมือยีหัวซึ่งอยู่ระหว่างหูยาวๆทั้งสองจนยุ่งเหยิง สองเท้าก็เดินปึงปังพลางบ่นพึมพำไปพลาง
            “ข้าไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดีเลย ท่านบรากอส” เจ้ากระต่ายขนน้ำตาลตัดสินใจหาทางออกของปัญหาโดยถามผู้ที่นั่งเงียบมานานซึ่งกำลังนำถุงชาคนในถ้วยน้ำอุ่นอย่างใจเย็น
            ส่วนตัวนี้คือกระต่ายขนขาวนวลผ่องประดุจหิมะซึ่งกำลังมองผ่านแว่นตากลมไปยังถ้วยชาซึ่งบัดนี้ถูกวางอยู่บนโต๊ะไม้เล็กๆซึ่งปูด้วยผ้าลายสก็อตเบื้องหน้า
            “เรื่องอะไรงั้นหรือ” สายตาที่มองลอดมาจากกรอบแว่นทองอร่ามส่อแวว สุขุม ใจเย็น และ หยั่งรู้...แต่ส่วนใหญ่ผู้ที่เก่งจริงไม่โอ้อวดสรรพคุณความสามารถของตนเองหรอก
            “ก็เรื่องเด็กคนนั้นหนะสิ เฮ้อ!” เจ้ากระต่ายขนน้ำตาลไม่ลืมที่จะแสดงท่าทีไม่พอใจและถอนหายใจยาวๆออกมาหนึ่งครั้ง
            “เจ้าอย่าเพิ่งร้อนรนไปเลย ว่าแต่เรื่องไปถึงฝ่ายราชวังรึยังหละ ดาฟิน” กระต่ายขาวยังคงกล่าวด้วยเสียงนุ่มทุ้ม ทว่าอ่อนโยนไม่แสดงท่าทีร้อนใจเลยสักนิด เรียกว่าตรงข้ามกับเจ้ากระต่ายน้ำตาลราวฟ้ากับเหวเลยก็ว่าได้
             “ท่านจะไม่ให้ข้าร้อนรนได้อย่างไรเล่าก็เด็กคนนั้นเป็นถึง...” เจ้ากระต่ายใจร้อนหยุดพล่ามพียงเท่านั้นเพราะอุ้งมือขาวนวลปุกปุยของเจ้ากระต่ายแว่นที่ยกขึ้นมาห้ามไว้ ส่วนดวงตาสีแดงหยั่งรู้คู่นั้นกำลังเพ่งมองไปยังท้องฟ้า ที่เริ่มแกมสีส้มแดงแสดงถึงเวลาใกล้ค่ำ ซึ่งเป็นการกระทำที่เจ้ากระต่ายน้ำตาลรู้ดีว่าคืออะไร “หรือว่า”
            “ข้าได้เห็นหยั่งรู้ดวงชาตะของเขา...เข้าเสียแล้ว” คราวนี้ดวงตาสีแดงที่นิ่ง และ อ่อนโยนื กลับทอประกายวาวโรจน์ สบกับดวงตาสีนิลที่เบิกกว้าด้วยอารามตกใจ
            “ละ..แล้วดวงชะตาของเขาจะเป็นยังไงบ้างเล่าท่าน บากรอส” บัดนี้เจ้ากระต่ายน้ำตาลใจร้อนกลับนั่งตัวลีบติดเก้าอี้ ปากสั่นเทา ขนลุกซู่...เพราะเขารู้ว่าเมื่อบุรุษผู้นี้สามารถที่จะมองเห็นวงล้อแห่งโชคชะตาของใครเข้าเมื่อไรเมื่อนั้น...
            “เหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งสำคัญกำลังจะมาเยือนหมู่พวกเราแล้ว...ความพินาศได้พาลมาถึงแล้ว” กระต่ายเขาเหมือนตอบแทนความคิดของกระต่ายน้ำตาลซึ่งบัดนี้กำลังเติมชาถ้วยที่สองเพื่อดับหนาว ซึ่งเขาก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอากาศข้างนอกหรือใจของเขาเองกันแน่
             “แล้ว..ขะ เขาจะเป็นยังไงบ้าง” กระต่ายน้ำตาลซึ่งปกติมักจะพูดเสียงดังอยู่เสมอกลับปรับระดับเสียงลงจนแทบจะเบาที่สุดที่เขาเคยพูดในชีวิตของเขาเลยก็ว่าได้
            “เด็กคนนั้นหนะเหรอ” กระต่ายขาวกล่าวพลางเดินไขว้แขนไว้ด้านหลังไปยังบานหน้าต่างบานเล็กซี่งซึ่งถูกปกคลุมด้วยละอองน้ำแต่ก็ยังไม่บดบังทัศนียภาพภายนอกเขามองทอดยาวไปไกลตามทางเดินออกนอกบ้านซึ่งดูแสนไกลไม่มีที่สิ้นสุด
             “ทุกๆคนเกิดมาพร้อมกับโชคชะตาของตนเอง..ซึ่งหมุนวนเป้นวงล้อไม่มีวันสิ้นสุด” เขาว่าพลางวาดนิ้มลงบนกระจกเผยให้เห็นวงกลมใส
             “แล้วทำไมขอรับท่านกาบรอส” เขายังไมเข้าใจคำพูดของท่านกาบรอสมากนักคำพูดของผู้ที่มีประสบการณืมากกว่า..ผู้ที่อาบน้ำร้อนมาก่อนเขาแถมนานเสียด้วย
             “เด็กคนนั้นเช่นกันเขาต้งอเดินไปตามเส้นทางของตนเองแม้มันจะมีอุปสรรคขวากหนามมากแค่ไหนก็ย่อมต้องฝ่าฝันไปให้ได้....การเริ่มต้นของโชคชะตาได้เริ่มขึ้นแล้วหละ”
                                                                         . . .
            “ฉึกฉัก ฉึกฉัก”
             เสียงรถไฟที่แล่นไปตามรางเหล็กช่วยปลุกให้ชายหนุ่มตื่นจากภวังค์หลับไหล ซึ่งเขาก็พบว่าตนอยู่ในโบกี้รถไฟเล็กๆแห่งหนึ่ง และ ตรงหน้าเขาคือโต๊ะไม้ซึ่งมีหมวกทรงสูงซึ่งนานๆทีจะถอดเนื่องจากมีความจำเป็นกับอาชีพของเขา และ สาวน้อยคนหนึ่งซึ่งกำลังดันหมวกใบนั้นมาทางเขา
             “ตื่นแล้วหรือคะ นายท่าน” สาวน้อยกล่าวพร้อมยื่นหมวกใบนั้นมาให้เขาใส่ในแบบที่ควรจะเป็น
             “จะ...เร็นโกะ นี่ฉันนอนหลับไปนานเท่าไหร่แล้วเนี่ย” ชายหนุ่มซึ่งบัดนี้สวมหมวกทรงสูง ก้มลงมองนาฬิกาที่ข้อมือของตนเอง นี่เขานอนไปกี่ชั่วโมงแล้วเนี่ยเริ่มเดินทางเที่ยงตอนนี้ก็ห้า...
            “ห้าชั่วโมงเต็มๆเชียวนะคะนายท่าน ตั้งห้าชั่วโมง” เร็นโกะพูดติดตลกพลางยกมือขึ้นชูห้านิ้ว
            “ก็ฉันเหนื่อยนี่นา...เธอไม่เหนื่อยเหรอเร็นโกะ” ฝ่ายเจ้านายทำตาโตด้วยความตกใจ เมื่อคืนเขากับเร็นโกะเตรียมของกันยันเช้าตรู่ก็ตรงมาที่สถานนีรถไฟเลยเรียกว่าไม่ได้นอนเลยทั้งคืนก็ว่าได้ แต่สาวน้อยตรงหน้าเขากลับยังยิ้มร่าไร้ซึ่งท่าทีอ่อนเพลีย
             “สี่ “ เร็นโกะชูนิ้วขึ้นมาสี่นิ้วแต่เมื่อเห็นเจ้านายแสนซื่อ(จริงเหรอ)ของเธอมีเครื่องหมายคำถามกระเด็นมาโปะบนใบหน้าจึงอธิบายต่อ ”ฉันหมายความว่า..”
            “ผู้โดยสารโปรดทราบสถานนีต่อไปพอร์ตเพนนีคะ ผู้โดยสารโปรดทราบสถานนีต่อไปพอร์ตเพนนีคะ”
    ยังไม่ทันไขข้อสงสัยไอ้สี่นิ้วของเร็นโกะเสียงประกาศบนรถไฟก็ดังขึ้นเสียก่อนแสดงว่าเขาใกล้ถึงที่หมายมากแล้ว
            “นายท่านคะ” สาวน้อยสะกิดไหล่ชายหนุ่มให้หันไปมองทางที่ผ่านมา” เรามาบ๊ายบาย พอร์ต เอโรกิ กันเถอะคะ”
            “เอาสิ 1..2..3..”
            “บ๊ายบาย! พอร์ต เอโรกิ”ทั้งสองตะโกนเสียงดังโดยไม่ได้สังเกตว่ารถไฟที่พวกเขานั่งอยู่เป็นรถไฟชั้นราคาประหยัดทำให้ผู้โดยสารที่กำลังสัปหงกอยู่พากันสะดุ้งตื่นไปตามๆกัน ส่วนไก่ที่นอนอยู่บนศีรษะขาวหงอกคล้ายรังนกของชายชราก็ถึงกับออกไข่ย้อมผมที่ขาวหงอกให้กลายเป็นสีเหลืองฟางข้าว
            “แอ้ก อีแอกแอก”
            “กลับมาเดี๋ยวนี้เลยนะเจ้าไก่เวรรรรร”
            ตามมาด้วยเสียงคน เอ๊ย!ไก่ ที่พาลแล้วหนี และ ชายชราที่กำลังก่นด่าที่ตนโดนสัตว์เลี้ยงของตนเองที่หวังดีช่วยปลุก ส่วนฝ่ายเจ้านายลูกน้องก็ยิ้มให้กันก่อนจะปล่อยกร๊ากกับเหตุการณ์ที่ทั้งสองได้ก่อ
            “สถานีพอร์ต เพนนี  ru’le porta punn’ เสียงประกาศของพนักงานมาพร้อมกับภาษาพื้นเมืองเพื่อต้อนรับเหล่าชนพื้นเมืองที่เข้ามาในรถไฟทางด้านประตูขวา และ บอกผู้โดยสารที่มีจุดหมายปลายทางคือ ราชอาณาจักรเพนนี ที่ออกทางด้านประตูซ้าย
            “ ไปกันเถอะ...เร็นโกะ”ชายหนุ่มกล่าวพลางรับกระเป๋าลากสีแดงที่ลูกน้องยื่นมาให้ก่อนจะเดินตรงไปยังประตูด้านซ้าย
            “คะนายท่าน” เร็นโกะยักไหล่ก่อนจะวิ่งตามเจ้านายไปพร้อมถุงช้อปปิ้งพะรุงพะรังซึ่งน่าจะเป็นเหตุให้พวกเขาต้องมานั่งรถไฟราคาประหยัด
            สองเจ้านายลูกน้องเดินไปตามทางของตัวเอง เช่นเดียวกับคนอื่นทั้งที่เข้าประตูซ้ายรึออกประตูขวา...บ้างก็เดินจตามฝันของตัวเอง...บ้างก็เดินไปอย่างไร้จุดมุ่งหมายหรือโดนบังคับ
            แต่เขาเลือกที่จะเดินไปตามฝันของตัวเอง เดินไปตามเส้นทางที่ตนเฝ้าฝันมาตั้งแต่ยังเด็ก แม้มันจะต้องฝ่าอุปสรรคนานมากมายสักแค่ไหน ต้องทนทุกข์กับการไม่มีกินไม่มีใช้(เพราเร็นโกะช้อปปิ้งหมด) ทนรับฟังคำตำหนิติเตียนของผู้คน เขาก็ยังคงเลือกที่จะเดินบนทางสายนี้
            ...นักมายากล
     
     
     
     
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×