คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ๐----- บทส่งท้าย – Scar
๐----- บทส่งท้าย – Scar
เช้าอีกวันภายใต้ท้องฟ้าสีครามอันสดใส แสงอาทิตย์ยามเช้าสาดส่องให้แสงแก่ทุกสรรพสิ่งบนพื้นพิภพ ปุยเมฆที่อ่อนนุ่มลอยอยู่บนท้องนภาอย่างเอื่อยเฉื่อย สิ่งมีชีวิตบนโลกใบนี้ต่างก็ใช้ชีวิตเฉกเช่นทุกวันในทางที่ควรจะเป็น
เช่นเดียวกับนกอินทรีตัวหนึ่งซึ่งมันบินอยู่อย่างอิสสระเสรีในท้องฟ้าอันกว้างไกลไร้ขอบเขต มันบินไปเรื่อยๆตัดผ่านภูเขาเขียวขจีและทะเลสีคราม ในที่สุดมันก็ร่อนลงสู่ยอดสูงของต้นไม้ต้นหนึ่ง แสงแดดยามเช้าส่องขนอันนุ่มนิ่มของมันให้ทอประกาย ดูแล้วช่างงดงามยิ่งนัก
ปัง!! เสียงปืนดังก้องกังวานท่ามกลางป่าใหญ่ ราวกับเสียงทำนองสวดส่งวิญญาณ
ตุ้บ! ร่างของนกอินทรีที่โดนย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือดสดๆของตัวมันเอง บัดนี้ร่วงหล่นลงมาที่พื้น
นกอินทรีที่น่าสงสารแม้จะยังไม่ตายคาที่ แต่มันไม่มีหวังที่จะมีชีวิตรอดอีกแล้ว ได้แต่ดิ้นพราดๆบนพื้นอย่างน่าสังเวชใจห่างออกไปไม่ใกล้ไม่ไกลนัก ร่างหนึ่งปรากฏตัวออกมาจากที่กำบัง และเดินไปหาร่างของเหยื่อเคราะห์ร้ายในวันนี้อย่างใจเย็น
ร่างนั้นคือมัจจุราชในคราบสิ่งมีชีวิตที่เรียกกันว่า ‘นักล่า’ แววตาภายใต้เสื้อคลุมในขณะที่จับจ้องเหยื่อนั้นไม่บ่งบอกความรู้สึกอันใด ทันทีที่ถึงตัวเหยื่อมือขวาที่กระชับมีดพกของทหารมั่นก็ขยับอย่างรวดเร็วโดยปราศจากความลังเล เพียงลงมีดแค่ครั้งเดียวอย่างเฉียบขาดก็ส่งเหยื่อให้ไปสบายได้ภายในเสี้ยววินาที
หลังจากการเชือดก็ตามด้วยการถอนขน แล้วการลงมีดครั้งที่สองเพื่อชำแหละก็เริ่มต้นและจบลงอย่างรวดเร็ว จากนั้น ‘นักล่า’ ก็ค่อยๆเก็บเนื้อที่ชำแหละเสร็จแล้วห่อเก็บไว้อย่างทะนุถนอม
เมื่อการชำแหละนกเสร็จสิ้น ‘นักล่า’ ลุกขึ้นแล้วหันหลังให้ที่แห่งนั้น กระชับปืนลูกซองที่ใช้คร่าชีวิตนกอินทรีซึ่งพาดบ่าไว้มั่นแล้วเดินจากมา ทิ้งไว้เพียงแต่เนินดินเล็กๆไว้เบื้องหลังและคำพูดสุดท้ายที่แผ่วเบาให้ปลิวไปกับสายลม …..
“ขอบคุณมาก........ ขอโทษนะ”
…..
..
.
ไร้ซึ่งสรรพเสียงใดขานตอบ
………………………………………………………………………………..
อีกมุมหนึ่งของโลกใบนี้ ณ เมืองที่มีเงินหมุนเวียนนับพันล้านในวันเดียว เมืองท่าที่สำคัญที่สุด ‘Cordum’ สถานที่อันเปรียบดั่งสวรรค์ของนักผจญภัยไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม
เนื่องจากเป็นเมืองที่มีตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นตลาดของรัฐบาลหรือเอกชน แม้กระทั่งตลาดมืดก็มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นผลมาจากจำนวนผู้เล่นที่เพิ่มขึ้นมาเรื่อยๆ นับว่าเป็นเมืองที่มีทุกสิ่งตั้งแต่สากกะเบือยันเรือรบสมคำร่ำลือ
ซ้ำยังมีท่าเรือ ท่าอากาศยานและท่าเทียบรถสะดวกสบายต่อการเดินทาง ไม่แปลกนักที่เมืองใหญ่ย่อมยากแก่การควบคุมดูแล ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเหล่าผู้พิทักษ์โลกไปจนถึงเหล่าวายร้ายค่าหัวสูงลิบลิ่วก็สามารถพบเห็นในเมืองนี้ได้ไม่ยาก
“เฮ้! ตรงนั้นน่ะ ห้ามตั้งร้านบนทางเดินนะ มันขวางการสัญจรของผู้คน” ผมแหกปากตะโกนพลางฝ่าเหล่าฝูงชนจำนวนมหาศาลเพื่อไปหาคนที่ตั้งร้านกลางถนน
“เอาละ ตรงนี้ห้ามตั้งร้านขายแบกะดินนะ แล้วก็ค่าปรับข้อหาที่ฝ่าฝืนกฎของเมืองนี้ จ่ายมาด้วยละ...” ผมกล่าวกับพ่อค้าคนดังกล่าว ที่ตอนนี้ทำหน้าตกใจราวกับเจอผีทันทีที่ผมยื่นใบสั่งที่ระบุจำนวนค่าปรับไปให้ตรงหน้า
หากถามว่าทำไมผมต้องทำแบบนี้น่ะเหรอ?
ก็เพราะผมเป็นผู้พิทักษ์สันติราชไงละ เครื่องแบบที่ทางหน่วยงานราชการมอบให้กับหน้าที่นี่แหละคือความภาคภูมิใจของผม แม้งานที่ว่าคือการเดินตรวจตราและดูแลความสงบเรียบร้อย แต่มันไม่ง่ายนักเมื่อผมถูกย้ายมาอยู่ประจำที่เมืองนี้ จากตารางสถิติอาชญากรรมของเมืองนี้เมื่อปีที่แล้วเมื่อมาเทียบกับของปีนี้ ผลออกมาว่าปีนี้มีคดีเกิดขึ้นมากกว่าจนน่าใจหาย ปัจจุบันวันหนึ่งๆมีทั้งคดีการปล้น ฆ่า ชิงทรัพย์ ฝ่าฝืนกฎ และทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น ว่ากันว่ามีมากพอๆกับจำนวนครั้งที่หายใจเข้าออกเลยด้วยซ้ำ ทำให้เจ้าหน้าที่อย่างผมไม่มีเวลาพักเลยสักนิด แต่เงินที่ได้เป็นรายวันก็คุ้มค่าเกินกว่าหยาดเหงื่อแรงกายที่เสียไปเสียอีก ผู้พิทักษ์สันติราชกล่าวด้วยใบหน้าเปื้อนรอยยิ้ม…..
“มากมาย.........ชนิดที่เทียบกันไม่ติดเลยเชียวละ”
…..
..
.
คำพูดดังกล่าวค่อยๆเลือนหายไปท่ามกลางสรรพเสียงอันวุ่นวาย ณ ที่แห่งนั้น
………………………………………………………………………………..
ย้อนไปก่อนหน้าเหตุการณ์ดังกล่าว ไปยังช่วงเวลาที่เป็นความทรงจำซึ่งจะนำพาสู่เรื่องราวในอนาคต
.........
แกรกๆ
มือของเด็กชายจิ้มไปที่แป้นตัวอักษรบนคีย์บอร์ดทีละตัวๆ มีชะงักเป็นพักๆตามประสาเด็กพึ่งหัดใช้คีย์บอร์ด แต่เด็กชายก็ยังคงพิมพ์ต่อไป เด็กชายนั่งอยู่ตรงนั้น และค่อยๆพิมพ์ตัวอักษรออกมาเป็นประโยคทีละประโยคอย่างช้าๆ
เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ เด็กชายก็ยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน มีเพียงแววตาที่ซุกซ่อนความโดดเดี่ยวคู่นั้นเท่านั้น ที่จดจ่ออยู่แต่จอคอมพิวเตอร์ของตน.. ด้วยความมุ่งมั่นทั้งหมดที่มี
ปิ๊บ!!~~ๆ เสียงเตือนบางอย่างดังออกมาจากลำโพงที่เชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์
เด็กชายเลื่อนสายตาไปที่ขอบล่างของหน้าจอ แล้วเลื่อนลูกศรไปคลิกที่ไอค่อนซึ่งกำลังกระพริบสีส้มอยู่
“บอล! เกมใหม่ที่จะเข้ามาเนี่ย น่าสนใจมากเลยนะ ช่วงโคสเบต้ามันไม่รีเช็ตเลเวลด้วย แล้วมันก็จะเปิดบริการวันพรุ่งนี้แล้วด้วย มันเป็นเรื่องที่เยี่ยมไปเลยเนอะ! ว่าแต่นายสนใจจะมาเล่นด้วยกันมั้ยล่ะ” จู่ๆหน้าต่างข้อความดังกล่าวก็เด้งขึ้นมา
เด็กชายมองข้อความนั้นไม่กล่าวกระไร ก่อนพิมพ์โต้ตอบกลับไปแบบแบ่งรับแบ่งสู้
“พี่มาร์คครับ ผมว่าเกมนั้นมันไม่น่าสนใจสักเท่าไหร่หรอก มีแต่ตีมอน เก็บเวล พี่ก็น่าจะรู้ว่ามันมีแต่แนวเดิมๆจนผมเอียนแล้ว”
“นั่นสินะ” มาร์คตอบกลับมาเป็นข้อความสั้นๆแล้วก็เงียบหายไป
ฝ่ายเด็กชายนั่งจ้องข้อความนั้นตาไม่กระพริบ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีก เด็กชายก็ถอนหายใจพลางส่ายศีรษะเล็กน้อย แล้วเด็กชายก็ยังคงนั่งอยู่เช่นนั้นเรื่อยมา...
2 ปี ต่อมา
ตอนนี้เป็นวิชาสุดท้ายแล้วของวันนี้ หลังจากเสียงกระดิ่งดังขึ้นผมก็จะได้หลุดออกจากนรกเสียที แล้วผมจะได้รีบเก็บข้าวของกลับบ้านและใช้เวลาทั้งหมดมานั่งเล่นอินเตอร์เน็ต
ถึงแม้ว่าถ้ามองภายนอกผมจะดูเหมือนเด็ก ป.6 ซึ่งอายุ 12 ปี ธรรมดาๆคนหนึ่ง แต่ว่าความจริงมันเหมือนจะมีอะไรบางอย่างแตกต่างออกไป
ผมไม่ใช่เด็กอัจฉริยะ ไม่ใช่เด็กเกเร หรือเป็นอันธพาล ในเมื่อไม่ใช่อะไรเลยแล้วผมเป็นอะไรกันแน่ละ คำตอบคือผมก็คือตัวผมเองไม่ใช่เหรอ
ทั้งๆที่ผมคิดเช่นนั้น แต่ทว่าในสายตาคนรอบข้าง พวกเขาคงจะมองเห็นผมเป็นเพียงเด็กเนิร์ดไม่รู้จักการเข้าสังคม เพราะผมมักโดนเพื่อนร่วมชั้นรวมหัวกันแกล้งเสมอ ทุกคนชอบที่จะแกล้งผมและตั้งชื่อล้อเลียน พร้อมกับเรียกผมว่า ‘อมนุษย์’
ทำไมถึงเป็นแบบนี้นะ ทั้งๆที่ผมยังไม่ได้ไปทำอะไรให้ใครต้องเดือดร้อนเสียหน่อย รู้เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ชอบผมก็เท่านั้นเอง ผมคิดทบทวนครั้งแล้วครั้งเล่าภายในใจ แต่สุดท้ายก็ไม่ทำให้อะไรมันดีขึ้นมาเลยสักนิดเดียว
เมื่อผมเงยหน้าและกวาดสายตามองไปรอบๆตัวเอง ‘สิ่งนั้น’ มันกลายเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ สิ่งนั้นเกาะกุมหัวใจผมตลอดมา ซึ่งสิ่งนั้นก็คือ ‘สายตาของคนรอบข้าง’ ในชั้นของผมทุกคนแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน และสิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็คือการที่ไม่ถูกนับเข้าพวก และถูกเห็นเป็นแค่ส่วนเกินที่จะทำยังไงกับมันก็ได้ ซึ่งคนที่เจอแบบนั้นก็คือตัวผมเอง
ยิ่งผ่านไปเรื่อยๆก็เริ่มเหมือนกับตกลงไปในหลุมลึกที่มองไม่เห็นก้น ทุกสิ่งทุกอย่างดำมืดไปหมด และตัวผมก็อยู่เพียงลำพังในความมืดมิดนั้น ดังนั้นตั้งแต่ 2 ปี ที่แล้ว ผมจึงได้ตัดสินใจย้ายชีวิตครึ่งหนึ่งของตัวเองไปอยู่ในโลกอินเตอร์เน็ต เพราะที่นั่นมีสิ่งที่ผมไม่มี สิ่งนั้นก็คือ....
สิ่งที่เรียกว่า ‘เพื่อน’ ไงละ
….
1 ปี ต่อมา
แกรกๆ
ปากกาในมือเด็กชายจดคำพูดของอาจารย์อย่างรวดเร็ว ประโยคแล้วประโยคเล่า เวลาผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งหมดคาบเรียน แต่เด็กชายข้างหน้าต่างผู้นั่งอยู่หลังห้องเรียนมาโดยตลอด ก็ยังคงขีดเขียนอะไรบางอย่างลงสมุดต่อไปอย่างตั้งอกตั้งใจ
สักพักก็มีกระดาษที่ถูกขยำเป็นก้อนกลมโยนมาให้เขา เขาคลี่กระดาษแผ่นนั้นออก และโดยที่แทบไม่ต้องอ่านซ้ำให้เสียเวลา เขาขยำกระดาษให้เป็นก้อนกลมอีกครั้ง ก่อนที่จะจัดการส่งก้อนกลมนั้นลงถังขยะไป
เด็กชายกลับมานั่งที่โต๊ะประจำตัวของตนอีกครั้ง โดยไม่หันกลับไปสนใจกลุ่มเพื่อนร่วมชั้นที่เขียนข้อความใส่กระดาษมาล้อเลียนตนแม้แต่น้อย
“ก็มันชินแล้วนี่นะ” เด็กชายคิดในใจ
เด็กชายกางสมุดของตนออกทำให้เห็นหน้ากระดาษอย่างชัดเจน ภาพวาดจำนวนนับไม่ถ้วนซึ่งเด็กชายเป็นผู้วาดอัดแน่นอยู่เต็มหน้ากระดาษ เด็กชายจ้องมองภาพเหล่านั้นแล้วใบหน้าที่เกือบเศร้าหมองก็เปลี่ยนไป โดยที่ไม่มีใครสังเกตเลยแม้แต่น้อยว่า เด็กชายที่มักจะโดนแกล้งอยู่ประจำคนนั้น กำลังยิ้มอยู่เพียงลำพัง
เด็กชายยิ้มพร้อมกับพลิกสมุดหน้าถัดไป และเด็กชายก็เริ่มจรดดินสอลงบนหน้ากระดาษลากเส้นเป็นรูปร่างต่างๆนาๆตามที่ใจตนปรารถนา
ณ มุมหนึ่งของห้อง ยังมีเด็กชายผู้หนึ่งที่นั่งพิงกำแพงพร้อมทั้งขีดเขียนอะไรบางอย่างลงสมุดอย่างไม่ทุกข์ร้อนอยู่ตรงนั้น โดยที่เด็กชายจะยังคงนั่งอยู่แบบนั้นจนกว่ากระดิ่งซึ่งเป็นสัญญาณบอกเวลาเลิกเรียนคาบสุดท้ายจะดังขึ้น อย่างน้อยตัวเขาเองก็คงจะมั่นใจเช่นนั้น
…
กริ๊งงงงงงงง~~~~!! เสียงกระดิ่งดังขึ้น ราวกับเป็นเสียงสัญญาณช่วยชีวิตใครหลายๆคน หลังจากที่อาจารย์ผู้สอนบอกเลิกเรียนแล้วเดินออกจากห้องไป เหล่าเด็กนักเรียนที่เดิมนั่งจดเลคเชอร์ด้วยดวงตาว่างเปล่าราวกับไร้จิตวิญญาณ ก็ค่อยๆเริ่มขยับไปขยับมาอย่างกระปรี้กระเปร่ากันอีกครั้ง สักพักก็มีแก๊งเด็กมัธยมปลายราวๆ 10 กว่าคน เดินเข้ามาในห้องเรียน และเดินตรงเข้าไปหาเด็กชายข้างหน้าต่าง
“โย่ว! เป็นไงบ้างไอ้พล สบายดีใช่รึเปล่า แล้วไอ้นั่นน่ะไม่ต้องหามาให้ครบจำนวนหรอก เพราะบางคนมันก็ไม่ค่อยจะมีเวลาเล่น เอามาเท่าที่หาได้นั่นแหละ” ประโยคสนทนาอันแปลกประหลาด หลุดออกมาจากปากเด็กหนุ่มที่ดูแล้วน่าจะเป็นหัวหน้าแก๊ง ซึ่งพูดอย่างสนิทสนมพร้อมกับตบบ่าเด็กชายข้างหน้าต่างเบาๆ
เด็กชายข้างหน้าต่างที่ถูกเรียกว่า ‘พล’ พยักหน้ารับโดยไม่ว่าอะไร ก่อนจะเก็บอุปกรณ์การเรียนลงกระเป๋าอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกจากห้องเรียนไป โดยที่ไม่ได้หันไปสนใจผู้ที่พูดกับตนเลย
“จะกลับบ้านแล้วเหรอวะ?” เด็กหนุ่มหัวโจกตะโกนถาม
“อือ” พลตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยพลางพยักหน้าเบาๆประกอบคำพูดของตนเอง
“ข้าเข้าใจเอ็งวะ งั้นบ๊ายบายนะ ไว้ค่อยเจอกับทุกคนในเอ็มแล้วกัน ยังไงซะวันนี้ก็เป็นวันศุกร์นี่เนอะ” เด็กหนุ่มหัวโจกกล่าวด้วยรอยยิ้ม แล้วโบกมือประกอบคำ ‘บ๊ายบาย’ ไล่หลังกันที่เดินจากไปแล้ว
“ลูกพี่ ผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมลูกพี่ต้องไปทำตัวเป็นมิตรกับไอ้เด็กเนิร์ดแบบนั้น ทักษะด้านสังคมมันมีบ้างรึเปล่าก็ไม่รู้ คนเค้าเข้าไปคุยด้วยก็ไม่ตอบ อีกอย่างมันเป็นรุ่นน้อง อยู่ม.1 ส่วนลูกพี่อยู่ม.6 แต่มันกลับพยักหน้าทำเป็นหยิ่งแบบนั้น ผมว่าลูกพี่อัดมันเลยดีกว่า” เด็กหนุ่มที่เป็นลูกน้องคนหนึ่งในแก๊งเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกอึดอัดเมื่อหัวหน้าของตนเหมือนถูกหยามศักดิ์ศรี
“ใจเย็นก่อนไอ้เสก เดี๋ยวพวกมึงก็จะรู้กันเองแหละ” เด็กหัวโจกกล่าวตอบลูกน้องขี้ใจร้อนของตนด้วยรอยยิ้มมีเลศนัย ฝ่ายเหล่าลูกน้องของเขาก็ต่างสงสัยกันมากว่า ทำไมหัวหน้าแก๊งถึงได้ไปสนิทกับรุ่นน้องที่มีท่าทางไม่สู้คน ดูแล้วไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แถมยังเป็นไอ้เด็กเนิร์ดไร้เพื่อนไม่รู้จักการเข้าสังคมนั่นอีกต่างหาก โดยเฉพาะ ‘ไอ้เสก’ ลูกน้องผู้ใจร้อนแล้วนั้น หากหัวหน้าไม่ห้ามไว้ มันอาจจะเดินเข้าไปตะบันหน้าไอ้พลจนเละแล้วก็ได้
………………………………………………………………………………..
หากพูดถึงการติดต่อสื่อสารแล้วละก็ นอกจากการโทรศัพท์ไป ‘Say Hallo’ กันแล้วยังมีอีกสิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นเป็นโปรแกรมติดต่อสื่อสารกันอย่างสะดวกสบายซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายในโลกของสังคมผู้ใช้อินเตอร์เน็ต โปรแกรมนั้นก็คือ ‘Instant Messenger’ มันเป็นโปรแกรมส่งข้อความข้าม ‘ระบบเน็ทเวิร์ค’ แบบทันทีทันใด ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวนี้ไม่ได้มีแค่บริษัทเดียวที่เปิดให้บริการ แต่ละบริษัทก็ต่างแข่งกันผลิตและคอยพัฒนาตัวโปรแกรม ‘Instant Messenger’ ของบริษัทตนให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรื่อยๆเพื่อให้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้ใช้บริการ ซึ่งโปรแกรมที่ได้รับความนิยมสูงที่สุดในตอนนี้ก็คือ ‘MSN Messenger’
“โปรแกรม ‘MSN’ ปัจจุบันถูกพัฒนาร่วมกับเครื่องสแกนสมองรุ่นล่าสุด ทำให้จากแต่ก่อนที่ทำได้แค่การพิมพ์ข้อความส่งกันในโลกอินเตอร์เน็ต เปลี่ยนมาเป็นการพบปะพูดคุยแทน เนื่องด้วยเครื่องสแกนสมองจะทำการสแกนสมองของผู้ใช้ และสร้างร่างจำลองภายในโลกอินเตอร์เน็ตขึ้นมา.....”
“โว้ยยย! นี่มันอะไรกันวะ จะเขียนสื่อความให้เข้าใจยากไปทำไม” ไอ้เสกร้องลั่นทันที หลังจากพึ่งอ่านหนังสือคู่มือ ‘วิธีการใช้อินเตอร์เน็ต+เครื่องสแกนสมองแบบครบวงจร เวอร์ชันลิงอ่านยังเข้าใจ’ ไปได้แค่ไม่กี่ย่อหน้าเท่านั้น ไอ้เสกค่อยๆเอนหลังพิงพนักเก้าอี้แล้วเอาแขนก่ายหน้าผากด้วยความหนักใจ สายตาจับจ้องไปยังคู่มือที่ตกอยู่บนพื้นหลังจากที่โดนแรงสะบัดมือเมื่อกี้นี้
อันที่จริงถ้ามีคนถามว่าทำไมคนอย่างไอ้เสกที่เป็นเด็กเกเร ก้าวร้าว และทำตัวเหลวไหลถึงใช้อินเตอร์เน็ตไม่เป็น ทั้งๆที่คนอื่นเขาก็ใช้เป็นกันหมดแท้ๆ ทันทีที่พูดจบประโยคนั้น คนที่พูดก็จะโดนไอ้เสกที่เลือดขึ้นหน้า และมีท่าทางมุ่งร้ายราวกับวัวบ้าไล่ขวิดเป็นแน่แท้ เพราะการกระทำดังกล่าวมันไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเลยสักนิด เนื่องด้วยเรื่องของเรื่องคือครอบครัวของไอ้เสกจัดอยู่ในประเภท ‘บ้านแตกสาแหรกขาด’ เพราะพ่อของไอ้เสกติดพนันบอล แล้วยังไปเป็นหนี้กับเจ้าหนี้นอกระบบ หากตอนนั้นแม่ของไอ้เสกไม่หย่า แล้วไม่พาไอ้เสกหนีมาเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตัวไอ้เสกเองก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าตนกับแม่จะต้องประสพเคราะห์กรรมเช่นไรบ้าง
เหตุผล 3 ประการ ที่ทำให้ไอ้เสกโกรธจัดถึงขั้นลงมือฆ่าคนได้เลยนั้น โดยรวมมันก็คือความรู้สึกราวกับถูกมีดคมกริบแทงทะลุหัวใจ แถมยังเป็นใจดำซะด้วยสิ
ประการที่ 1 ฐานะทางบ้านของไอ้เสกแทบจะไม่ได้อยู่ในขั้นที่เรียกว่า ‘มีอันจะกิน’ ด้วยเพราะรายได้ที่ได้จากการทำงานของแม่ไอ้เสกเพียงคนเดียว มันไม่พอจะเลี้ยงให้ 2 ชีวิต อยู่ได้อย่างมีความสุข หรือใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ดังนั้นก็ไม่แปลกหากไอ้เสกจะไม่รู้จักแม้กระทั่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อย่าง คอมพิวเตอร์ ทีวี หรือแม้แต่โทรศัพท์มือถือ
ประการที่ 2 แม่ของไอ้เสกต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาเลี้ยงไอ้เสก ดังนั้นจึงไม่มีเวลามาเลี้ยงดูไอ้เสกเท่าไหร่นัก ครั้นจะหาใครมาช่วยเลี้ยงก็ไม่มี จึงทำให้ไอ้เสกเติบโตมาค่อนข้างเป็นเด็กเกเร ก้าวร้าว ใจร้อน และดูเป็นเด็กเหลวไหล ทว่าที่จริงแล้วพฤติกรรมเหล่านั้นก็เป็นแค่การกระทำของเด็กวัยรุ่นธรรมดาทั่วไป ที่ยังไม่เติบโตเป็นผู้ใหญ่และไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนที่ดีพอ
ประการที่ 3 ด้วยความที่ไอ้เสกเป็นคนใจร้อน พอเจอแบบนั้นก็เหมือนกับว่าตนเองโดนดูถูก ดังนั้นมีหรือที่คนอย่างไอ้เสกจะยอม เพราะฉะนั้น “มันต้องตาย” นั่นคือสิ่งเดียวที่ไอ้เสกคิด
ตรู๊ด!!~~ ... เสียงโทรศัพท์มืดถือเครื่องหนึ่งดังขึ้น เรียกสติของไอ้เสกกลับมาอีกครั้ง ทันทีที่ตื่นจากภวังค์ไอ้เสกก็เอื้อมมือไปกดรับสายทันที
“ฮาโหล สวัสดีครับ” ไอ้เสกกล่าวคำทักทาย
“เอา 5 โหล ใช่มั้ยครับ ไข่ไก่ 60 ฟอง ทั้งหมดคิดเป็น...”
“ลูกพี่โทรมาเล่นมุขอะไรครับเนี่ย” ยังไม่ทันที่คู่สายจะพูดจบประโยค ไอ้เสกก็พูดขัดขึ้นทันที
“ฮ่าๆๆ ไม่ขำเหรอไงวะ” เสียงติดตลกตอบกลับมา
“มุขลูกพี่มันแป๊กอ่ะ แล้วผมเกรงใจลูกพี่จริงๆนะ มันจะดีเหรอที่ลูกพี่ส่งของแพงๆแบบนี้มาให้น่ะ อย่างเครื่องสแกนสมองนี่มันไม่ได้ราคาถูกเลยนะครับ” ไอ้เสกพูดด้วยอย่างสุภาพ
“กูบอกกี่ครั้งแล้วว่ามึงไม่ต้องมาเกรงใจกูหรอก ไอ้ที่กูส่งไปให้มึงมันก็ไม่ใช่ของใหม่อะไร อันที่จริงมันเป็นของเก่าที่กูไม่ใช้แล้ว จะทิ้งซะก็ได้ แต่กูเสียดาย เลยเอามาให้มึงแทน เรื่องมันก็แค่นั้นเอง” เสียงของผู้ที่ไอ้เสกนับถือเป็น ‘ลูกพี่’ กล่าวตอบกลับมาอย่างไม่ทุกข์ร้อน
“ขอบคุณมากๆเลยครับลูกพี่!” ไอ้เสกตะโกนใส่โทรศัพท์ด้วยความรู้สึกตื้นตันใจยิ่งนัก
“เอาละ มาเข้าเรื่องกันซะที ที่กูอุตส่าห์ส่งโทรศัพท์มือถือ เครื่องคอมพิวเตอร์ และเครื่องสแกนสมอง พร้อมทั้งแนบหนังสือคู่มือการใช้ไปให้มึง ก็เพราะกูต้องการให้มึงได้เข้ามาเล่นเกมออนไลน์กับเพื่อนๆบ้าง แต่กูก็พอจะรู้ว่ามึงคงไม่เข้าใจที่คู่มือมันเขียนเอาไว้หรอก ฉะนั้นเดี๋ยวกูจะค่อยๆอธิบายให้มึงเข้าใจแล้วกันนะ”
“รับทราบครับลูกพี่ ว่าแต่ผมรู้สึกว่าวันนี้ลูกพี่ดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษนะ มีเรื่องอะไรดีๆเหรอครับ”
“.... มึงเป็นเอสเปอร์รึเปล่าวะ” ลูกพี่ถามเสียงเรียบเฉยแกมตลก แสดงให้เห็นว่าเจ้าตัวไม่แปลกใจอะไรเลย
“อย่าดูถูกมือขวาของตัวเองสิครับ... ลูกพี่ แล้วตกลงว่าเรื่องดีๆของลูกพี่คืออะไรเหรอครับ” ไอ้เสกพูดพลางกลั้วหัวเราะ
“ก็นะ มีการเปลี่ยนแผนนิดหน่อย แต่เรื่องนั้นเดี๋ยวมึงเข้าไปในเอ็มก็รู้เองแหละ”
“ลูกพี่ชอบพูดแบบมีเลศนัยตลอดเลยนะครับ เรื่องจริงจะเป็นยังไงกันแน่นะ”
“ฮ่าๆ นั่นสินะ เรื่องจริงจะเป็นยังไงกันแน่” ลูกพี่เริ่มหัวเราะ แล้วไอ้เสกก็หัวเราะตาม จนสุดท้ายทั้งลูกพี่และลูกน้องก็ร่วมหัวเราะไปด้วยกัน
….. ผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมง…..
หลังจากไอ้เสกพยายามทำการติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆอย่างทุลักทุเลเพียงลำพัง แต่สุดท้ายด้วยความอนุเคราะห์ของลูกพี่ จึงทำให้ไอ้เสกสามารถทำทั้งหมดเสร็จได้ภายใน 2 ชั่วโมง บัดนี้ไอ้เสกพร้อมแล้วที่จะเข้าไปสัมผัสสิ่งที่เรียกว่าโลกอินเตอร์เน็ต
“มึงจำเมลกูได้แล้วใช่มั้ย” ลูกพี่ถามไอ้เสกย้ำอีกครั้ง ซึ่งเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
“ครับ”
“แล้วก็...”
“แล้วก็ทันทีที่เข้าไปได้แล้วให้ Add Mail ทันทีเลย... ใช่รึเปล่าครับ” ยังไม่ทันที่ลูกพี่จะพูดเกิน 2 คำ ไอ้เสกก็จัดการพูดตัดหน้าเป็นที่เรียบร้อย
“เออ นั่นละๆ มึงอย่าลืมแล้วกัน” ลูกพี่เอ่ยกำชับ
“ครับ”
สิ้นเสียงตอบรับนั้น ไอ้เสกก็กดปุ่มวางโทรศัพท์มือถือตามที่ได้รับการสอนมาจากลูกพี่ แล้วหยิบเครื่องสแกนสมองซึ่งมีรูปร่างเหมือนแว่นตา ที่มีหูฟังและไมโครโฟนจิ๋วติดมาด้วยขึ้นมาสวม และทันทีที่ไอ้เสกทำการล็อกอินเข้าสู่โปรแกรม MSN ไอ้เสกก็รู้สึกเหมือนกำลังตกจากที่สูง แต่เพียงแค่ไม่นานเท่านั้นเอง ทุกอย่างก็หยุดลง
เมื่อไอ้เสกลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง สิ่งที่ไอ้เสกเห็นมีเพียงห้องขนาดใหญ่ที่ภายในไม่มีอะไรทั้งสิ้น แม้กระทั่งกำแพง เพดาน หรือพื้นก็ล้วนเป็นสีขาว ภายในห้องอันว่างเปล่าไร้สีสันมีเพียงไอ้เสกยืนอยู่เพียงลำพัง มันทำให้ไอ้เสกรู้สึกเหงาขึ้นมา
ปิ๊บ ปิ๊บ ปิ๊บ!!~~~ สักพักหนึ่ง เสียงระบบก็ร้องแจ้งเตือนขึ้นมา ปลุกไอ้เสกให้ตื่นจากภวังค์
“คุณเน็คต้องการติดต่อและเพิ่มคุณเป็นเพื่อน ยอมรับหรือไม่ Yes / No”
ทันทีที่ไอ้เสกกดดูข้อความ ก็มีหน้าต่างข้อความดังกล่าวเด้งขึ้นมาตรงหน้า ไอ้เสกเลิกคิ้วเล็กน้อยก่อนจิ้มนิ้วไปที่ปุ่ม Yes ระบบส่งเสียงอีกครั้ง ไม่นานนักก็มีข้อความใหม่เด้งขึ้นมาอีก
“ต้องการให้เพื่อนสามารถเข้ามาในห้องส่วนตัวได้ ใช่หรือไม่ Yes / No”
ไอ้เสกกด Yes อีกครั้ง คราวนี้มีหลอดดาวน์โหลดโผล่ขึ้นมาแทน แถบสีเขียวภายในหลอดเริ่มเคลื่อนไหวไปเรื่อยๆ และทันทีที่แถบสีเขียวเต็มหลอด ตัวอักษรรูปร่างแปลกตา ที่ไอ้เสกไม่เคยเห็นมาก่อนจำนวนนับไม่ถ้วนก็ไหลมารวมกันเป็นจุดเดียว แล้วมันก็ค่อยๆรวมกันก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมากลายเป็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่ตรงนั้นแทน
“มึงมัวทำอะไรอยู่วะ” เสียงที่ไอ้เสกคุ้นเคยกล่าวอย่างหัวเสีย
“เออ... นั่นลูกพี่เน็คเหรอครับ” ไอ้เสกถามด้วยความสงสัย ส่วนดวงตาก็จับจ้องมองที่ร่างผู้มาเยือนเขม็ง ทรงผมที่สั้นเกรียนสีน้ำตาล และผิวสีขาวซีด กะคร่าวๆแล้วน่าจะสูงกว่า 170 เซนติเมตร แม้ว่าจะดูแปลกตาไปราวกับคนแปลกหน้า แต่เรื่องสำคัญคือไอ้เสกจำน้ำเสียงและแววตานั้นได้ดี
“ก็ต้องใช่อยู่แล้วน่ะสิ”
“ทำไมดูไม่เหมือนลูกพี่เลย อิมเมจมันตรงกันข้ามกับโลกจริงเลยนะครับ” ไอ้เสกเอ่ยถามพลางเกาหัวแกรกๆ
“ถ้ามึงหมายถึงรูปร่างภายนอกของกูละก็ ต้องยกความดีความชอบให้เจ้าพล เพราะมันเป็นคนทำให้ ถ้าพูดถึงเรื่องตกแต่งแก้ไขอวาตาร์ละก็ เจ้านั่นมันถนัดนัก” ลูกพี่หรือเน็คกล่าวชื่นชมพลจากใจจริง สร้างความไม่พอใจให้ไอ้เสกยิ่งนัก เพราะมันไม่ชอบหน้ารุ่นน้องที่เป็นเด็กเนิร์ดอย่างไอ้พลเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พูดง่ายๆก็คือ มันรู้สึกหมั่นไส้ที่ไอ้พลได้รับไมตรีจากผู้ที่มันนับถือเป็นลูกพี่
“ไอ้เด็กเนิร์ดนั่นมันมาเกี่ยวอะไรกับพวกเรา” ไอ้เสกกล่าวอย่างหงุดหงิด โดยแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ‘มันไม่ยอมรับให้ไอ้พลป็นพวกด้วย’
“เดี๋ยวมึงก็รู้เองนั่นแหละ” เน็คตอบอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน แต่แววตานั้นกลับจ้องไอ้เสกเขม็ง
“ชิ” ไอ้เสกร้องอย่างขัดใจ
หมายความว่าครั้งนี้จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นสินะ ไอ้เสกคิด
“ไปกันได้แล้ว เพราะมึงมัวแต่ชักช้าอยู่แบบนี้ เลยทำให้คนอื่นเค้าเดือดร้อนกันหมด” พูดจบเจ้าตัวก็เดินตรงเข้าไปจับมือของไอ้เสกทันที
“ห๊า!? ไปที่ไหน? ยังไง?” ไอ้เสกถามด้วยความงงงวย
“ก็บอกแล้วไง เดี๋ยวมึงก็รู้” เน็คพูดกลั้วหัวเราะโดยที่มือข้างหนึ่งจับมือไอ้เสกไว้มั่น ส่วนอีกข้างยื่นไปข้างหน้าแล้วแบออก
“Start key No.XI(11)” ทันทีที่เน็คพูดจบก็ปรากฏกุญแจดอกหนึ่งวางอยู่บนฝ่ามือ แล้วมือที่เคยแบอยู่บัดนี้กำกุญแจดอกนั้นแน่น
วาบ!~~~
ความรู้สึกราวกับตกจากที่สูงมาเยือนร่างกายอีกแล้ว ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกแต่ไอ้เสกก็ยังไม่คุ้นชินเสียที ความรู้สึกดังกล่าวดำเนินไปเพียงชั่วครู่ ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลับมาสู่ความเป็นปกติ ไอ้เสกสัมผัสได้ถึงสิ่งที่อยู่รอบๆตัว ครั้นเมื่อลืมตาขึ้นก็พบกับโลกสีขาวล้วน เป็นโลกที่มีทิวทัศน์ของหิมะสีขาวสะอาดกว้างไกลจนสุดขอบฟ้า หากแต่ว่าบรรยากาศกลับหม่นหมองชวนหดหู่ใจ น่าแปลกที่ทั้งๆที่ยืนอยู่ท่ามกลางหิมะ แถมยังมีพายุหิมะอ่อนๆ แต่กลับไม่หนาว หรือรู้สึกเย็นชืดเลยสักนิดเดียว อากาศออกจะเย็นสบายดี ให้อารมณ์ตัดกับภาพที่เห็นเสียด้วยซ้ำ
“ที่นี่แหละ โลกที่ไม่เคยมีฤดูใบไม้ผลิ” เน็คที่ยืนอยู่ข้างไอ้เสกจู่ๆก็เอ่ยขึ้นทำลายความเงียบงัน
“…..” ไอ้เสกเงียบสนิทไม่กล่าวอะไร ท่าทางราวกับครุ่นคิดบางอย่างภายในใจ
“เอาละไปกันเถอะ มึงทำให้เสียเวลาไปมากแล้ว” เน็คกล่าวเสริม
“…..” ไร้ปฏิกิริยาโต้ตอบ
“เฮ้อ! ~” เน็คถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ก่อนจะพยายามลากไอ้เสกให้เดินตามหลังตนมา
……….
ไม่รู้ว่านานแค่ไหนกว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ รู้เพียงแต่ตัวเองโดนลูกพี่ลากให้ตามไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกตัวอีกทีก็มาถึงยอดเขาซะแล้ว
“มาถึงได้เสียทีนะ คนอื่นเค้าล่วงหน้าไปก่อนตั้งนานแล้วแท้ๆ” เสียงที่ไม่คุ้นหูเอ่ยขึ้นเบาๆ
“ฮาฮาฮ่าฮ่า~ ขอโทษแทนมันด้วยแล้วกัน พอดีมันไม่เคยจับคอมน่ะ” ลูกพี่ที่อยู่ข้างๆกล่าวตอบเสียงนั้นไป
“ลูกพี่พูดอยู่กับใครน่ะ นอกจากผมกับลูกพี่ก็ไม่เห็นมีใครเลย” ถามออกไปแล้วแต่ก็ยังอดที่จะมองหาต้นเสียงปริศนานั้นไม่ได้
“ใจร้ายจังนะ อย่าแกล้งทำเป็นไม่เห็นกันงั้นสิ ก็อยู่ตรงนี้ไงเล่า” เสียงปริศนาเอ่ยขึ้นอีก แต่มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอใครอยู่ดี
“ช่วยไม่ได้นะ เดี๋ยวปีนขึ้นไปแล้วกัน เน่~ไอ้เน็คมาช่วยดึงขึ้นไปหน่อยสิ” เสียงนั้นตะโกนบอก
“อื้ม” ลูกพี่ตอบรับพลางก้าวเดินไปยังหน้าผา แล้วนั่งลงตรงแหลมที่ยื่นออกไปนอกยอดเขา
ลูกพี่ยื่นมือลงไป แล้วทันใดนั้นมือน้อยๆมือหนึ่งก็กุมมือลูกพี่เอาไว้แน่น
“เอ้า! ฮึบ!!” ลูกพี่ร้องพร้อมๆกับออกแรงดึง สักพักร่างผู้เป็นเจ้าของมือเล็กๆนั้นก็ค่อยๆตะเกียกตะกายขึ้นมาบนยอดเขา
ร่างที่โผล่ขึ้นมาจากหน้าผายืนนิ่งประจันหน้า ครั้นเมื่อสบตากัน ร่างดังกล่าวนั้นก็ยิ้มกว้างอย่างร่าเริง และทันใดนั้นก็ยกมือขวาขึ้นทำท่าตะเบ๊ะพร้อมทั้งตะโกนออกมา....
…
วันหนึ่งในโลกสมมุติ ณ โลกที่มีหิมะโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้าสีหม่นหมอง หิมะเหล่านั้นกองสุมไปทุกหนแห่ง แปรเปลี่ยนสรรพสิ่งให้กลายเป็นสีขาวสะอาดตา และเด็กชายผู้รังสรรค์โลกทั้งใบนี้ ก็มักจะนอนชมวิวอยู่บนยอดเขาที่สูงที่สุดเสมอ ทว่าไม่มีใครเห็นเขาหรอกแม้ว่าจะขึ้นไปถึงยอดแล้วก็ตาม จะมีเพียง ‘เพื่อน’ ของเขาเท่านั้น ที่จะรู้ดีว่าเขาอยู่ที่ไหน เด็กชายผู้มักจะนอนอยู่ใต้หน้าผานั้นเสมอ...
…
“โอ๊ส! ยินดีที่ได้รู้จัก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะเพื่อนใหม่”
ความคิดเห็น