ลำดับตอนที่ #1
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 2 ควายเนื้อ ปะทะ ควายเหล็ก
เมื่อควายเนื้อปะทะควายเหล็ก
....ผมกับเจ้าคมขนปลามาถึงตลาด เราสองคนหาที่วางปลาที่ใส่กาละมังขาย เนื่องด้วยปลาตัวใหญ่และผมขายไม่แพง ในไม่ช้าปลาก็ใกล้หมด”โอ้ว....ไอ้คมได้หลายร้อยเลยว่ะ ถึงไม่ได้เยอะขนาดตอนเล่นไฮโลว์ทำไมมันภูมิใจจังว่ะ”เจ้าคมก็ยิ้มดีใจด้วย”อย่างงี้พี่ก็มีเงินพาพ่อไปหาหมอแล้วล่ะสิ ตอนแรกนึกว่าพี่จะชวนผมไปเขย่าไฮโลว์หาเงินรักษาพ่อพี่เสียอีก คิดอย่างไงถึงอยากเป็นคนดีล่ะพี่...”ผมมองมันเคืองๆ “ไอ้วรนุชเอ้ย..เดี๋ยวกูถีบกระเด็น ทำไมกูจะหาเงินสุจริตบ้างไม่ได้เลยรึ มึงคอยดูต่อไปนี้กูจะตั้งหน้าตั้งตาหาเงินและเก็บๆๆๆๆ กูจะเอาไปขอสร้อยโว้ย...”เจ้าคมมองผมแล้วขมวดคิ้ว “พี่..ยังไม่เลิกฝันอีกหรอ พ่อของสร้อยเขายื่นคำขาดแล้วน่ะ”ผมสั่นหัวแล้วลุกขึ้นยืน”กูไม่กลัว กูไม่เคยหวั่น อะไรก็ขวางความรักของกูกับสร้อยไม่ได้..แม้นแต่พ่อของสร้อย....”เจ้าคมทำหน้าเสียมองไปข้างหลังผม”อ้าว..นั่น...พ่อของสร้อยมาพี่...”ผมสะดุ้งรีบหันตามไปดูก็รู้ว่าไอ้คมมันหลอก”โธ๋...ไอ้ชิบหาไม่เจอเอ้ย...น่าถีบจริงๆเมิงเนี๋ยะ...”ผมยกเท้าประกอบคำพูด เจ้าคมหลบแล้วหัวเราะ”ไหนว่าพี่ไม่กลัวไง....”
....ในกาละมังเหลือปลาอยู่ไม่กี่ตัวผมนั่งนับเงินได้ประมาณ600กว่าๆ แต่ทว่าขณะจะเอาเงินยัดใส่กระเป๋า ไอ้เม้งและพรรคพวกของมันก็เดินเข้ามา ไอ้เม้งมองดูกาละมังใส่ปลาแล้วมองหน้าผม”มาขายของที่นี่หรอ จ่ายค่าที่รึยัง”ผมลุกขึ้นยืนแล้วจ้องตาหยีๆของมัน”จ่ายไม่จ่ายแล้วมันเกี่ยวอะไรกับมึงล่ะ”ไอ้เม้งเอาตีนเขี่ยกาละมังของผม”เกี่ยวสิ นี่มันตลาดของเตี๋ยกู และกูมีหน้าที่เก็บค่าเช่า มึงเอาของมาขายกูก็ต้องเก็บ”ผมมองไปรอบๆแม่ค้าพ่อค้าทั่วไปต่างหลบตาเป็นแถว”แล้วเท่าไหร่ล่ะ”ไอ้เม้งยิ้มกวนๆ”มึงขายได้เท่าไหร่กูก็เก็บเท่านั้น...”ผมรู้ได้ทันทีว่างานนี้มันมาหาเรื่องแน่นอน”อ้าว...อย่างงี้มันหาเรื่องนี่หว่า มีที่ไหนว่ะขายได้เท่าไหร่เก็บเท่านั้น”ผมถามมันตรงๆ”แล้วมึงคิดว่ากูมาชื่นชมมึงหรอ จะจ่ายไม่จ่าย ไม่จ่ายโดนตีนน่ะ...”ไอ้เม้งพูดจบ ลูกน้องของมันก็ขยับตัวมาล้อมผมกับเจ้าคม ท่าทางได้มีเรื่องแน่ และพวกมันก็เยอะกว่าเสียด้วย”กูไม่จ่าย ทำอย่างงี้มันปล้นกันชัดๆ มีเรื่องก็มีกูไม่กลัวหรอก”...
....พวกไอ้เม้งเข้ามารุมผมทันทีที่สิ้นเสียงไอ้เม้งสั่ง แน่นอนพวกของมันเยอะกว่าผมกับเจ้าคมไม่ช้าก็ถูกรุมอัดรุมเตะ ทว่าขณะผมกำลังแย่ พวกพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในตลาดก็สุดทนต่างวิ่งกรูมาช่วยผมกับเจ้าคม”ทนไม่ไหวแล้วโว้ย...พวกเราช่วยไอ้สองคนนี่หน่อย”เสียงพ่อค้าคนหนึ่งบอก”แม่งกดขี่รีดไถพวกเรามานานแล้วเอามันเลย”และไอ้เม้งกับลูกน้องก็ถูกรุมกระทืบสะบักสะบอม ก่อนที่ไอ้เม้งจะถูกผมเอากาละมังตีหัว ก็มีเสียงห้ามจาก แป๊ะฮง กับ ผู้ใหญ่สิงห์ ที่เข้ามาช่วยกันห้ามและระงับเหตุ”หยุดโว้ยยย...พอๆๆๆ หยุดกันก่อนนี่มันอะไรกัน...”ผู้ใหญ่สิงห์ตะโกนลั่น แป๊ะฮงวิ่งมาประคองไอ้เม้งที่นอนหน้าตาบวมปูด แป๊ะฮงมองลูกชายแล้วหันมามองผม”ลื้ออีกแล้วเรอะ นี่ลื้อจะจองเวณหาเรื่องลูกชายอั๊วะไปถึงไหนกันว่ะ...”แป๊ะฮงโวยวายใส่ผมทันที.....
....พ่อค้าแม่ค้าได้ฟังก็ช่วยแก้ตัวให้ผม”ไอ้หนุ่มนี่ไม่ได้หาเรื่องหรอก ลูกชายแป๊ะฮงต่างหากหาเรื่อง ไอ้หนุ่มนี่มาขายปลาดีๆ ลูกชายแป๊ะฮงก็มาเก็บค่าที่ แล้วจะเอาเงินที่เขาขายได้ทั้งหมดเป็นค่าที่ เขาไม่ยอมจ่ายให้ก็รุมทำร้ายเขา ไม่ใช่เจ้าหนุ่มนี่รายแรกนะ มีมาก่อนหน้าหลายรายแล้ว พวกเราสุดทนเลยเข้าช่วยนะ”แป๊ะฮงมองหน้าไอ้เม้งที่ยิ้มแหย่ๆ แล้วกวาดตาหยีๆมองไปทั่ว”ใครเห็นว่าไอ้เม้งผิดบ้าง ยกมือซิ...”ชาวบ้านที่ยืนอยู่ต่างยกมือกันหมด อื่มมม...แป๊ะฮงกวาดตาหยีๆมองไปรอบๆแล้วกัดฟันก่อนหันหลังเดินออกตรงนั้นไป ทำให้ไอ้เม้งต้องรีบวิ่งตาม เสียงแป๊ะฮงบ่นลูกชาย”อาเม้งน่ะอาเม้ง ลื้อนี่มันหาเรื่องแท้ๆ ครั้งนี้อั๊วะอายจริงๆ อั๊วะจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ลูกชายของอั๊วะถูกพ่อค้าแม่ค้ารุมกระทืบในตลาดของตัวเอง”ไอ้เม้งตามไปแก้ตัวและพาลลงไปที่ลูกน้องของมัน” ก็เพราะอั๊วะเลี้ยงลูกน้องฝีมือกระจอกน่ะสิ ถึงพลาดอย่างงี้”มันยังหันมามองผมและชี้หน้าก่อนขึ้นรถไปกับพ่อของมัน....
....ผู้ใหญ่สิงห์เห็นสองพ่อลูกพิสดารกลับไปแล้ว ก็หันมาบอกทุกคนให้แยกย้ายกันไปขายของ ก่อนจะกลับผู้ใหญ่สิงห์เดินมาตรงที่พวกผมนั่งขายปลากันอยู่ “กูล่ะกลัวแทนพวกมึงจริงๆ ความกล้าอย่างเดียวน่ะไม่พอคุ้มหัวพวกมึงหรอก หัดใจเย็นหัดคิดเสียบ้าง อย่าหาภัยใส่ตัวให้มากนัก ไม่งั้นชีวิตพวกมึงจะอยู่อย่างลำบาก”ผมมองหน้าผู้ใหญ่สิงห์แล้วยิ้มอย่างรู้ทันว่าแกขู่ผมแทนไอ้แป๊ะฮง”ฉันน่ะ มีชีวิตอยู่โดยถือคติ...อย่าอยู่อย่างหวาดกลัวอะไร...”ผู้ใหญ่สิงห์มองผมแล้วหันหลังเดินไป แต่ไม่วายขู่สำทับ”แน่ให้ตลอดเหมือนปากของมึงนะ...”
....เรานั่งขายปลาอยู่จนค่ำมันยังเหลือปลาช่อนอยู่สองตัว ผมเห็นว่ามืดแล้วเลยชวนเจ้าคมกลับบ้าน”กลับเหอะ ไม่มีคนแล้ว เหลือสองตัวเอากลับไปทำกับข้าวกินดีกว่านี่ก็ได้เกือบๆพันแล้ว”ผมชูกระป๋องใส่เงินให้เจ้าคมดู “ก็ดีเหมือนกันพี่ ทางจากตลาดไปบ้านพี่ ต้องผ่านศาลเจ้าพ่อหัวโด่ด้วย มืดๆอย่างนี้ ผมกลัวๆยังไงไม่รู้...”ผมหัวเราะในความตาขาวของเจ้าคม”บ้าเรอะมึง ผีสางนี่มีที่ไหน งมงายไม่เข้าเรื่อง...”ผมหัวเราะเยาะมัน แต่เจ้าคมยังทำหน้าจริงจัง”โธ่พี่...เรื่องจริงน่ะ เมื่อวันก่อนป้าท้ายตลาดก็เล่าให้ผมฟังว่าแกเห็นผู้หญิงห่มสไบ นั่งบนกิ่งไม้ อูยยย...เล่าแล้วขนลุก...”เจ้าคมทำท่าตัวสั่นผมได้แต่ส่ายหัว”พูดยังกับมึงเห็นเอง ป้าแกอาจจะตาฝาดไปก็ได้ แกแก่ขนาดนั้น ไปเหอะ..กลับกันเหอะ...”แล้วผมก็เก็บของเดินนำหน้าเจ้าคมกลับบ้าน...
....ผมกับเจ้าคมเดินมาเรื่อยๆจนถึงศาลเจ้าพ่อหัวโด่ ศาลศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้าน บรรยากาศมืดๆทำให้บริเวณรอบๆศาลดูมลังเมลืองน่าขนลุกเหมือนกัน เจ้าคมยกมือไห้วแต่ผมกับหัวเราะเยาะมัน เจ้าคมมองผมหน้าเสีย”พี่นี่...ไปหัวเราะเยาะลบหลู่เจ้าพ่อเดี๋ยวเจอดีหรอก...”ผมหัวเราะลั่น มองเจ้าคมอย่างสมเพธ”เจอดีอะไรว่ะ เจ้าพ่อของมึงจะทำอะไรกูได้..”ใช่ครับผมเป็นคนไม่กลัวผี เพราะผมไม่เคยเจอผีมาก่อน ผมจึงไม่กลัว เจ้าคมมองผมสักครู่แล้วมันก็ทำหน้าตาตกใจด้วยความกลัวสุดขีด”..พะ..พะ..พะ...พี่...ขะ...ขะ...ขะ...ข้างหลัง....พี่...”เจ้าคมเสียงสั่นชี้ไปข้างหลังผม ท่าทางมันจะหลอกผมล่ะสิ”อะไร...ข้างหลังกูมีอะไร มึงอย่ามาหลอกกูอีกเลย..”เจ้าคมตัวสั่นแล้วหันหลังวิ่งหนีไปชนิดไวปานวอก”พี่ผมไปก่อนล่ะ...”ผมส่ายหัวในมุกแกล้งของเจ้าคม แต่พอขยับจะเดิน ผมเหลือบเห็นเงาข้างหลังเลยหันไปดู ก็ตัวชาวูบตั้งแต่ไขสันหลังขึ้นมาจนถึงเส้นผม เมื่อเจอร่างที่คลุมด้วยผ้าขาวยืนอยู่ ผมอ้าปากร้องก็ไม่ออกขาแข้งหมดแรงดื้อๆ ร่างนั้นเอื้อมมือมาหาผม ด้วยความตกใจสุดขีดผมถีบเข้าใส่ร่างนั้นเต็มแรง เสียงร้องโอ้ยยย...พร้อมๆกับร่างนั้นปลิวไปนอนแอ้งแม้ง..ผมตั้งสติได้....อ้าวนั่นมันเสียงคนนี่หว่า ผีปลอมนี่ แล้วไม่ได้มีตัวเดียว มันมีอีกสองตัวเดินออกมาจากหลังต้นไม้ เหอะ..แหมมาเลย กูไม่กลัวแล้ว ไอ้พวกผีปลอม...
....ผีปลอมทั้งสามเดินร้องฮือๆๆเข้ามาหาผมสองมือมันชูทำท่าจะเข้ามาบีบคอ ผมหยิบไม้ขนาดเขื่องข้างตัวได้ก็เอามาไล่ทุบไล่ตีพวกมัน พวกผีปลอมร้องโอ้กอ้ากเวลาเจอไม้ ไอ้พวกนี้ต้องเป็นลูกน้องไอ้เม้งแน่นอน มันคงใช้มาหลอกผมแต่เสียดาย ที่มันใช้แผนนี้ผิดคน หากเป็นคนตาขาวคงหนีเปิงไปแล้ว...
....พวกผีปลอมพอเห็นผมไม่กลัวมันก็เลิกปลอมเป็นผี สะบับผ้าทิ้งแล้วเข้ามารุมผม สามต่อหนึ่งผมก็เสร็จเหมือนเคยและถูกพวกมันรุมสกรัมแย่งเอากระป๋องเงินไป กว่าเจ้าคมจะตั้งสติและย้อนกลับมาช่วยผมก็ไม่ทันแล้ว พวกปลอมเป็นผีวิ่งหนีไปพร้อมกระป๋องใส่เงินของผม เจ้าคมประคองผมมานั่งอย่างทุลักทุเล”เป็นไงบ้างพี่...เจ็บมากไหม..”ผมขยับตัวไล่ความเจ็บขัดยอก “เจ้บสิว่ะ...อูยย...ถามได้...”เจ้าคมช่วยบีบนวดให้ผม”ขอโทษน่ะพี่...ผมไม่นึกว่าไอ้ผีพวกนี้เป็นพวกโจรคอยหลอกปล้นเงินชาวบ้าน...”ผมบีบเนื้อตัวไล่ความเจ็บแล้วบอกเจ้าคม”พวกโจรที่ไหน...พวกไอ้เม้งทั้งงั้น กูจำหน้ามันได้”ผมลุกขึ้นแล้วเดินดุ่มๆไป เจ้าคมตะโกนถาม”พี่...จะไปไหน..”ผมตอบโดยไม่หันกลับมามอง”ไปบ้านไอ้เม้ง วันนี้กูจะลุยแม่งถึงรังมันเลย มันปลอมเป็นผีมาปล้นเงินกู กูจะไปเอาเงินของกูคืน...มึงจะไปก็ตามมา ถ้าไม่ไปก็กลับไปรอกูที่บ้าน...”เจ้าคมลังเลสักครู่ก็วิ่งตามมา”พี่...ผมไปด้วย...”
....ผมเดินมาจนถึงหน้าบ้านของไอ้เม้ง เห็นเงียบสนิทมีแต่ไฟจากแสงนีออนในบ้านติดอยู่บางดวง นี่ยังหัวค่ำมันคงยังไม่นอนกันหรอก ผมตะโกนเรียกไอ้เม้งเสียงดังลั่น”ไอ้เม้ง...ไอ้วรนุชสารเลว มุดหัวอยู่ในรูทำไม แน่จริงมึงออกมาสิวะ”สักครู่เสียงไอ้เม้งก็ขานรับมันเดินออกมาพร้อมสมุน 4 5 คน “เฮ้ย...เสียงหมาที่ไหนมาเห่าแถวนี้ว่ะ...อ้อ...มึงเองเรอะ มาเห่าหน้าบ้านกูทำไม...หนวกหู...ไปเห่าที่อื่นไป....”แป๊ะฮงเดินออกมาพร้อมปืน และเดินมาสมทบพวกไอ้เม้ง”อ้าว..ลื้อเองเรอะ.. แหมวันนี้มาหาเรื่องอั๊วะกับลูกถึงบ้านเลยเรอะ...”ผมกัดฟันกรอด “ข้ามานี่ยังไม่ได้บอกเลยว่าจะมาหาเรื่อง แป๊ะรู้ได้ไงว่าข้าจะมาหาเรื่อง หรือแป๊ะรู้ล่วงหน้าว่าข้าจะมาเพราะอะไร..”แป๊ะฮงกับไอ้เม้งทำอึกอักและมองหน้ากัน”เอ่อ..งั้นเตี๋ยยิงมันเลย มันบุกรุกบ้านเรา ยิงมันเลย...”ไอ้เม้งยุพ่อมัน ผมถ่มน้ำลายลงพื้นแล้วมองหน้ามัน แล้วท้าทาย” ถุยย์..กูมามือเปล่า ถ้ามึงกับเตี๋ยมึงเป็นคนขี้ขราดตาขาวกลัวกระทั่งคนไม่มีอาวุธล่ะก้อ ยิงเลย...กูจะไม่หลบด้วย...”แป๊ะฮงมองด้วยตาตี๋ๆแล้วขบฟัน”ลื้อนี่...นับวันจะกำแหงใหญ่แล้วน่ะ พ่อ แม่ ลื้อ มันไม่เคยสั่งสอนบ้างเรอะไงให้มีสัมมาคารวะกับผู้ใหญ่บ้าง..”ผมถึงขำหัวเราะจนไหล่โยก”พ่อ แม่ข้า น่ะสั่งสอนมาดี แป๊ะจะว่าข้าก็ว่าไป แต่อย่าล่วงเกิน พ่อ แม่ข้า สั่งสอนลูกตัวเองให้ดีก่อนเหอะแล้วค่อยไปว่าลูกคนอื่น...”เจอผมย้อนเข้าให้แป๊ะฮงถึงสะดุ้ง แล้วเปลี่ยนเรื่องทันที”ว่าแต่ลื้อมาหาอาเม้งกับอั๊วะทำไม มีธุระอะไร...”ผมมองหน้าไอ้เม้ง จนมันหลบตา”ไอ้เม้ง...กูไปทำอะไรให้มึงเจ้บแค้นนักหนาว่ะ ถึงได้มาคอยจ้องจะกลั้นแกล้งกันอย่างนี้”ไอ้เม้งยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้”เฮ้ย...มึงจะบ้าเรอะ กูไปกลั้นแกล้งอะไรมึง บ้าแล้วมึง...”ผมเดินเข้าไปใก้ลๆไอ้เม้งแล้วพูดกรอกหูของมัน”มึงใช้ลูกน้องปลอมเป็นผีไปหลอกกูแล้วให้แย่งเงินของกูมา เงินนั่นกูจะเอาไปรักษาพ่อของกู กูขอร้อง มึงคืนกูมาเหอะ แล้วกูจะไม่เอาเรื่องมึง...”ไอ้เม้งทำหน้าหรอหราทันที”เฮ้ยๆๆๆๆ...มึงพูดพล่อยๆใส่ความกูอย่างงี้ เดี๋ยวกูฟ้องกลับเอามึงเข้าตารางได้นะโว้ย...”แป๊ะฮงก็เดินเข้ามาสมทบและพูดท้าทายผม”ถ้าลื้อว่าลูกน้องของอาเม้งไปปล้นแย่งเงินของลื้อมาก็ชี้ตัวมาสิคนไหน เฮ้ย...พวกลื้อออกมาให้หมด มายืนเข้าแถวให้มันชี้ตัวหน่อยซิ...”แป๊ะฮงสั่งลูกน้องออกมา แต่ไม่มีไอ้พวกที่ไปดักปล้นผมรวมอยู่ด้วยแน่นอน”ว่าไง ไอ้คนไหนล่ะ ลูกน้องอั๊วะก็มีอยู่แค่นี้...คนไหนล่ะ..”ผมกัดฟันกรอดไม่นึกว่ามันจะยกทีมกันแกล้งผม”ใครทำชั่วทำเลวมันก็รู้อยู่แก่ใจ วันนี้จับไม่ได้สักวันผลกรรมมันจะตาม..”ไอ้เม้งยื่นหน้ามาทำเป็นล้อผม”ถ้ามึงไปเจอผลกรรมก็บอกมันมาหากูไวๆน่ะ กูรออยู่...”สิ้นคำไอ้เม้งลูกน้องของมันก็หัวเราะกันฮา..ผมสุดจะทนกำหมัดจะซัดมันสักเปรี้ยง แต่เจ้าคมที่มาด้วยก็ห้ามไว้”อย่าเลยพี่...เรากลับกันเหอะ...วันนี้ไม่ใช่วันของเรา ปล่อยมันผยองกันไปเหอะ ถึงวันของเราเมื่อไหร่ค่อยเอาคืนให้สาสมเลย...”ผมตัดสินใจเดินหันหลังกลับแต่..”ไหนๆลื้อก็มาแล้ว อั๊วะบอกก่อนเลยน่ะ...อีก 3 วันอั๊วะจะไปรับดอกเบี้ยน่ะ ไปคราวนี้ไม่มีผ่อนผัน ไม่มีให้ยึดอย่างเดียว..”ผมหันมามองพวกมันอย่างเจ็บใจ กัดฟันตอบไปว่า”เอ้อ..ไม่ลืมหรอกถึงเวลาไปเก็บก็แล้วกัน...”
....ผมเองจนปัญญาแล้วจะเอาเงินที่ไหนไปรักษาพ่อ แล้วแม่คงจะผิดหวังในตัวผมน่าดู อีก 3 วันก็ต้องหาดอกเบี้ยจ่ายพวกแป๊ะฮง ไม่งั้นที่ดินก็จะถูกมันยึดไป “อะไรที่มันแล้วๆมาก็ให้มันแล้วๆไปเหอะพี่....เรายังมีพรุ้งนี้ให้เดิมเริ่มใหม่น่ะ”เจ้าคมพยายามปลอบผม”มึงจะให้กูไปเอาอะไรมาเริ่มต้นได้อีกล่ะ ตอนนี้ความหวังต่างๆของกูพินาจหมดแล้ว..”ผมพูดอย่างเจ็บใจในชะตาของชีวิต”พี่เคยพูดเองนี่ ลืมแล้วรึว่า ชีวิตของคนน่ะอาจจะล้มได้ แต่หลังจากล้มแล้ว เราต้องเลือกว่าจะลุกขึ้นสู้ หรือนอนยอมแพ้ตลอดไป..”เจ้าคมพยายามพูดเตือนสติของผม”ถ้าพี่ล้มแล้วไม่คิดจะลุกขึ้นมาสู้ แล้วพ่อ แม่ ของพี่ แล้วสร้อยอีกล่ะ พวกเขาจะเป็นอย่างไง...”เจ้าคมพยายามพูดปลอบใจให้ผมฮึกเฮิม”พี่...ต้องสู้...สู้ต่อไป...ถ้าเราสู้เราคงไม่แพ้ตลอดไปหรอก..”ผมมองหน้าเจ้าคมแล้วเอ่ยปลงๆ”ไอ้คมเอ้ย...กูจนปัญญาจริงๆ มึงจะให้กูเอาอะไรมาสู้ว่ะ...”
....เรื่องแรกที่ผมต้องหาทางแก้ไขคือจะเอาเงินที่ไหนไปรักษาพ่อที่นอนป่วยอยู่ ต่อมาคือหาเงินมาจ่ายดอกเบี้ยให้แป๊ะอง และอย่างที่สามสำคัญที่สุด จะเอาเงินที่ไหนไปขอสร้อยแต่งงาน ผมเดินเงียบๆนำหน้าเจ้าคมและเดินมาจนถึงเรือนหญ้าแฝกที่เป็นบ้านของผม และก็ได้เห็นรถของครูสมบูรณ์จอดอยู่ ผมแสนสงสัยมันมาทำไมนะ ผมเดินเข้าไปเรื่อยๆก็เห็นว่าบนเรือนนั้มีสร้อยกำลังประคองพ่อกินยาอยู่ และครูสมบูรณ์ก็นั่งอยู่ข้างๆ แม่ยกมือไหว้ครูสมบูรณ์ปะลกๆ มันมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างผมไม่อยู่ แต่น่าจะเป็นเรื่องดี แต่ที่ไม่ดีคือไอ้ครูคนนี้มันอยู่ด้วยนี่แหละ...
...ผมเดินขึ้นเรือนมานั่งข้างๆสร้อย ฝ่ายครูหนุ่มยิ้มให้ผม สร้อยล่ะจากเช็ดตัวให้พ่อผมแล้วหันมาบอกผมถึงเรื่องการมาอยู่ที่นี่ของเธออย่างที่ผมคาดไม่ถึง”สร้อยเห็นว่าพ่อของพี่ป่วยมากเลยขอร้องครูให้ช่วยพาไปหาหมอก่อน ครูเขารู้ก็เห็นใจเลยช่วยออกค่ารักษาให้ แล้วพี่ขายปลาได้เงินมาเยอะไหม...”ผมถอนหายใจหนักๆแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้สร้อยฟัง สร้อยกัดฟันกรอด”ไอ้พวกเจ๊กพวกนี้มันเลวจริงๆ เลวทั้งพ่อทั้งลูก...”ผมก้มหน้าส่ายหัวบ่นท้อใจในโชคชะตา”เฮ้อ...ยิ่งทำมาหากินสุจริต คนมันยิ่งแกล้ง สงสัยต้องไปเป็นเสือเป็นสางบ้างท่าจะดี”สร้อยรีบระล่ำระลักห้าม”อย่านะพี่ อย่าคิดและอย่าพูดอย่างนั้น แค่นี้ชีวิตพี่ก็แย่พอแล้ว”ครูสมบูรณ์นั่งนิ่งอยู่นานจึงถามขึ้นบ้าง”ว่าแต่นายพรุ้งนี้มีงานทำหรือเปล่า...”ผมส่ายหัว ครูหนุ่มจึงยิ้ม”งั้นพรุ้งนี้ไปที่บ้านพักครู ฉันมีงานให้นายทำ แต่งานลำบากนะ ไหวป่าว...”ผมมองหน้าครูและมองหน้าของสร้อย แล้วผงกหัวตกลง ครูหนุ่มยิ้ม ส่วนสร้อยก็มองผมอย่างมีความหวัง....
...ก่อนที่สร้อยและครูสมบูรณ์จะกลับ สร้อยพาผมมายืนคุยที่หลังเรือน ผมดึงร่างสาวคนรักเข้ามากอดจนล้มหงายไปบนกองฟาง สร้อยทำโมโหนิดๆที่ผมชอบทำรุนแรงกับเธอ”พี่ขอบใจนะสร้อย ที่มาช่วยพี่ แล้วครูนั่นมันมาช่วยได้ยังไง มันมีน้ำใจกะคู่แข่งหัวใจอย่างพี่จริงๆรึ” สร้อยผลักผมออกจากร่างของเธอแล้วลุกขึ้นนั่งปัดเศษฟางออกจากตัว”พี่นี่หนา...มองคนอื่นในแง่ร้ายไปหมด จริงๆครูเขาแค่ชอบสร้อยเฉยๆ แต่พ่อแม่ของสร้อยน่ะคิดมากกันไปเอง เขาออกเงินค่าหมอของพ่อพี่ให้เขาก็ไม่เคยถามถึงเรื่องใช้คืนเลย”ผมยังลุกตามมากอดเอวแฟนสาวไว้”นั่นแหละยิ่งน่ากลัว คนเราน่ะหว่านพืชมันก็ต้องหวังผล บอกตรงๆพี่ไม่ค่อยไว้ใจมันเลย”สร้อยจับมือของผมกอดให้แน่นเข้าไปอีกและเอนกายลงมาพิงอกผม”พี่ไม่ไว้ใจใครนะ สร้อยไม่ว่า แต่พี่ต้องไว้ใจสร้อยน่ะ..รู้ไหม..”
....เช้าวันต่อมาผมเดินเท้ามาที่บ้านพักครูหลังโรงเรียนประจำหมู่บ้าน ผมเดินหาบ้านพักของครูสมบูรณ์จนเจอ มันป็นเรือนไม้ใต้ถุนสูง รอบรั้วมีพืชสวนครัวปลูกอยู่ มีแปลงดอกไม้ด้วย แลดูรอบบริเวณสะอาดเป็นระเบียบผิดวิศัยชายโสดที่บ้านมักจะรกรุงรังขาดความเอาใจใส่ ผมเดินมานั่งรอที่ใต้ถุนบ้านพัก คิดว่ามาเช้าเกินครูคนนี้คงยังไม่ตื่น แต่สักพักก็เห็นครูหนุ่มวิ่งออกกำลังกายเหงื่อโทรมเข้ามา และหยุดวิ่งกับที่ซอยเท้าถี่ๆก่อนหยุดและบิดตัวยืดกร้ามเนื้อ ครูหนุ่มเอาผ้าเช็ดเหงื่อบนใบหน้าแล้วหันมาเจอผมก็ยิ้มให้และทักทาย”นายมานานแล้วหรือยังล่ะ..”ผมสั่นหัวเป็นคำตอบ
... ครูหนุ่มเดินมานั่งข้างๆแล้วเริ่มคุยกับผม”นายเห็นหนังสือกองนั้นไหม” ผมหันไปตามที่ครูหนุ่มชี้ ก็เห็นหนังสือกองหนึ่งวางไว้ที่พื้นไม้”เห็น..ทำไมหรอ”ครูหนุ่มยิ้ม แล้วเอาผ้าเช็ดเหงื่อที่ยังใหลอยู่ไม่ขาดสาย”ตอนที่ฉันขอมาสอนที่นี่ เพื่อนๆมันบอกว่าฉันอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอก ทั้งล้าหลัง ขาดแครนและป่าเถื่อน อยู่ได้ไม่นานฉันก็ต้องรีบเผ่นกลับ แต่ฉันก็อยู่มาได้นานกว่าที่เขาคาดกันอีก..เพราะอะไรรู้ไหม..”ผมส่ายหัว และมองครูหนุ่มแบบสงสัยว่ามึงจะบอกอะไรกู..”ที่ฉันอยู่ได้เพราะฉันมีหนังสือให้อ่านมากมายนั่นไง”ผมมองกองหนังสือแล้วงงๆ”แล้วจะอ่านไปทำไมเล่าครับ ไม่เบื่อที่จะอ่านหรอครับ...”ผมถามกลับไป ครูหนุ่มสะดุดครู่หนึ่ง”แล้วอยู่ที่นี่จะมีอะไรดีไปกว่าอ่านหนังสือล่ะ ชีวิตของคนนั้นแสนสั้นเหลือเกิน นั่งรอเฉยๆไม่รู้จักทำอะไรก็เหมือนสายน้ำใหลผ่านไปอย่างนั้น ดูแล้วมันช่างน่าเสียดายจริงๆ”ผมนั่งคิดตามไอ้คำปรัชญาของครูหนุ่มแบบงงๆ”นายรู้จักเบนจามิล แฟรงครินไหม...”ผมส่ายหัว ใครว่ะชื่อยังเรียกยากเลยจะให้รู้จักได้ยังไง”เขาเป็นอัฉริยะของโลก เป็นคนร่วมเขียนคำประกาศอิสรภาพของอเมริกา เป็นคนค้นพบกระแสไฟฟ้าในชั้นอากาศ และคิดค้นสายล่อฟ้าขึ้น..”ผมนั่งฟังแล้วคิดตามว่าถ้ากูรู้จักมันแล้วมันจะมาช่วยทำอะไรให้กูล่ะ”แล้วนายคนนี้เขามีคำพูดเด็ดๆว่าอะไรรู้ไหม” ผมก็ต้องส่ายหัวเหมือนเดิม”เขาบอกว่า ในคืนที่ฝนตกหนัก คนที่น่าสงสารที่สุดคือ คนที่อ่านหนังสือไม่ออก”ผมเดินไปหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมาดู หน้าปกเขียนว่า “การบริหารและจัดการธุรกิจ ฉบับรวยเร็ว”ผมจับพลิกไปมา”นายอ่านหนังสือออกไหม”ครูหนุ่มถามมาด้วยน้ำเสียงเกรงใจ ผมพยักหน้ายิ้มให้”ดีแล้วหนังสือกองนั้น ฉันยกให้นายเอาไปอ่าน แล้วรอเดี๋ยว ฉันจะพานายไปดูอะไรอีก รับรองว่ามันอาจจะเปลี่ยนชีวิตของนายได้เลย..”.ครูหนุ่มเดินขึ้นไปบนบ้านแล้วลงมาด้านหลังไปอาบน้ำ ระหว่างรอผมก็หยิบหนังสือมาอ่านเรื่อยๆ คู่มือบริหารทรัพย์สิน คู่มือเกษตรกรณ์สมัยใหม่ คู่มือการมีเพศสัมพันธ์อ้าวมาได้ไง.....
....ผมรอจนครูสมบูรณ์อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย ครูหนุ่มถามผมกินข้าวหรือยังเมื่อผมบอกว่ายังก็พาผมไปกินข้าวแกงที่ตลาด หลังอิ่มหน่ำครูหนุ่มก็เริ่มคุยกับผม..”นายรักสร้อยมากไหม..”ผมสะดุ้ง ไอ้ครูคนนี้มันเล่นถามแบบชกชนิดเข้าเป้าเต็มๆเลย ผมนิ่งไปครู่แล้วตอบเบาๆว่า”รักครับ..รักมากด้วย...”ครูหนุ่มยิ้มแล้วมองหน้าผมจนผมเขินๆ”แล้วนายมีความฝันไหม...นายเคยมีความฝันบ้างไหม..”ครูหนุ่มถามย้ำ ผมนิ่งคิดสักพักก็ถามกลับไป”ถามอย่างนี้ครูต้องการอะไรจากผมกันแน่...”ครูหนุ่มเรียกคนมาเก็บค่าอาหาร หลังจากจ่ายเงินแล้วก็ชวนผมออกเดินจากร้านอาหาร และพูดไประหว่างทาง”เกิดเป็นคนนะต้องมีความฝัน นายรักสร้อย รักมานานแต่ไม่เคยคิดไปไกลเลย อยู่ไปวันๆ จนถึงทุกวันนี้นายเคยคิดจะมีความฝันได้อยู่ร่วมกับสร้อยไหม ฉันเองก็ชอบสร้อย...แต่สร้อยไม่เคยชอบฉันเลย..”ครูหนุ่มหยุดเดินแล้วหันมามองผม”เธอพูดถึงแต่นาย เล่าแต่เรื่องของนาย สร้อยน่ะเขารักนายมาก และฉันก็รักสร้อย ดังนั้นฉันไม่อยากให้คนที่ฉันรักต้องลำบาก ต่อไปนี้นายต้องมาเรียนรู้กับฉัน นายต้องเปลี่ยนแปลง เพื่ออนาคตของตัวเองและเพื่ออนาคตของสร้อย เข้าใจไหม นี่คือสิ่งที่ฉันจะทำให้สร้อยได้...”ฟังดูแปลกๆ ครูหนุ่มนี่มันรักสร้อยแต่สร้อยไม่เล่นด้วย แล้วมันจะมาสอนหนังสือให้ผม และหวังจะสอนให้ผมกลายเป็นคนฉลาดและมีความรู้ที่สุดในหมู่บ้านนางรอง. เพื่อที่ผมจะดูแลและเลี้ยงดูสร้อยไม่ให้ต้องไปลำบากในอนาคต แหมมันจะใจนักเลงขนาดนั้นเลยหรือ......
....”หมู่บ้านนางรอง ตอนนี้มีแต่ทุ่งนาและป่า อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชและสัตว์สารพันนานาชนิด ทั้งในน้ำ กลางทุ่ง และบนฟ้า ตามคำที่ว่าในน้ำมีปลาในนามีข้าว แต่ในไม่ช้าภาพเหล่านี้กำลังจะหายไป”ครูหนุ่มพาผมเดินมาตามถนนลูกรังนอกหมู่บ้านมองท้องนากว้างไกลและป่าเขียวหนาแน่นริบๆตา พลางอธิบายถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงหมู่บ้านของเราที่เรียกว่าความเจริญ หมู่บ้านของผมคือชนบทห่างไกล ยังไม่มีไฟฟ้า ระบบการประปา โทรศัพท์ ถนนราดยางหรือคอนกรีต รวมทั้ง สถานพยาบาลที่ทันสมัย ครูหนุ่มยังคงร่ายยาวต่อโดยไม่ได้สนใจว่ามันจะซึมลงกบาลของผมไหม”อีกไม่นาน ทุ่งนาที่นายเห็นอยู่จะไม่มีอีกแล้ว มันจะกลายเป็นโรงงานของนายทุนต่างชาติ ความเจริญจะหลั่งใหลเข้ามา ถนนหนทาง ไฟฟ้า ประปา สิ่งบันเทิงและค่านิยมใหม่ๆที่จะเข้ามาเปลี่ยน ค่านิยมเก่าๆ ฝูงนกบนท้องฟ้าและฝูงปลาในแม่น้ำจะสูญสิ้นไป ไปพร้อมกับคำว่าความเจริญ....”ครูหนุ่มหันมามองผมที่เดินตาม และผมมองกลับไปอย่างงงๆอยากจะถามว่า มาบอกผมทำไมไม่ทราบ ถึงจะรับรู้ไปแล้วคนอย่างผมจะไปทำอะไรได้
....เดินไปได้สักครู่ก็เจอ แป๊ะฮง เจ้าเม้งและลูกน้องกำลังสาธิตเครื่องยนต์ไถนาให้กับชาวบ้านดูอยู่ ผมเดินไปทำไม่สนใจแต่ครูหนุ่มกับชวนผมไปดู”มันมีอะไรดีหรอไอ้ของเล่นอันนั้นน่ะ...”ผมถามครูอย่างสงสัยที่ท่าทางครูดูจะสนใจ “นั่นแหละที่เขาเรียกว่า ควายเหล็ก เป็นเครื่องไถนาด้วยเครื่องยนต์ มันจะมาแทนควายจริงๆในไม่ช้า...”ผมมองแล้วหันไปถามครูหนุ่มอย่างงงๆ”อะไรน่ะ...ไอ้นั่นน่ะหรอควายเหล็กที่จะมาแทนควายจริง”ครูหนุ่มพาผมเดินเข้าไปดูใก้ลๆ”ควายเหล็กนี่ทำด้วยเหล็ก หญ้าไม่กิน แต่กินน้ำมันแทน มันทำได้สารพัด ทั้งไถพรวนดิน ไถกลบ ไถหว่าน เป็นเครื่องสูบน้ำ และใช้ประกอบที่นั่งเป็นรถก็ได้..”ผมมองอย่างพิศวงไอ้ควายเหล็กตัวนี้มันดีเลิศสารพัดขนาดนั้นเชียวหรือ....
....เสียงไอ้เม้งประกาศให้ชาวบ้านที่มาดูการสาธิตควายเหล็กฟัง “พ่อแม่พี่น้องชาวบ้านนางรองทุกท่าน ที่ทุกท่านเห็นนี่คือนวัตกรรมใหม่แห่งการทำนา ต่อไปนี้เราจะหมดปัญหากับการใช้ควายจริงๆทำงาน ควายทั่วไป เราใช้ทำนาได้ปีล่ะครั้ง แค่ช่วงเวลาสั้นๆ แล้วก็ต้องเลี้ยงดูเอาใจใส่ แก่มาก็หมดประโยชน์ ฆ่ากินเนื้อได้อย่างเดียว แต่ควายเหล็กหรือเครื่องยนต์ไถนานี่ทำได้สารพัด.....”แล้วไอ้เม้งก็บรรยายไปตามสรรพคุณที่มีของควายเหล็ก”มันจะเป็นไปได้อย่างไรว่ะ ควายเหล็กควายปลอมๆมันไม่มีหัวจิตหัวใจ มันจะมาสู้ควายจริงๆได้ยังไงว่ะ” ผมพูดขัดไอ้เม้งไปจนมันหยุดพูดแล้วหันมามองผมกันตาขวางด้วยความไม่พอใจทั้งกลุ่ม”มึงนี้มันคนบ้านป่าเมืองเถื่อนจริงๆ กูกำลังจะเอา เกษตรแผนใหม่มาพาชาวบ้านไปสู่ความเจริญ มึงก้อมาขวาง น่าชวนชาวบ้านไล่ไปอยู่หลังเขาเนาะ..”ผมไม่อยากต่อคำกับมันเลยยืนดูเฉยๆ ครูหนุ่มไม่ว่าอะไรยืนกอดอกยิ้มมองผมกับไอ้เม้ง”ฉันรู้สึกว่านายกับเจ้าคนชื่อเม้งนี่ เกิดมาเพื่อกันและกันน่ะ...”ผมหันไปถามครูหนุ่มด้วยความสงสัย”ยังไงครูพูดยังไง ผมไม่เข้าใจ”ครูหนุ่มมองอย่างขำๆ”เกิดมาเพื่อเป็นคู่กัดกันยังไงล่ะ...”
....และไอ้เม้งกับแป๊ะฮงก็ช่วยกันหว่านล้อมชาวบ้านให้ชื้อควายเหล็กของพวกมันโดยผ่อนส่งได้ยาวนานถึง 20 ปี ผมว่าแล้วไอ้พ่อลูกคู่นี้มันต้องหาเรื่องมามอนเมาชาวบ้านให้เป็นหนี้มันแบบไม่ลืมหูลืมตาแน่”นึกแล้วเชียวว่ามันต้องหาเรื่องมาหลอกลวงชาวบ้านให้หลงเป็นหนี้พวกมัน”ครูสมบูรณ์พยายามห้ามผมไม่ให้ไปยุ่ง”มันให้ผ่อนตั้ง 20 ปีเชียวน่ะครู ขืนปล่อยให้ชาวบ้านชื้อ...ทั้งชาติไม่ต้องทำอะไรแล้ว หาเงินใช้หนี้พวกมันลูกเดียว ปล่อยผมเถอะ ผมทนเฉยปล่อยให้พวกมันเอาเปรียบชาวบ้านไม่ได้...”ครูหนุ่มมองผมแล้วถอนหายใจ”แล้วนายจะทำอะไรได้ล่ะ ชาวบ้านเขาตัดสินใจกันเอง เขายอมเป็นหนี้เอง..”ผมมองหน้าครูแล้วบอกอย่างมุ่งมั่น”ไม่ได้หรอกครู ในเมื่อเรารู้ทันคนชั่ว ถ้าเราทำเฉยก็เท่ากับเราส่งเสริมให้คนชั่วเอารัดเอาเปรียบคนอื่นน่ะสิ..”ครูสมบูรณ์มองผมอย่างทึ่งๆแต่ไม่วายเตือน”ถ้าไม่ใช่หน้าที่ของเรา อย่างนี้เขาเรียกหาเรื่องใส่ตัวน่ะ...”
....ไอ้เม้งกำลังพาชาวบ้านคนหนึ่งที่กำลังจะเซ็นสัญญาชื้อควายเหล็กเป็นตัวแรก ผมเดินเข้าไปห้าม”เดี๋ยวก่อนอาก้อน อย่างอาก้อนก็มีควายตั้งฝูงแล้วจะชื้อควายเหล็กทำไม...”ผมถามด้วยความไม่เข้าใจ”แล้วมึงยุ่งอะไรด้วยว่ะ...คนจะชื้อไม่ชื้อเนี๋ยะ”ไอ้เม้งถามผมเสียงห้วนๆ”มึงนี่มันชอบมาหาเรื่องพวกกูจริงๆ กูกำลังนำเทคโนโลยี่ใหม่มาสู่หมู่บ้านของเรา มึงก็คอยมาขัดมาถ่วงความเจริญ...”ผมหัวเราะเยาะ และย้อนกลับมันไป”แผนใหม่...แผนใหม่ที่จะมาหลอกชาวบ้านน่ะเรอะ มันจะเจริญตรงไหน เริ่มต้นก็เป็นหนี้มึงตั้ง 20 ปี ใช้หนี้พวกมึงยันลูกยันหลานเลย”ไอ้เม้งเถียงผมไม่ออกมันสั่งพวกจะรุมผม แต่แป๊ะฮงที่นั่งนิ่งมานานยกมือห้ามเอาไว้”ใจเย็นๆ อาเม้ง พวกโง่แล้วมาทำอวดฉลาดแบบนี้ อั๊วะอยากสั่งสอนมัน อั๊วะสงสัยว่าทำไมลื้อถึงคอยจองล้างจองผลาญ ขัดขวางต่อต้านอั๊วะมาตลอด..”แป๊ะฮงถามผมตรงๆ”ข้าไม่ได้ต่อต้านหรือคิดขัดขวางอะไร แต่ข้าไม่อยากให้ชาวบ้านหลงเชื่อคำโฆษณาเกินจริงของพวกแกแล้วตกเป็นหนี้ทั้งชาติเท่านั้นแหละ....”
....แป๊ะฮงมองผมอย่างเจ้าเล่ย์”ลื้อมานี่ ลื้อต้องการอะไร ต้องการมาฉีกหน้าอั๊วะ ให้ชาวบ้านยกย่องลื้อเป็นคนฉลาดทันคนเรอะ หรืออยากยกระดับตัวเองว่าแน่ที่ต่อต้านอั๊วะแล้วอั๊วะทำอะไรลื้อไม่ได้...อั๊วะจะเตือนลื้อทางใครก็ทางมันสิโวย..”ผมเองก็ไม่ลดล่ะ”ถ้าทางดีๆข้าจะไม่ขวางเลย...”แป๊ะฮงมองผมอย่างเดือดดาล”อยากพิสูทธ์ใช่ไหม...ว่าควายเหล็กของข้าดีจริงหรือเปล่า....”ผมมองควายเหล็กแล้วมองมัน”พิสูทธ์อย่างไง...”แป๊ะฮงเดินเอามือไพร่หลังแล้วมาหยุดลูบไปที่ควายเหล็ก”เอาควายจริงของลื้อมาไถนาแข่งกับควายเหล็กของอั๊วะ ถ้าอั๊วะแพ้ อั๊วะจะยกควายเหล็กตัวนี้ให้ลื้อแล้วอั๊วะจะเลิกขายควายเหล็กให้ชาวบ้าน แต่ถ้าลื้อแพ้ ลื้อต้องเลิกต่อต้านอั๊วะและต้องยกควายสองตัวของลื้อให้อั๊วะเอาไหม...”ผมสะดุ้งในข้อเสนอของมัน”ว่าไง...ทำไมเงียบไปล่ะ ไม่กล้าล่ะสิ...”ไอ้เม้งถามย้ำ ผมมองหน้ามันแล้วตอบว่า”ตกลง พรุ้งนี้เจอกันที่นี่...”ผมพูดพร้อมทั้งประสานสายตากับสองพ่อลูกตระกูลหยีอย่างมุ่งมั่นเต็มเปรี่ยม...
....เมื่อตกลงสถานที่และเวลาได้แล้ว ผมกับพวกไอ้เม้งก็แยกย้ายกันกลับ ระหว่างทางครูสมบูรณ์ก็ตำหนิผมที่ไปก่อเรื่องไม่เป็นเรื่องขึ้นมา”แล้วไปท้าทายเขา ถ้าแพ้ขึ้นมาต้องเสียควายให้เขา หมดตัวเชียวน่ะ ฉันไม่เข้าใจความคิดของนายเลย ไม่รู้สร้อยไปรักคนอย่างนายได้อย่างไง”ผมมองครูหนุ่มแบบไม่ค่อยพอใจ”เอ...ครูนี่พูดเยอะไปแล้วน่ะ...”ครูหนุ่มมองผมแล้วถอนหายใจ”แล้วถ้าเกิดพรุ้งนี้แพ้เขาจะทำอย่างไง หมดตัวเชียวน่ะ เอาควายจริงไปแข่งกับควายเหล็ก...”ผมมองครูแล้วถามเบื่อๆ”คำก็แพ้ สองคำก็แพ้ ครูไม่คิดว่าผมจะชนะเลยเรอะ ถ้าชนะผมจะยกควายเหล็กตัวนั้นให้ครูเลย”....
....แล้วเราก็เดินกลับมาที่บ้าน หลังนั่งพักเหนื่อยสักครู่ ครูสมบูรณ์ก็ให้ผมเอาตำราเรียนมาและเริ่มเรียนกันแบบไม่มีที่ไหนในโลกนี้สอนกัน....”นายเชื่อไหมว่าโลกกลม..”ครูหนุ่มเริ่มถามผม และผมก็ตอบแบบไม่ลังเล” เชื่อ...”ครูหนุ่มมองหน้าผมราวจะล้วงลึกเข้ามาในใจของผม”ทำไมถึงเชื่อเล่า...”ผมก็ตอบทันทีแบบมั่นใจ”ก็เพราะครูในโรงเรียนสอนมาอย่างนี้นะสิ”ครูหนุ่มถอนหายใจมองผมแล้วถามอีกครั้ง”แล้วนายเคยเดินทางรอบโลกบ้างไหม ถึงบอกได้ว่าโลกมันกลม และถึงนายจะมีโอกาสได้เดินทางรอบโลก นายจะรู้ได้อย่างไรว่าโลกกลม...จริง...”ผมมองหน้าครูหนุ่มเหมือนไม่เข้าใจในสิ่งที่เขาจะสอนผม”นี่ครูกำลังจะบอกผมว่าโลกนี้มันแบนไม่กลมหรอ”ครูหนุ่มมองหน้าผมแล้วยิ้ม”ไม่ใช่หรอก เพียงแต่อยากบอกว่า คนเรานี่ควรหัดคิดเองก่อนจะสรุปและเชื่อในอะไรสักอย่าง สมัยก่อนคนที่เชื่อว่าโลกกลมอย่างนี้ ก็ถูกเผาตายทั้งเป็นไปมากมายเพราะมีความเชื่อไม่ตรงกับผู้มีอำนาจ...นายเองก็เหมือนกัน เวลาจะคิดจะตัดสินใจอะไร ก็ไตร่ตรองให้ดีว่ามันคุ้มหรือไม่คุ้มที่จะทำ...”ผมมองครูหนุ่มทึ่งๆเข้าใจสอนแฮะ...
....หลังจากเรียนรู้หลักสูตรต่างๆไปเรื่อยๆทำให้ผมเข้าใจว่าบางครั้งความรู้บางอย่างก็หาไม่ได้จากในห้องเรียน ครูอย่างครูสมบูรณ์สอนแบบให้ผมคิดเองและแนะแนวทางให้ “นายนี่ไม่ใช่คนโง่นะ เป็นคนฉลาดแต่ไม่ตั้งใจเรียน”ครูสมบูรณ์สรุปผมหลังจบการสอนในวันนั้น”ถ้านายตั้งใจเรียนอาจได้เป็นหมอหรือไม่ก็ทนาย...”ผมทำท่าจะกลับแต่ครูสมบุรณ์ชวนผมเดินไปที่สนามหลังบ้านพักครู ที่นั่นมีกระสอบทรายและเป้าเตะอยู่ 4- 5เป้าตั้งอยู่”มีอะไรหรือครับครู อย่าบอกนะว่าครูจะสอนผมต่อยมวย...”ครูสมบูรณ์พยักหน้า ผมถึงฮาก้าก ครูหนุ่มคนนี้รูปร่างเล็กกว่าผมมากและค่อนข้างท้วม แม้นจะบ้าออกกำลัง แต่ดูยังไงก็ไม่น่าต่อยตีอะไรเป็น”ครูนี่อ่ะน่ะ....”ผมถามย้ำ ครูหนุ่มพยักหน้า”ทำไม ขำอะไร สร้อยเล่าให้ฟังว่านายล้มนักมวยตัวยังกับยักษ์ได้ขอดูฝีมือหน่อย”ผมส่ายหัวบอกว่าไม่เอา กลัวพรั้งมือทำร้ายครู แต่ครูหนุ่มก็ยังดึงดันจะขอลอง”ถ้างั้นผมพลั้งมือไปครูอย่าว่ากันน่ะ”ครูหนุ่มยิ้มพยักหน้า ผมตั้งการ์ดมวยและวิ่งเข้าใส่ทันที ผลหรือ อยู่ร่างของผมก็ลอยแล้วหล่นลงพื้นไปนอนจุกแอ้ด โดยไม่รู้ว่าโดนอะไร แต่ผมก็ผุดลุกขึ้นมาทันที และงงว่าตะกี้โดนอะไรทำไมล้มได้ ผมมองครูคนนี้อย่างพิศวง ครูหนุ่มยังยิ้มและผายมือกวักเรียกผม”ถ้านายสงสัยก็เข้ามาอีกทีก็ได้...”ผมเองก็คิดว่าตะกี้ประมาทไปเลยตั้งท่าและพุ่งเข้าต่อย คราวนี้ชัดๆครูสมบูรณ์เอี้ยวตัวจับแขนของผมและขัดขาล้มหงาย และครูหนุ่มก็เอามือหนึ่งกดตัวผมไว้และเงื้อมืออีกมือกำหมัดค้างเตรียมต่อยผม ไม่น่าเชื่อครูคนนี้แอบซ่อนอะไรไว้เยอะจริงๆ...
....ครูสมบูรณ์ยิ้มแบบเป็นมิตร ลดหมัดและปล่อยร่างผมก่อนยื่นมือมาให้ผมจับและดึงขึ้นมา เมื่อผมยืนและปัดเศษดินและหญ้าที่ติดตัวออก ก็ถามแบบงงๆปนสงสัย”ครูนี่เป็นนักมวยด้วยรึครับ...”ครูหนุ่มส่ายหน้า”เปล่าหรอก ผมแค่เรียนวิชาป้องกันตัวมานะ เขาเรียกเทคควนโด้ มวยเกาหลี ผมอยู่แค่ระดับสายดำน่ะ..”ผมพึมพำอะไรว่ะโด้ๆเรียกยากชะมัด”นายเอง เคยแต่อาศัยแรงและกำลัง วิชาป้องกันตัวน่ะเน้นที่สติและอาศัยจุดอ่อนคู่ต่อสู้ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะตัวใหญ่กว่าหรือแข็งแรงกว่า แต่เราก็สามารถเอาชนะได้...ไว้ว่างๆฉันจะสอนให้...”พูดจบครูสมบูรณ์ก็เดินนำผมออกจากสนามหลังหอพักครู”วันนี้ฉันจะไปส่งนายที่บ้าน นายต้องพักผ่อนมากๆ พรุ้งนี้เราคงไม่ได้รัยนกัน เพราะนายต้องไปแข่งไถนากับพวกแป๊ะฮง คืนนี้ระวังตัวด้วยนะ พวกนั้นน่ะคงมีแผนสกปรกเล่นงานนายแน่”ครูสมบูรณ์เตือนผมก่อนไปสตาร์ทรถยนต์และพาผมไปส่งที่บ้านพร้อมกับขนกองหนังสือที่ยกให้มาด้วย เมื่อรถมาถึงที่เรือนหญ้าแฝกอันเป็นบ้านของผม ครูสมบูรณ์ก็แวะลงมานั่งคุยถามไถ่อาการพ่อของผมที่ดีขึ้มมาก ลุกมานั่งได้แล้ว ครูสมบูรณ์คุยอยู่พักใหญ่ก็ลากลับไป ผมเดินไปส่งที่รถเมื่อรถแล่นออกไปจนลับตา ผมยืนคิดคำนึงอยู่คู่ใหญ่ ให้รู้สึกว่าครูคนนี้เป็นคนดีจริงๆผิดกับที่ผมหวาดระแวงไว้ก่อนหน้านี้....
....หลังจากครูหนุ่มกลับไปผมก็มาสุมไฟไล่ยุงให้ควายที่คอกข้างๆเรือน พรุ้งนี้แล้วผมต้องเอามันไปแข่งกับควายเหล็กของแป๊ะฮงกับไอ้เม้ง ผมไม่รู้จะบอกเรื่องนี้กับพ่อและแม่อย่างไง ได้แต่นั่งมองควายสองตัวมันครอเครียกัน สักพักกระแสความชั่วร้ายก้มาสัมผัสตัวผม”ไอ้คมมาทำอะไรดึกๆดื่นๆที่บ้านกูว่ะ..”เจ้าคมโผ่ลออกจากเงามืดเดินเข้ามาหาผม”แหมพี่นี่ ผมเข้ามาใก้ลทีไรรู้ตัวก่อนทุกที ผมมาหาพี่น่ะสิ ได้ข่าวว่าพี่ไปท้าแข่งควายไถนากับไอ้เม้งหรอ”ผมพยักหน้าบอกว่าใช่”พี่นี่ไม่บ้าก็โง่แล้วน่ะเนี่ย เอาควายเนื้อไปท้าแข่งกับควายเหล็ก”ผมมองหน้าเจ้าคมอย่างไม่พอใจ”ทำไมใครๆก็คิดว่ากูจะแพ้ว่ะยังไม่ได้แข่งกันเลย”ผมเดินเลี่ยงไปหาควายทั้งสองตัวในคอก”คมเอ้ย..ได้ยินว่าท้าแข่งอะไรกัน...นี่เอ็งไปหาเรื่องเดือดร้อนอะไรมาอีกล่ะ....”แม่เดินผ่านมาได้ยินจึงหยุดถาม”ก็พี่เขานี่น่ะสิ...ไปท้าพวกแป๊ะฮงแข่งควาย”เจ้าคมฟ้องแม่ผม”โธ๋....นี่เอ็งก่อเรื่องอีกแล้วรึ..”แล้วแม่ก็ถอนใจอย่างกลัดกลุ้ม”ยังไม่หมดแค่นั้นนะ พี่เขายังไปเดิมพันว่าถ้าแพ้จะยกควายสองตัวนี่ให้พวกแป๊ะฮงด้วย...”เจ้าคมฟ้องต่อ แม่อ้าปากร้องฮ้า....”โธ่เอ้ย...ไอ้ลูกบ้า นี่มึงเอาควายไปพนันกับเขาได้ยังไงทำไม ชอบก่อเรื่องให้เดือดร้อนไม่รู้จบอย่างนี้...”แม่ส่ายหน้าแล้วทรุดลงนั่งกับพื้น”นี่ถ้าแพ้เขาเสียควายไปก็หมดตัวเลยน่ะ ทำไมทำอะไรไม่รู้จักคิดบ้างเลย” และพ่อที่เดินผ่านมายืนฟังอยู่ห่างๆ มองผมแต่ไม่ได้พูดอะไร พ่อถอนใจแล้วเดินไปนั่งที่แคร่ ใช้ผ้าขาวม้าปัดตัวไล่ยุง ผมมองพ่อกับแม่แล้วคิดถึงคำพูดของครูสมบูรณ์”เรื่องบางอย่างเราต้องคิดก่อนว่ามันคุ้มพอที่จะทำไหม”ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า เราครวจะคิดอะไรให้ดีก่อนทำ....
....เปลวไฟจากตะเกียงน้ำมันก๊าดวูบวาบจากบนเรือน ส่องแสงสว่างรำไรลงมากระทบตัวพ่อที่นั่งนิ่งอยู่ที่แคร่ แม่ขึ้นไปนอนแล้ว เจ้าคมนอนเฝ้าควายหรือนอนให้ควายเฝ้าอยู่ ผมเดินเข้ามานั่งข้างๆพ่อ”พ่อ...ฉันขอโทษที่วันนี้วู่วามไปท้าไอ้พวกนั้นอย่างงั้น...”พ่อยังนั่งนิ่ง เงียบจนผมอึดอัด”ทำไมพ่อไม่ด่าฉันเลยล่ะวันนี้..”ผมถามย้ำ พ่อหันมามองผมด้วยสายตาเอ็นดู”จะให้ด่าอะไรล่ะ..”พ่อเริ่มพูดกับผมแล้ว”ข้าพอได้ยินเรื่องของเอ็งมาบ้างแล้ว ตอนแรกข้าก็โมโหที่เอ็งไปท้ามันอย่างนั้น แต่พอฟังเหตุผลแล้วข้าก็คิดว่าเอ็งทำถูก..”ผมทำหน้างงๆเพราะตั้งแต่จำความได้พ่อไม่เคยชมผมเลยมีแต่ด่าและติ “เอ็งช่วยชาวบ้านไม่ให้ตกเป็นทาสเงินกู้ไอ้แป๊ะฮง น่ะถูกแล้ว เอ็งกล้ามากที่จะสู้ จำไว้พลังอันยิ่งใหญ่ต้องมาพร้อมความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง..”ประโยคสุดท้ายของพ่อฟังคุ้นๆ”ตอนเอ็งเกิดหลวงพ่อทำนายไว้ว่า เอ็งจะเป็นคนมีชื่อเสียงและโด่งดังที่สุดในหมู่บ้านนางรอง ข้าเลี้ยงดูเอ็งอย่างดีและคาดหวังขู่เข็ญเอ็งสารพัด คงเป็นเพราะข้าคาดหวังในตัวเอ็งมากไป เมื่อเอ็งไม่ได้เรื่องข้าเลยผิดหวัง ต่อไปนี้เอ็งจงเดินตามทางที่เอ็งคิดและตัดสินใจเองเหอะ...”วันนี้พ่อพูดดีกับผมมาก ผมรู้สึกอบอุ่นใจและรู้สึกถึงความห่วงใยของพ่อที่แท้จริงของพ่อที่ผมเข้าใจผิดมาตลอด....
....”เอ็งจะทำเพื่อช่วยชาวบ้านหรือไม่อยากให้คนชั่วมันรังแกคนจนน่ะข้าไม่ว่าหรอก แต่เอ็งต้องประมาณกำลังของตัวเองบ้าง”พ่อเริ่มพูดหลังจากนิ่งไปพักใหญ่ๆ”อย่างเอ็งนี่ คิดจะตั้งตัวเป็นผู้ช่วยเหลือชาวบ้าน มันก็ดี แรกๆอาจจะสนุกที่ได้ช่วยคนให้พ้นทุกข์ แต่ทุกข์ของคนเรามันไม่มีที่สิ้นสุด ลองมีคนมานั่งเล่าความทุกข์ให้เอ็งฟังทุกวันๆ วันล่ะหลายๆเรื่อง คราวนี้แหละ เอ็งจะรู้ว่ามันไม่ง่าย แล้วพอช่วยไม่ได้ใจมันจะห่อเหี่ยว..”ผมฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนพ่อ ใจจริงของ ผมแค่อยากจะช่วยเหลือชาวบ้านไม่ให้เป็นหนี้พวกหน้าเลือดขี้โกง แต่ผมจะช่วยได้สักเท่าไหร่ ผมมองดูรอบๆตัวแล้วก็คิดเสียดาย”งั้นไอ้ที่ฉันจะทำนี่ พ่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์เลยรึ ฉันก็แค่อยากเป็นที่พึ่งของชาวบ้านและก็อยากให้เขาชื่นชมและยกย่องฉันบ้างก็เท่านั้น.....”พ่อมองผมอย่างเข้าใจ และจ้องหน้าผมพร้อมด้วยรอยยิ้มที่อบอุ่น “ถ้าเอ็งอยากเป็นที่พึ่งของชาวบ้านจริงๆ เอ็งก็ครวทำแล้ว ช่วยแบ่งเบาชี้ช่องทางให้ชาวบ้าน บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ให้มากๆเท่าที่ทำได้ ไม่ช้าเอ็งก็จะครองใจคนเขาให้นับถือและเชิดชูเอ็งได้ คนเราน่ะใช้อิทธิพลและอำนาจกดขี่ปกครองคนน่ะ มันอยู่ไม่ยั่งยืนหรอก ต้องให้เขาชื่นชมและนับถือเราด้วยใจ แล้วก็ไม่ใช่จะทำวันนี้แล้วพรุ้งนี้เขาจะนับถือเราเลยน่ะ ความดีน่ะมันทำยากและเห็นผลช้ากว่าทำความชั่ว เพราะอย่างนี้แหละคนมันถึงท้อไม่อยากทำความดีกัน เพราะบางครั้งทำความดีไปแล้วก็มักไม่มีคนเห็น.....”
.พ่อคุยกับผมอีกสักพักก็แยกตัวขึ้นไปนอน ผมเดินมานั่งที่ข้างๆคอกควาย เจ้าคมหลับสนิทให้ควายผมยืนเคี้ยวเอื้องเฝ้าและผมเกิดปวดฉี่จึงเดินไปฉี่ในที่มืด แต่ระหว่างฉี่ผมเห็นชายสามคนคลุมหัวด้วยไอ้โม่งย่องเข้าไปที่คอกควายของผม มันค่อยๆเดินผ่านเจ้าคมแล้วเปิดคอกควาย ผมหยิบไม้ย่องเข้าไป และหวดใส่เต็มแรงไปที่ไอ้คนที่ยืนอยู่ใก้ลมันร้องลั่นด้วยความเจ็บปวด เจ้าคมตกใจตื่นร้องเสียงดังว่า ขโมยมาขโมยควาย พวกมันตกใจเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว พ่อวิ่งลงมาพร้อมดาบยาว ถามผมอย่างตื่นเต้นและตกใจ”ใครมาขโมยควายของเรา...”เจ้าคมทำท่าเข่นเขี้ยวห้าวหาญเมื่อขโมยหนีไปหมดแล้ว”ต้องเป็นฝีมือพวกไอ้เม้งแน่ๆเลย”ผมเองก็มั่นใจ”ต้องเป็นพวกมันแน่ ผมว่าเราบุกไปลุยกับมันตอนนี้เลยดีไหม มันเล่นสกปรกกับเราทุกอย่าง”พ่อทำสีหน้าเรียบเฉยและสั่งห้าม”อย่าไปเลย ไม่มีประโยชน์หรอก..”ผมให้รู้สึกขัดใจที่พ่อห้าม”มีสิพ่อ ไปสั่งสอนให้มันรู้สำนึกเสียบ้าง ไม่งั้นมันก็มาลอบกัดเราอยู่อย่างนี้..”เจ้าคมเองก็ทำหน้าครุ่นคิด”เอ...หรือมันจะเป็นแผนซ้อนแผนล่อให้เราไปหามัน แล้วมันจะย้อนกลับมาขโมยควายเราอีกรอบ ถ้าพี่จะไปผมจะอาสาอยู่เฝ้าควายเอง...”เจ้าคมออกความเห็น ผมตวาดเสียงดัง”ไม่ต้องเฝ้า เดี่ยวกูจะขี่ควายไปไล่ขวิดพวกมันที่บ้านเลย..”แต่พ่อก็โบกมือห้ามเอาไว้”ไม่ต้องไปทำอะไรหรอก พวกมึงเฉยๆไว้ มันจะเล่นสกปรกหรือขี้โกงมายังไง เราก็เฉยไว้ คนคิดชั่วยังไงมันก็แพ้ภัยตัวเองวันยันค่ำ...”ผมมองพ่ออย่างไม่เข้าใจทำไมพ่อพูดอย่างงั้น ปล่อยให้มันทำตามใจเดี่ยวมันก็เหิมเกริมคิดว่าเรากลัวมัน “ผมยังยืนนิ่ง แล้วหันมามองบอกผมด้วยสีหน้าที่สงบเรียบ”จำที่หลวงพ่อสอนเราได้ไหม ธรรมะย่อมชนะอธรรม ความดีย่อมชนะความชั่ว ใช้ความสงบสยบความเครื่อนไหว...”ผมกับเจ้าคมนั่งลงพนมมือไห้วพ่อแล้วบอกสาธุพร้อมกัน พ่อหันมามองแล้วยกเท้าจะถีบพวกเรา”ทะลึ่งนะพวกมึงนี่..”ผมกับเจ้าคมลุกขึ้นหัวเราะขำๆ”แหมพ่อนี่ทำตัวยังกับพระแล้วเมื่อไหร่จะบวชละหลวงพ่อ...”ผมยังไม่วายแซว พ่อมองตาขวางๆแล้วบอกผม”กูพูดเรื่องจริง ไม่เชื่อพรุ้งนี้มึงคอยดู ว่าความดีจะชนะความชั่วได้ไหม....”
....วันต่อมาที่ท้องทุ่งนาของอาก้อนสถานที่นัดหมายในการดวลไถนาระหว่างผมกับพวกแป๊ะฮง รอบๆยริเวณทุ่งนาและบนถนนลูกรังคับคั่งด้วยชาวบ้านมากมาย เพราะข่าวการดวลกันครั้งนี้ระบือลือลั่น การดวลและเดิมพันที่พิสดารที่ใครๆต่างก็อยากจะสัมผัสและเห็นกับตา การเดิมพัน ตีไก่ กัดปลา แข่งวัวแข่งควายหรือ ไฮโลว์ ถั่ว โป ก็เห็นกันมาหมดจยชินหูชินตา แต่การแข่งระหว่างควายเหล็กกับควายจริงนี่ยังไม่เคยปรากฎมาก่อนเลย และแน่นอนสำหรับนิสัยคนไทย เมื่อมีการแข่งขันก็ย่อมมีการพนันขันต่อ และเมื่อมีการพนันขันต่อชนิดใหม่ มันก้ต้องตื่นเต้นและตื่นตัวเป็นธรรมดา การต่อรองจึงสดใหม่และแผ่ขยายไปแทบทุกหัวระแหงของนักเสี่ยงโชค....
...สถานที่แข่งขันถูกกำหนดเอาไว้ง่ายๆ แบ่งร่องคันนาเป็นสองฝั่ง ให้ควายเหล็กอยู่อีกฝากคันนา เมื่อให้สัญญาณทั้งควายจริงและควายเหล็กจะแข่งกันไถนา ใครเสร็จก่อนแล้ววิ่งมาคว้าธงแดงได้เป็นผู้ชนะ กติกาง่ายๆ แข่งกันง่ายๆ แต่จะทำได้ง่ายหรือเปล่านั่นคือคำตอบ “มันก็เป็นการแข่งที่แฟร์ๆ และขึ้นอยู่ที่คนบังคับว่าจะทำให้ควายของตนไถได้เร็วแค่ไหน ข้าว่าควายจริงมันคงบังคับยากกว่าควายเหล็กว่ะ ข้าให้ควายเหล็กเป็นต่อ 5 4”ผู้สันทัดกรณีคนหนึ่งวิจารณ์ขึ้นมา”ไม่แน่น่ะ ควายเหล็กมันบังคับง่ายก็จริงแต่ความคร่องตัวของควายจริงจะเหนือกว่า ข้าถือหางควายจริงว่ะ..”เมื่อมีผู้สันทัดกรณีอีกคนก็วิจารณ์ค้าน ทำให้ต่างฝ่ายต่างมีข้อมูลก็ช่วยเพิ่มเติมความมั่นใจในการลงเงินถือหางของทั้งสองฝ่าย วงเงินจำนวนมากจึงสะพัดในการพนันขันต่อครั้งนี้....
....แม้นอากาศตอนสายๆนี่จะค่อนข้างร้อน แต่กลุ่มชาวบ้านที่มาดูก็หนาแน่น ผม พ่อและเจ้าคมเดินจูงควายไปยังสถานที่นัดแข่ง เมื่อมาถึงก็มีเสียงปรบมือโห่ร้องต้อนรับและคำทักทายจากผู้ถือหางผมอย่างคับคั่ง ผมมองหาสร้อยเผื่อเธอจะมาบ้างแต่ก็หาไม่เจอ แต่ทว่ายืนผิดหวังไม่นานก็ได้เห็นสร้อยขี่จักรยานมาจอดใก้ลๆ”แหมสร้อย..พี่นึกว่าจะไม่มาซะแล้ว..”สร้อยมองผมทำท่าค้อนๆ”ก็ว่าจะไม่มาอยู่แล้ว เป็นบ้าอะไร ไม่มีอะไรทำรึไงไปท้าพวกแป๊ะแข่งเพี้ยนๆ”ผมมองตาสาวคนรักละห้อย”แหม..พี่ทำเพื่อชาวบ้านน่ะ...”สร้อยพูดสะบัดๆ”แล้วชาวบ้านทำอะไรให้พี่บ้างล่ะ..”เจ้าคมเลยสอดขึ้นบ้าง”ถ้าสร้อยไม่มานี่ พี่เค้าจะไปเอากำลังใจมาจากไหนล่ะ..”สร้อยเบะปากแล้วหันมามองผม”ก็เอาจากชาวบ้านไง พ่อคนของประชาชน..”ผมอยากจะดึงสาวคนรักมากอดหอมลงโทษฐานที่ต่อปากต่อคำทำงอนใส่ แต่ติดที่คนเยอะทำไม่ได้เลยได้แต่ยิ้ม แล้วกัดฟันมันเขี้ยว รอแข่งเสร้จก่อนเถอะ โดนแน่...
....แต่สักพักขบวนของแป๊ะฮงก็ยกมาโดยมีแตรวงเป่า ฉิ่งฉาบและกลองยาวแห่นำหน้าพวกผู้ติดตามและเหล่าสมุนต่างร้องรำทำเพลงร่วมขบวนมาอย่างสนุกสนาน รถไถถูกต่อพ่วงเป็นรถอีแต่น แป๊ะฮง ไอ้เม้งและผู้ใหญ่สิงห์นั่งเด่นเป็นสง่าเห็นมาแต่ไกล พอเข้ามาใก้ลเสียงโห่ร้องต้อนรับก็ดังประสานเสียงแตรวงสนั่นทุ่ง แป๊ะฮง ไอ้เม้งและผู้ใหญ่สิงห์โบกไม้โบกมือให้กับชาวบ้านอย่างกับตัวเองเป็นคนสำคัญ เมื่อมาถึงพวกมันก็ก้าวลงจากรถและเดินเข้ามาหาผม”ว่าไงลื้อพร้อมหรือยัง แต่ถ้าเกิดปอดแหกกลัวไม่อยากแข่งล่ะก้อ กราบขอโทษอั๊วะก่อนแล้ว อั๊วะก็จะยกโทษให้ไม่ต้องแข่งให้เกิดความสูญเสียต่อกัน..เอาไหม...”แป๊ะฮงเสนอในสิ่งที่ผมไม่มีทางจะสนอง”ข้าว่าแป๊ะนั่นแหละ ครวจะเป็นฝ่ายทำ..”ผมย้อนกลับไปแป๊ะฮงทำตาดุ”สามหาว..ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ลื้อนี่ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา วันนี้อั๊วะจะสั่งสอนให้ลื้อได้สำนึกว่าไม่ครวมาต่อกรกับคนอย่างอั๊วะ..”แป๊ะฮงร่ายยาว ผมแค่นหัวเราะ”เอาเหอะไม่ต้องพูดมาก เบื่อฟัง ไหน..ใครจะเป็นคนมาแข่งกับข้า ไอ้เม้งเรอะ...”ผมถามหาคู่ต่อสู้ ที่ไม่รู้ว่ามันจะส่งใครมา ฝีมือไถนาเป็นอย่างไง”เหอ เหอ เหอ กูมันระดับผู้บังคับบัณชาโว้ย ไม่ลดตัวไปไถนาแข่งกับมึงหรอก...”ไอ้เม้งเดินออกมายืนต่อหน้าผม แล้วผายมือไปยังชายผิวดำที่ไม่ใส่เสื้อ คนที่ยืนหันหลังอยู่ที่ข้างๆถนน”คนที่จะแข่งกับมึงคือคนนี้ สิงห์คะนองนา...ขอเพลงหน่อย..”
...สิ้นคำประกาศของไอ้เม้ง ชายผิวดำร่างกายล่ำสัน ก็หันมา โชว์แผงกร้ามบึ้กมันวับไปด้วยน้ำมันที่ชะโลมไว้ หน้าตามันคมเข้ม หล่อเหลา ชนิดสาวแก่แม่ม่ายที่มาร่วมดูการแข่งในวันนี้ด้วยส่งเสียงกรี๊ดเป่าปากหวีดร้องอย่างคลั่งไข่..เอ้ย..คลั่งไค้ร..สิงห์คะนองนา จอมไถนาในตำนานที่เลื่องลือ มันไปหาตัวมาจากไหน ยิ่งเสียงเพลงประจำตัวของมันจากวงดลตรีแห่ดังขึ้น ก็ส่งรัศมีแห่งความเท่ส์และความเก่งของมันออกมา ให้โดดเด่นเหนือกว่าผมชนิดเทียบกันไม่ติด..
..เพลง อื้อฮื้อหล่อจัง ขับร้องโดย พุ่มพวง ดวงจันทร์ (เพลงประจำตัวไอ้ สิงห์คะนองนา)
DmIntro...
..อื้อฮื้อหล่อจัง อะฮ้าหล่อจริง
คู่ใครนะนิ้งเป็นบ้า นี่แค่มองสบตา
ห่างกันตั้งสี่วา อะฮ้าใจหายว้าบ
อื้อฮื้อ เท่ห์จริง อื้อฮื้อ บึกบึน น่ายืนคล้องแขนขนาบ
ดูท่าทางสุภาพ โสดใช่ไหมอยากทราบ
งาบเสียดีไหมเรา
วงแขนกล้ามเป็นมัด มัด อุ้ยน่าจะกัดแขนเล่นเบา เบา
น่ากระซิบ เบียดกายกระแซะ แล้ววางมือแมะ ไว้บนหัวเข่า
อยากกระซิบเบา เบา ว่าตอนนี้เหงาใจจังเลย
อื้อฮื้อ หล่อจัง อะฮ้ามาดแมน นี่แฟนของใครกันเอ่ย
ถ้าพ่องามทรามเชย โจทย์ไม่มีเปิดเผย
จะนั่งเข่าเกยคุยด้วยทั้งคืน
(ดนตรี.....)
..วงแขนกล้ามเป็นมัด มัด อุ้ยน่าจะกัดแขนเล่นเบา เบา
น่ากระซิบ เบียดกายกระแซะ แล้ววางมือแมะ ไว้บนหัวเข่า
อยากกระซิบเบา เบา ว่าตอนนี้เหงาใจจังเลย
อื้อฮื้อ หล่อจัง อะฮ้ามาดแมน นี่แฟนของใครกันเอ่ย
ถ้าพ่องามทรามเชย โจทย์ไม่มีเปิดเผย
จะนั่งเข่าเกยคุยด้วยทั้งคืน
อื้อฮื้อ หล่อจัง อะฮ้าหล่อจริง อื้อฮื้อ หล่อจัง อะฮ้าหล่อจริ๊ง.....
....เจ้าสิงห์คะนองนายืนแอ้กบิดตัวทำเท่ส์ตามจังหวะดลตรีและเสียงกรี๊ดของสาวๆ และจังหวะต่อมาก็ไปจับรถไถควายเหล็กติดเครื่อง แล่นทะยานผาดโผนไปมาโชว์ลีลา ทั้งหกคะเมนตีลังกาบนคันจับของรถไถ ลีลาคร้ายๆกับแสดงกายกรรมให้ดูหวาดเสียว เรียกเสียงปรบมือและเสียงกรี๊ด ในความอึ้ง ทึ้ง เสียว จากสาวๆและชาวบ้าน....
....เจ้าคมที่ตะลึงดูอยู่นานเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วกระซิบถาม”แม่ง...ไอ้พวกนี้มันทำเชี่ย..อะไรกันเนี่ย..พี่..”ผมส่ายหัวบอกมันไปตรงๆ”กูก็ไม่รู้ว่ะ..”ไอ้เม้งเดินยิ้มเข้ามาหา “มึงพร้อมหรือยัง ถ้าพร้อมก็ลงไปประจำที่ได้”ผมพยักหน้าบอกว่าพร้อม ไอ้เม้งหันไปสั่งวงดลตรีของมันว่า”เฮ้ย..ตอนกำลังแข่งนี่ บรรเลงเพลงเชิดนะโว้ย พอไอ้นี่มันแพ้น่ะ บรรเลงเพลง ธรณีกรรแสงนะ...จำเอาไว้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า...”ไอ้เม้งหัวเราะอย่างสุขสมสะใจ แล้วมันก็เดินไปรวมกลุ่มของมันชนิดน่าถีบส่ง...
....พ่อผมเดินเข้ามาหาและยื่นผ้าให้ผมสองชิ้น ผมจำได้ว่ามันเป็นชายผ้าถุงกับชายผ้าขาวม้าของพ่อ “เอาโพกหัวไว้ ชายไทยสมัยโบราณเวลาออกรบทัพจับศึกน่ะ เขาจะเอาชายผ้าถุงกับชายผ้าขาวม้าของพ่อติดตัวไปออกศึกเสมอ มันจะช่วยให้มีชัย ปลอดภัยกลับมา...”ผมยกมือไห้วขอบพระคุณพ่อของผมอย่างสุดซึ้ง”พ่อ..ฉันไม่ได้ไปรบที่ไหน แค่ไปแข่งไถนา ฉันว่าไม่ต้องหรอก...”พ่อทำหน้าดุใส่ผม”มึงนี่...หัดเชื่อฟังพ่อแม่บ้าง ก้มหัวมา เดี๋ยวกูจะลงคาถาให้มึงชนะ...”ผมเลยต้องก้มหัวให้พ่อพันผ้าขาวม้ากับผ้าถุง แล้วพ่อก็บริกรรมคาถาเป่าพรวดๆที่หัวผม แล้วกระซิบข้างหูให้ผมทำตาม ผมยกมือพนมบริกรรมคาถาตามที่พ่อสอน แล้วยกเท้ากระทืบพื้นแรงๆสามครั้ง”โอ้ย...พี่เม้ง..แม่งมันเล่นคาถานะจังงัน..ด้วย..”ลูกน้องคนหนึ่งของไอ้เม้งตะโกนบอก พวกมันหัวเราะกันร่วน”เล่นลงคาถาอย่างงี้เราก็แย่นะสิ...ฮ่าๆๆๆ”ไอ้เม้งหัวเราะเยาะ ผมไม่สนใจจูงควายเดินไปเข้าที่ ขณะไอ้สิงห์คะนองนาก็ยังวาดลวดลายขับรถไถควายเหล็กของมันยกล้อข้ามเข้ายังแปลงนาตามมาประจำที่...
.”สู้เขาน่ะพี่ สร้อยเอาใจช่วย อย่ายอมแพ้น่ะ...”สาวคนรักของผมส่งเสียงเชียร์ และครูสมบูรณ์ก็เดินแหวกกลุ่มคนดูเข้ามายืนข้างๆสร้อย ครูหนุ่มยิ้มให้ผม”นึกว่ามาไม่ทันได้ดูการดวลระดับตำนานของบ้านนางรองเสียแล้ว”ผมยิ้มให้ครูหนุ่มที่แซวมามุกนี้”แหมไม่นึกว่าครูจะมาดูด้วย”ครูหนุ่มหัวเราะ”ไม่มาได้อย่างไง ใครจะกล้าพลาดได้ ว่าแต่นายเวลาแข่งน่ะ ตั้งสติให้ดี อย่าใช้อารมณ์เด็ดขาด..”ครูหนุ่มเตือนผม สร้อยยืนข้างๆก็พูดเสริมด้วย”ใช่..พี่อย่าใจร้อนนะ แข่งคราวนี้สำคัญมาก แพ้เสียควายเนื้อ ชนะได้ควายเหล็ก ถ้าพี่แพ้หมดตัวเลยนะ กว่าจะตั้งตัวได้อีกสร้อยรอไม่ไหวแน่...”ผมฟังแล้วรู้สึกกดดันเหลือเกิน ไม่น่าไปท้าแข่งบ้าๆกับพวกไอ้เม้งเลย
....ครับผมเป็นลูกชาวนาเติบโตมากับท้องนา ผมยังมั่นใจว่าการไถนาแบบเก่าโดยใช้ควายจริงต้องดีกว่าใช้ควายเหล็กหรือรถไถนา วิธีไถนาแบบใช้ควายนั้น ผมได้รับการสั่งสอนมาจากพ่อ แม้นผมจะไม่ค่อยชอบทำนาเลยก็ตาม นี่คือวิธีการฝึกควายไถนา เป็นภูมิปัญญาของไทยมาช้านาน
....เริ่มต้นต้องฝึกควายให้รู้จักการบังคับให้ไปทางซ้ายทางขวาและสั่งให้หยุดตามต้องการพอฝึกได้จึงสามารถนำมาใช้งานได้
....ลักษณะควายที่จะนำมาใช้ได้นั้นต้องเลือกตัวที่เชื่องไม่ตื่นตกใจง่ายมีลักษณะเด่นเช่นลำตัวใหญ่แข็งแรงสุขภาพสมบูรณ์ดีไม่เลือกเพศผู้หรือเพศเมียก็ได้ ทั้งนี้ตัวเมียจะฝึกได้ง่ายกว่าตัวผู้ที่มักจะคึกเปรียวช่วงวัยหนุ่ม
*อุปกรณ์ไถนา
...ประกอบด้วย คันไถพร้อมส่วนประกอบครบเครื่อง แอกใหญ่ สายอ้อมคอสำหรับใส่คอควาย เชือกลากจูง แอกน้อย เชือกลากคันไถให้ขนาดพอดีไม่สั้นหรือยาวเกินไป
*ก่อนนำควายมาฝึกไถนา
....คนโบราณให้กลั้นลมหายใจประมาณหนึ่งอึดใจแล้วใช้ฝ่าเท้าเหยียบไปที่ก้านคอควาย ให้ควายโน้มคอลงมาก่อนจึงเหยียบ บริเวณที่จะวางแอกทำจำนวนสามครั้งเป็นการเตือนให้รู้ว่าพร้อมที่จะทำการไถนา ถ้าหากควายแสดงอาการดิ้นรนแสดงว่าไม่พร้อมที่จะใส่แอกใส่ไถได้
*วิธีการใส่ไถ
1.เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม เช่นคันไถ แอกใหญ่ สายอ้อมคอ เชือกผูกแอกใหญ่โยงไปจูงคันไถให้ครบถ้วนแล้วนำควายมาใส่ไถ
2.ถ้าควายยังไม่เคยฝึกต้องมีคนคอยจูงอีกคนหนึ่ง ทั้งคนจูงและคนบังคับคันไถต้องเข้าใจกันว่าจะต้องเดินไปทางใดให้เป็นทิศทางเดียวกัน
3.คนไถต้องบังคับคันไถให้ได้ลึกตามความต้องการและระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
4.ผู้จูงควายนำหน้าควาย ให้ควายเดินไปตามไถที่ไถไปแล้วรอบก่อนทุกๆรอบจนกว่าควายจะเคยชิน แล้วค่อยๆปล่อยให้คนบังคับคันไถไล่ควายและบังคับไปเอง
5.ควายไม่เหมือนเครื่องจักรต้องเข้าใจว่าการทำงานจะต้องใช้เวลาด้วยความอดทน ถ้าควายแสดงอาการร้อนต้องใช้น้ำมาลาดลำตัวให้เย็น ควายจะได้ไม่เครียดเชื่องเชื่อฟังคำสั่ง
6.เวลาทำการไถควรต้องเป็นตอนเช้าหรือตอนเย็นจึงจะเหมาะสม กลางวันก็ปล่อยให้ควายออกหาเล็มหญ้ากินตามปกติ
.เมื่อผมและไอ้สิงห์คะนองนาเข้าประจำที่แล้ว ผู้ใหญ่สนิงห์ในฐานะคนเป้นกลางแต่เอียงไปทางพวกแป๊ะฮง ก็เดินมายืนที่คันนาตรงกลางกั้นแปลงระหว่างผมกับไอ้สิงห์คะนองนา แกประกาศเสียงดังฟังชัดแนะนำและบอกเหตุผลในการแข่ง เมื่อแกถามผมและไอ้สิงห์คะนองนาว่าพร้อมหรือยังแล้ว ผู้ใหญ่สิงห์ชักปืนออกมาแล้วยิงขึ้นฟ้าเป็นสัญญาณให้เริ่มออกตัวแข่งขันได้ ผมยกไม้ขึ้นตีก้นควายให้มันเครื่อนตัวลากคันไถ ส่วนไอ้สิงห์คะนองนาก็สตาร์ทเครื่อง กดคันเร่งส่งควายเหล็กของมันพุ่งทะยานออกไป.....
....ผมบังคับควายของตัวเองให้ลากคันไถไปในร่องนาที่กำหนด เสียงเชียร์จากคนถือหางดังลั่นทุ่ง เสียงแตรวงก็บรรเลงอย่างเมามัน ไอ้สิงห์คะนองนาดูท่ามันจะมั่นใจ ยามผมหันไปดูมัน ตัวรถและตัวของมันก้จะนำหน้าผมอยู่หนึ่งช่วงตัวเสมอ เสียงสร้อยพยายามเชียร์เร่งให้ผมกลับมาแซงมันให้ได้ดังเข้าหูมาเป็นระยะ ไอ้สิงห์คะนองนาเริ่มทิ้งช่วงห่างผมไปเรื่อยๆ ร่องนาของมันเหลืออีกไม่กี่รอบก็จะเสร็จ ควายของผมยังเดินอย่างใจเย็น ดูท่าจะแพ้คนเชียร์และพวกที่ลุ้นเริ่มถอดใจ เบาเสียงลง ต่างจากกลุ่มของแป๊ะฮงและพวกที่ถือหาง ต่างร้องรำทำเพลงหัวเราะเยาะอย่างสนุกสนาน ไอ้สิงห์คะนองนาเองก็ดูจะมั่นใจในชัยชนะ มันหยุดรถไถควายเหล็กของมันและโชว์ลีลา ยกตัวเอาขาชี้ฟ้าโดยมือจับอยู่ที่คันรถไถ จากนั้นก็โชว์อีกหลายลีลา ส่วนผมและควายผมยังค่อยๆเยื้องย่างไถตามมาเรื่อยๆ...
....และสิ่งไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อไอ้สิงห์คะนองนา มันโชว์ขับรถแล้วเบรกให้รถมันหนุมตัวจนเกิดการผิดพลาด เมื่อรถเหวี่ยงตัวมันลอยข้ามคันนามาตกตุ๊บตรงร่องนาของผมท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน มันลุกขึ้นอย่างยากลำบากด้วยความจุกเสียด ส่วนควายเหล็กของมันที่เครื่องยังไม่ดับ ก็พุ่งทะยานปีนขอบคันนาต่อไปยังขอบถนนขึ้นไปหากลุ่มแป๊ะฮงและพวกกองเชียร์ของมันที่ต้องวิ่งหลบกันจ้าระหวัน ไอ้สิงห์คะนองนาลุกขึ้น แล้วก็ตาลีตาเหลือกวิ่งตามรถไถของมันที่วิ่งได้เองแล้วไปจอดดับหมดฤทธ์อยู่อีกฟากของถนน มันพยายามสตารืทติดเครื่องเพื่อกลับมาแข่งใหม่ แต่ผมก็สบายใจไล่ควายเนื้อไถนาไปเรื่อยๆ เสียงไอ้เม้งและแป๊ะองร้องด่าเร่งไอ้สิงห์คะนองนาให้กลับมาแข่งไวๆ และหันมามองผมเป็นระยะๆ”เร็วๆโว้ย....มันจะเสร็จแล้ว ไอ้ควายคะนองนา จะชนะอยู่แล้วมัวแต่โชว์ออฟอยู่ได้...”เสียงไอ้เม้งร้องด่า จนกระทั่งไอ้สิงห์คะนองนามันเอารถกลับมาลงที่ร่องนาได้ ก็รีบไถตามผมจนกระทั่งถึงที่สุดท้าย ผมนำห่างมัน 2 3ช่วงตัว แต่มันก็ไล่มาทันจนเสร็จพร้อมกันแต่ต้องตัดสินที่ใครจะคว้าธงแดงก่อน....
....ไอ้สิงห์คะนองนาวิ่งเบียดผมจนล้ม แต่ผมยื่นขาไปสกัดมันจนล้มหน้าคว่ำ พอลุกขึ้นมาได้มันก็ออกหมัดชกมาที่หน้าผม แต่ผมก็ง้างขาเตะเข้าไปที่ปลายคางของมัน ผมกับมันก็ล้มกลิ้งตกลงไปในนาอีกครั้ง พอลุกขึ้นมาได้ ไอ้สิงห์คะนองนาก็เงื้อหมัดต่อยมาที่ผม แต่ผมก้มหลบและเอาดินโครนโป๊ะไปที่หน้ามันจนหงายท้อง ดินคงเข้าตามันจึงทำให้มองไม่เห็นพอลุกขึ้นมา มันก็คว้านมือเปะปะหาตัวผม เลยถูกผมถีบเข้าที่ยอดอก จนมันหงายท้องลงไปนอนนิ่ง แล้วผมก็ค่อยๆเดินไปคว้าธงแดงชูขึ้นประกาศชัย ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของกองเชียร์ฝ่ายผม ด้านพวกแป๊ะฮงถึงกับหน้าเสียและทำท่าผิดหวังกันถ้วนหน้า เสียงสร้อยร้องกรี๊ดสะใจดูจะดังกว่าเสียงของใครๆ....
....ผมเดินเข้าไปหาสร้อย และครูสมบูรณ์ที่ปรบมือและยิ้มให้ผม แต่ไม่ทันจะพูดอะไรเจ้าคมก็วิ่งมากอดผมและพ่อที่เดินเข้ามาตบไหล่ยินดี”เยี่ยมมากลูกพ่อ อย่างนี้สมกับเป็นลูกพ่อ...”ฝ่ายเจ้าคมก็กอดผมสลับกับชูมือ”เยี่ยมจริงๆพี่ ไม่นึกเลยว่าพี่จะชนะได้..”ครูสมบูรณ์ไม่พูดอะไรยิ้มแล้วพยักหน้าให้ผม สร้อยก็มองตาหวานๆ”แหมพี่...สร้อยนึกว่าจะต้องเปลี่ยนผัวซะแล้วตอนมันนำพี่ไปตั้งไกลน่ะ วาสนาของสร้อยที่จะมีผัวคนเดียวแท้ๆ”สร้อยคงจะตื่นเต้นและลุ้นผมมากจัดจนลืมตัวว่าพูดอะไรออกมา...
....ผมหันมาที่ฝ่ายแพ้ ไอ้สิงห์คะนองนาเข็ญรถของมันเดินคอตกผ่านพรรคพวกที่ทำหน้าพูดไม่ถูก แป๊ะฮงไม่กล้าสบตาผม ส่วนไอ้เม้งก้มหน้ามองไปทางอื่น ผมเดินเข้าไปหาแล้วทวงสัญญา”ว่าไงแป๊ะ แกคงเป็นลูกผู้ชายพอที่จะทำตามคำพูดใช่ไหม..”แป๊ะฮงเงียบ ไอ้เม้งกัดฟันตัวสั่น “เอาล่ะประกาศต่อหน้าชาวบ้านเลย คนแพ้ต้องทำตามข้อตกลงที่ให้กันไว้..”แป๊ะฮงยังนิ่ง จนผู้ใหญ๋สิงห์เดินเข้ามา ผมคิดว่าผู้ใหญ่สิงห์จะมาช่วยเร่งให้แป๊ะฮงประกาศแต่ไม่ใช่ ผมลืมไปว่ามันเป็นพวกเดียวกัน...
....ผู้ใหญ่สิงห์เดินมาหยุดตรงหน้าผม และหันไปมองแป๊ะฮงสลับกลับมามองหน้าผม แล้วหันไปหากลุ่มชาวบ้านก่อนจะประกาศว่า”การแข่งขันครั้งนี้ ถือเป็นโมฆะ “สิ้นเสียงผู้ใหญ่สิงห์ก็มีเสียงโห่ไม่เห็นด้วยดังไม่ได้สรรพ”โมฆะได้ยังไง...”เสียงร้องถามมา ผู้ใหญ่สิงห์ยกมือขอให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เมื่อเสียงเงียบผู้ใหญ่สิงห์ก็อธิบาย”ที่เป็นโมฆะเพราะ ผู้แข่งขันทั้งคู่ทำผิดคือต่อยตีกันระหว่างแข่ง จึงปรับแพ้ทั้งคู่” เสียงโห่ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยดังอื้ออึง ผมมองหน้าผู้ใหญ่สิงห์อย่างไม่พอใจ”ตัดสินอย่างงี้ได้ไง ลุงเข้าข้างพวกมันหรอ..”ผมถามอย่างไม่เกรงใจ”เฮ้ย...มึงพูดดีๆนะ กูเป็นคนกลางน่ะโว้ย กูตัดสินไปตามเนื้อผ้า ไม่เข้าข้างใครหรอก..” ผู้ใหญ่สิงห์แก้ตัวไปแบบหน้าด้านๆ พวกไอ้เม้งหัวเราะกันร่วน โดยเฉพาะแป๊ะฮง”เสียดายด้วยว่ะ ที่คว้าธงได้ แต่ไม่ชนะ..”ไอ้เม้งยิ่งแล้วใหญ่มันหัวเราะลั่น”ดีที่มึงไม่แพ้ ได้แค่เสมอก็หรูแล้วสำหรับมึง..”ผมมองมันอย่างสังเวชใจ”พวกมึงนี่มันเดนคนแท้ๆ รวมหัวกันโกงกูอย่างหน้าด้านๆแล้วยังมีหน้ามาเยาะเย้ยกูอีก...มึงจำเอาไว้หัวเราะทีหลังดังกว่า”ไอ้เม้งยังทำหน้าหรอกผม”แล้วรีบมาหัวเราะนะ กูจะรอฟัง..”แล้วพวกมันก็ยกขบวนกลับกันไป ผมมองตามอย่างเครียดแค้น สักวันหนึ่งเถอะ กูจะเอาคืนพวกมึงให้สาสม เสียงคุยของมันยิ่งย้ำความแค้นของผม....
.....”แหมหัวใจของกูจะวายให้ได้ตอนลุ้นน่ะ ทีแรกนึกว่าจะแพ้เสียแล้ว..”ไอ้เม้งคุยกับลูกน้อง”แหมมันนึกว่ามันจะชนะ ทำท่าดีใจอย่างกับได้แชมป์บอลโลก ฮ่า ฮ่า ฮ่า สุดท้ายก็จ๋อยน่ะเฮีย...”ลูกน้องสอพลอมันพูดเสนอหน้า”ท่าจะผิดหวังน่าดู สะใจและสมน้ำหน้ามันจริงๆเลย...”ไอ้อีกคนช่วยพูดเสริม...
....”เอาล่ะ...เสร็จเรื่องแล้วแยกย้ายกันกลับได้ บ้านใครบ้านมัน...”ผู้ใหญ่สิงห์บอกชาวบ้านให้แยกกันกลับบ้าน แต่ผมยังจ้องหน้าผู้ใหญ่สิงห์เจ็บใจในความอยุติธรรมที่แกมอบให้”มึงไม่ต้องมาด่ากูด้วยสายตา”ผู้ใหญ่สิงห์ดูเหมือนจะรู้ว่าผมคิดอะไร”ต่อให้มึงมองกูจนแข็งเป็นหินไปกับตากู กูก็ไม่รู้สึกหรอก โลกมันก็ยังงี้แหละว่า มึงทำใจบ้าง..”ผมยังมองผู้ใหญ่สิงห์ไม่ล่ะตา”ข้าไม่เชื่อหรอกว่าความยุติธรรมไม่มีในโลก เพียงแต่ที่มันไม่มีในตอนนี้เพราะคนตัดสินคือลุงสิงห์ต่างหาก..”ผู้ใหญ่บ้านนางรองถอนหายใจ”กูไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไร ไว้มึงเป็นผู้ใหญ่บ้านก่อน มึงจะรู้เอง...”ผู้ใหญ่สิงห์หันหลังจะเดินหนีไปผมจึงตะโกนตามหลังไป”ถ้าข้าได้เป็นผู้ใหญ่บ้านนางรอง ข้าจะเป็นคนยุติธรรม และข้าก็จะไม่ทำตัวอย่างลุงสิงห์เด็ดขาด...คอยดู..”ผู้ใหญ่สิงห์หยุดกึกแต่ไม่หันมา สักพักก็ออกเดินไป...
....ผมกลับมาถึงบ้านหงุดหงิดที่ถูกโกงชัยชนะไปดื้อๆ พ่อ แม่และเจ้าคมก็คอยช่วยปลอบใจ “แม่งเหนื่อยแทบตายโดนมันรวมหัวกันโกงได้ เจ็บใจโว้ย...”ผมตะโกนโวยวาย พ่อเดินมานั่งข้างๆ”โมโหไปก็เท่านั้น คิดเสียว่าดีที่ไม่แพ้ก็พอแล้ว”พ่อพยายามปลอบใจผมทั้งที่เสียดายไม่แพ้กัน”แนจะไม่ลืมความอยุติธรรมครั้งนี้เลย คอยดูน่ะ ไอ้พวกขี้โกง สักวันกูจะถอนรากถอนโคนความชั่วพวกมึง..”พ่อมาสะกิดเตือน”เฮ้อ..จำไว้ลูกเอ๋ย..เวณย่อมระงับด้วยการไม่จองเวณ..”ผมมองหน้าพ่อแล้วยกมือไห้วท่วมหัวแล้วบอกว่า...สาธุ.....
....เย็นนั้นสร้อยขี่จักรยานมาหาผมที่เรือน พอดีครูสมบูรณ์ก็แวะมาหาผมด้วย ผมจึงชวนทั้งสองมานั่งคุยกันที่แคร่หน้าบ้าน”เสียใจด้วยน่ะวันนี้น่าจะชนะแท้ๆ”ครูหนุ่มบอกผมเรื่องเมื่อกลางวัน”ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องถูกโกงผมเจอบ่อย”สร้อยนั่งอยู่ข้างๆผมก็จับมือของผมขึ้นมาดู”โห...พี่มือพองหมดเลย..มาสร้อยใส่ยาให้..”แล้วสร้อยก็เดินขึ้นเรือนไปหายาแดงเพื่อมาใส่แผลให้ผม ระหว่างนั้นครูสมบูรณ์ก็ชวนผมคุย”น่าอิจฉานายน่ะ ที่มีคนรักจริงใจขนาดนี้...”ผมยิ้มให้ครูหนุ่ม”สร้อยคือทุกอย่างของผม ถ้าหากต้องสูญเสียแล้ว สร้อยคือสิ่งสุดท้ายที่ผมจะยอมเสีย”ผมทำหน้าจริงจังจนครูหนุ่ม มองอย่างอึดอัด สร้อยลงมาพอดีและเอายาทามือให้ผม “ผมคงไม่อยู่ขัดคอแล้วล่ะครับ ขอตัวกลับก่อนน่ะ..ถ้าพรุ้งนี้นายค่อยยังชั่วอยากจะเรียนกับฉันก็ไปได้เลยน่ะ”แล้วครูสมบูรณ์ก็ขอตัวกลับบ้านไปดื้อๆ ผมกับสร้อยยังคงนั่งคุยและหยอกเย้ากันอยู่ที่แคร่หน้าเรือน....
....”เอ...มานี่หาพี่ที่นี่ สร้อยไม่กลัวพ่อมาตามรึ...”สร้อยยื่นหน้ามาใกล้ๆหน้าผมทำหน้าล้อๆ”ไม่กลัว พ่อไม่อยู่ แม่ก็ไม่อยู่..”ผมดึงร่างสร้อยเข้ามากอด”แล้วไปไหนกันหมดล่ะ..”สร้อยซุกตัวมาในอ้อมแขนของผม”ไปงานศพลุงเจิม กว่าจะกลับก็คงดึกๆ ถ้ากลับไปตอนนี้ สร้อยก็อยู่บ้านคนเดียวน่ะสิ สร้อยกลัวน่ะ..”สร้อยพูดแล้วมองผมด้วยสายตามีความหมาย”งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่ง แล้วถ้าสร้อยกลัวพี่ก็จะอยู่เป็นเพื่อน เอาไหม..”สร้อยยิ้มอย่างรู้ความหมาย “เอาสิ...แต่อยู่ได้แป๊ปเดียวน่ะ พ่อ แม่มาต้องรีบกลับน่ะ”แหมมันก็แน่นอนอยู่แล้วนี่ แล้วผมก็ขี่จักรยานโดยมีสร้อยซ้อนท้าย ตรงไปยังบ้านของเธอในบรรยากาศใก้ลๆมืดสลัวๆ....
....ผมกับสร้อยมาถึงบ้านของเธอ ตอนนี้เงียบสนิทเพราะไม่มีคนอยู่ ผมจอดจักรยานไว้ใต้ถุน แล้วเดินมากอดเธอจากด้าหลัง สร้อยทำดิ้นเล่นตัว”ปล่อยน่ะ เดี๋ยวใครมาเห็น..”ผมไม่ป่ลอยยิ่งกอดแน่นหอมซ้าย-ขวา สร้อยสะบับจนหลุด ส่งเสียงกระเส่า “บ้า บอกว่าอย่าๆๆ ไม่ฟังเลย กลับไปเลย สร้อยโกทธแล้วน่ะ โกทธจริงๆ..”สร้อยไล่ดื้อๆ แต่ผมยังไม่ไปไหน เดินตามเธอไปที่บันได”ตามมาทำไม บอกให้กลับบ้านไป..”สร้อยทำแสร้งถาม ทั้งที่รู้ว่าผมตามมาทำไม”ตามหาหัวใจน่ะ อุ้ย..นี่เก็บได้แล้วดวงหนึ่งของใครไม่รู้ ส้วยสวย สร้อยดูดิ”ผมเล่นมุก สร้อยยิ้มและก็เล่นด้วย”ไหนขอดูหน่อยสิ...อ้อ..รู้แล้ว..ของควายเอง สงสัยมีควายโง่ๆมันทำตกไว้..”สร้อยพูดแล้วหัวเราะขำคิกๆดูแล้วน่ารัก”เอาเหอะ เขาว่าความรักทำให้คนโง่เหมือนควาย ถ้าพี่รักสร้อยแล้วต้องโง่เหมือนควาย พี่ก็พร้อมจะกินหญ้าแทนข้าว..”ผมพูดงอนๆ”แหม..ทำเป็นน้อยใจไปได้ ถ้าอยากไปไหนก็ไปเลย ไม่ง้อหรอก..”สร้อยทำเป็นเอ่ยไล่”ให้ไปไหนก็ได้จริงหรอ..”ผมถามแล้วมองสร้อยที่เมินไม่มองหน้าผม”ไปเลยอยากไปก็ไปเลย..”ผมตรงเข้ากอดร่างสร้อยแน่น”โฮ่...วันนี้สร้อยพูดไม่น่ารักเลย อุตส่าห์มาส่งถึงบ้านเลยนะนี่..”สร้อยไม่ดิ้นขัดขืนยอมอยู่ในอ้อมกอดผม”ก็แค่มาส่งอย่างเดียว ทำอย่างอื่นด้วยก็ว่าไปอย่าง..”ผมมองตาสาวคนรักที่ตอนนี้ตาปลือเหมือนคนง่วงนอน ผมก้มตัวอุ้มเธอขึ้นมาทันที”อุ้ย
บ้านี่พี่จะทำอะไรเนี๋ยะ..ปล่อยสร้อยน่ะ..ปล่อย..”ปากบอกให้ปล่อยแต่ไม่ยอมดิ้นรณขัดขืนเลย”ไม่ปล่อย..เดี๋ยวพี่จะบริการอุ้มส่งสร้อยให้ถึงห้องเลย..”สร้อยยังไม่วายอิดออด”ปล่อยเหอะเดี๋ยวหกล้ม เจ็บตัวกันอีก..”ผมมองหน้าสาวคนรักและอุ้มขึ้นบันไดไปช้าๆ”ไม่ล้มหรอกสร้อย มาพี่จะพาสร้อยไปส่งที่ห้องนอนเลย...”แล้วผมก็อุ้มเธอเข้ามายังห้องนอน ผมวางสร้อยลงบนที่นอน แล้วเดินไปปิดประตูห้อง......
โปรดติดตามตอนต่อไป
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น