ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เต้ย ตอน ภัสตราวรณ์

    ลำดับตอนที่ #1 : ทารกห่อผ้าขี้ริ้ว

    • อัปเดตล่าสุด 29 พ.ย. 53


    บทที่ ๑

    ทารกห่อผ้าขี้ริ้ว

    รถเก๋งคันเก่าสีดำว่ิงฝ่าสายฝนหลงฤดูที่ตกกระหน่ำลงมาตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันหนึ่งในปลายเดือนมีนาคม เข้ามาจอดหน้าทางขึ้นของโรงพยาบาลชื่อดังกลางใจเมืองปทุมธานี  หญิงวัยกลางคนผอมสูงก้าวลงมาอย่างรีบร้อน ใบหน้าเรียวเล็กมีริ้วรอยตามอายุเล็กน้อย ดวงตาสีดำเบื้องหลังกรอบแว่นกลมสีทองเต็มไปด้วยความอัดอ้ัน ผมสีดำสนิทรวบตึงเป็นมวยอยู่ด้านหลัง เธอชะโงกหน้าเข้าไปคุยกับคนขับรถที่อยู่ข้างใน

    “จอดเสร็จแล้วรีบตามเข้าไปนะ” ก่อนจะปิดประตูเสียงดัง เธอรีบวิ่งฝ่าสายฝนเข้าไปในตึก ขณะที่รถเคลื่อนออกไป

    เวลาปาเข้าไปตีสองกว่าแล้ว ทำให้บรรยากาศภายในตึกโรงพยาบาลค่อนข้างเงียบเหงาวังเวงผิดปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงกระหน่ำของสายฝนเบื้องนอกยิ่งทำให้ภายในทางเดินโรงพยาบาลที่อาบไล้ไปด้วยแสงฟลูออเรสเซนต์ดูหดหู่พิกล  

    หญิงวัยกลางคนนั้นกึ่งเดินกึ่งวิ่งอย่างรีบเร่งผ่านประตูหลายบานและเตียงที่วางเรียงรายอยู่ริมทางเดิน ในยามดึกสงัดเช่นนี้ ทางเดินมีคนเดินไม่พลุกพล่านนัก นอกจากพยาบาลที่เดินผ่านนานๆ ครั้ง มีเพียงเสียงฝนเทกระหน่ำคั่นด้วยเสียงฟ้าร้อง และเสียงต๊อกๆ ของรองเท้าส้นเต้ียที่กระทบกับพื้นโรงพยาบาลดังก้องโถงทางเดิน เธอหยุดแวะถามทางกับพยาบาลคนหนึ่งก่อนจะรีบเร่งลัดเลี้ยวไปตามทางเดินในโรงพยาบาลตรงไปยังจุดหมายที่เธอต้องไป

    ทางที่เธอเดินมานั้นสุดอยู่ที่หน้าประตูห้องบานใหญ่ มีช่องกระจกสี่เหลี่ยมขนาดเล็กบนบานประตู เด็กหนุ่มวัยรุ่นคนหนึ่งอายุประมาณสิบสี่สิบห้ายืนอยู่ริมประตูที่ติดกับที่นั่งซึ่งมีหญิงท้วมที่น่าจะแก่กว่าราวสิบปีกำลังนั่งสะบัดยาดมเบาๆ ข้างหน้าจมูกของหญิงชราร่างท้วมผมหงอกหยิกฟูเต็มหัวที่นั่งไร้สติหัวพิงกำแพงอย่างหมดแรง  

    เธอเดินเข้าไปใกล้กลุ่มคนกลุ่มเดียวที่นั่งอยู่ตรงนั้น เด็กหนุ่มเห็นเธอจึงรีบยกมือขึ้นไหว้สวัสดี ตามด้วยหญิงสาวร่างท้วม และเธอที่ยกมือรับไหว้ เมื่อเธอเดินเข้ามาใกล้จึงเห็นได้ชัดว่าใบหน้าของทุกคนดูเศร้าหมอง หญิงสาวร่างท้วมยกมือขึ้นปาดน้ำตาก่อนจะสะบัดยาดมหน้าจมูกหญิงชราต่อ เสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลัง ชายวัยกลางคนที่อายุมากกว่าเธอสองสามปีเดินเข้ามาสมทบ ผู้อ่อนเยาว์ทั้งสองยกมือไหว้อีกครั้ง เด็กหนุ่มที่ยืนทำหน้าหมองส่งสายตาไปทางด้านในห้อง เหมือนสัญญาณให้ผู้สูงวัยและมาใหม่เข้าใจในทันที

    ผู้มาใหม่เดินเข้าไปภายในห้องที่มีเตียงพยาบาลวางเรียงราย ร่างที่วางอยู่บนเตียงสองสามเตียงในนั้นล้วนไร้ซึ่งลมหายใจและชีวิต บรรยากาศภายในห้องที่เย็นกว่าปกติยิ่งทำให้ภายในห้องดูน่าขนลุก ตรงเกือบสุดผนังอีกด้านของห้องมีผ้าม่านสีเขียวเข้มขึงรอบล้อม มีเสียงคุยกันเบาๆ  ดังออกมาจากข้างใน พวกเธอรีบรุดเดินไปยังที่มาของเสียงนั้น

    เมื่อเปิดเข้าไปภายใน ชายชราคนหนึ่งยืนคุยหน้าเครียดกับชายหนุ่มคนหนึ่งอายุราวๆ สามสิบที่ยืนกอดอกหน้าเครียดฟังคู่สนทนาพูด หญิงสาวร่างสูงคนหนึ่งอายุราวๆ ชายหนุ่มที่ยืนอยู่อีกฝั่งของเตียงยืนหน้าซีด ตามองมาที่ชายทั้งสองที่ยืนอยูอีกฝั่ง พลางหันมองไปที่ร่างซึ่งนอนเหยียดยาวอยู่บนเตียงมีผ้าสีเขียวปักตราโรงพยาบาลห่มปิดถึงคอ เผยให้เห็นใบหน้าซีดขาวที่เหมือนดูคนนอนหลับสนิท ผิดตรงที่มีก้อนสำลีเล็กๆ ปิดตรงรูจมูก   

    เมื่อทุกคนรับรู้การมาถึงของเธอซึ่งยกมือไหว้ไปทางผู้ที่สูงวัยกว่า เขาส่งยิ้มเศร้าๆ ให้  ผู้อ่อนวัยกว่าทั้งสองยกมือไหว้มาทางเธอและผู้ชายที่เดินตามเข้ามา  

    เธอเดินตรงไปที่ด้านหัวเตียงที่เผยให้เห็นใบหน้าที่นอนหลับพริ้มมีเค้าของความหล่อเหลา ก่อนจะยกมือขึ้นปิดปากอย่างจะกลั้นความรู้สึกที่ไหลท่วมท้นขึ้นมาจนถึงคอ ทำให้ทั้งร่างสั่นเทิ้ม และน้ำตาไหลรื้นที่ขอบตาล่าง ชายที่มาด้วยกันเดินมาจับที่หัวไหล่ ดวงตารื้นน้ำ กรามขบกันแน่นราวสะกดความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ต่างจากน้องสาว เสียงถอนหายใจยาวดังมา

    เธอสงบสติสักพัก ก่อนจะหันไปทางผู้ชายที่สูงวัยที่สุดในนั้น ผู้มีผมสีขาวแซมผมสีดำจนดูเป็นสีเทา ใส่แว่นตาสี่เหลี่ยมกรอบทอง ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอย และผิวดำคล้ำแต่ท่าทางสง่าผ่าเผยและยืดไหล่ตรงทำให้ร่างนั้นดูภูมิฐาน

    “บ้านเป็นไงบ้างคะ” เธอเห็นชายชราส่ายหน้า ก่อนจะพูดเสียงเบา

    “ไฟไหม้แต่ข้างใน โครงข้างนอกยังคงเหมือนเดิม คนแถวนั้นเขาลือกันว่า เพราะไม่มีใครเห็นควันลอยออกมา กว่าจะพบศพก็ปาไปเกือบเที่ยงคืน ศพก็อย่างที่เห็นปกติไม่มีรอยไหม้ ตำรวจตกใจกันใหญ่ ซ้ำคนที่โทรแจ้งก็ไม่รู้ว่าใครอีก ผมพอเสร็จธุระก็รีบมาที่นี่เลย” ชายชราพุดเสียงเบา มีความแหบแห้งอยู่ในนั้น

    “แล้วหมิวละคะ” เธอรีบถามโพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล

    “ยังไม่มีใครพบตัวเลย ตำรวจกำลังเร่งหาตัว เพราะเป็นพยานคนสำคัญ ไหนจะลูกในท้องอีก” ชายชรามองไปที่ร่างของชายที่นอนนิ่งสนิท ใบหน้าเป็นกังวล

    “ผมบอกเขาแล้ว เขาไม่เชื่อ สุดท้าย...” เสียงเงียบลงเมื่อผู้เป็นบิดากราดสายตาคมกริบมา

    “แล้วศพของต้น จะทำยังไงต่อไป” เธอมองไปที่ร่างเบื้องหน้าซึ่งนิ่งสนิท

    “คงต้องกลับไปจัดที่วัดแถวบ้านฉันค่ะ ญาติส่วนใหญ่ก็อยู่ที่นั่น ตั้งไว้เจ็ดวันแล้วคงเผาเลย ส่วนเรื่องบ้านก็คงต้องรอหมิวให้เขากลับมาจัดการ” เสียงขึ้นลำคอดังมาจากชายหนุ่ม ชายชราพยักหน้ารับรู้เบาๆ ก่อนความเงียบจะก่อตัวขึ้น แล้วเสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋าสะพายก็ดังขึ้นเสียดแทงความเงียบนั้น

    “เอ่อ งั้นฉันขอตัวก่อนนะคะ ต้องรีบกลับไปจัดการอะไรอีกมาก” ชายชราพยักหน้ารับทั้งคำและไหว้ของเธอที่ดวงตาเหม่อลอยไปไกลยังที่ที่หนึ่ง แต่คราวนี้ชายหนุ่มอีกคนไม่ยกมือไหว้ทั้งยังเมินหน้าไปทางอื่น เธอหันไปพยักให้ชายสูงวัยที่มาด้วย แต่ก่อนที่เธอจะเลิกม่านออกไป

    “เดี๋ยวผมจัดการเรื่องศพให้อีกที คิดว่าพรุ่งนี้ก็น่าจะมารับไปได้ แล้วถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอก ไม่ต้องเกรงใจ เราก็ญาติๆ กัน อ้อ! ถ้าหากหมิวเขาแวะไปหา ช่วยรั้งตัวเขาไว้ด้วย อย่าให้ทำอะไรวู่ว่าม แล้วบอกด้วยว่าคนอื่นเขาเป็นห่วง” เธอหยุดชะงักแต่ไม่หันหน้ากลับไปมอง เสียงโทรศัพท์ยังคงดังเรื่อยๆ

    “ค่ะ” เธอตอบรับเสียงเบาก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้อง เดินผ่านกลุ่มคนหน้าห้องโดยไม่แวะกลับไปบอกลาอีก  เมื่อพ้นมาได้ไกลสักพัก เธอจึงกดรับโทรศัพท์

    “ว่าไงหมิว อะไรนะ ไม่ๆๆ อย่าเพิ่งไปไหนนะ รออยู่ตรงนั้นก่อน เดี๋ยวพี่รีบกลับไป หมิว พี่บอกให้รออยู่ตรงนั้นก่อน ขึ้นไปบนห้องพระก่อนแล้วกัน แค่นี้นะ เดี๋ยวพี่รีบกลับไป” เธอกดวางสาย ใบหน้าขมวดคิ้วมุ่นด้วยความกังวล  ก่อนจะหันหน้าไปทางชายสูงวัยกว่า ตอนนี้พวกเขาเดินมาถึงทางลงหน้าโรงพยาบาลแล้ว ชายสูงวัยกางร่มก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบาที่เจือปนด้วยความกังวลไม่แพ้กัน

    “หมิว ว่าไงบ้าง” ทั้งสองเปิดประตูเข้าไปในรถที่ฝนเริ่มซาลงบ้างแล้ว

    เมื่อเข้ามาในรถ เธอจึงพูดขึ้นอีกครั้งพลางปิดประตูรถแล้วคาดเข็มขัดนิรภัย  

    “แกจะไปให้ได้เลย พี่ชาติ มลบอกให้รออยู่ตรงนั้นก่อน ก็บ่นพึมพำจะไปๆ ท่าเดียว กลัวแกจะทำอะไรโดยไม่คิดอีก  ลูกก็ยังเล็กมาก” เสียงเครื่องยนต์รถดังกระหึ่มขึ้น

    “งั้นเดี๋ยวพี่รีบขับรถกลับ พี่ยังงงอยู่เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น” เธอพยักหน้าสายตาเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างที่เม็ดฝนเล็กๆ ตกพาดผ่านกระจกรถเป็นเส้นเฉียงหลายเส้น

    “มลก็ไม่รู้อะไรเหมือนกัน พี่ชาติ”

    รถเก๋งสีดำคันเดิมกลับมาจอดที่หน้าบ้านมีรั้วไม้สีขาวสูงระดับสายตากั้นตัวบ้านออกจากถนนลาดยางสองเลนพอรถวิ่งสวนกันได้ ฝนหยุดตกแล้วเหลือแต่พื้นถนนที่เปียกจนเป็นสีเข้มสะท้อนกับแสงจากเสาไฟข้างถนน สุนัขสีส้มตัวผอมกำลังคุ้ยขยะที่ล้นออกมาจากถังและถุงขยะสีดำซึ่งกองอยู่ใต้เสาไฟนั้น มันหยุดมองตอนที่แสงไฟของรถสาดมาถูกตัว  

    มลและชาติเดินลงจากรถทั้งสองฝั่ง ปิดประตูก่อนจะรีบร้อนเดินไปที่ประตูรั้วซุ้มไม้สูงรูปกรอบสี่เหลี่ยม  ข้างบนเป็นระแนงไม้มีพุ่มดอกกระดังงาเลื้อยคลุมจนหมด ส่งกลิ่นหอมเยือกเย็นไปทั่ว เธอลนลานเอากุญแจไขแม่กุญแจตัวใหญ่ที่คล้องประตูอยู่ข้างๆ กล่องไปรษณีย์สีแดงขนาดเล็กติดชื่อ อารี แก้วเบญจกาย บ้านเลขที่ ๕๔ ซอยปรารถนา เมื่อกุญแจปลดล็อกเธอก็รีบผลักบานประตูไม้สีขาวเข้าไป  

    พวกเขารีบรุดผ่านทางเดินปูหินแผ่นใหญ่ สองข้างรายล้อมด้วยกระถางต้นไม้ที่ปลูกต้นไม้นานาพันธุ์ ทั้งต้นวาสนา เฟิร์น ข้าหลวงหลังลาย ปรง บอนสี สาวน้อยประแป้ง พลูด่าง และเดหลี ยื่นใบสีเขียวหนาและกิ่งก้านเคลือบหยาดน้ำเม็ดฝนไปทั่ว เธอรีบรุดตรงไปยังประตูของบ้านครึ่งตึกครึ่งปูนหลังขนาดย่อมสองชั้น เสียงฟ้าร้องยังคงดังมาอยู่เป็นระยะๆ แสงฟ้าแลบสะท้อนผนังแวววาวสีครีมของบ้านเพราะหยดน้ำฝนเกาะเคลือบพราวไปทั่ว เมื่อเธอไขกุญแจเปิดออก เธอและชาติจึงรีบเดินเข้าไปในบ้าน  

    “พี่ชาติ เปิดไฟซิ” เมื่อหลอดไฟส่องแสงสว่างจ้า พวกเธอก็ไม่พบร่างของสิ่งมีชีวิตใด สภาพข้าวของภายในบ้านยังคงไม่ต่างจากตอนที่ออกไป มลรีบรุดเดินไปทางบันไดก่อนจะรีบปีนขึ้นไปด้วยความคุ้นเคย เธอตรงไปยังห้องที่อยู่ด้านในสุดทั้งๆ ที่ไฟไม่เปิด มีเพียงแสงไฟสีขาวจากข้างล่างที่ลอดผ่านร่องไม้ขึ้นมา

    เมื่อเธอเปิดบานประตูไม้เข้าไป แสงไฟจากถนนส่องเข้ามาทางหน้าต่างที่เปิดกว้างรับลมเข้ามา ผ้าม่านที่เป็นผ้าถักสีขาวปลิวสะบัดอยู่ระหว่างขอบหน้าต่าง แสงสีน้ำเงินอ่อนๆ นั้นเผยให้เห็นสภาพภายในห้องที่มีการทำความสะอาดอยู่สม่ำเสมอ ผนังฝั่งตรงข้ามเป็นโต๊ะหมู่บูชาขนาดใหญ่ มีพระพุทธรูปศิลปะโบราณหลายองค์ประดิษฐานอยู่ ลดหลั่นลงมาเป็นแจกันดอกไม้ เชิงเทียน และกระถางธูป 

    ทั้งสองข้างโต๊ะหมู่บูชาเป็นตู้ไม้โบราณขนาดใหญ่มีไม้ขัดไว้อย่างหลวมๆ ฟากหนึ่งของห้องเป็นโต๊ะเล็กวางโกศทองเหลืองเล็กล้อมสายสิญจน์ และเครื่องบูชา ส่วนพื้นที่อื่นๆ ของห้องมีหีบไม้โบราณตั้งกองเรียงรายเหลือพื้นที่ตรงหน้าโต๊ะหมู่บูชาวางเบาะรองนั่งและเบาะขนาดเล็กไว้ บนเบาะเล็กนั้นมีกองผ้าที่ก่อนออกจากห้องไม่กี่ชั่วโมงก่อนตอนที่เธอกำลังทำความสะอาดห้องนี้อยู่แล้วเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นนั้น เธอจำได้ว่าวางผ้าขี้ริ้วผืนนั้นบนหีบไม้ข้างประตูก่อนออกจากห้อง 

    ผ้าเทาๆ มอซอนั้นขยุกขยิกราวกับดิ้นได้เอง เธอค่อยๆ  ก้าวเข้าไปในห้องช้าๆ ด้วยความไม่มั่นใจ ชาติที่เพิ่งตามขึ้นมามองไปยังมลและกองผ้าขี้ริ้วบนเบาะกราบพระนั้นสลับกันด้วยความงุนงง

    สิ่งที่เธอคาดคิดกลับตาลปัตรไปหมด ผ้าขี้ริ้วนั้นวางปิดเบาๆ บนตัวเด็กทารกแรกเกิดที่นอนบนเบาะเล็กปูผ้าขาวสะอาด ผิวอ่อนนั้นมีสีแดงเข้มจัดเป็นปื้นๆ นอนดิ้นขลุกขลักไม่รับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น ดวงตาเล็กนั้นหลับพริ้มถูกปกด้วยขนตายาวงอน มือทั้งสองข้างที่กำเป็นก้อนเล็กปัดป่ายไปในอากาศอย่างไร้จุดหมาย มลค่อยๆ ย่อตัวลงไปยังห่อผ้านั้นก่อนจะค่อยๆ ช้อนทั้งเบาะเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน

    “ไม่มีใครอยู่ในบ้านเลยมล ประตูก็ลงกลอนเหมือนตอนออกไปไม่มีผิด ไม่มีอะไรขยับแม้แต่นิดเดียว” มลก้มลงมองเด็กทารก เธอเอามือไปเขี่ยเล่นกับเด็กน้อยที่เอาแขนกลมป้อมปัดป่ายไปมาในอากาศ ก่อนจะถอนหายใจยาว แล้วมองไปที่หน้าต่างซึ่งแสงไฟลอดเข้ามา

    “เธอจะให้ฉันทำยังไงต่อไปละ หมิว”

    เสียงหนึ่งดังลอดขึ้นมาจากด้านล่าง ซึ่งน่าจะมาจากที่ชาติเปิดทิ้งไว้ก่อนที่จะตามน้องสาวขึ้นมา

    “มีรายงานล่าสุดเข้ามานะคะว่า เกิดอุบัติเหตุรถยนต์ระเบิดบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๐๗ ขาออกจากจังหวัดปทุมธานีมุ่งหน้าสู่จังหวัดนนทบุรี โดยไฟได้ลุกท่วมทั้งคันรถเกิดควันหนาทึบปิดบังการจราจร ทางเจ้าหน้าที่สันนิษฐานเบื้องต้นว่าน่าจะเกิดจากรถเสียหลักพลิกคว่ำทำให้ถังน้ำมันรั่วแล้วเกิดการระเบิดขึ้น คาดว่า ผู้โดยสารทั้งหมดน่าจะเสียชีวิตคาที่...”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×