ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Legend of Van Yosaf วอนยอแซฟ ดาบมหากาฬ

    ลำดับตอนที่ #1 : Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 6 ต.ค. 53


                    ณ อาศรมแห่งหนึ่ง.... อาคารสีดำทมึนที่ทำจากไม้เก่าแก่ดูคร่ำคร่า ภายนอกนั้นเป็นป่าช้าสถานนิทราแห่งนรชน ยามเมื่อเงิยหน้ามองบนฟ้า ปรากฏทิวาราตรีอันไร้เงาจันทร์ ภายในอาศรมสังเกตเห็นแสงไฟดวงจ้อยอยู่กลางอาศรม แลยังมีเงาของสิ่งที่ดูคล้ายกับจะเป็นมนุษย์อยู่อีกสอง มันเป็นอาศรมที่เล็กพอสมควร กระนั้นก็ยังใหญ่พอจะให้คนอาศัยอยู่ใต้ชายคาของมันอยู่ดี หลังคาของมันมุกด้วยจากและหญ้านานาชนิด สถานที่ลึกลับแห่งนี้มีเหตุการณ์สำคัญอันใดเกิดขึ้นกันแน่...........

                    “นี่ท่านเรียกข้ามานี่เพื่อการณ์แค่นี้เองรึไง?” เสียงที่แหบเครือประดุจอดน้ำมานับสิบปีเอ่ยวจนาอย่างสงสัยปนรำคาญพลางทุบโต๊ะไม้ได้ยินเสียงดังปังชัดถนัดหู เขาสวมผ้าคลุมสีดำสะพายดาบอันใหญ่สีดำกลืนกับชุดของเขา มือของเขาซีดเซียวประดุจผู้วายชนม์บ่งบอกว่าเขามิใช่คนธรรมดา และคู่สนทนาของเขาก็หาใช่คนธรรมดาไม่เช่นกัน

                    “ข้าไม่อาจปฏิเสธสิ่งที่ท่านกล่าวมาได้... ใช่! เพราะเรื่อง “แค่นี้” ไง! ท่าน “ผู้กลับมา”... จริง ๆ ก็ไม่อยากรบกวนท่านหรอกนะ แต่ว่ามันหนักหนาสาหัสเกินไปสำหรับข้าเช่นกัน” เสียงสตรีนางหนึ่งเอ่ยตอบมา นางสวมยาวชุดสีดำเช่นกัน ผมสีดำยาวสลวยลงมาถึงเอว นัยน์ตาก็สีเช่นนั้นด้วย... หน้าตาของเธอนั้นดูดังสาวรุ่นแรกแย้ม แต่วลีของนางนั้นเฉียบคมประดุจกับผู้ที่อายุมากกว่าร้อยปี นางพลันเดินไปหยิบของสิ่งหนึ่งจากห้องถัดไปในอาศรมนั้น.....

                    ดาบ.... ดาบสีดำทมึนประดุจจะกลืนเข้ากับความมืดในห้องนั้น คมดาบนั้นไม่มีลายสวย มีแต่เพียงสีดำกาฬเท่านั้น มันยาวราว ๆ เมตรครึ่ง ด้ามจับนั้นห้อยบางสิ่งบางอย่างเปร่งประกายสีแดงอยู่ สตรีนางนั้นแย้มยิ้มสวยก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาต่อ...

                    “ถ้าเป็นเมื่อห้าสิบปีก่อน ข้าคงไม่วานให้ท่านช่วยหรอก แต่ข้าก็แก่เกินกว่าจะออกไปข้างนอกตัวคนเดียวอีกแล้ว...” เธอยื่นดาบนั้นให้กับชายคนนั้น ชายที่ไม่อาจรู้ได้ว่ายังพอจะเรียกว่ามนุษย์ได้อีกหรือไม่ เขายื่นมือซ้ายออกมารับของสิ่งนั้น.... มันขาวโพลนเหลือแต่กระดูก มือขวาของเขาอาจเป็นส่วนเดียวของร่างกายของเขาที่ยังเหลือเนื้อหนังอยู่ก็ได้....

                    เปรี้ยง!!!!!

                    ฟ้าผ่าลงมาตรงหลุมศพหลุมหนึ่งประดุจจะให้เขาเห็นป้ายหลุมศพนั้น ป้ายหลุมศพที่ทำจากหินอ่อนสีขาวที่เก่าจนมีวัชพืชมาปกคลุม แต่กลับไม่สามารถปกคลุมชื่อของผู้ตายเอาไว้ได้แม้วันตายของเขาจะเลือกนลงไปแล้ว.....หลุมศพที่เขียนไว้ว่า.....

                    “ฟริทซ์ วอน ยอแซฟ”.....

                    “ข้าเกลียดแสงที่สุด..... มันทำให้ร่างกายอันเปลี่ยนไปของข้าปรากฏ.... ร่างที่เปลี่ยนไปตามเวลา....” แสงจากฟ้าผ่านั้นได้ทำให้รูปโฉมของเขาปรากฏขึ้น ขาวโพลน..... นัยน์ตากลวงโบ๋.... ใบหน้าที่ไม่อาจเดาได้ว่ากำลังยิ้มหรือบึ้งตึงกันแน่..... เขากล่าวอย่างโกรธแค้นประดุจกัดฟันพูด เขาค่อย ๆ เอามือขวาของเขาไปไว้ใกล้กับตะเกียง....

                    “คงมีแต่มือข้างนี้เท่านั้น... ที่ไม่เน่าสลายไปกับร่างกายของข้า....” เขาพูดด้วยเสียงแหบเครือ เหลือเชื่อว่าเขายังคงเปล่งเสียงได้อีก...

                    “ฟริทซ์ วอน ยอแซฟ.... มันเป็นชื่อที่ข้า...คงไม่อาจจะลืมได้ในชีวิตที่เหลือนี้....” เขาค่อย ๆ เดินไปที่ประตูของสถานที่อันน่ากลัวเช่นนี้ แสงเรื่อ ๆจากตะเกียงค่อย ๆ ห่างจากตัวเขามาขึ้นทุกขณะ...

                    “จงระวังตัวเข้าไว้... เซลิวคัส...” นางนั่งลงบนเก้าอี้ตัวนึ่งดูซ่อมซ่อในอาศรมนั้น แสงตะเกียงค่อย ๆ ดับวูบไป... ส่งให้อาศรมอยู่ในความมืดมน เสียงประตูค่อย ๆ เปิดดังแอ๊ด ก่อนที่จะปิดลงอย่างไร้เสียง ชายคนนั้นค่อย ๆ ก้าวออกจากอาศรม ก่อนจะหายไปในป่าช้านั้น........

     

     

     

    …………………………………..

                    “กรี๊ด!!!!!!!!” ฟ้ายามค่ำคืนของหมู่บ้านแห่งหนึ่งกลายเป็นสีแดงเพลิงทั้งที่ควรจะเป็นสีดำที่สงบ เปลวเพลิงเผาบ้านเรือนนับสิบหลังคาเรือนจนวอดวายบ้างยังคงลุกโชนผลาญบ้านอยู่เรื่อย ๆ บ้างสลายกลายเป็นตอตะโกไปเสียแล้ว ชาวบ้านชายหญิงไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่หนีตายกันอลหม่านแทบเหยียบกันตาย ที่วิ่งตามมาคือฝูงปีศาจตัวใหญ่ราวสองเมตรนับสิบตัว บ้างถือหัวมนุษย์ที่แสดงสีหน้าหวาดกลัว เลือดสด ๆ ไหลย้อยลงมาที่พื้น

                    ไฟเผาผลาญไปทั่วล้อมหฒุ่บ้านเอาไว้ พวกที่ไม่ได้ถูกไฟคลอกตายเริ่มสำลักควันตายกันบ้างแล้ว.... ชายคนหนึ่งล้มลงไปทั้งยืน ตาเหลือกแทบจะถลนออกมานอกเบ้า นี่คงเป็นหนึ่งในเหยื่อในจำนวนนั้นกระมัง อีกหลาย ๆ คนเริ่มจับคอและไอดังแค่ก บ้างไอจนมีเลือดไหลออกมา เขม่าควันปกคลุมไปทั่ว กลุ่มคนร่วมร้อยชีวิตค่อย ๆ วิ่งไปยังหน้าประตูหมู่บ้านโดยมิได้เกรงอันตรายอื่นใดนอกจากพวกที่ตามหลังมา พลันพวกเขาก็ได้พบว่า ประตูหมู่บ้านนั้นถูกเพลิงไม้จนถล่มลงมากองกับพื้น

                    ผู้คนแสดงอาการหวาดกลัวอย่างแท้จริง.... บ้างหวีดร้องเหมือนคนบ้า บ้างหยิบมีดสั้นสำหรับทำอาหารของตนขึ้นมา ปาดคอตนก่อนที่จะลงไปชักดิ้นชักงอ.... คุณแม่บางคนที่รักลูกไม่อยากจะให้ลูกตายอย่างทรมาณยื่นกระบอกปืนที่บรรจุกระสุนจนเต็มให้ลูก บ้างพยายามวิ่งลุยกองเพลิง หลายรายในจำนวนนั้นที่ถูกไฟคลอกตาย เมื่อมนุษย์ไม่อาจรอดพ้นชะตากรรมแล้ว มันจักจบเพียงเท่านี้ฤา?

                    ตอนนี้นั้นคนที่ยังรอดอยู่ทั้งร่างกายและสติสัมปชัญยะแทบไม่มีเหลือแล้ว เด็กน้อยคนหนึ่งอายุประมาณ 8 ขวบผมสีดำสั้น สวมชุดหนังสีน้ำตาลพยายามยิ่งหนีเอาตัวรอดจากฝูงปีศาจตัวสีเขียวถือท่อนไม้ขนาดใหญ่ น้ำลายเยิ้มหยดตามทางที่พวกมันเดิน เป็นภาพที่ทั้งน่ากลัวและน่าเวทนาในเวลาเดียวกัน

                    “ตุ้บ!!!

                    เจ้าหนูน้อยคนนั้นหกล้มลงอย่างน่าสงสาร ฝูงปีศาจค่อย ๆ เดินเข้ามารายล้อมอย่างรวดเร็วประดุจจะหักกระดูกกินพร้อมกัน เจ้าหนูร้องไห้อย่างน่าเวทนา ก่อนที่กอบลินตัวหนึ่งจะเงื้อไม้ทำท่าจะฟาดลงบนร่างของเขาปานจะฉีกร่างอันน้อยนิดของเขาให้กลายเป็นสองซีก....

                    “ตุบ”

                    เสียงตุบอีกอย่างหนึ่งดังขึ้นมา.... ลูกกลม ๆ ค่อย ๆ กลิ้งลงมาจากบ่าของกอบลินที่รายล้อมเด็กผู้น่าสงสารคนนั้น...... บ่าของกอบลิน......ที่ไม่มีศรีษะ หัวของกอบลินกลิ้งลงมากองบนพื้นพร้อมกับร่างกายของมันที่ล้มลงไปทั้งยืน..... ทะเลเลือดกองโตไหลท่วมพื้นดินรอบตัวเจ้าหนู

                    หนูน้อยตกตะลึงกับภาพที่เห็น ทั้งช็อคกับกองเลือดและซากของกอบลินจนร้องไม่ออก... พลันสายฝนก็ค่อย ๆ เทลงมาชโลมดับเปลวเพลิงที่แผดเผาทั้งร่างกายของผู้ตายและบ้านเรือนที่ไหม้จนไม่เหลือเค้าเดิม... เลือดกองโตค่อย ๆ ละลายหายไปกับสายฝนที่ประดุจจะชะล้างมลทินให้สิ้นธรณี ภายใต้สายฝน ปรากฏร่างของสิ่งที่พอจะเรียกว่าเป็นมนุษย์ได้ขึ้น.....

                    “สวัสดี...เจ้าหนู” เสียงแหบเครือประดุจคนไม่มีกล่องเสียง.... เขาเอ่ยทักทายเด็กหนุ่ม... เด็กหนุ่มค่อย ๆ ถอยหลังไปหนึ่งก้าว ร่างที่เห็นกายสายฝนค่อย ๆ สาวเท้าเข้ามาใกล้ เด็กน้อยคนนั้นรวบรวมสติขึ้นมาได้ สูดหายใจลึก ๆ ก่อนที่จะพยายามมองสิ่งที่กำลังเดินเข้ามา.... ขาของเขา...เป็นกระดูกไปแล้ว.... มือขวาของเขาสีซีดเซียวไม่มีเลือดฝาด เขาสวมฮู้ดสีดำทมึนจนมองไม่เห็นหน้าของเขา ฤาเขาไม่อยากจะให้ใครเห็นหน้ากันแน่? ผ้าคลุมของเขาก็สีดำเช่นเดียวกัน มันปิดมาตั้งแตกคอ ยาวมาจนละพื้น .... พลันเกิดฟ้าแลบขึ้นมา... แสงจากฟ้าแลบทำให้เด็กน้อยตกตะลึงแทบสิ้นสติอีกครั้ง... แสงจากฟ้าแลบ..ได้ทำให้เห็นภาพอันน่าสยดสยองภายใต้ฮู้ดของเขา.....

                    กระดูกที่ขาวโพลน...... นัยน์ตาที่กลวงโบ๋.... หนูน้อยแทบจะแหกปากร้องออกมา แต่ยังกุมสติได้จึงพยายามกัดฟันดังกรอดเข้าไว้ สายฝนตกลงมาหนักขึ้นเรื่อย ๆ ส่วนไฟที่ผลาญหมู่บ้านจนราพนาสูรนั้นได้ดับไปหมดแล้ว เปลวเพลิงได้ดับลงหมด เหมือนกับจะเปิดทางให้เด็กหนุ่มวิ่งหนีไปตามใจคิด แต่ด้วยเหตุใดไม่อาจทราบได้ เขายืนนิ่ง สั่นระริกไปทั้งร่างกายประดุจร่างของเขาไม่ยอมทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย....

                    “ไม่ต้องตกใจหรอกเจ้าหนู... ข้าน่ะไม่ได้ตามรังควาญเจ้าหรอก... ข้ามาหาเจ้า... เพราะมีของจะมอบให้...” เขาล้วงมือสวบเข้าไปในผ้าคลุมที่คลุมมิดทั้งร่างของเขา และหยิบของสิ่งหนึ่งออกมา มันเป็นดาบยาวเรียวสีดำมืดกลืนกับความมืดมนยามค่ำคืน..... ด้ามจับห้อยอัญมณีสีแดงอันเล็กเท่าตุ้มหูผู้หญิงอยู่อันหนึ่ง เขายื่นมันให้กับเด็กน้อย เด็กน้อยที่สั่นเทิ้มด้วยความกลัวยื่นมือมารับดาบไว้และโอบกอดมัน

                    “อีกไม่นาน...พวกกอบลินที่เหลือจะแห่มาหาเจ้า..... น่นจะเป็นบททดสอบ...ว่าเจ้าคู่ควร...กับสิ่งนั้นหรือไม่....” เขาหันหลังแล้วพูดด้วยเสียงแหบแห้งดังคนตาย เขาหันหลังกลับไป และหายไปท่ามกลางสายฝน.... เจ้าหนูน้อยอายุเก้าขวบที่ต้องอยู่คนเดียวตามลำพงัค่อย ๆ สะอื้นไห้ออกมา หารู้ไม่..... มันเป็นการเรียกความสนใจของกอบลินร่วมร้อยตัว.... พวกมันเดินมาหาเขา....

                    “อ๊าก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เสียงกรีดร้องดังลั่นเมื่อเด็กน้อยเห็นภาพอันน่าวิตกกลัว.... กอบลินร่วมร้อยตัวเดินเข้ามาหาเขา แววตาของมันประดุจจะฉีกเนื้อของหนูน้อยเป็นเสี่ยง ๆ เจ้าหนูน้อยผู้น่าสงสาร......

                    “อ๊าก!!!!ม่าย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” นั่นคือเสียงร้องสุดท้ายของเจ้าหนู...... เขาสลบไปในทันที................

     

    ...............................................................

                    ตอนเช้าของวันรุ่งขึ้น........ แดดทอแสงเป็นประกาย สะท้อนกับหยาดน้ำค้างบนใบหญ้า... คาราวานกองหนึ่งกำลังมุ่งหน้าไปที่หมู่บ้านชายทะเลแห่งหนึ่ง.....

                    “หนู........” เสียงชายวัยกลางคนคนหนึ่งดังขึ้นมาในโสตประสาทของหนุ่มน้อย เขาค่อย ๆ รู้สึกตัวขึ้นมา ตรวจสภาพรอบ ๆ ตัว..... มันเป็นกระโจมทำจากหนังสัตว์สีขาวเหมือนจะเป็นหนังแพะ ขึ้นโครงด้วยไม้และกระดูกสัตว์ใหญ่ เขานอนอยู่บนเตียงไม่มีฟูก จริง ๆ ถ้าจะเรียกว่าขื่อก็ไม่น่าจะกระดากปากมากนัก ทางซ้ายของกระโจมมีโต๊ะไม้ทำจากไม้อะไรสักอย่างสีน้ำตาลเข้มขนาดพอประมาณ บนโต๊ะมีถ้วยชา จอกชา และ.... ดาบเล่มสีดำทมึนอยู่...เบื้องหน้าของเขาคือชายวัยกลางคนอายุสัก 40 ปี ผมล้านกลางกระหม่อม ร่างกายอ้วนท้วน แต่ไม่ถึงกับอ้วนมากนั่งยิ้มอยู่บนเก้าอี้ เบื้องซายของชายคนนั้นคือสตรีที่ดูอ่อนโยนนางหนึ่ง สวมชุดสีเขียวทำจากผ้าขนสัตว์ย้อมสียืนดูอยู่ใกล้ ๆ นางผมสีแดงกึ่งดำ ทาเครื่องสำอางและทาปากสีแดง แต่ไม่สด เขาสำรวจสภาพร่างกายตนเอง พบว่าร่างกายครึ่งท่อนล่างนั้นสภาพเหมือนเดิม แต่ว่าท่อนบนนั้นพันผ้าพันแผลจนแทบจะกลายเป็นมัมมี่อยู่แล้ว ขณะที่เขาขยับตัวหมายจะผุดนั่ง ความรู้สึกเจ็บแปล๊บก็พุ่งเสียดขึ้นมาถึงหน้าอก

                    “โอ๊ย!” สีหน้าเหยเกของหนูน้อยบ่งบอกความรู้สึกอันเจ็บปวดของเด็กหนุ่มได้อย่างชัดเจน เขาเอามือขวากุมที่ซี่โครงทางซ้ายอย่างแน่นด้วยความทรมาน ชายวัยกลางคนนั้นพยายามดันตัวเด็กหนุ่มลงไปนอนกับขื่ออีกครั้ง

                    “อย่าเพิ่งขยับมากนักนะหนุ่ม ซี่โครงหักไปสองซี่ คงต้องพักกันยาวเลยละ” หญิงสาวผมสีแดงกล่าวด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนพลางเดินไปหยิบป้านชารินน้ำชาใส่จอกแล้วยื่นให้เด็กหนุ่ม เขารับไว้อย่างไม่ปฏิเสธ นางดูจะอายุรุ่นราวคราวเดียวกับชายคนที่อยู่ข้าง ๆ เขาตอนนี้

                    “ท่านเป็นใคร......?” เด็กน้อยเบนศรีษะไปทางชายวัยกลางคนนั้น หญิงสาวที่นั้งอยู่นั้นกึ่งยิ้มกึ่งขำ เด็กหนุ่มพยายามจะมองไปให้ถึงนาง แต่ก็มองไม่ถึงเสียที

                    “ข้าชื่อ อาร์มูโด้ ฟอล์ก เป็นช่างตีเหล็ก ข้ากำลังจะไปยังหมู่บ้านชายทะเลใกล้ ๆ นี้ เพราะมีคนสั่งของไว้ ส่วนผุ้หญิงที่นั่งอยู่ตรงนั้นคือเมียข้า ซิลิไทซ์ ฟอล์ก เจ้าล่ะ มีชื่อว่าอะไร?”

                    “ข้าไม่มีชื่อ..... คนในหมู่บ้านมักเรียกข้าว่ายาจก... พ่อแม่ข้าตายตั้งแต่ 6 ปีที่แล้ว... จั้งแต่ปีที่มีโรคระบาดหนัก ตอนนั้นข้ายังจำอะไรไม่ได้ ได้แต่อาศัยข้าวเขากินไปวัน ๆ” ช่างตีเหล็ก อาร์มูโด้ค่อย ๆ เอามือลูกหน้าของเด็กน้อยเพื่อให้เขาสบายขึ้น

                    “เฮอะ เฮอะ... ไม่มีชื่อเหรอ? ไม่เป็นอะไรหรอกน่า......” ชายวัยกลางคนหัวเราะเสียงดังลั่นกระโจม

                    “ท่านพบข้าได้อย่างไร...” เด็กหนุ่มพูดด้วยเสียงอันอ่อนเปลี้ยเพลียแรงประหนึ่งว่าอดนอนมาหนึ่งคืน ชายวัยกลางคนยิ้มละไม

                    “เมื่อวานตอนเที่ยงคืนกว่า ๆ ฝนตกหนักมาก.... เหมือนฟ้าจะดลใจให้ข้าออกมาเดินเล่นนอกกระโจม นึกไม่ถึงว่าจะมีโครงกระดูกเดินมาหาข้า มือขวาของเขานั้นเป็นส่วนเดียวที่ยังพอจะมีเนื้ออยู่บ้าง...”สีหน้าของเด็กหนุ่มเริ่มตกตะลึงเมื่อชายคนนั้นเล่ามาถึงช่วงนี้... ชายวัยกลางคนสังเกตุอาการของเขาออก จึงถามหยั่งเชิงลงไป

                    “ทำไมรึ?.... เจ้ารู้จักเขาด้วย?”

                    “ไม่เชิงรู้จักหรอกครับ อุ๊บ แค่กๆ...” ไม่น่าเชื่อว่าแม้แต่การขยับปากพูดก็ทำให้เด็กหนุ่มเจ็บปวดได้ถึงขนาดนี้ นี่คงเป็นการเจ็บปวดภายใน หญิงสาวค่อย ๆ เดินมาดูอาการ ส่วนเด็กหนุ่มนั้นยื่นจอกชาที่ดื่มหมดแล้วคืนให้สตรีผู้อารีนางนั้น...

                    “งั้นเธอก็นอนฟังก็พอแล้วนะ ไม่งั้นมันจะเจ็บยิ่งกว่านี้..... เจ้าโครงกระดูกนั่นหน้าตาน่ากลัวและสยดสยองมาก... ตอนแรกข้านึกว่าผีอำเสียอีก... ข้ากำลังจะหันหลังวิ่งหนีกลับกระโจมนี้ เขาก็จับไหล่ข้าเอาไว้ แล้วก็บอกว่า มีเจ้านอนอยู่ที่หมู่บ้านไม่ไกลนัก...” ยังไม่ทันจะเอ่ยประโยคต่อ ซิลิไทซ์ก็สวนขึ้นมาทันควัน

                    “อาร์มูโด้น่ะพาเขากลับมาที่กระโจม ตอนแรกข้าก็ไม่นึกไม่ฝันเหมือนกันว่าจะได้เห็นกระดูกเดินได้ แต่ว่าพอเห็นท่าทีเชื่อใจของอาร์มูโด้แล้ว ข้าก็พลอยวางใจด้วย” หล่อนไปหยิบกาแฟมานั่งซดตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ชายคนนั้นถอนหายใจหนึ่งเฮือก

                    “เขาจากไปตอนที่พวกเราเดินไปถึงครึ่งทางแล้ว... จู่ๆ เขาก็หายไปอย่างเงียบงันจนข้าตกใจ เมียข้าบอกว่าให้ข้าเดินต่อไป จนถึงจุดที่หมอนั่นบอก..... สิ่งที่ข้าเห็นคือภาพของหมู่บ้านที่ไหม้เป็นตอตะโก..... ซากศพทั้งจากไฟครอกบ้าง จากการถูกฆ่าบ้าง น่าสลดอย่างอธิบายไม่ถูก..... กลิ่นศพอืดเหม็นฟุ้งไปทั่ว.... ข้าเดินลุยเข้าไปกลางทุ่งศพนั่น หันซ้ายหันขวาหาเด็กที่ชายคนนั้นพูดถึง แต่ก็หาไม่เจอ.....”

                    “ในตอนที่ข้าหมดความหวังและกำลังจะหันหลังกลับ..... ประกายแสงจากดาบสีดำนั่นของเจ้าก็สะท้อนมาเข้าตาข้า ข้าหันกลับไปดู ก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่ข้าเห็นอีกครั้ง....... เจ้าที่กอดดาบนั่นอยู่ คมดาบนั้นสีดำมืดเหมือนตอที่อยู่ใกล้ ๆ ไม่มีผิด รอบกายเจ้ามีซากศพของกอบลินนอนตายกันเกลื่อน เมื่อได้เดินเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็พลันพบว่า ทุกศพมีรูเพียงรูเดียวเท่านั้น เจ้านี่เก่งจริง ๆ เลย จัดการมันหมดเลยรึ?” อาร์มูโด้จับไหล่ของเด็กน้อย เด็กน้อยหันกลับไปชำเลืองมองอาร์มูโด้ด้วยสายตาที่เป็นนัยว่าไม่ใช่เขา พลางพยายามส่ายหัวริกเบา ๆ ซิลิไทซ์นั่งยิ้มวางแก้วกาแฟไว้ข้าง ๆ ตัว

                    “ไม่ใช่เจ้ารึ? ... ฮ่าฮ่าฮ่า..... ไม่รู้สิ ใครล่ะที่จะทำได้ขนาดนี้ ถึงจะเป็นนักดาบที่ได้ชื่อว่าฝีมือดี แต่ขนาดนี้มันก็ไม่ไหวเหมือนกัน.... แล้วเจ้าต่อไปจะไปไหนรึ?” เขาถามเด็กน้อย

                    “ข้าไม่มีที่ไป....ไม่มีที่ไหนให้ข้าไปหรอกท่าน....” เขาพูดด้วยเสียงอ้อยอิ่งฟังยิ่งน่าสงสาร อาร์มูโด้ช่างตีเหล็กฟังแล้วเอามือลูบเคราของตนอีกครั้งพลางเอียงคอ หันกลับไปมองซิลิไทซ์เหมือนกับจะให้ช่วยตอบให้ นางเห็นอาร์มูโด้เอียงหน้ามามองก็เหมือนกับจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร จึงส่งยิ้มให้เขาแล้วพยักหน้า

                    “งั้นก็จงอยู่กับข้าเถอะ.... ข้าจะรับเจ้าเป็นลูกบุญธรรมแล้วกัน”

                    “แต่....แต่ผมไม่มีหัวนอนปลายเท้านะท่าน.... เกรงว่าจะมีคนนินทา....” เด็กหนุ่มพูดเสียงตะกุกตะกักพลางพยายามผุดลุกผุดนั่งขึ้นมาให้ได้ อาร์มูโด้ช่างตีเหล็กต้องพยายามดันตัวเขากลับลงไปนอนบนขื่ออีกครั้งหนึ่ง

                    “เฮ่ย.... เรื่องนั้นไม่เป็นอะไรหรอกน่า..... ข้าน่ะเป็นเถ้าแก่ร้านตีเหล็กนะ ลูกมือคนไหนนินทาข้าก็ไล่ออกได้หมดแหละ...... เอาล่ะ ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าก็แล้วกัน....” เด็กชายเมื่อได้ยินช่างตีเหล็กพูดถึงขนาดนี้น้ำตาคลอเบ้า ยิ้มอย่างมีความสุขมองหน้าซิลิไทซ์มารดาบุญธรรมของตนที่อนุญาติให้ตนเป็นลูกบุญธรรมอย่างอิ่มเอิบเบิกบาน สายตานั้นที่มองมาที่นางประดุจบันทึกคำว่าขอบคุณนับล้านครั้งในสายตานั้น

                    “คนที่ทำให้เจ้าพบกับข้านั้นเป็นโครงกระดูกสินะ งั้นข้าคงจะต้องตั้งชื่อเกี่ยวกับกระดูกเสียแล้วสิ เอาล่ะ ชื่อ เลโอริก..... เลโอริก ฟอล์ก เป็นไง?....”

                    “ขอบคุณคุณลุงมากครับ ผม เลโอริก ขอบคุณคุณลุงมากครับ” เจ้าหนูน้อยยิ้มระรื่นอย่างยินดีทั้งจากการได้ชื่อใหม่และจากการมีคนรับอุปการะ

                    “เฮ่ย ต่อไปห้ามเรียกลุงอีกนะ ไม่งั้นพ่อจับตีก้นเลย! เรียกพ่อสิ พ่อน่ะ”

                    “ครับพ่อ... ฮึก ครับพ่อ....” เด็กหนุ่มดีใจจนฝืนสะอื้นไห้ออกมาไม่ไหว น้ำตาแห่งความปรีดาพรั่งพรูออกมาจากสองตาของเด็กน้อย นั่นทำให้พ่อบุญธรรมของเขาดีใจจนอดร้องไห้ออกมาไม่ได้เช่นกัน ซิลิไทซ์เดินไปนอกกระโจมแล้วตะโกนออกมาดัง ๆ

                    “เอ้า!! ลูกมือทั้งหลาย!!! สามีข้าได้ลูกแล้ว!!!!!!!” คนทั้งหลายที่กำลังเตรียมของจะออกเดินทาง ทุกสายตาหันไปที่กระโจมของอาร์มูโด้ บรรยากาศเงียบลงจนสังเกตุได้ ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องดีใจดังสนั่นไปหมดทั้งคาราวาน คนงานทั้งหลายแหล่ผละงานของตนรีบวิ่งเข้าไปที่กระโจมของอาร์มูโด้บ้างให้ของบางสิ่งเป็นของขวัญ บ้างอวยพรให้ด้วยความยินดี

                    “เถ้าแก่น้อย ยินดีต้อนรับเข้าสู่โรงตีเหล็กของเรานะครับ!

                    “คุณหนูดีใจด้วยนะครับ เอ้านี่เงินขวัญถุงครับ!

                    “ข้าไม่มีอะไรจะให้หรอกครับ เอาเป็นว่าข้าให้มีดเล่มนี้แล้วกันนะครับ!

                    “ขอให้หายบาดเจ็บเร็ว ๆ นะครับ!

                    “เถ้าแก่ได้ลูกชายแล้ว ขึ้นเงินเดือนให้พวกข้าบ้างสิครับ!

                    “เฮ้ย! ไม่ได้ๆ ขอกันงี้ได้ไงล่ะจริงมั้ย พวกที่ปากสว่างข้าจะหักเงินเดือนให้หมดเลยเว้ย!! ฮ่าๆๆๆๆๆ!” เถ้าแก่ตอบด้วยเสียงหัวเราะพลางตบกบาลของช่างตีเหล็กปากร้ายคนนั้น ทั้งกระโจมเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะดังไปหมด เลโอริกหนุ่มน้อยได้แต่หลั่งน้ำตาอย่างปลาบปลื้มยินดี........

     

                    .......... “เลโอริก? ชื่อเพราะดีนี่.....เจ้าหนู” เสียงแหบแห้งเสียงหนึ่งดังขึ้นจากที่ไม่ห่างจากคาราวานมากเท่าไหร่นัก โครงกระดูกผู้ปิดบังตัวตนของตนเองกล่าวอย่างเรียบเฉยก่อนจะหันหลังเดินจากไป ทิ้งประโยคปริศนาเอาไว้ให้ผู้คนต้องตีความกันเอาไว้.....................

                     "ดาบนั้นคือ..... วอน ยอแซฟ.... จงจดจำชื่อมันไว้ให้ดี.... ชะตาลิขิตให้... เจ้าได้ครอบครองมัน.... ชะตาลิขิตให้เจ้า... ต้องแบกรับเคราะห์กรรมของดาบนี้...... หากโชคชะตายังปรานีเจ้า......... เราสองอาจได้พบกันในฐานะมิตร.......... ถ้าไม่ใช่........ ก็ขอให้เจ้าโชคดี........ ลาก่อน เลโอริก.......”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×