ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หมากตัวเอก

    ลำดับตอนที่ #1 : จุดเริ่มต้นการสังหาร

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.พ. 53


    /> /> />

                    ผมกับแพรแฟนผมที่รอเข้าหอพร้อมกันในอีก 3 เดือน อยู่ด้วยกันที่บ้านของพ่อผม สมาชิกในบ้านประกอบด้วยผม หรือที่คนอื่นเรียกว่าปอ แพร และก็พ่อผม รวมทั้งสิ้น 3 คน แต่บ้านผมนั้นเป็นบ้านที่คล้ายๆกับตึกแถว ความสูงรวม 6 ชั้น ชั้นล่างสุดหรือชั้นที่ 1 เปิดโล่งสำหรับจอดรถ ชั้นที่สองเป็นชั้นสำหรับทำอาหาร และรับประทานอาหาร และชั้นที่ 3 ถึงชั้นที่ 5 เป็นห้องนอนชั้นละห้อง สำหรับชั้นที่ 6 นั้นเป็นชั้นใต้หลังคา เอาไว้สำหรับเก็บของต่างๆ

                    สถานที่ตั้งของบ้านผมนั้น ตั้งอยู่ในซอยทางลัดแห่งหนึ่ง บ้านหลังนี้พ่อผมเป็นคนออกแบบเอง จึงดูแปลกๆจากบ้านหลังอื่นในระแวกนั้น เพราะบ้านผมสูงที่สุด สาเหตุที่พ่อผมออกแบบให้สูงขนาดนั้นเพราะเขาอยากจะให้มีพื้นที่เหลือเยอะๆ ซึ่งพ่อเองก็ชอบเอาต้นไม้มาปลุกให้เต็มพื้นที่

                    บ้านผมเกือบจะดีแล้ว แต่มีสามอย่างที่ไม่ดีคือ หนึ่งสมาชิกในบ้าน คำว่าครอบครัวที่หลายคนคิดกัน มันควรจะประกอบไปด้วย พ่อ แม่ ลูก แต่บ้านผมไมมีแม่ แม่ผมเป็นคนที่ไม่ยอมใคร และอารมณ์ร้อน และแม่ผมก็ไม่ยอมพ่อผม ตอนนั้นผมเองก็ยังเด็กอยู่จำไม่ได้เหมือนกันว่าพ่อกับแม่ทะเลาะกันเรื่องอะไร แต่ผมรู้อย่างเดียวว่าเวลาพ่อกับแม่ทะเลาะกันมันจะเสียงดัง และน่ากลัว พ่อกับแม่ทะเลาะกันบ่อยมาก มากจนเขาไม่รู้เลยว่าพวกเขาทำให้ผมเป็นโรคกลัวเสียงดังไปตลอด ตอนเด็กผมสะดุ้งตื่นกลางดึกประจำ เพราะพ่อผมจะทำงานกลับมาตอนเที่ยงคืนกว่า แล้วเขาก็จะทะเลาะกัน ผมก็จะตื่นและแอบออกมาดูประจำ และผมก็แอบสงสารน้องผม เพราะน้องผมจะนอนกับแม่ และเมื่อพ่อกับแม่ทะเลาะกัน น้องผมที่ขณะนั้นอายุราวๆ 3-4 ขวบ ก็จะตื่นขึ้นมา และร้องไห้เพราะอาการตกใจ แต่ดูตอนนั้นคงไม่มีใครสนใจน้องผม เพราะถึงขนาดน้องผมร้องไห้ให้ตายยังไง พ่อกับแม่ผมก็ไม่หยุดทะเลาะกัน และบางครั้งอาจจะโดนด่าสาบแช่งจากแม่เพื่อให้น้องผมหยุดร้องให้

    ฝันร้ายของผมจบลงตอน ม.3 พ่อกับแม่ผมตัดสินใจเลิกทางกัน และให้ศาลตัดสินเรื่องทรัพย์สินต่างๆ ศาลสั่งให้ผมอยู่กับพ่อ และให้น้องอยู่กับแม่ และบ้านหนังนี้ศาลก็ยกให้พ่อผม ส่วนรถศาลตัดสินยกให้แม่ ตอนนั้นผมเองก็รู้สึกเสียใจเหมือนกันนะ เหมือนรักพี่เสียดายน้อง บางทีก็นึกอยากให้ครอบครัวกลับมามีพ่อ มีแม่ และมีน้องเหมือนเดิม เพราะจะได้เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์ แต่อีกใจพอนึกถึงภาพที่พ่อกับแม่ทะเลาะกัน ก็ไม่อยากให้มีแม่อยู่ที่บ้านนี้เลย แต่สุดท้ายผมก็ต้องทำใจยอมรับความจริงว่าผมจะไม่มีน้อง และไม่มีแม่อีกต่อไป

    อีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้บ้านหลังนี้ไม่ดีก็คือเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านผมชอบกินเหล้ากันดึกดื่น ไม่เลิกไม่รา กินอย่างเดียวไม่พอ ยังส่งเสียงรำคาญบ้านผมอีก ทำให้มีอยู่ครั้งหนึ่งพ่อผมเรียกตำรวจ ให้ไปจัดการและฟ้องบ้านตรงข้ามว่าก่อความรำคาญให้แก่ผู้อื่น จนต้องขึ้นโรงพักกัน และทำให้ผมกับบ้านตรงข้ามผิดใจกันมาโดนตลอด ไม่พูดไม่คุยกัน ต่างคนต่างอยู่

    สิ่งที่สาม ที่ทำให้บ้านนี้ไม่ค่อยดีคืองู เนื่องจากบริเวณบ้านผมเป็นคูน้ำสักส่วนใหญ่ ทำให้เมื่อฝนตก งูก็ชอบจะขึ้นมาบนบ้านผม และไปแอบนอนตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะสมัยก่อนที่แพรยังไม่ย้ายเข้ามาในบ้านผม ผมกับพ่ออยู่ด้วยกันที่ชั้น 3 ทำให้ชั้น 4 – 5 เปิดโล่งให้งูเข้ามาจับจองที่นอนกัน จนสุดท้ายคุณพ่อผมตัดสินใจซื้อวิทยุมา และเปิดทิ้งไว้ที่ชั้น 6 ตลอดทั้งคืน เพื่อให้บ้านไม่เงียบ และงูก็จะไม่กล้าเข้ามาในบ้าน

    หลายคนคงเข้าใจที่ผมเป็นคนที่ไม่สุภาพ หยาบคาย เพราะผมอยู่กับพ่อ ทำให้ผมไม่ค่อยเข้าใจเรื่องของผู้หญิง ไม่เคยได้เห็นความอ่อนโยนจากเพศตรงข้าม นิสัยผมก้าวร้าว และรุนแรงมาก ผมเองเป็นคนที่ใจกล้า ชอบท้าทายในเรื่องต่างๆ แต่ไม่เคยมีเรื่องชกต่อยกับใคร นิสัยเหล่านั้นหมดไปได้เพราะแพร ผมว่าแพรเป็นผู้หญิงที่น่าสงสาร เพราะเธอคือกุลสตรีไทยอย่างแท้จริง ผมจำได้ว่าผมไปจีบเขาตอนที่เขาเรียนพยาบาลตอนปี 3 ส่วนผมตอนนั้นเป็นรุ่นพี่วิศวะปี 4 ผมเห็นแพรแล้วรู้สึกว่าแพรแปลกจากคนอื่น แปลกเพราะแพรเงียบๆ เรียบร้อยกว่าพยาบาล หรือผู้หญิงคนอื่นๆ ทำให้ผมอยากจะลองคบดูว่า ถ้าคบกับคนเรียบร้อยแล้วมันจะเป็นอย่างไร ผมไม่อ้อมค้อม เดินเข้าไปขอเบอร์แพรเอง และด้วยความที่แพรเป็นกุลสตรี ทำให้ครั้งแรกที่ผมเดินเข้าไปขอเบอร์แพร แพรเดินหนีผม ครั้งที่สองผมเดินเข้าไปขอเบอร์แพรอีกครั้ง ครั้งนี้แพรไม่วิ่งหนีผม แต่แพรกลับยิ้มให้ผมแค่นั้น แล้วก็เดินจากไป จนครั้งที่ 3 ครั้งสุดท้ายในความพยายามของผม ผมตั้งใจว่าถ้าแพรไม่ให้เบอร์ผม ผมจะไม่ยุ่งกับแพรอีกเลย ซึ่งครั้งนี้แพรก็ยอมให้เบอร์ผม และผมกับแพรก็เริ่มคบกัน ผมคบกับแพรอยู่สามเดือน ก็รู้สึกว่าแพรเขาไม่ใช่ ผมอยากได้คนที่เก่งๆ มีความเป็นตัวของตัวเอง แต่แพรกลับไม่มีเลย แพรให้ผมคิดตลอด และที่สำคัญที่ทำให้ผมไม่ชอบแพรคือ แพรขี้กลัว กลัวขนาดไม่กล้าข้ามถนนสองเลนคนเดียว ผมตัดสินใจจะไม่คุยกับแพรอีก แต่กลับกลายเป็นแพรที่มักจะโทรหาผมประจำทุกคืน บางทีผมอยากคุยก็คุย ไม่อยากคุยก็บอกไปเลยว่าไม่อยากคุย แต่แพรก็ยังโทรหาผมทุกวัน ไม่มีวันไหนที่แพรจะไม่โทรหาผม จนถึงวันรับปริญญาแพรก็มาอยู่ช่วยผมถือของ โดยที่ผมไม่ได้ขอร้องอะไรเลย และเมื่อพ่อผมเห็นแพรมาช่วยผมตลอด พ่อก็ถามผมว่า “แพรเป็นใครหรอ” ผมตอบไปว่าแค่เพื่อน แล้วพ่อผมก็ให้ข้อคิดมาว่า “แน่ใจหรอ เขาคิดกับลูกว่าเป็นเพื่อน การที่เป็นคู่ครองกัน สนใจแค่ว่าเขาจริงใจ และสนใจเรามากแค่ไหนก็พอ ไม่ต้องสนใจหรอกว่าเขาจะเป็นยังไง” ผมก็เห็นด้วยกับคุณพ่อผมเหมือนกัน ตั้งแต่นั้นผมเลยตัดสินใจเป็นแฟนกับแพร และพัฒนาความสัมพันธ์จนถึงทุกวันนี้

    ด้วยความที่แพรเป็นคนขี้กลัว ทำให้แพรมักจะกลัวคนข้างบ้าน ที่ไม่กินเส้นกับบ้านผม เพราะเพื่อนบ้านผมมีแต่ชายฉกรรจ์ที่หน้ากลัวทั้งนั้น ทำให้ในบางเวลาที่แพรต้องอยู่บ้านคนเดียว แพรมักจะกลัวเสมอ ผมเลยต้องตัดสินใจรื้อบ้านยกใหญ่ ฝังเครื่องตรวจจับว่าประตูถูกเปิดไหม ไว้ที่ประตูที่ติดกับระเบียงทุกชั้น เพื่อตรวจสอบว่ามีใครเปิดประตูห้องเหล่านั้นไหม และเมื่อมีคนเปิดประตูในเวลาที่ไม่ควรมีคนเปิด เซนเซอร์เหล่านั้นจะส่งสัญญาณไปยังคอมพิวเตอร์ เพื่อโทรหาเบอร์ที่ตั้งไว้ ก็คือเบอร์ผม แต่เชื่อไหมครับ ตั้งแต่ติดตั้งระบบนี้มา มันยังจับใครไม่ได้ซักคน จับได้แต่แพรที่ไปเปิดประตูโดยลืมถอดการตรวจจับประตูเหล่านั้นก่อน และอีกหนึ่งอย่างที่ผมทำให้แพรก็คือ ติดตั้งกลอนล๊อกประตูจากภายนอกที่ประตูห้องชั้น 5 เพื่อปิดตายห้องนั้นที่ไม่มีคนใช้

    สำหรับน้องผม และแม่ผม ผมเองไม่ทราบจริงๆว่าเขาทั้งสองคนเป็นยังไงกับบ้าง เพราะตั้งแต่ที่แม่ผมกับพ่อผมเลิกทางกัน แม่ผมก็พาน้องย้ายกลับไปอยู่ที่ต่างจังหวัดด้วยกัน พ่อผมก็ไม่คิดที่กลับไปหาแม่อีกเลย ส่วนผมก็เข้าใจพ่อเหมือนกัน เลยไม่คิดที่จะถามว่าแม่เป็นยังไงบ้าง ประกอบกับงานผมที่ล้นมือ ทำให้ไม่มีเวลาคิดเรื่องเหล่านั้นเหมือนกัน

    จากเด็กจนโตถึงทุกวันนี้ ชีวิตผมดีขึ้นเรื่อยๆ จากครอบครัวที่วุ่นวาย ไปเป็นครอบครัวที่เงียบสงบ ตอนนี้ไปเป็นครอบครัวที่มีพร้อมไปทุกอย่าง และอีก 3 เดือนข้างหน้าผมก็จะได้มีโอกาสเป็นหัวหน้าครอบครัวกับเขาแล้ว แต่เพียงคืนเดียวชีวิตผมก็ต้องกระโจนเข้ากับเรื่องระยำที่ผมไม่เคยยุ่งกันมันมาก่อน

    ในคืนข้างแรมวันหนึ่งที่มืดสนิท ผมกับแพรนอนหลับบนเตียงเดียวกัน ผมเอามือถือผมวางบนหัวเตียง และเปิดสั่นไว้ตามความเคยชิน เพราะบางทีแพรจะโทรมาเรียกมาให้ไปรับเวลาแพรลงเวรบ่าย แต่สำหรับวันนี้ที่มันไม่ควรจะสั่น แต่มันกลับสั่นขึ้นมา ผมรีบเอามือไปคว้ามัน และก็กดรับอย่างรวดเร็ว เพื่อไม่ให้เสียงสั่นนั้นไปรบกวน ให้แพรที่เพิ่งกลับมาจากเวรล่ายต้องตื่นขึ้นมา ทันทีที่ผมรับผมก็ตกใจมาก เพราะมันเป็นเสียงจากระบบรักษาความปลอดภัยในบ้านของผม มันแจ้งเตือนว่ามีคนเปิดประตูที่เชื่อมต้องระหว่างห้องชั้น 5 กับระเบียง ผมจำได้ว่าวันนั้นผมเป็นคนปิดประตูนั้นเอง และล๊อกกลอนด้านในด้วย จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครเปิดประตูนั้นได้

    ผมตัดสินใจค่อยๆลุกออกจากเตียง เพื่อไม่ให้แพรตื่น จากนั้นไปหยิบปืน Glock 19 ที่ติดไฟฉายไว้ด้วย และซองกระสุนที่บรรจุกระสุน 15 นัดเต็ม ที่ผมซ่อนอยู่ใต้เตียงไปด้วย ผมค่อยๆเปิดประตูออกจากห้องผม โดยเปิดประตูด้วยเสียงที่ค่อยที่สุด เพื่อไม่ให้แขกที่มาเยือนรู้ตัวทัน

    เมื่อผมออกจากห้องผมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็ได้ยินเสียงวิทยุที่พ่อผมเปิดอยู่ที่ชั้น 6 แต่ผมก็ได้ยินเสียง “แก๊กๆ” เหมือนคนพยายามทำอะไรบางอย่างอยู่ แทรกขึ้นมาเป็นระยะๆ ผมเชื่อว่าไม่ใช่เสียงของพ่อผมแน่ เพราะพ่อผมชอบทำอะไรดังๆ ผมจึงตัดสินใจหยิบซองกระสุน ใส่เข้าไปในปืนผม แต่ยังไม่ขึ้นลำ และค่อยๆเดินขึ้นไปตามบันได ทุกๆก้าวที่ผมก้าวขึ้นไปนั้นไม่ได้เพิ่มความกลัวให้ผมเลย ผมก้าวขึ้นไปแบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยในมือผมยังคงถือปืนกระบอกนั้นอยู่ คงเป็นเพราะปืนกระบอกนั้นเองที่ทำให้ผมไม่กลัว

    บันไดบ้านผมเป็นบันใดที่มีลักษณะเหมือนตัวยู และเมื่อผมอยู่ที่กลางบันได ผมก็มองเห็นประตูห้องของชั้นที่ 5 และผมก็เห็นที่มาของเสียงแก๊กๆนั้น ผมเห็นประตูขยับ แต่ผมยังไม่รู้ว่าทำไมมันขยับ ผมหยุดอยู่ที่กลางบันได เล่งปืนไปที่ประตูบานนั้น พร้อมกับเปิดไฟที่ฉายที่ติดอยู่ที่ปลายปืน

    เมื่อเปิดไฟฉาย ไฟสีน้ำเงินอ่อนๆของไฟฉายก็ทำให้ผมเห็นประตูห้องของชั้นที่ 5 ผมไม่เห็นมีสิ่งใดผิดปกติ ลูกปิดยังคงอยู่ในสภาพปกติ ผมค่อยเลือนไฟขึ้นไปดูที่กรณ์ของประตูบานนั้น แล้วผมก็เห็นกับเหล็กสีดำๆ 2 อัน หนีบอยู่ระหว่างเหล็กที่ล็อกกลอนประตูที่ผมติดตั้งไว้ภายนอกห้อง เหล็กสีดำทั้งสองอันกำลังเคลื่อนที่ไปมาเพื่อตัดเหล็กที่กลอนประตูออก ผมเห็นดังนั้นผมก็รู้สึกตกใจมาก เพราะผมมั่นใจเลยว่าสิ่งที่อยู่หลังประตูนั้น ต้องเป็นผู้ร้ายที่พยายามเข้ามาในบ้านผมแน่ๆ

    ผมเล็งปืนไปที่ประตูบานนั้น พร้อมกับขึ้นลำปืนพร้อมยิง ผมเลือนตำแหน่งที่เล็งลงมาเป็นด้านล่างของประตู เพราะถ้าผู้ร้ายเปิดประตูออกมา ผมจะยิงเข้าที่ขา เพื่อไม่ให้เขาตายในบ้านผม และผมจะได้ไม่ต้องโดนข้อหาฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา จากนั้นผมปิดไฟฉาย เพื่อไม่ให้ผู้ร้ายรู้ว่าผมรอเขาอยู่

    ผมยังคงเล็งปืนไว้ที่ประตู รอเวลาที่ผู้ร้ายจะตัดเหล็กที่ล๊อกกลอนประตูนั้นออก ทุกวินาทีที่ผ่านไป หัวใจผมเต้นแรงมากขึ้น เหงือเริ่มไหลเป็นหยดๆ ด้วยอาการณ์ตื่นเต้น

    เกือบ 1 นาทีผ่านไปผู้ร้ายก็ตัดเหล็กนั้นออก และค่อยๆเปิดประตู เมื่อประตูค่อยๆเปิดออก ใจผมเต้นรั่ว เพราะไม่รู้ว่าอะไรอยู่หลังประตู แต่เมื่อประตูเปิดออกครึ่งหนึ่ง ผมก็ประหลาดใจว่าทำไมผมไม่เห็นใครเลย แต่ผมยังคงเล็งปืนไปที่ประตูนั้นอยู่ และสะพักผมก็คนหนึ่งพุ่งออกมาจากทางด้านข้างของประตู ตอนนั้นผมปิดไฟอยู่ เห็นเพียงเงาตะคลุมๆพุ่งออกมา ผมรีบเปิดไฟทันทีปืนผมทันที และทันทีที่ผมเปิดไฟ ไฟสีน้ำเงินอ่อนๆนั้น ก็ทำให้ผมเห็นผู้ร้าย ที่ใส่เสือแขนยาวสีดำ กับกางกางขายาวสีดำ และใส่หมวกไหมพรมปกปิดหน้าตา แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่ทำให้ผมตกใจเท่ากับผมเห็นผู้ร้ายคนนั้นถือปืนและเล็งมาที่ผม ทันทีที่ผมเห็นดังนั้น ผมตกใจมาก ผมไม่สนใจว่าผมเล็งไปที่ส่วนไหนของเขา ผมรีบลั่นไกลออกไปสามนัดติดกัน

    “ปั้ง ปั้ง ปั้ง”

    เมื่อเสียงปืนเงียบลง ผู้ร้ายคนนั้นล้มลงไปนอนพุบกับพื้น ผมตกใจมาก ผมยังคงเล่งปืนไปที่ตรงนั้น พร้อมกับเปิดไฟฉายอยู่ และเวลาผ่านไปไม่กี่วินาทีหลังจากที่ผมยิงปืนออกไปหนึ่งชุด ผมเห็นผู้ร้ายอีกคนโผลหัวออกมาจากทางด้านข้างของประตู พร้อมกับปืนหนึ่งกระบอก ผมที่กำลังเล่งปืนไปที่ประตู รีบขยับมือเพื่อเล็งไปหาผู้ร้ายอีกหนึ่งคนที่โผล่หัวออกมา และผมก็ได้โอกาสยิงผู้ร้ายคนนั้นก่อน

    “ปั้ง ปั้ง ปั้ง”

    อีก 3 นัดที่ผมยิงออกไป ผมยิงโดนขอบประตู 1 นัด แต่ผมไม่รู้ว่าอีกสองนัด ผมยิงโดนอะไรบ้าง แต่ผู้ร้ายคนนั้นก็ล้มตัวลงมานอนพุบกับพื้นเช่นกัน ผมรู้สึกตกใจมาก และยังคงเล็งปืนไปที่ประตูนั้นเพื่อรอว่าจะมีใครออกมาจากประตูนั้นอีกไหม

    เวลาผ่านไป 5 วินาที ผมได้ยินเสียงเปิดประตูจากห้องด้านล่าง พร้อมกับเสียงไซเร็นจากรถตำรวจ และก็ตามมาด้วยเสียงตระโกนดังกังวาลย์จากพ่อผมว่า

    “ลูกปอ แพร อยู่ไหน เกิดอะไรขึ้น”

    เสียงของผมปลุกผมให้ตื่นขึ้นจากความตกใจ ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม เล็งปืนไปที่เดิม และตะโกนตอบพ่อผมไปว่า

    “พ่อ มีผู้ร้ายเข้ามาในบ้านเรา ลูกอยู่ที่ชั้น 5

    ทันที่ที่ผมตะโกนตอบกลับไป แสงไฟจากไฟที่ติดไว้ที่บันไดแต่ละชั้นเริ่มสว่างขึ้นจากชั้นล่างสู่ชั้นบน พร้อมกับเสียงฝีเท้าของพ่อผมที่รีบวิ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง

    เมื่อแสงไฟจากไฟที่ติดไว้ที่บันไดของชั้นที่ 5 สว่างขึ้น ผมก็ต้องตกใจกับสิ่งที่ผมทำลงไป ผมเห็นเพียงผู้ร้ายคนแรกคนพุบไปกับพื้น หัวของเขาโผล่พ้นออกมาจากขอบบันได และเขานอนห้อยหัวลง พร้อมกับเลือกที่ค่อยๆไหนออกมา และไหลลงมาตามบันไดแต่ละขั้น มันเป็นภาพที่สยดสยองมาก ส่วนผู้ร้ายคนที่สองที่ปรากฏตัวมาภายหลังนั้น ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นยังไงบ้าง เพราะถูกผู้ร้ายคนแรกบังอยู่

    “ลูก...ลูกไม่เป็นไรนะลูก”

    เสียงของพ่อผมปลุกผมอีกครั้งจากความตกใจกับสิ่งที่ผมทำลงไป ผมหันกลับไปมองหน้าพ่อผม สีหน้าของพ่อผมซีดอย่างชัดเจน พ่อผมคงตกใจกับภาพของผู้ร้ายนอนจมกองเลือดเช่นเดียวกับผม

    ระหว่างนั้นผมยังคงเล่งปืนไปที่ประตูนั้นอยู่ พ่อผมเองก็คงตกใจ และยังทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน จากนั้นก็มีเสียงจากโทรโข่ง ดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงเคาะประตูด้านล่างบ้านผมว่า

    “นี้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ผมได้ยินเสียงปืนจากบ้านหลังนี้ ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้นไหม รบกวนเจ้าบ้านช่วยเปิดประตูหน่อย”

    ตอนนี้ผมสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ผมรู้อย่างเดียวว่า ผมต้องเล็งไปที่ประตูนั้น ผมไม่ตอบสนองกับคำประกาศจากตำรวจ พ่อผมก็เช่นเดียวกันจนตำรวจต้องประกาศซ้ำอีก 1 รอบ

    จบการประกาศครั้งที่สอง พ่อผมบอกกับผมว่า

    “ลูกรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี่ยวพ่อไปดูว่าเป็นตำรวจจริงไหม”

    เกือบสองนาทีผ่านไปที่ผมต้องยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าเดิม จากนั้นผมก็ได้ยินเสียงจากตำรวจตะโกนมาว่า

    “คุณ...วางปืนลงได้แล้ว ไม่มีผู้ร้ายอีกแล้ว”

    ผมหันไปตามหาที่มาของเสียงนั้น ก็พบกับตำรวจสองนายที่กำลังทำหน้าตื่นตกใจรีบวิ่งขึ้นมา ทั้งสองคนกำลังเอามือกำอยู่ที่ปืนในท่าที่พร้อมจะหยิบออกมายิง

    เมื่อผมเห็นตำรวจมา ผมก็วางปืนลงกับพื้น พร้อมกับยกมือทั้งสองขึ้นในระดับไหล่ ตำรวจหนึ่งคนรีบวิ่งเข้ามาหาผม พร้อมกับใส่กุญแจมือผม ส่วนอีกคนหนึ่งรีบวิ่งไปดูคนร้ายทั้งสองคน ผมตกใจเหมือนกันที่อยู่ดีๆตำรวจคนนั้นใส่กุญแจมือผม ทั้งที่ผมเป็นผ่ายถูก แต่ผมก็ยอมให้ตำรวจคนนั้นใส่กุญแจผมแต่โดยดี

    แต่ตำรวจก็พูดอธิบายให้ผมฟังว่า

    “เดียวผมใส่กุญแจมือคุณก่อนนะครับ เพราะตอนนี้คุณคือผู้ต้องหาคดีพยายามฆ่า ผมเชิญคุณไปที่โรงพักก่อนนะครับ ไว้เราสอบสวนแล้วถ้าสองคนนั้นเป็นผู้ร้ายจริงๆ คุณก็ไม่มีความผิดใดๆนะครับ ไม่ต้องกลัวนะครับ”

    ขณะที่ตำรวจคนนั้นกำลังใส่กุญแจมือผม ตำรวจอีกคนที่วิ่งขึ้นไปดูคนร้ายทั้งสองก็ตะโกนกลับมาบอกว่า

    “หมวด ทั้งสองคนตายแล้ว”

    จากนั้นหมวดคนที่กำลังใส่กุญแจมือผมก็บอกเสริมกับผมว่า

    “คราวนี้เราเป็นผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตายแล้วนะ

    ผมไม่รู้สึกตกใจกับการที่โดนใส่กุญแจมือ แต่ผมรู้กลับสึกเสียใจกับคำว่า “ผมคือผู้ต้องหาคดีฆ่าคนตาย” ความรู้สึกผมตอนนั้นรู้สึกผมตกต่ำมาก ถึงขั้นต้องเป็นผู้ต้องหาคดีร้ายแรงแบบนี้ ทั้งที่ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมไม่เคยรังแกใครเลยด้วยซ้ำ

    พ่อผมตามขึ้นมาที่หลัง ก็ตกใจเหมือนกันที่เห็นผมใส่กุญแจมือ แต่พอตำรวจอธิบายให้พ่อผมฟัง พ่อผมก็เข้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และยอมให้ตำรวจพาผมไปโรงพักแต่โดยดี ส่วนพ่อผมขอดูตำรวจจัดการกับศพผู้ร้ายทั้งสองคนที่บ้านนี้ก่อน แล้วจะตามไปโรงพักทีหลัง

    ก่อนที่ผมจะไปโรงพัก ผมก็คิดถึงแพรทันที ไม่รู้ว่าแพรเป็นยังไงบ้าง ผมไม่ได้ยินเสียงแพรเปิดประตูห้องเลย

    ผมกลับไปที่ชั้น 4 และใช้มือที่ถูกใส่กุญแจมือค่อยๆเปิดประตูออกมา ในห้องไม่มีการเปิดไฟใดๆทั้งสิ้น แสงจากภายนอกห้อง ทำให้ผมเห็นแพรกำลังนอนร้องไห้อยู่บนเตียง และทันที่แสงส่องโดนหน้าแพร แพรหันมาหาผม ลุกขึ้นมาจากเตียงพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตา และแพรรีบวิ่งตรงมาหาผมทันที ผมเข้าใจนะครับว่าแพรคงกลัว ไหนจะเสียงปืน เสียงไซเริน ไหนจะเสียงตะโกนจากตำรวจ และไหนจะตื่นขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าผมไปไหน

    แพรเข้ามากอดผม และร้องไห้ พร้อมกับพูดกับผมว่า

    “ปอไปไหนมา...ทำไมไม่บอกแพร...แพรกลัวรู้ไหม”

    ผมปลอบแพรกลับไปว่า

    “ไม่เป็นไรนะ...ปออยู่นี้แล้ว...ปอไม่เป็นไรหรอก”

    สะพักแพรรู้สึกดีขึ้น แล้วปล่อยมือออกจากตัวผม แพรค่อยๆลดมือลงมาจับที่มือผมแทน แต่ทันทีที่แพรสัมผัสกับโลหะที่ข้อมือทั้งสองของผม แพรก็รีบมองลงไปที่ข้อมือผม เพื่อดูว่ามันคืออะไร และเมื่อแพรรู้ว่ามันคือกุญแจมือ แพรก็ร้องไห้ และพูดออกมาอีกว่า

    “ไหนปอบอกว่าไม่เป็นไรไง...แล้วกุญแจมือที่ใส่อยู่ที่มือปอมันหมายความว่ายังไง”

    หมวดคนเดิมที่เป็นคนใส่กุญแจมือผมอธิบายให้แพรฟัง ซึ่งแพรก็เข้าใจ แต่แพรยังคงร้องไห้เสียใจอยู่ ผมก็เข้าใจแพรเหมือนกัน มันคงเป็นเรื่องยากที่จะทำใจว่าผมเป็นผู้ร้ายไปแล้ว

    “เดี่ยวปอไปโรงพักก่อนนะ แพรนอกพักอยู่ที่บ้านก่อนก็ได้”  ผมบอกแพร แต่แพรก็พูดสวนขึ้นมาทันทีเลยว่า

    “ไม่เอาปอ...แพรอยู่ที่นี้แพรก็ไม่ได้ทำอะไร และยิ่งไม่มีปอ แพรก็รู้สึกกลัวด้วย ให้แพรไปด้วยนะ”

    ผมไม่อยากขัดใจแพร เพราะผมสงสารและเข้าใจความรู้สึกแพรจริงๆ ผมจึงยอมให้แพรไปกับผม

    แพรใช้เวลาแต่งตัว 5 นาที ซึ่งผมกับตำรวจก็ยืนรออยู่ด้วยกัน และเมื่อแพรแต่งตัวเสร็จ ผม แพร และตำรวจอีกสองนายก็เดินออกมาจากบ้านผม และก็ขึ้นกระบะวีโก้ 4 ประตู คันหนึ่งที่จอดอยู่ที่หน้าบ้านผมเพื่อเดินทางไปสถานีตำรวจ...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×