ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    หัตถ์แห่งอนธกาฬ

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำที่1 เสียงเพลงในความฝัน

    • อัปเดตล่าสุด 30 มี.ค. 48










                                                                                          บทนำ    

                                                                                เสียงเพลงในความฝัน







        ลมที่พัดผ่านเมืองชิคาโกไม่มีวันอบอุ่น

        

        ไม่ว่าจะเป็นฤดูกาลใดแล้ว ลมที่พัดผ่านชิคาโกไม่มีวันอบอุ่น ลมหนาวของชิคาโกหนาวตลอดกาล

        เวลานี้เป็นเวลาเลยเที่ยงวันของวันกลางเดือนกรกฏาคม ลมที่พัดผ่านมาในขณะนี้แม้จะพัดลงมาท่ามกลางความร้อนระอุของคิมหันต์กาล ลมชนิดนี้ยังนำพาความหนาวเย็นสุดทรมานและความสดชื่นเบิกบานเหลือแสนมาจากทะเลสาบมิชิแกนอยู่เนืองๆ



        แม้ในยามที่หมองหม่นเช่นนี้ ลมหนาวก็มิพักจะทำให้เหล่าชนจำนวนหนึ่งที่หน้าสถานกักกันเด็กและเยาวชนแห่งอิลลินอยส์ต้องรู้สึกหนาวไปถึงขั้วกระดูก



        เหล่าชนทั้งสิ้นทั้งนั้น ประกอบไปด้วยคนสี่คน

        เป็นชายสอง สตรีสอง ในชายสองคนและ ในสตรีสองคนนั้น ก็ประกอบไปด้วยเด็กวัยรุ่นหนึ่ง ผู้ใหญ่หนึ่ง



        ที่กล่าวมาทั้งสิ้นนี้ นับได้เพียงสี่คนเท่านั้น!!!



        และทั้งสี่นี้ สองคนที่เป็นผู้ใหญ่ประกอบด้วยชายหนึ่ง หญิงหนึ่งนั้น ก็เป็นพ่อแม่ของอีกสองคนที่หลงเหลือ ซึ่งเป็นเด็กวัยรุ่นชายหนึ่ง และหญิงอีกหนึ่ง

        

        และเรื่องราวของเราก็เกี่ยวกับคนเหล่านี้ ในเวลานี้ และสถานที่นี้!!!



        ผู้เป็นมารดาร่างกลมที่บัดนี้หน้าหมองหม่นด้วยความโกรธระคนไปความกังวล ผินหน้าไปกล่าวกับบุตรชายเป็นเสียงดังพอที่จะทำให้คนรอบข้างที่เดินผ่านไปมาให้ความสนใจได้



            “นี่ครั้งที่สามของเดือนแล้วนะ มาร์ค เมื่อไหร่แกจะหยุดทำให้พ่อแม่ลำบากใจซะทีห๊า ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายแล้วที่เราจะยอมประกันตัวแก ต่อจากนี้เป็นต้นไป ถ้าอยากหาเรื่องให้ต้องมาติดตะรางอีก แกก็เชิญอยู่ในตะรางให้หนำแก่ใจไปเลยละกานนะ”



        คำพูดของมารดาดูไปเหมือนจะไม่ได้กระทบโสตประสาทของเด็กหนุ่มเลยแม้แต่น้อย แต่กระนั้นเมื่อบิดาของเด็กหนุ่มเดินอาดไปเปิดประตูรถ เด็กหนุ่มพร้อมกับน้องสาวก็พากันเดินขึ้นรถไปอย่างไม่ต้องให้ใครสั่ง



        รถแล่นออกไป ห่างจากสถานกักกันฯมากไปเรื่อยๆ มาร์คเองที่ดูไปแล้วเป็นเด็กหัวดื้อที่ไม่มีใครสามารถหรือกระทั่งหาญกล้าพอจะสั่งสอนได้ บัดนี้เมื่อบิดาและมารดาของเด็กหนุ่มได้เสียนํ้าตาและความรู้สึกเป็นครั้งที่สามแล้วในรอบเดือน เด็กหนุ่มผู้นี้ในยามนี้ก็หันไปมองที่สถานที่ที่ตนเพิ่งละจากมา และเริ่มใคร่ครวญบางสิ่งอย่างจริงจัง



        มาร์ค วิลลิ่งแฮม เกิดและโตในย่านดาวน์ทาวของชิคาโก ตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยฟังใคร กระทำเรื่องใดแม้บางสิ่งบางอย่างดูจะเลยเถิดไปบ้าง แต่ก็ไม่มากมายเสียหายอะไรนัก ด้วยว่าเด็กน้อยเมื่ออายุได้เพียงสิบเอ็ดปีก็ต้องออกมาทำงานหาเงินเลี้ยงตัวเองควบคู่ไปกับการเรียนหนังสือ ซึ่งมาร์คเองแม้จะกระทำสองอย่างไปพร้อมๆกันเช่นนี้ การเรียนของมาร์คเองก็อยู่ในระดับน่าพอใจ  แต่การเริ่มยืนหยัดด้วยลำแข้งตัวเองนี้ ทำให้มาร์คเองกลายเป็นคนแข็งกระด้าง ไม่ฟังใคร และก็ไม่พึ่งพาใครเช่นกัน แต่กระนั้น กระทั่งว่าเมื่อไม่นานมานี้ ที่พ่อแม่ของเด็กหนุ่มเริ่มที่จะทะเลาะเบาะแว้งกันเป็นกิจวัตร เด็กหนุ่มก็ดูเหมือนจะตีวงโค้งออกนอกลู่ นอกทางไปไกลมหาศาลเลยทีเดียว



        มาร์คเองตั้งใจกระทำเรื่องราวเหล่านี้ นักจิตวิทยาบางท่านอาจตกลงปลงใจวินิจฉัยออกมาได้ว่า หนุ่มน้อยผู้นี้เป็นโรคเรียกร้องความสนใจ แต่มาร์คเองไม่คิดเช่นนั้น



        สาเหตุที่มาร์คคงจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของหมอ ก็เพียงเพราะมาร์คไม่ชอบให้ใครมารู้จักกับตัวเอง ได้ดีไปกว่าตนเอง



        มาร์คเองปีนี้อายุได้สิบห้าปีแล้ว มาร์คเองแม้จะหัวดื้อเพียงใด เกเรเพียงใด แต่แท้ที่จริงเด็กหนุ่มก็ยังพอจะมีหัวคิดอยู่บ้าง หัวคิดของเด็กหนุ่มผู้นี้จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เล่นทีเดียว



        รถแล่นออกไป ภายในมินิแวนสี่ที่นั่งแสนจะโทรมคันนี้ มาร์ธาน้องสาววัยสิบขวบของเด็กหนุ่มนั่งมองเหม่อออกไปเบื้องนอก ไม่สนใจเรื่องราวใด ด้วยว่ายังเยาว์แก่ความนัก แต่ในที่นั่งด้านหน้านั้น บิดาและมารดา ของเด็กหนุ่มบัดนี้ต่างก็นิ่งเงียบกันอยู่ เฉกเช่นเดียวกับเด็กหนุ่ม ที่บัดนี้ก็นิ่งเงียบอยู่

        

        ความเงียบสามารถสร้างความอึดอัดกระอักกระอ่วน แต่บางทีก็มอบเวลาให้คนเราได้คิด และทบทวนพิจารณาตัวเองได้เช่นกัน



        แต่ในเวลานี้ ความเงียบก็มอบความทั้งสองประการไปพร้อมๆกัน



        ความเงียบนำพาให้บิดาและมารดาของเด็กหนุ่มต่างก็พากันกระอักกระอ่วนใจ และต่างก็กลัดกลุ้มใจในพฤติกรรมของบุตรชาย แต่ในขณะเดียวกัน ก็ยังคงมอบเวลาและความสงบใจ เพียงพอที่จะทำให้เด็กหนุ่มเริ่มตรึกตรอง และคิดถึงเรื่องราวที่ตนได้กระทำลงไป



        เด็กหนุ่มแม้จะตีหน้าเย็นชากระด้างกระเดื่อง และแสดงอาการต่อต้านขัดขืนอย่างชัดแจ้งต่อทุกคำพูดและการกระทำของบุพการี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในทุกครั้งที่มาร์คต้องเห็นหยาดนํ้าตาหลั่งไหลจากดวงตาของมารดา เด็กหนุ่มก็แทบจะต้องตกตายไปในบัดดล



        เด็กหนุ่มเองแท้ที่จริงมีจิตใจที่ดีงามพอสมควร แต่กระนั้นค่านิยมผิดๆของโลกนี้ที่สอนให้ผู้คนต่างก็ทำตนให้เข้มแข็งเพียงเพื่อให้เป็นผู้อยู่รอด ก็ได้ปลุกปั้นเอาเด็กหนุ่มคนหนึ่งกลายเป็นเป็นคนที่แข็งกร้าว



        แต่กระนั้น หัวใจของมาร์คยังคงไม่แข็งกร้าว เด็กหนุ่มเองสามารถทำให้ตนให้เป็นผู้อยู่รอดได้บนโลกที่แสนจะโหดร้ายนี้ แต่กระนั้นเอง หัวใจของเด็กหนุ่มก็ยังอ่อนโยนและงดงามอยู่ แม้ว่าภาพลักษณ์ภายนอกได้บดบังมันไปสิ้นแล้ว



        แสงตะวันเริ่มทอแสงเบาบางลง แสงสีส้มของตะวันยามอัสดงแสดงให้เห็นชัดเจนว่าทิวาใกล้จะลาลับ และราตรีใกล้จะมาเยือน และในช่วงเวลานี้นี่เอง การจราจรของชิคาโกแทบจะหยุดชะงัก ผู้คนที่บัดนี้ต่างก็เลิกงาน ต่างพากันมุ่งกลับบ้าน รถราในบัดนี้เต็มคั่งไปทั้งถนน



        เด็กหนุ่มเองบัดนี้ละการคิดไว้แล้ว และได้เริ่มมองออกไปสู่ท่ามกลางการจราจรอันวุ่นวาย สับสน และแสนจะติดขัดนั้น แต่ถึงกระนั้นเอง หากมองให้ดีแล้ว จะเห็นได้ว่า ท่ามกลางสิ่งเหล่านั้น

    ท่ามกลางความวุ่นวาย สับสนนั้น แฝงไปด้วยการกระทำของผู้คนมากมาย แฝงไปด้วยความนึกคิดของคนมากมาย และเผยให้เห็นการใช้ชีวิตของเหล่าปัจเจกชนมากมาย



        มาร์คเองชอบและสนใจเป็นพิเศษต่อเรื่องราวเช่นนี้ ฉะนั้นในบัดนี้เด็กหนุ่มเองก็กวาดสายตาผ่านกระจกรถมองไปรอบท้องถนนที่เต็มไปด้วยพาหนะต่างขนาด ต่างชนิดที่บัดนี้จอดนิ่งสนิทอยู่นั้น ผู้คนที่ต่างก็อยู่ในพาหนะของตนในยามนี้ บ้างก็พูดคุยโทรศัพท์มือถือ บ้างก็สาละวนอยู่กับการหาของในรถ บ้างก็กำลังแต่งหน้าทาปาก ทำผมตัวเองในรถ บ้างก็พยายามบีบแตร กระแทกพวงมาลัยด้วยโทสะอันเกิดมาจากการติดแง๊กอยู่บนถนนนี้มากว่าชั่วโมงแล้ว



        มาร์คเองสังเกตเห็นคนจำนวนไม่น้อยเลยที่ต่างก็สาละวนอยู่กับเรื่องราวของตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครเลยที่จะมานั่งคิดว่า ในเวลาเช่นนี้นี่เอง เป็นเวลาที่คนหลายเชื้อชาติ ศาสนา หลากหลายฐานะทางสังคมและเศรษฐกิจ และการใช้ชีวิตได้เข้าร่วมชะตากรรมกันอย่างมิได้ตั้งใจและนัดหมาย ดังนั้น หากเมื่อใดก็ตามที่คนทั้งสิ้นทั้งนั้นที่บัดนี้ต่างก็มุ่งสาละวนกับกิจกรรมของตนเองนั้น ได้ลืมตาและกวาดมองไปรอบๆดั่งเช่นที่เด็กหนุ่มกระทำแล้ว ก็จะพบว่า โลกนั้นกว้างขวางเกินกว่าที่ตนพบเห็น และประเภทของคนนั้นก็มีมากมายเกินกว่าที่ตนรู้จัก



        การที่เด็กหนุ่มชอบที่จะทำความเข้าใจโลก และทำความเข้าใจธรรมชาติเช่นนี้นี่เอง ทำให้เด็กหนุ่มเป็นคนฉลาดและทันโลก แม้จะไม่แสดงออกมา แต่ก็เป็นที่รู้ได้ แต่กระนั้นเองบุคคลที่หากไม่อาจเดินล่วงเข้าไปในจิตใจเด็กหนุ่มก็มิอาจรู้ได้



        แม้กระทั่งว่า บิดาและมารดาของเด็กหนุ่มก็หาได้รู้ไม่ว่าเด็กหนุ่มเองเป็นคนที่เข้าใจโลกได้มากขนาดนี้



        เมื่อตะวันลาลับไปที่ขอบฟ้าฟากตะวันตก สายลมเอื่อยๆแห่งฤดูร้อนก็พัดพามาในราตรี การจราจรในเวลานี้เริ่มกระเตื้องขึ้น รถมินิแวนของเด็กหนุ่มบัดนี้แล่นไหลไปตามเมืองจนแล่นไปสู่เขตดาวน์ทาวแล้ว

        

        บ้านของเด็กหนุ่มนั้น เป็นบ้านสองชั้นขนาดเล็กที่ตั้งอย่างแออัดและ ยัดเยียดกันอยู่บนถนนที่เต็มไปด้วยโจรชุกชุม พ่อค้ายาสารพัดประเภท โสเภณีตั้งแต่สาวไปจนไม้ใกล้ฝั่ง กระทั่งแม้ว่าจะเรียกบ้านของเด็กหนุ่มเป็นพระราชวังแห่งอบายมุขก็ไม่ผิดนัก

        เวลาย่างเข้าไปเกือบหนึ่งทุ่มแล้วที่เด็กหนุ่มได้ลงจากรถ และกระทั่งว่าบัดนี้ ความเงียบอันอึดอัดและกระอักกระอ่วนระหว่างเด็กหนุ่มและบุพการีก็ยังไม่ยุติ



        มาร์คเองเมื่อย่างก้าวเข้าไปในบ้าน เสียงของผู้เป็นบิดาก็ทำลายความเงียบขึ้นในที่สุด



            “มาร์คัส ขึ้นไปที่ห้อง ไม่ต้องลงมาจนกว่าจะเช้า” นํ้าเสียงของผู้เป็นพ่อนี้ ฟังไปแม้จะดุดัน แต่ก็อ่อนโยนอยู่ในที แต่กระนั้นภายใต้นํ้าเสียงนั้น แสดงชัดว่าเป็นคำขาด



        มาร์คเองแม้จะดื้อรั้น แต่ก็ไม่เคยที่จะกระด้างกระเดื้องต่อคำสั่งผู้บิดแต่อย่างไร ฉะนั้น เด็กหนุ่มก็เดินพรวดๆตรงขึ้นบันไดขึ้นไปสู่ห้องนอนตัวเองในพลัน



                                                                                          *****



        ราตรีนี้มาร์คเองนอนหลับนิ่งสนิทอยู่ภายใต้ม่านแห่งนิทรามิรู้สิ้น ในเวลาสามวันที่ผ่านมา ราตรีนี้เป็นราตรีแรกที่มาร์คข่มตาหลับได้ลง



        ในห้องนอนสีฟ้าของเด็กหนุ่มที่แสนจะรุงรัง หน้าต่างบานน้อยเปิดอ้าออกเต็มที่เพื่อใช้รับลมในยามวิกาล ลมสายอ่อนพัดเฉื่อยๆมาพร้อมกับความร้อนที่ระเหยขึ้นจากพื้นดิน แสงจันทร์ในวันเพ็ญมีสีสว่างนวล ส่องลอดเข้าหน้าต่างมาให้เป็นที่น่าชมดู เสียงลมเมื่อปะทะเข้ากับผ้าม่านและกรอบหน้าต่างก็เกิดเป็นเสียงพิกลแปลกหู ฟังไปแล้วให้ดูพิกลและลี้ลับชวนสงสัยไม่น้อย



          ผู้ใดหากได้นั่งนิ่งเงียบในยามนี้ พิศมองแสงจันทรา เอียงหูให้เสียงลมตกกระทบโสตประสาทแล้ว ก็จะได้ยินเสียงเพลงอันครํ่าคร่า บทเพลงอันเก่าแก่แต่โบราณกาลแว่วมาไกลๆ เสียงอันโศกาขับกล่อมราตรีไม่มีรู้สิ้น ภายใต้โลกที่ลี้ลับ เรื่องราวเช่นนี้หามีผู้ใดล่วงรู้ไม่



        เสียงเหล่านี้ ผู้ใดได้ฟังก็มิวายจะนึกคิดตรึกตรองเอาเป็นว่าเสียงนั้นเป็นเพียงเสียงประหลาดที่ตนจินตนาการขึ้นเอง ในยามที่ได้นั่งอยู่กับความคิดของตนท่ามกลางราตรีที่มืดมิดและวังเวงเป็นแน่แท้





        แต่ทว่า เสียงเหล่านี้ หาใช่สรรพสำเนียงไร้สาระที่จินตนาการได้ไม่ เสียงเหล่านั้นเป็นเสียงจากที่ไกลแสนไกล เป็นเสียงที่บรรเลงให้แก่เหล่าทวยเทพ เป็นสรรพสำเนียงที่ปุถุชนมิอาจได้ยลยิน เป็นสรรพสำเนียงที่ได้ขับลำนำอันยืดยาวและระทมที่สุดเท่าที่เกิดขึ้นและที่เคยมีมา

            

        แต่ทว่า... ภายใต้ความคิดของผู้เข้าใจโลกแล้ว สรรพสำเนียงนี้มิอาจมองข้าม



        ในสรรพสำเนียงเหล่านี้ มิใช่ผู้คนมากมายจะได้ยลยิน มีเพียงผู้ถูกคัดสรรที่มีคุณสมบัติเป็นเท่านั้น จึงมีโอกาสได้ฟัง เช่นนี้ผู้ใดมิเคยทำความเข้าใจแก่โลก ก็มิอาจจะได้ยลยิน



        แต่ทว่าบัดนี้เล่า ท่ามกลางราตรีอันสงัด บทเพลงกลับบรรเลงอย่างเบาบางและเฉื่อยชาภายใต้ความลี้ลับแห่งวิกาล และบรรเลงลงสู่ห้องนอนของเด็กหนุ่มผู้ที่มีจิตใจอันสับสน แต่ก็ในขณะเดียวกันก็มั่นคงและเข้าใจโลกอย่างลึกซึ้งผู้นี้



        เสียงเหล่านี้บัดนี้มาพรํ่าเรียก แสงจันทรานวลกระจ่อง บทเพลงแห่งวาตะ และลำนำอันโศกา เป็นตัวพรํ่าเรียกร้อง ให้ผู้ใดคิดหาญกล้าเพียงพอ ที่จะมาขับบทลำนำในท่อนต่อไปให้จบลงอย่างสมบูรณ์



        เสียงเรียกขานเหล่านี้ แม้ว่าจะอ่อนเสียงยิ่ง แต่ในใจของผู้คนบางคนแล้ว มันกลับเป็นสรรพสำเนียงอันทรงพลังยิ่ง และในจิตใจของคนผู้นั้น เสียงเหล่านี้ดุจเกลียวคลื่นกระทบฟากฝั่ง เป็นสรรพเสียงที่เกริกก้องไม่รู้จบ พรํ่าเรียกอยู่ในที่ไกลๆ รํ่าร้องว่าจะรอเวลากลับมา



        เสียงเหล่านั้น เป็นที่แน่นอนว่าได้ก้องกังวานอยู่ในหูของเด็กหนุ่มนามว่ามาร์คัสไม่ได้หยุดหย่อน แต่กระนั้น ท่ามกลางห้วงราตรี ทุกสิ่งทุกอย่างดูไปเหมือนฝัน เด็กหนุ่มเองแม้จะได้ยินเสียงพรํ่าเรียกอันลี้ลับนี้มานานหลายปี แต่ก็ยังคงคิดว่าเป็นเพียงความฝันซํ้าที่ไม่น่าสนใจอะไร



        แต่ในยามนี้ ยามที่เด็กหนุ่มได้ตกมาสู่ห้วงแห่งความสับสนในชีวิต การกระทำในช่วงเวลาต่างๆที่ผ่านมานี้ของเด็กหนุ่มบัดนี้ได้ย้อนรอยมาทำร้ายจิตใจ ความรัก ความเมตตา ความสับสน และอารมณ์มากมายที่มาร์คได้เก็บและกดเอาไว้นั้น มากหมายมหาศาลเสียจนทำให้เสียงแห่งความโศกานั้น ดังและชัดเจนยิ่งกว่าที่เคย



        ในนิทราของเด็กหนุ่มอันลึกลํ้าไม่รู้จบนั้น เสียงนั้นทรงพลังกว่าที่เคย ชัดเจนกว่าที่เคย งดงามและไพเราะกว่าที่เคย และในห้วงนิทราสนิทนั้น ท่อนร้องแห่งลำนำได้ถูกขับขานออก เป็นท่อนลำนำที่ดังแว่วเหมือนมาจากที่ไกลแสนไกล แต่ก็ชัดเจนและไพเราะ จนแม้กระทั่งว่าในห้วงแห่งนิทราเช่นนี้ สมองของเด็กหนุ่มก็กลับจำท่อนลำนำท่อนนั้นได้อย่างน่าพิศวง

        



            “ดารากระจ่างฟ้า นภามืดมิด แสงนวลนิล ท่ามกลางหมอกควัน

                ลมบูรพาไม่ผ่านผัน สายนํ้าไม่หวนคืน อิลิเธงมาไม่ผงาดสง่า

            ทวยเทพหลับใหล มวลสมุทรขับขาน ราตรีไร้ที่สิ้น ทิวามิคาดครา

                เงื้อมหัตถ์แห่งทมิฬ ปกครอบเทียบคลุม ผืนฟ้าจรดแผ่นนํ้า

            ธวัชไม่ชูช่อ บุปผาไม่โปรยปราย วสันต์กลับมิคลาย นภามวลทะมึน

                แซ่เสียงเรียกร้อง ธวัชขาวชูเชิด นำแสงสว่างกลับคืนคิมหันต์

            แสงฟ้ารำไร ขอบฟ้ามืดมิด รํ่าร้องพรํ่าเรียก ผู้หาญกล้าก้าวข้ามขอบฟ้า

                ภูผาทมิฬลี้ลับนับพัน มิหวั่นเกรงกลัว ซึ่งมวลอนธกาฬ

            โอลิมเปียสมืดมน เสียงพรํ่าเรียกขับขานกังวานไกล ไกลเกินขอบฟ้า

                ไฉนผู้ที่แท้จึ่งไม่หวนกลับมา......”





        เสียงโศกาอันขับก้องในหัวของเด็กหนุ่มกังวานซับซ้อน วกวนไปมาไม่รู้จบ เด็กหนุ่มในราตรีนิทราได้แต่เพียงรับฟัง โดยมิรู้ว่าบทเพลงนี้จะนำพาโชคชะตาของตนเองแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล



                                                                                         *****



        อากาศยามเช้าสดใสยิ่ง ลมที่พัดต้องนํ้าค้างอ่อนๆและแสงแดดระทวยในยามเช้านั้น ทำให้เวลานี้เป็นช่วงเวลาที่ดีเยี่ยมที่สุดของวันในหน้าร้อน

        

        เด็กหนุ่มเองตื่นขึ้นแล้วตามเสียงตะโกนเรียกมาแต่ไกลของผู้เป็นมารดา



        เด็กหนุ่มยังนั่งหมกตัวอยู่ใต้ผ้านวมผืนหน้าบนเตียง ในหัวสมองกำลังขบคิดว่าตนเองคงต้องถูกมารดาจับเข้าโรงพยาบาลบ้าในไม่ช้านี้เป็นแน่นอน เด็กหนุ่มเองสงสัยนัก ว่าถ้าคนเริ่มฝันเป็นเพลง กระทั่งว่าเป็นเพลงที่มีมีเนื้อร้องแสนพิกลและสับสนจนกระทั่งตื่นแล้วก็ไม่ลืมนี้ จะต้องถูกขังในโรงพยาบาลบ้านานเท่าไรกัน

        

        แต่กระนั้น เด็กหนุ่มเองก็คิดว่าในครั้งนี้ ก็อาจไม่ต่างจากครั้งก่อนๆที่ได้ยินเสียงเพลงในฝันประหลาดนี้เท่าไรนัก ฉะนั้น เด็กหนุ่มเพียงส่ายหัวแรงๆไปหลายทีจนผมเผ้ายุ่งเหยิง แล้วก็ลุกขึ้นจากเตียงสะบัดเอาเสื้อคลุมชุดนอนคลุมกาย แล้วพลันพรวดเดียวก็พุ่งลงไปที่ครัวได้อย่างรวดเร็ว



        เด็กหนุ่มเองมองหน้าผู้เป็นมารดาเพียงแว่บหนึ่ง แต่เด็กหนุ่มเองในยามที่อารมณ์ดีขึ้นฉะนี้ เด็กหนุ่มจึงคิดว่าเป็นการดีที่สุดที่จะปิดปากเงียบไว้ซะดีกว่า



        เด็กหนุ่มเองนั่งลงทานซีเรียลอาหารเช้าอย่างเงียบๆ ในลำคอส่งเสียงฮัมเป็นทำนองเพลงแปลกประหลาดที่ตนได้ยินได้ฟังมาจากเมื่อคืน



        เสียงฮัมของเด็กหนุ่มฟังไปชวนให้สงสัย และฟังดูลี้ลับประหลาดพิกลไม่ใช่น้อย



        เวลาในช่วงเช้าผ่านพ้นไป มารดาของหนุ่มน้อยเมื่อก่อนจะออกจากบ้านไปทำงาน มิสซิสวิลลิ่งแฮมนั้นได้กล่าวบอกให้มาร์คช่วยเดินแวะไปหาคุณยายที่บ้านของท่าน ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านของเด็กหนุ่มเท่าไรนัก



        มาร์คเองไม่อยากทำให้มารดาต้องโมโห แม้ว่ามาร์คเองนั้นจะไม่ค่อยชอบและรู้สึกบันเทิงใจเท่าใดนักที่จะต้องไปอยู่กับคุณยายขี้บ่นและหงำเหงอะเช่นนั้น แต่เช่นไรก็ตาม มาร์คเองก็รับปาก



        ... ‘วันนี้เป็นวันที่แปลกประหลาดวันหนึ่ง’ มาร์คเองเดินคิดไปอย่างเรื่อยเปื่อยระหว่างทางที่เด็กหนุ่มเดินออกจากบ้าน เพื่อจะไปสู่บ้านชองคุณยาย “ขี้บ่น”



        ไฉนเด็กหนุ่มจึงคิดว่าวันนี้เป็นวันน่าประหลาด เรื่องประหลาดที่ว่านั้นอาจจะสังเกตเห็นได้ง่ายๆเลยทีเดียวละ ก็เพราะวันนี้ แม้ในตอนนี้จะเป็นเวลาล่วงสายถึงเก้าโมงเช้าแล้ว แต่ตะวันนั้นเพิ่งจะก้าวพ้นขอบฟ้าไม่เท่าไร



        แสงสีส้มนวลอ่อนตัดกับขอบฟ้าที่เห็นอยู่ลิบๆยังเป็นสีมืดมิด ตะวันทรงกลมแสงจ้าเคลื่อนคล้อยช้าๆผ่านพ้นขอบฟ้าขึ้นมานิ่มนวล ในเขตดาวน์ทาวและในละแวกบ้านของเด็กหนุ่มนั้น อยู่ห่างจากใจกลางของเมืองชิคาโกพอสมควร และทางที่เด็กหนุ่มกำลังออกเดินไปในบัดนี้นั้น เป็นทางที่เดินห่างออกไปจากตัวเมืองทางทิศตะวันออก ภาพที่เด็กหนุ่มทัศนาเห็นนั้น มิใช่ตึกสูงลิบเทียมฟ้าเช่นตึกเซียร์ทาวเวอร์ และก็มิใช่เมฆหมอกมัวตาและ พร่าพรายกระจ่างเต็มฟากฟ้า แต่กลับเป็นภาพที่น้อยผู้คนในช่วงชีวิตจะได้เห็น



        ภาพนั้น เป็นภาพตะวันนวลกำลังก้าวขึ้นสู่ฟากฟ้าท่ามกลางตัวเมืองอย่างชิคาโก เมืองที่ไม่เคยหลับใหล ภาพนี้ชวนให้เด็กหนุ่มหวนคิดกลับไปถึงบางสิ่ง

        

            “...แสงฟ้ารำไร ขอบฟ้ามืดมิด รํ่าร้องพรํ่าเรียก ผู้หาญกล้าก้าวข้ามขอบฟ้า ภูผาทมิฬลี้ลับนับพัน มิหวั่นเกรงกลัว ซึ่งมวลอนธกาฬ...” เด็กหนุ่มพึมพำเนื้อร้องเพลงประหลาดที่ตนได้ยินเมื่อคืนออกมาจากปากอย่างไม่ตั้งใจ เด็กหนุ่มขมวดสองคิ้วเข้าชนกัน พลางขบคิดถึงเนื้อหาแสนประหลาดของเนื้อร้องที่หลุดออกมาจากปากของตน พลางกวาดสายตามองไปทั่วแนวขอบฟ้าที่บัดนี้กำลังถูกแสงตะวันเฉิดฉายกลืนกินไปอย่างช้าๆ



        ขอบฟ้านั้นอยู่ที่แห่งใด ไกลแสนไกลขนาดไหนเล่า ผู้ใดจะเห็นได้ ผู้ใดจะสัมผัสได้ เด็กหนุ่มคิดหยุดนิ่งคิดอยู่ในสมอง ตากวาดมองไปที่ขอบฟ้าและเลื่อนไปมองที่ดวงตะวันที่ยังอ่อนแสง



        ...ขอบฟ้าไร้ที่สิ้นสุด ขอบฟ้าไร้ขอบเขต ขอบฟ้าไม่อาจเอื้อมสัมผัสได้ ผู้ใดจะหาญกล้าและมีคุณสมบัติพอจะได้ก้าวผ่านขอบฟ้าเล่า ผู้ใดจะหาญกล้ากระทำได้...



        เด็กหนุ่มคิดแล้วก็เผยอมุมปากออกเป็นรอยยิ้มที่พิสดารออกมาชนิดหนึ่ง

        

        รอยยิ้มของผู้คนนั้นมีมากมายหลากหลายรอยยิ้มนัก รอยยิ้มยินดี รอยยิ้มแสนโศกา รอยยิ้มภาคภูมิ รอยยิ้มเยาะเย้ย รอยยิ้มเหี้ยมอำมหิต หรือแม้กระทั่งรอยยิ้มสุดฝืน



        รอยยิ้มของหนุ่มน้อยมาร์คัสนี้ มิใช่รอยยิ้มใดรอยยิ้มหนึ่งในที่กล่าวมาแต่อย่างใด



        มันเป็นรอยยิ้มแห่งความขบขัน ความภาคภูมิ และความสับสนที่สุดแสนจะสับสน ฉะนี้รอยยิ้มนี้ ไม่ว่าจะยิ้มออกมาอย่างไร จะเช่นไรมันก็เป็นรอยยิ้มที่แสนจะสับสน ดังคำกล่าวของปราชญ์ในอดีตที่ว่า “ไม่ว่าจะเช่นไร คำพูดเดียวที่ดีที่สุดและยังสามารถใช้ได้ในทุกสถานการณ์ ย่อมเป็นรอยยิ้มเพียงคราเดียว ดีกว่าคำพูดนับร้อยพัน”



        แต่มาร์คหนุ่มน้อยเองหาได้รู้ไม่ ว่าในเสียงเพลงที่ตนเองได้ยลยินเมื่อราตรีที่ผ่านมานั้น และรวมกระทั่งขอบฟ้าแสนมืดมิดและไร้ที่สุดที่เห็นนั้น บัดนี้ได้นำพาบางสิ่งบางอย่าง เป็นลิขิตใหม่ ที่จะเปลี่ยนแปลงเด็กหนุ่มไปตลอดกาล



        รอยยิ้มของเด็กหนุ่มในครานี้ มิพักจะเป็นรอยยิ้มยามสุดท้าย ก่อนที่โลกของเด็กหนุ่มจะแปรเปลี่ยนไปตลอดกาล



        เด็กหนุ่มออกเดินต่อไปแล้ว แต่เมื่อในเวลานี้นี่เอง ลมหนาวของชิคาโกพัดพามา และเป็นที่น่าแปลกยิ่ง ลมอันหนาวเหน็บของชิคาโก แม้ว่าจะหนาวเหน็บเช่นไร แต่ก็เป็นลมหัวด้วนที่พัดมาแล้วก็ละไป ไม่ได้ทิ้งความโกลาหลและความหนาวเย็นไว้มากมายอะไรนัก



        แต่ลมสายนี้กลับไม่ใช่เช่นนั้น ลมสายนี้แรกเมื่อพัดมา เป็นลมหนาวสะท้านขั้วจิตชนิดหนึ่ง แต่กระนั้นในชั่วฉับพลัน ลมสายต่อไปก็พัดมา และเมื่อลมนั้นกระแทกพัดมา เกิดเป็นลมแรงดั่งลมพายุชุดหนึ่ง เป็นลมที่ดูเหมือนจะหอบเอาความกราดเกรี้ยวของพายุแห่งทะเลสาบมิชิแกนมาทั้งชุด ลมนี้หอบมาทั้งละอองนํ้าละเอียดยิบที่กระเซ็นมาทิ่มแทงกายของเด็กหนุ่ม และหอบเอาฝุ่นละอองมากมายขึ้นมาจากพื้น



        ลมนี้เมื่อพัดเอาละอองนํ้าและฝุ่นคลีคละปนมา ก็เกิดเป็นเกลียวลมสีดำทะมึนดูไปแปลกประหลาดยิ่งนัก



        ลมที่พัดมานี้ เด็กหนุ่มเองไม่เคยพบเจอมาเลยในช่วงชีวิต ลมอันกล้าแกร่ง ลมที่นำพาเอาความเยือกเย็น ความรุนแรง พัดพามา และดูเหมือนเป็นลมทอนาโดที่ไม่มีที่มาที่ไปอย่างพิศวง



        แต่เด็กหนุ่มกลับไม่มีเวลามาใคร่ครวญถึงต้นกำเนิดลมอันแปลกประหลาดนี้ ด้วยว่าเข็มละอองนํ้าที่พัดมากระทบกายนั้น ทำให้เด็กหนุ่มทั้งแจบแปลบดั่งถูกมีดนํ้าแข็งนับพันเล่มแทงใส่



        เด็กหนุ่มเมื่อสัมผัสเข้ากับละอองนํ้าที่แหลมคมดุจดั่งเข็มนับพันนั้น ก็พลางก้าวถอยหลังออกไปหลายก้าว พลางก้มหน้าหลับตาและยกมือขึ้นป้องหน้าของตนให้พ้นจากละอองนํ้าเหล่านั้น



        แต่เพียงก้าวหนึ่งที่เด็กหนุ่มก้าวถอยหลบไป ท่ามกลางลมอันโกลาหล และท่ามกลางสายลม และกระแสเข็มละอองนํ้านั้น ก้าวของเด็กหนุ่มก็พลันก้าวพลาดไป



        เป็นก้าวที่ทำให้เด็กหนุ่มต้องพลาดล้มลง เด็กหนุ่มล้มลงก้นกระแทกกับพื้นที่เปียกลื่นอย่างรุนแรง แต่กระนั้นเด็กหนุ่มก็รู้สึกได้ ว่าพื้นที่ตนล้มลงไปกองนั้น ปูลาดไว้ด้วยหญ้าจำนวนหนึ่งเป็นเบาะรองรับเอาตัวของเด็กหนุ่มไว้พอดิบพอดี



        และในเวลานั้นเอง ที่ลมอันหนาวเหน็บ และแสนจะโกลาหลนั้นได้มลายหายไป แต่ด้วยประสาทสัมผัสของเด็กหนุ่ม และด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์แล้ว เด็กหนุ่มเองกลับรู้สึกแปลกประหลาดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก



        ความแปลกประหลาดนี้ ทำให้เด็กหนุ่มยังไม่กล้าที่จะลืมตาขึ้น



        ลมยังพัดมาต้องกายของเด็กหนุ่มไม่หยุดหย่อน แต่ลมนั้นเป็นลมอ่อนระทวยอันอบอุ่นแสนสบาย กลิ่นมลภาวะอันร้ายกาจของชิคาโกก็หายไป หลงเหลือไว้แต่เพียงกลิ่นแสนประหลาด ที่คลับคล้ายว่าเป็นกลิ่นหอมของดินและต้นหญ้าบุปผามากมายคละรวมกัน



        กลิ่นนี้สูดดมแล้ว ให้รู้สึกสดชื่นอย่างบอกไม่ถูก แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่เด็กหนุ่มเองเริ่มรู้สึกได้มากขึ้นเป็นกำลัง เป็นสิ่งที่ทำให้เด็กหนุ่มเกรงกลัวเกินกว่าจะลืมตาขึ้น



        สิ่งนั้นเป็นเสียงเพลงลำนำอันโศกา ที่บัดนี้แม้ว่าจะยังเป็นเพียงเสียงอันอ่อนโยนและแสนจะเบาจนยากที่จะได้ยินชัดเจน



        แต่กระนั้น เสียงนั้นดูเหมือนว่าจะมิได้ดังมาจากที่ไกลแสนไกลอีกต่อไปแล้ว



        มันดูไปเหมือนว่าจะดังมาจากที่ใดที่หนึ่ง ไม่ไกลและไม่ใกล้นักจากที่ที่เด็กหนุ่มนั่งอยู่ และท่ามกลางมวลสิ่งเหล่านั้น และท่ามกลางสรรพสิ่งที่ดูเหมือนจะแปรเปลี่ยนไปเช่นนั้น ชิคาโกดูเหมือนจะหายไป และในที่แห่งนี้ สิ่งเดียวที่จะช่วยให้มาร์คเองพิสูจน์ได้ว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นแค่ฝันประหลาดอีกคราหนึ่ง หรือเป็นอีกแค่ความรู้สึกแปลกๆของชิคาโกที่เพิ่งจะได้รับรู้เท่านั้น หรือจะเป็นความแปรเปลี่ยนอันประหลาดพิกลเกินความคิดจะนึกสรรได้ แค่เพียงเด็กหนุ่มลืมตาขึ้น ความก็จะกระจ่าง



        แต่กระนั้น เด็กหนุ่มไม่ต้องรอให้ผู้ใดบอกกล่าวแต่อย่างใด ด้วยว่าในบัดนี้...



        มาร์คก็ลืมตาขึ้นแล้ว.....



                                                                                        **********





    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×