ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ข้อคิดดีๆ การใช้ชีวิต

    ลำดับตอนที่ #1 : นิทานสีขาว...เรื่อง...มานพผู้ไม่เคยพบความสุข

    • อัปเดตล่าสุด 22 ก.ย. 52




    มานพเป็นชายหนุ่มที่รู้สึกว่าตัวเองน่าจะเป็นคนที่ไร้ความสุขที่สุดในโลก
    เพราะเขาไม่ใช่คนร่ำรวย ไม่มีเงินทองมากมาย ไม่มีบ้านใหญ่โตหรูหรา
    มานพคิดว่าทั้งหมดนี้คือ เหตุผลที่ทำให้เขาไม่เคยรู้จักกับความสุขเลย


    วันหนึ่งมีนักบุญท่านหนึ่งเดินทางผ่านมายังหมู่บ้านที่มานพอาศัยอยู่
    ชาวบ้านจึงพากันเชื้อเชิญให้นักบุญพักอยู่ในหมู่บ้านก่อนสักระยะ
    เพื่อสั่งสอนธรรมะให้แก่คนในหมู่บ้าน
    ซึ่งนักบุญก็ตอบรับคำเชิญนั้นด้วยความยินดี
    โดยปฏิเสธที่อยู่อันใหญ่โตและสะดวกสบายที่ชาวบ้านจัดหาให้
    แต่ขอพำนักอยู่ในศาลาวัดประจำหมู่บ้านแทน


    ฝ่ายมานพนั้นเมื่อ ทราบข่าวว่ามีนักบุญมาพำนักอยู่ในศาลาวัดก็รู้สึกดีใจยิ่งนัก
    เพราะคิดว่านักบุญต้องช่วยให้เขารู้จักกับความสุขได้เป็นแน่
    จึงรีบออกจากบ้านไปหานักบุญที่วัดทันที


    เมื่อมานพไปถึงที่นั้น นักบุญกำลังนั่งสมาธิอยู่เพียงผู้เดียวพอดี


    “ท่านนักบุญ” มานพเอ่ยเรียกเบาๆ
    แต่เพียงแค่นั้นก็ทำให้นักบุญลืมตาขึ้นมองเขาพร้อมรอยยิ้มเล็กๆ


    “ว่าอย่างไรเล่าเจ้าหนุ่ม มีเรื่องอันใดอยากให้ข้าช่วยอย่างนั้นหรือ”
    นักบุญถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน


    “โปรดช่วยกระผมด้วยเถิดท่านนักบุญ ทุกวันนี้กระผมรู้สึกทุกข์ทรมานเป็นกำลัง
    ด้วยว่าตั้งแต่เกิดมานั้น ยังมิเคยได้รู้จักกับความสุขอย่างใครเขาเลย”
    มานพกล่าวอ้อนวอน


    “เหตุใดเจ้าจึงคิดเช่นนั้นเล่า” นักบุญถามอีก


    “เพราะ กระผมเป็นคนยากจน ไม่มีเงินทอง ไม่มีความพรั่งพร้อมในชีวิต
    ดังนั้นกระผมจึงไม่มีความสุข” มานพตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง


    “เจ้าหนุ่มเอ๋ย” นักบุญกล่าว “ความสุขนั้นหาได้ไม่ยากดอก
    จงจำไว้เถิดว่า แม้เจ้าจะไม่มีสิ่งเหล่านั้น
    แต่หากเจ้ามีความพอใจในความเป็นอยู่ของตนเอง
    และพอใจในทุกสิ่งที่ตนเองมีแล้ว เจ้าก็จะพบกับความสงบสุขได้
    ไม่เดือดเนื้อร้อนใจแต่อย่างใด”


    แต่มานพไม่เชื่อ เขารู้สึกต่อต้านคำสอนของนักบุญอย่างรุนแรง
    และพูดออกมาด้วยอารมณ์ขุ่นมัวว่า

    “นี่คือคำสอนที่หาความจริงมิได้
    ความพอใจในสิ่งที่มีไม่อาจทำให้เรามีความสุขได้เท่ากับการมีทองคำเป็นจำนวนมาก”


    นักบุญนิ่งมองมานพอย่างเนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวแก่มานพต่อว่า

    “ถ้าเจ้าเชื่อมั่นเช่นนั้น ข้าก็จะมอบทองคำให้เจ้าตามต้องการ
    ด้วยการใช้นิ้วนางวิเศษของข้า เปลี่ยนสิ่งต่างๆ ให้กลายเป็นทองคำตามที่เจ้าต้องการ
    แต่มีข้อแม้ว่า สิ่งที่นำมาเปลี่ยนเป็นทองคำ
    จะต้องเป็นสิ่งที่อยู่ในครอบครัวของเจ้าตอนนี้เท่านั้น
    และจำต้องขนสิ่งเหล่านั้นมาด้วยตนเอง”


    เมื่อได้ฟังดังนั้น มานพก็รีบวิ่งกลับบ้านและเอาสิ่งของเท่าที่จะขนได้
    มากองไว้ตรงหน้านักบุญ นักบุญใช้นิ้วนางวิเศษจรดลงไปบนสิ่งของเหล่านั้น
    ฉับพลันสิ่งของเหล่านั้นก็แปรเปลี่ยนเป็นทองคำไปหมดทุกชิ้น


    เห็นได้ดังนั้นแล้ว มานพถึงกับกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ
    เขารีบขนของที่กลายเป็นทองคำทั้งหมดกลับบ้าน
    แล้วไปขนเอาสิ่งของที่เหลือมาให้นักบุญเปลี่ยนเป็นทองคำอีกเรื่อยๆ
    สามวันผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านของมานพกลายเป็นทองคำไปหมด
    แต่มานพก็ยังไม่พอใจ เขาคิดว่า เขายังมีทองคำไม่มากพอกับความต้องการ
    และน่าจะมีทองคำเพิ่มขึ้นอีก แต่ก็ไม่มีอะไรในบ้านนี้เหลืออีกแล้ว
    แต่ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า ยังมีบ้านของเขาหลังนี้อยู่อีกหนึ่งอย่าง
    ซึ่งยังไม่ได้เปลี่ยนเป็นทองคำ

    ‘เรายังมีบ้านของเรานี่ ใช่แล้ว
    เราจะให้นักบุญเปลี่ยนบ้านของเราให้กลายเป็นทองคำ แล้วเราก็จะร่ำรวยมหาศาล’


    แม้จะคิดเช่นนั้น แต่มานพไม่สามารถขนบ้านของเขาไปให้นักบุญได้ด้วยตนเอง
    เขาจึงไปหานักบุญแล้วพูดว่า

    “กระผม อยากให้ท่านช่วยเปลี่ยนบ้านของกระผมให้กลายเป็นทองคำ
    แต่กระผมคนเดียวไม่อาจขนบ้านทั้งหลังมาให้ท่านได้
    ดังนั้นขอได้โปรดเถิดท่านนักบุญผู้วิเศษ
    ขอเชิญท่านไปที่บ้านของกระผมเพื่อใช้นิ้วนางที่วิเศษของท่าน
    แตะบ้านของกระผมให้เปลี่ยนเป็นทองคำด้วยเถิด”


    แต่นักบุญส่ายหน้า แล้วพูดว่า

    “แม้บ้านของเจ้าจะเปลี่ยนเป็นทองคำทั้งหลัง
    แต่เจ้าก็จะไม่มีวันได้พบกับความสุขหรอก
    เพราะเจ้าไม่เคยพอใจในสิ่งที่เจ้ามี เมื่อได้แล้วก็อยากได้อีกเรื่อยๆ
    ทำให้เจ้ายิ่งทุกข์ทรมานเพราะความอยากได้ที่เพิ่มทวีนั้น”

    “แต่ถ้ากระผมมีบ้านทองคำ กระผมเชื่อว่ากระผมต้องมีความสุขแน่ๆ” มานพว่า

    “ข้าจะไม่ไปที่บ้านเจ้าหรอก” นักบุญยืนยัน

    “ถ้าอย่างนั้น กระผมก็ต้องในสิ่งที่ไม่อยากทำ”
    มานพดึงมีดที่พกติดตัวมาออกจากฝัก “กระผมจะตัดนิ้ววิเศษของท่านเสียเดี๋ยวนี้”


    นอกจากจะไม่แสดงอาการสะทกสะท้านใดๆ แล้ว
    นักบุญยังยื่นนิ้วนางวิเศษของตนออกมาให้มานพอีกด้วย

    “ถ้าเจ้าคิดว่านี่คือความสุขของเจ้า ก็ตัดเอาไปได้เลย”


    ตอนนี้มานพไม่คิดถึงความผิดชอบชั่วดีอะไรทั้งสิ้น
    ในหัวของเขามีแต่ภาพฝันของชีวิตที่แสนสบายหลังความร่ำรวย
    ความโลภเข้าครอบงำสติของเขาไปแล้วจนหมดสิ้น....

    แล้วมานพก็จับนิ้ววิเศษของนักบุญ พร้อมกับเงื้อมีดขึ้นเพื่อจะตัดนิ้วนางนั้น....

    แต่....

    มานพได้สมปรารถนาไม่ เขายังคงไม่รู้จักกับความสุขเหมือนเคย
    และไม่มีโอกาสได้หาความสบายจากความร่ำรวยนั้น
    ด้วยทันทีที่มานพแตะนิ้วของนักบุญ
    ร่างเขาก็กลายเป็นทองคำที่ไร้จิตวิญญาณไปในทันที

    จากวันนั้น ก็ไม่เคยมีใครพบเห็นนักบุญท่านนั้นอีกเลย
    ส่วนทองคำของมานพก็ถูกทางการส่งเจ้าหน้าที่มาเก็บเข้ากองคลังหลวง
    เพื่อนำไปใช้ในการพัฒนาประเทศต่อไป



    .............................................

    เธอทั้งหลาย...

    หลายๆ ครั้ง เธอก็รู้สึกใช่ไหมว่า ตนเองนั้นไม่เคยมีอะไรมากพอ
    หรือสิ่งที่มีก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุด เธอจึงพยายามดิ้นรนขวนขวายอยู่นั่นแล้ว
    แต่เคยสังเกตหรือไม่ ยิ่งเธอมี เธอก็ยิ่งไม่เคยพอ
    เธอว่า หากสิ่งที่เธอมีสิ่งที่เธอต้องการนั้นแล้ว เธอจะมีความสุข
    แต่เมื่อเธอได้สิ่งนั้นมา เธอกลับพบว่า
    เธอต้องเหนื่อยมากขึ้นเพื่อรักษาสิ่งนั้นให้อยู่กับเธอนานที่สุด
    และตัวเธอก็ไม่อาจหยุดที่จะไขว่คว้าสิ่งที่ดีกว่านั้นต่อไปได้

    ความพยายามทำให้ตนเองไปสู่จุดที่ดีกว่านั้นเป็นเรื่องน่าสนับสนุนทีเดียว
    แต่บางครั้งเธอต้องรู้จักพอ เมื่อถึงจุดที่คิดว่ามันเหมาะสมกับตัวเธอแล้ว
    และต้องรู้จักค้นหาวิธีที่บริสุทธิ์เพื่อนำตนเองไปสู่ความสุขที่แท้จริง

    ความโลภ ความโกรธ ความหลง มักก่อให้เกิดกิเลส
    และท้ายที่สุดแล้ว กิเลสจะเป็นสิ่งที่ทำให้ตัวของเธอไม่เหลือความสุข
    หรืออะไรๆ ในชีวิตอีกเลย



    คัดลอกจาก... http://larndham.net/index.php?showtopic=24428
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×