คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : จุดเปลี่ยนของชีวิต
“คนดีได้ ดีคนชั่วได้ชั่ว ไม่สิ คนชั่วได้ดีมีถมไป” ผมพึมพำพลางยิ้มเยาะกับตัวเองขณะที่เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง และทอดสายตาไปตามทางรถไฟที่ทอดยาว ก่อนจะเอนหลังลงบนพนักพิงสุดหรูของรถทัวปรับอากาศคันเก่งที่เช่ามาด้วยเงินจากการขูดรีดของยัยหัวหน้าจอมงก ที่นั่งถัดจากผมไปประมาณสองช่วงโต๊ะ และแววตาเย็นชา ภายใต้แว่นหนาเตอะของเธอฉายมาทันที ราวกลับมีเซนท์ รับรู้ว่าผมนึกถึงเธออย่างนั้นแหละ ซึ่งผมก็รีบหลบทันควันอีกเช่นกัน ผมก็ไม่อยากมีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกับใครในวันนี้ ยังไงซะมันก็เป็นงานเลี้ยงอำลาในการเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาของพวกผม ถึงผมจำไม่เต็มใจมานักก็เถอะ ที่จริงงานแบบนี้ผมอยากให้จัดที่ทะเล หรือไม่ก็น้ำตกมากกว่า แทนที่จะมาแดนข้าวเหนียวแบบนี้ ถ้าจะโทษก็คงต้องโทษไอ้ตำนาน “คมแฝก” ที่ยัยหัวหน้านั่นดันไปอ่านเจอในห้องสมุดนั่นแหละ “อยากมาดูสถานที่จริงสักครั้ง” ก็ว่าไปนั่นสิเนอะ
ว่าแล้วผมก็แอบหัวเราะ คิกๆ กับตัวเอง จะว่าไปมันก็เศร้าเหมือนกันนะที่ต้องจากกับคนพวกนี้ซะแล้ว... ก็ตั้ง 6 นี่นะที่อยู่ด้วยกันมา
“วาว่า ถึงตาเธอแล้วนะ” และก่อนที่ความคิดผมจะไปใกลกว่านี้มือนุ่มๆของเด็กสาวสะกิดผมอย่างไม่ทันตั้งตัว ด้วยชื่อที่เธอเพิ่งตั้งให้ผมไม่นานมานี้ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าชื่อเพราะๆอย่าง วารี ของผมเปลี่ยนไปเป็น วาว่า ได้อย่างไร เออไม่สิผมพูดผิดไปอย่าง ไม่ไช่เด็กหรอก แค่เหมือนเท่านั้น สาวน้อยร่างเล็กน่ารัก ฉายแววตาสีดำเป็นประกายมาที่ผม รอยยิ้มของเธอประกอบกับใบหน้าที่จิ้มลิ้มดูราวกับอายุเพียง 10 ต้นๆ เท่านั้น แบบที่ถึงจะมีคนกล่าวว่าเธอมาจากดาวโลลิคอน(โลลิคอน หมายถึงพวกนิยมเด็ก ในที่นี้หมายถึง ดาวที่มีแต่เด็ก)ผมก็จะไม่เถียงเลยสักคำเดียว แต่คุณเชื่อใหมที่จริงแล้วเธออายุมากกว่าผมเสียอีก
“เหม่อ อะไรอยู่น่ะ เธอจะแสดงมายากลไม่ไช่เหรอ”
“อื้อ” เธอเรียกซ้ำซึ่งผมก็ตอบรับก่อนจะลุกขึ้นและย่างเท้าออกไปหน้าคันรถ ท่ากลางสายตาสอดรู้สอดเห็นของคนรอบข้าง ก็แหงล่ะ เรื่องแบบนี้เป็นธรรมดาของมายากล ไม่ว่าใครๆก็จ้องที่จะมองกลเม็ดเคล็ดลับกันทั้งนั้น ว่าแล้วผมก็ไม่รอช้า หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อ โบกสะบัดเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ พลิกหน้าหลังให้คนดูว่าไม่มีอะไรและก็ถึงจุดไคลแม๊ก ผมตวัดผ้าขึ้นและเกร็งข้อแขนให้สปริงที่ซุกไว้ในแขนเสื้อทำงานและรับดอกไม้ที่ควรจะดีดออกมาอยู่ในมือของผม
เอ๋.. เฮ้ย ดอกไม้ ดอกไม้ไปใหนล่ะ.
แต่แล้วผมขำไม่ออกเมื่อดอกไม้ เจ้ากรรมที่เตรียมมาดันพุ่งผ่านมือผมไปเสียบเอาที่หลังคารถ แถมสปริงเจ้ากรรมยังแพรมออกมาโยกๆ เยกๆ คามืออีก ทำให้ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ท่ามๆกลางเสียงหัวเราะที่ฮากันลั่นคันรถ ก่อนจะเดินอาดๆกลับไปนั่งที่ด้วยความหน้าแตกหมอไม่รับเย็บ
“เอาน่าเธอทำดีแล้วล่ะ” แต่ก็ยังดีที่ยัยเปี๊ยกนั่นพยายามปลอบใจผม ถึงแม้ผมจะดูออกว่าแม้แต่เธอเองก็แทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ก็ตาม ดูเหมือนผมจะลืมแนะนำชื่อเธอไป เธอชื่อ วิฬาลักษณ์ วิฬาพันธุ์ ชื่อเล่นชื่อว่าเหมียว ผมรู้จักกับเธอมาตั้งแต่ ม.3 ถึงจะไม่ได้สนิทเชื้อเท่าใดนัก แต่ก็พอจะดูออกว่าเธอเป็นคนขี้เล่น และนิสัยดีคนหนึ่งเลยทีเดียว
และแล้ว เอี๊ยด.... จู่รถก็เบรกกระทันหัน ซะจนผมแทบจะล้มคะมำไปข้างหน้า
“หยุดอย่า ขยับนี่คือการปล้น”
“ส่งของมีค่าของพวกแกมาให้หมด”
“อย่าตุกติกๆ”
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนผมตั้งสติแทบไม่ทัน รู้แค่เพียงว่าชายฉกรรย์สองคนพร้อมด้วยอาวุธปืน ได้ขึ้นมาบนนและปล้นเอาของมีค่าไป ไม่สิมันเอาไปเฉพาะแค่คนที่ยื่นให้เท่านั้น นอกนั้นมันไม่ได้สนใจใยดีเลย สิ่งที่มันต้องการที่จริงแล้วคือ...
เหมียว..ไม่นะ ภาพที่ผมเห็นภาพแรกที่เริ่มตั้งสติได้คือเหมียวที่โดนพวกมันลากลงจากรถไปก่อนจะวิ่งหายเข้าไปในพงหญ้า ที่สูงเลยหัวผมมาหน่อยหนึ่ง ซึ่งก็ไม่รู้ตอนนั้นอะไรดนใจผมให้กระโดดตามลงไป ที่จริงผมก็ลังเลอยู่เหมือนกัน แต่ก็สายไปเสียแล้วดูเหมือนเจ้าของรถทัวจะคุมสติไม่อยู่ เข้าเหยียบคันเร่งมิด และออกรถอย่างไม่รอรีโดยไม่สนใจผมเลยแม้แต่น้อย
ผมมองไปรอบดูเหมือนที่นี่จะเป็นย่านชานเมืองที่ม่มีรถผ่านเสียด้วย จะโบกรถก็คงเป็นไปไม่ได้ใหญ่ สัญญาณมือถือที่ผมจ่ายให้มันห้าร้อยทุกเดือนก็เป็น 0 เอาสิผมเหลือทางเลือกเดียวแล้วไช่ใหมนี่
นั่นทำให้ผมตัดสินใจแอบตามพวกมันไปห่างๆ ก้าวเมื่อมันเดินและหยุดเมื่อมันหยุด เพื่อไม่ให้เสียงฝีเท้าที่เหยียบบนหญ้าของผมดังถึงหูพวกมัน ซึ่งไม่ช้ามันก็พาผมมาถึงตึกโทรมๆหลังหนึ่ง
เปรี้ยง!!
ดูเหมือนจะมีการยิงกันเกิดขึ้นผมรีบหมอบลงกับพื้นทันที
เปรี้ยง ๆๆๆๆ
แต่ดูเหมือนจะมีตามมาอีกหลายนัดตามมา ดูเหมือนอยู่ในที่โล่งจะไม่ปลอดภัยเสียแล้ว ผมจึงรีบวิ่งเข้าไปในตัวอาคาร เพื่ออย่างน้อยจะได้มีที่กำบัง ขณะที่มองหาเหมียว และพวกมันไปด้วย
เปรี้ยงๆๆๆ
เสียงปืนดังขึ้นอีก ผมก็รีบคลานเข้าไปหลบหลังเสาต้นหนึ่งทีแรกก็ตั้งใจว่าจะซ่อนอยู่อย่างนั้นจนกว่าเหตุการณ์จะสงบลง แต่ดูเหมือนจะไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลย ถ้าพวกมันเป็นโจร ก็คงยิงสู้ กับตำรวจสินะ อย่างน้อยถ้าฝ่ายตำรวจชนะเราก็คงรอด ผมพยายามมองโลกในแง่ดีเพื่อปลอบตัวเองที่สั่นระริกไปทั้งตัว แต่แล้วพริบตานั้นความคิดหนึ่งก็โพล่งเข้ามาให้หัวผม เดี๋ยวสิ แล้วถ้าเหมียว... บ้าจริง ผมพยายามเค้นความเป็นลูกผู้ชายออกมา ก่อนจะวิ่งตามเสียงปืนไป แต่ก็ล้มลุกคลุกคลานเพราะขาที่สั่น บ้าเอ๊ย... ต้องไปบอกตำรวจ... ว่าพวกมันมีตัวประกัน.....
และแล้วเสียงปืนก็สงบลงราวกับปาฏิหาร รู้สึกตัวอีกทีผมก็มาหยุดอยู่หน้าห้องที่ได้ยินเสียงปืนเมื่อครู่ ผมใช้หลังพิงกำแพงตามแบบฉบับหนังสายลับที่เคยดูมาและค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไป .. ใครชนะกันนะ ภาพที่ปรากฏต่อหน้าผมตอนนั้น เป็นภาพของชายฉกรรย์ สองคนนั้นที่นอนจมกองเลือด และนายตำรวจที่สภาพไม่ต่างกันอีกสองสามคน และ.. เหมียว เหมียวจริงๆ ผมโผเข้าประคองร่างเล็กๆนั้นไว้ทันที ก่อนที่เธอจะล้มลง เธอหายใจแรง และถี่ ดูเหมือนจะมีแผลโดนยิงเข้าที่ไหล่ซ้าย ในมือกำไม้ท่อนหนึ่งไว้แน่น ไม้นั่นคมแฝกเหรอ ไม่จริงน่า ช่างเถอะไม่ไช่เวลามาสนใจเรื่องนั้น..
เปรี้ยง.... และเสียงปืนอีกนัดหนึ่งก็ดังขึ้น พร้อมกับคมแฝกของเหมียวที่ตวัดขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมๆกัน สายตาของผมมองไม่ทันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่สิ่งที่เห็นก็คือ ลูกตะกั่วนัดหนึ่ง ฝังอยู่ในต้นเสาข้างๆผม ผมพยายามมองไปทางทิศต้นตอของกระสุน นั่นมันเครื่องแบบ... ตำรวจ ผมดีใจสุดชีวิต อุ้มร่างของเหมียวไว้ในมือและปรี่เข้าไปหาทันที
“คุณ ตำรวจช่วยด้วย..”
เปรี้ยง...... ไม่จริงน่า ปืนกระบอกนั้น ยิงมาที่ผม จู่ๆ ผมก็เข่าอ่อนล้มลงไปกองกลับพื้น ไม่จริงไช่ใหม ทางรอดที่ผมหวังมาตลอด ผมไม่มีแรงจะโอบอุ้มร่างนั้นอีกต่อไป ร่างของเหมียวหล่นลงไปกองกับพื้น เลือดสดๆ ค่อยๆ เจิ่งนอง และแผ่วงกว้างออก ดูเหมือนคนที่โดนกระสุนนัดเมื่อกี๊จะไม่ไช่ผม มือที่สั่นระริกของผมค่อยๆจับคลำอกซ้ายของเหมียวที่ชุ่มไปด้วยเลือด ขณะที่ของเหลวสีแดงฉานนั้นค่อยๆ ผุดขึ้นมาเรื่อยๆ ไม่จริงไช่ไม่ ไม่ไช่จริง
“ท่าน วิฬา ราชสี จบสิ้นแล้วสินะ” เสียงของชายฉกรรย์ดังขึ้น พร้อมด้วยพรรคพวกอีกจำนวนหนึ่งที่ตามมา เห็นได้ชัดเจนว่า คงเป็นพวกเดียวกันกับโจรที่ปล้นรถทัวเมื่อครู่นี้ พร้อมกับนายตำรวจอีกจำนวนหนึ่งที่ตามมาสมทบกับคนที่ยิงผม ถ้าต้องตกอยู่กลางการปะทะกันแบบนี้ผมคงพรุนเป็นห่ากระสุนแน่ แล้วผมควรจะทำอย่างไรดีล่ะ ยังไงผมก็คงต้องตายอยู่ดี สินะเนี่ยและชั่วเวลานั้นผมก็รู้สึกเหมือนทุกอย่าหลุดลอย ความกลัวที่มีมาตลอดถูกปลิดทิ้งไปจนหมด
“ฮ่าๆๆๆๆๆ” ผมหัวเราะออกมาราวกับคนเสียสติ ดูเหมือนจะทำให้พวกมันทั้งสองฝ่ายชะงักกันไปครู่หนึ่ง
“ยังไงก็ตายสินะ งั้นพวกแก พวกแกฆ่าเหมียว” ผมอาศัยจังหวะนั้นเก็บเจ้าไม้คมแฝกสอดเข้าไปในแขนเสื้อ โชคดีที่มันล๊อกพอดีกับสปริงของผม ผมกำหมัดแน่นและลุกขึ้นทำท่าจะเหมือนจะชก
“จะทำอะไรไอ้หนูระยะขนาดนั้นน่ะ” ก่อนจะเกร็งข้อแขน ไม้คมแฝกพุ่งแหวกอากาศไปกระแทกกับปลายคางของไอ้คนที่ยิงผมเข้าอย่างจัง ร่างของมันทรุดลงไปกองกับพื้นแบบเดียวกับผมเมื่อครู่นี้ ก่อนที่ตะกระดอนหมุนไปในอากาศ ผมก็รีบโจนเข้ารับไว้ทันทีในฐานะที่เป็นอาวุธชิ้นเดียวที่ผมมีอยู่
“นั่นหรือว่า นาคาพ่นไฟ(ชื่อท่าคมแฝกท่าหนึ่ง ซึ่งต้องเป็นคนที่มีฝีมือระดับหนึ่งจึงจะใช้ได้)” ประโยคหนึ่งดังขึ้น แต่ผมก็ไม่ได้สนใจหรอก ผมโผเข้าไปกลางวงพวกมันและฟาดไม้ท่อนนั้นไปรอบพร้อมกับโยนระเบิดควันที่เตรียมไว้สำหรับการแสดงมายากลลงกับพื้น
“นั่นหรือว่า อัคคีสาดแสง แม้แต่ของท่านแสง(ยอดฝีมือคมแฝกคนหนึ่ง) ยังไม่รุนแรงขนาดนี้เลย(ก็ใช้ระเบิดควันนี่หว่า)” เสียงดังขึ้นอีกแต่ผมก็ไม่ได้สนใจอีกเช่นกันตอนนี้ในหัวผมมีแต่ที่จะอัดมันให้ย่อยยับมากที่สุดเท่านั้น
เปรี้ยงๆๆๆๆๆ
ก่อนที่เสียงปืนชุดหนึ่งจะดังขึ้น ทำเอาร่างของนายตำรวจที่สับสนอลหม่านอยู่ในระเบิดควันของผมล้มลงไปทีละคนสองคน ชั่ววินาทีนั้นผมรู้สึกราวกับทุกอย่างหยุดนิ่ง ผมคงตายแล้วสินะ พวกโจรพวกนั้นมันคงจะเก็บผมไปพร้อม กับ ตำรวจพวกนี้เป็นแน่ ผมทำผิดรึเปล่านะ ที่ทำร้ายเจ้าหน้าที่แล้วปล่อยให้โจรผู้ร้ายแบบนี้ลอยนวล ผมหลับตาลงปล่อยใจให้หลุดลอย พร้อมที่จะรับลูกตะกั่วที่คงจะทะลวงร่างของผมในไม่ช้านี้
แต่แล้วมันก็สงบลง ไช่แล้ว เสียงปืนเมื่อครู่สงบลง และผมก็ไม่ได้หูฟาด อะไรกันนี่ห่ากระสุนเมื่อกี๊ ไม่โดนผมเลยสักนัด ผมค่อยๆ ลืมตาขึ้น กวาดสายตามองชายฉกรรย์เหล่านั้นที่พากันจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียว
“พวกราชสีที่หลงเหลืออยู่ มอบตัวซะดีๆ ที่นี่ตำรวจล้อมไว้หมดแล้ว” ตามด้วยเสียงโทรโข่งที่ดังขึ้น.....
ความคิดเห็น