ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Promise Ring แหวนรักสัญญาใจ กับ ยัยไม้กระดาน

    ลำดับตอนที่ #1 : แหวนวงนั้น 100%

    • อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 51


    ตอนที่ 1 - แหวนวงนั้น

     

                    เฮ้ย อยู่ไหนวะ ตรงโน้นก็ไม่มี ตรงนี้ก็ไม่มี นี่มันอะไรกันวะ คนอุตส่าห์เก็บเอาไว้ตั้งหลายปีอย่าบอกนะว่าจะมาหายตอนนี้ แว้กๆๆๆ ไม่ยอมนะโว้ย อะไรจะหายไม่ว่า แต่ทำไมต้องเป็นแหวนวงนี้ด้วยวะ มันต้องอยู่สิวะ มันต้องอยู่

     

                    ผมกำลังหาของแหวนอยู่ แหวนวงหนึ่งที่มันสำคัญมาก แต่ว่าผมจับมันยัดกล่องไหนไว้ก็ไม่รู้สิ แว้ก!! กล่องนี้ก็ไม่มี (เหวี่ยงทิ้ง) กล่องนี้ก็ไม่มี (เหวี่ยงทิ้ง) กล่องนั้นล่ะ...ไม่มีเหมือนกัน (เหวี่ยงทิ้ง) ถุงนั้นละ ว้าก!! คุ้ยเท่าไรก็ไม่เจอโว้ย

     

                    แฮ่กๆ ผมหอบด้วยความเหนื่อยอ่อน หลังจากที่ค้นมาประมาณสิบนาทีแล้วยังไม่เจอของที่ต้องการ แล้วเมื่อมองไปรอบห้องใหม่ ผมก็แทบสะดุ้งจากที่นอน

     

                    กล่องที่ผมรื้อค้นไปทั่วนั้นกระจุยกระจายไปหมดทั้งห้อง โฮ~~ นี่ผมตั้งใจจัดมันตั้งนาน ทำไมมันเละเทะอย่างนี้เนี่ย (ก็เพราะเอ็งนั่นแหละ)

     

                    ว่าแล้วผมก็เดินตรงเข้าไปจัดเอากล่องที่ไม่มีอะไรและไม่ต้องใส่อะไรเพิ่มไปอีกแยกไปไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง ส่วนข้าวของภายในนั้นก็มีทั้งเสื้อผ้า หนังสือ ของเล่น ข้าวของต่างๆ ที่ผมขนมาจากบ้านเก่ากองกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นไปหมด เอาน่า บางทีถ้าเก็บไอ้ที่กระจัดกระจายอยู่นี่อาจจะเจอก็ได้

     

                    ผมค่อยๆ เก็บกวาดเอาเสื้อผ้าขึ้นมากองไว้บนเตียง หนังสือต่างๆ ก็แยกหมวดหมู่แล้วจัดเข้าชั้นวางหนังสือที่แม่เตรียมไว้ให้ ไม่อยากจะบอกเล้ย ว่าหนังสือของผมกว่าครึ่งเป็นการ์ตูน และอีกครึ่งของครึ่งก็เป็นนิยาย หนังสือความรู้น่ะ ไม่ถึงยี่สิบเล่มด้วยซ้ำ ถัดจากหนังสือก็เป็นของเล่น เอ...ของเล่นของผมมันไม่ได้มีแค่นี้นี่นา สงสัยจะลืมไว้ในกล่องไหนสักกล่อง

     

                    นา รับ!!”

     

                    เสียงน้องชายตัวแสบของผมดังมาจากทางประตู พร้อมกับอะไรบางอย่างที่อยู่ในมือมันจะถูกส่งออกมา...อย่างแรง!! เฮ้ย! นี่มันเขวี้ยงกะเอาตายเลยนี่หว่า

     

                    ฮึ่ม มันต้องแสดงให้ดูสักหน่อยแล้วว่าเราก็โกลด์เก่า คิดพลางขาก็ขยับพลาง เร็วกว่าใจคิด เผลอแผลบเดียวผมก็กางสองมือออกมาพร้อมที่จะรับกล่องนั้น มันลอยเข้ามาอยู่ในมือผมราวกับภาพสโลโมชั่น ผมกำลังจะคว้าของชิ้นนั้นได้แล้ว...

     

                    โครม! ป๊อก!

     

                    กร๊ากกกกกกกก จับกบตัวเบ้อเร่อเลย

     

                    มันดูเหมือนภาพสโลโมชั่นอีกครั้ง เมื่อผมสะดุดของเล่นชิ้นหนึ่งบนพื้น และลื่นพรื่ดลงไปกองกับพื้น พร้อมกับของที่น้องโยนมาหลุดออกจากมืดลอยขึ้นไปบนอากาศ แล้วร่วงลงมาบนหัวผมพอดิบพอดี แต่ไอ้ที่เสียหน้าที่สุดคือเสียงหัวเราะที่ตามมาทีหลังเนี่ยแหละ ฮึ่ม! ไว้คราวหน้าเถอะ จะปาแกให้หัวแตกเลยคอยดูไอ้น้องตัวแสบ!!

     

                    ผมจ้องมองตามมันที่เดินลันล้าลงไปชั้นล่างอย่างเจ็บใจนิดๆ ด้วยความที่เราสองคนเป็นพี่น้องที่อายุไล่เลี่ยกัน จึงทำให้ผมกับมันเป็นคู่กัดกันมาตลอด แต่ยังไงมันก็น้องแท้ๆ ล่ะนะ โกรธเกลียดกันไม่ได้นานหรอก

     

                    แล้วนี่มันเอาอะไรมาให้ล่ะเนี่ย

     

                    ปากบ่นพลางมือผมก็ควานขึ้นไปบนหัว ก็พบกับวัตถุต้องสงสัยทรงสี่เหลี่ยมมุมฉาก ลักษณะคล้ายกล่อง มีเสียงติ๊กต่อกนิดหน่อย อีกสักพักคงต้องโทรตามตำรวจมาตรวจสอบ ไม่ใช่แล้ว!!! มันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีชมพู เขย่าดูก็มีเสียงอะไรชิ้นเล็กๆ ที่กระทบไปกระทบมาอยู่ในนั้น...

     

                    ...ของชิ้นเล็กๆ ในกล่องสีชมพู เอ คุ้นๆ อยู่นะไอ้นา...อืม...เฮ้ย!! มันกล่องที่ตูหาอยู่นี่หว่า!!

     

                    ผมบรรจงเปิดกล่องนั้นอย่างเบามือ ราวกับมันจะแหลกสลายกลายเป็นผุยผงถ้าหากผมออกแรงมากเกินไป (เว่อร์ละเอ็ง) ภายในนั้นบรรจุแหวนพลาสติกสีชมพูรูปหัวใจ แหวนเด็กเล่นที่ดูไม่มีค่าอะไร แต่ภายในกลับบรรจุไว้ด้วยความทรงจำมากมาย...

     

     

                    น้าๆ แหวนพวกนี้ขายยังไงเหรอ ตรงหน้าของผมตอนนี้เต็มไปด้วยแหวนพลาสติกขนาดเล็กเต็มไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันเป็นแหวนเด็กเล่นสำหรับเด็ก

     

                    วงละ 5 บาท สนใจเรอะไอ้หนุ่ม จะซื้อไปให้สาวสิท่า ผมยิ้มบางๆ ให้กับน้าคนขายที่ตอบผมอย่างรู้ดีจริงๆ ผมว่าน้าน่าจะไปเป็นหมอดูมากกว่าคนขายของนะ

     

                    หลังจากมองๆ เลือกแหวนหลากหลายวงหลายสีบนผ้าปูแบกะดินของน้าคนขายแกอยู่สักพักใหญ่ๆ (จริงๆ ก็แค่สองสามนาที) ผมก็สะดุดตากับแหวนรูปหัวใจสองวงที่วางคู่กันอยู่ วงนึงสีฟ้า อีกวงสีชมพู ด้วยความที่ถูกอกถูกใจมันเหลือเกิน สุดท้ายผมก็ซื้อมันมาทั้งสองวงจนได้ แล้วค่าขนมวันละสี่สิบบาทของผมก็หายวับไปสิบบาท เอาน่า เพื่อจีบสาวๆ

     

                    ผมถือถุงใส่แหวนสองวงนั้นเดินพลางวิ่งพลาง ลันล้ามีความสุขอย่างบอกไม่ถูก ถึงเวลานี้จะเป็นเวลาเลิกเรียนแล้วก็ตาม แต่สำหรับผมแล้วรถรับส่งนักเรียนจะปล่อยเวลาให้พวกผมสะสางอะไรก็ตามในโรงเรียนได้อีกราวชั่วโมงนึง ซึ่งนั่นก็มากพอจะให้ผมวิ่งไปซื้อขนมซื้อของกินของเล่น ทั้งยังมากพอให้ผมไปหาเธอคนนั้นอีกด้วย

     

                    น้อง ผมตะโกนเสียงดังเรียกเธอที่กำลังนั่งก้มหน้าก้มตาทำงานอยู่ อ๊ะ อย่าตกใจนะสำหรับเสียงเรียกชื่อนั่น ก็เธอชื่อเล่นชื่อ น้อง นี่นา เธอเงยหน้าขึ้นมามองผมนิดนึงให้รู้ว่าเธอได้ยินแล้ว ซึ่งมันก็เป็นเวลาเดียวกับที่ผมทิ้งตัวนั่งลงบนม้านั่งตรงข้ามกับเธอพอดี

     

                    อะ นี่นาให้

     

                    ผมยืนแหวนวงสีชมพูให้เธอ โดยแอบเก็บแหวนวงสีน้ำเงินไว้กับตัว เธอยิ้มรับแหวนวงนั้นไว้แบบงงๆ แต่ไม่รู้ทำไม ผมถึงรู้สึกว่าเธอดูไม่ค่อยร่าเริงเลยนะ ผมรู้สึกว่ามันผิดปกติไปจริงๆ

     

                    ไม่ชอบเหรอ

     

                    เปล่า ชอบมากสิ แต่พอคิดว่านี่คงเป็นสิ่งสุดท้ายที่น้องจะได้จากนาแล้ว...มันก็... เธอตอบกลับมาเสียงอ่อยๆ เหมือนคนไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงยังไงยังงั้นแหละ

     

                    ทำไมล่ะ ผมถามเธออย่างตกใจ เพราะสิ่งที่เธอบอกมันหมายความได้อย่างเดียว ...คือเราต้องจากกัน...

     

                    วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่น้องจะได้เรียนที่นี่ พรุ่งนี้น้องต้องย้ายตามพ่อกับแม่ไปอยู่ที่เชียงใหม่ พ่อแม่น้องยื่นเรื่องขอย้ายโรงเรียนไปเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น...เพราะฉะนั้น... เด็กสาวเบ้หน้าทำท่าจะร้องไห้...แน่นอนสำหรับเธอที่เพิ่งย้ายมาเรียนที่โรงเรียนนี้ได้เพียงหนึ่งปีกับอีกไม่กี่เดือน ทั้งๆ ที่เพิ่งสนิทกับเพื่อนใหม่แท้ๆ กลับต้องย้ายโรงเรียนอีกแล้ว...มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีสักนิด...

     

                    ...ไม่ใช่แค่เธอ...แต่มันเป็นผมด้วยที่ไม่ได้รู้สึกยินดีเลยสักนิดเดียว...

     

                    น้อง...จะว่าอะไรไหมถ้านาขอแลกแหวนสีชมพูของน้อง กับแหวนสีน้ำเงินของนา ผมเอ่ยปากด้วยเสียงสั่นน้อยๆ ใจก็พยายามข่มตัวเองให้แสดงความเข้มแข็งของลูกผู้ชายให้มากที่สุด แต่ยังไงผมก็ยังเป็นแค่เด็ก ป.6 เองนะ จะให้ผมเข้มแข็งแบบผู้ใหญ่ในละครทีวีที่ผมดูทุกวันได้ยังไงกัน

     

                    แลก ยังไงก็ได้ เพราะยังไงมันก็ไม่ใช่แหวนของน้องตั้งแต่แรกอยู่แล้ว เธอเอ่ยอย่างงุนงง แต่ก็สลายท่าทีเศร้าเมื่อครู่ไปได้พอสมควร คงแปลกใจกับสิ่งที่ผมพูดล่ะมั้ง

     

                    ไม่ใช่ได้ไงล่ะ เมื่อกี้นาเพิ่งให้น้องไป มันเป็นแหวนของน้องแล้ว ผมแย้งเธอ ส่วนที่นาอยากจะขอแลก เพราะว่า นาอยากให้น้องรับมันไปแล้ว เห็นแหวนนั่นเป็นแหวนของนา ที่นาฝากไว้กับน้อง ส่วนนาก็จะเห็นแหวนของน้องเป็นของที่น้องฝากไว้กับนา เราจะได้ไม่ลืมกันไงล่ะ

     

                    อื้อ พอน้องรู้เหตุผลที่ผมบอกไป เธอก็ยอมแลกแหวนของเธอกับแหวนของผม รู้สึกเหมือนคนกำลังแลกแหวนแต่งงานกันเลยแหะ

     

                    นาไปก่อนนะ ถึงเวลารถรับส่งออกแล้ว เดี๋ยวไปไม่ทันโดนดุอีก โชคดีกับโรงเรียนใหม่นะ ผมรีบลุกออกจากที่นั่ง แล้วรีบวิ่งจากไป น้ำตาที่ฝืนไว้เริ่มคลอเบ้า แต่วิ่งไปไม่กี่สิบก้าวก็ดันนึกขึ้นได้ว่าลืมพูดอะไรบางอย่างออกไปเสียอีก

     

                    พลันสองเท้าหยุดลงราวกับมีเบรกเอบีเอส (คนนะเฟ้ยไม่ใช่รถ!) ผมก็เหลียวกลับไปมองเธอ นี่คงเป็นครั้งสุดท้ายแล้วมั้งที่ผมจะได้มองเธออย่างเต็มตาแบบนี้ ผมยืนนับหนึ่งถึงสาม รวบรวมความกล้าทั้งหมดที่มี ก่อนที่จะเอามือป้องปาก และ...

     

                    แล้วอย่าลืมนานะ

     

                    น้องยิ้มตอบเสียงตะโกนของผม ผมรู้สึกเหมือนกับว่านั่นเป็นรอยยิ้มของนางฟ้าก็ไม่ปาน แล้วแหวนล่ะ...แหวนนั่นถูกสวมอยู่บนนิ้วของเธอแล้ว มันอยู่ที่มือซ้าย บนนิ้วนางของเธอ...แต่ผมไม่ทันคิดอะไรมากหรอก หลังจากพูดประโยคสุดท้ายไปแล้ว ผมก็รีบวิ่งจากไปทันที...แล้วนั่นก็กลายเป็นภาพสุดท้ายของเธอที่อยู่ในความทรงจำของผม

     

                    ...ภาพรอยยิ้มที่สวยที่สุดในโลกเท่าที่ผมเคยเจอ...

     

     

                    โครม!!

     

                    เสียงกองหนังสือที่เมื่อครู่คงถูกของเล่นที่ผมเหยียบกระเด็นไปถูกมันพอดีร่วงลงมาเรียกให้ผมตื่นจากภวังค์ของความคิดถึง ก็อยากจะคิดถึงต่อไปให้นานๆ อยู่หรอกนะ ถ้าไม่ติดว่าเรื่องราวมันผ่านไปตั้งสี่ห้าปีเข้าไปแล้ว ถึงผมเองจะยึดติดกับคำสัญญาที่ให้ไว้กับเธอ แต่สุดท้ายเธอก็เป็นแค่ความทรงจำดีๆ ของรักแรกที่มันจะฝังลึกอยู่ในหัวใจดวงน้อยๆ (น้อยตายชัก) ของผมเท่านั้น

     

                    พอๆ เลิกคิดถึงอดีตแล้วมาอยู่กับปัจจุบันดีกว่า...แต่ว่า...ปัจจุบันมันคงสวยงามกว่านี้ถ้าไม่มีกองของเล่นกระจุยกระจาย กล่องล้มระเนระนาด และหนังสือร่วงจากชั้นมาแต่งแต้มความรกเละเทะให้กับห้องใหม่ของผมนี่หรอก...

     

                    อา...ช่างอยากกลับไปอยู่กับอดีตจริงๆ พ่อจ๋า แม่จ๋า ช่วยหนูด้วย TTwTT

     

     

                    กว่าผมจะรอดพ้นกับกองห้องรกๆ ก็กินเวลาไปร่วมชั่วโมงครึ่ง พัดลมที่กำลังทำหน้าที่เป่าลมอุ่นๆ (เกือบๆ จะร้อน) ไม่ได้ช่วยให้เหงื่อไคลหายไปจากร่างกายสักเท่าไรนัก เพราะหนังสือกองหนึ่ง ของเล่นของสะสมกองหนึ่ง เสื้อผ้ากองหนึ่ง และกล่องเปล่าอีกกองหนึ่งทำเอาผมหัวปั่นไปหมด

     

                    นาเอ้ย มาช่วยพ่อเค้ายกคอมหน่อยลูก เสียงแม่ตะโกนดังขึ้นมาจากชั้นล่าง ทำให้ผมต้องรีบวิ่งลงบันไดลงไปหา

     

                    ผมวิ่งออกจากห้องไปโดยไม่ปิดพัดลมเพราะรู้ดีว่าอีกเดี๋ยวคงต้องขึ้นมาที่ห้องนี้อีกแน่ ที่สุดปลายบันไดมีกล่องกระดาษ (อีกแล้ว) ใบเบ้อเร่อตั้งอยู่ ถ้าผมจำไม่ผิดนี่คงเป็นกล่องคอมพิวเตอร์สองตัวของบ้านเราแน่ๆ คิดไปขาก็ก้าวไปใกล้กล่องนั้นเรื่อยๆ แต่แล้ว...

     

                    ขลุกๆ

     

                    ผมสะดุ้งสุดตัว หวาๆๆ กล่องคอมที่ไหนมันขยับไปมาได้บ้างล่ะเนี่ย...ย...ย...อย่าบอกนะว่าเป็น...เป็น...เป็นสิ่งนั้น...ก...กลาง...กลางวันแสกๆ เนี่ยนะ...ม...ม...ไม่จริงน่า...ม...ม...มัน...มันคงไม่โผล่มาตอนนี้หรอกนะ...พ...เพิ่ง...เพิ่งย้ายเข้าบ้านมาเองน้า แว้กๆๆๆ

     

                    ขลุกๆๆ

     

                    แง้~ มันดังอีกแล้ว พ่อจ๋า แม่จ๋า อย่าบอกนะว่าจู่ๆ มันจะพุ่งพรวดจากกล่องเหมือนในโฆษณาหนังผีที่เคยดูน่ะ งือๆๆ

     

                    ขลุกๆๆๆ

     

                    ยิ่งผมก้าวเข้าไปใกล้มากเท่าไรมันก็ยิ่งสั่นแรงมากขึ้น (กลัวแล้วยังจะเข้าใกล้อีกแน่ะ) มือที่สั่นเทาขยับเข้าไปใกล้กล่องนั้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ ผมค่อยๆ บรรจงเปิดฝากกล่องนั้นอย่างช้าๆ...และ!!

     

                    นา เอาไลอ้อนออกจากลังให้ทีสิ

     

                    เสียงไอ้น้องตัวแสบดังขึ้นมาขัดจังหวะเสียงก่อน โธ่ หมดมู้ดเลย อุตส่าห์คิดว่ามันเป็นอะไรที่เลวร้ายกว่านั้น (อ้าว ไหนว่ากลัว) คราวนี้ผมเปิดกล่องนั้นออกอย่างไม่ต้องกลัวอะไรอีก แล้วพอเปิดฝากล่องเสร็จก็จัดการตะแคงเอาสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นออกมา

     

                    หงิงๆ

     

                    เจ้าไลอ้อนสุนัขพันธุ์ปอมเปอเรเนี่ยนสีน้ำตาลตรงเข้ามาคลอเคลียแถวขาของผมทันที ตกลงเอ็งเป็นหมาหรือแมวฟ่ะไลอ้อน ช่างเถอะ ไหนๆ เจอน้องตัวแสบแล้วก็ถามสิ่งที่ค้างคาใจอยู่เลยแล้วกัน

     

                    นัท กล่องที่เอาไปให้ที่ห้องเอามาจากไหน ถามพลางมือก็พับกล่องกระดาษนั้นให้แบนๆ ซะจะได้เก็บสะดวกหน่อย

     

                    อ๋อ แม่เจอมันหล่นอยู่ในรถ จำได้ว่าเป็นของนาเลยให้นัทเอาไปให้

     

                    เออ...งั้นก็พอเข้าใจละว่าทำไมผมถึงหาไม่เจออยู่นานสองนาน ที่แท้มันหล่นอยู่ในรถนี่เอง...อืม...แม่เจอเลยให้นัทเอาไปให้ที่ห้อง พอนัทเอาไปให้ มันก็เลยเขวี้ยงใส่เต็มกบาลเรา...เต็มกบาลเรา...เอ๊ะ...เหมือนเราจะลืมอะไรไปนะ...

     

                    ผมค่อยๆ อุ้มเจ้าไลอ้อนขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน พร้อมกับยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า เหมือนไลอ้อนจะรู้สิ่งที่ผมคิด มันดิ้นไม่หยุด จนผมต้องใช้มือกดหัวของมันเอาไว้ไม่ให้มันตื่น (แน่นอนผมไม่ได้หมายถึงเจ้าไลอ้อน) เมื่อเห็นน้องชายตัวแสบหันหลังให้ ผมก็โยกตัวเจ้าไลอ้อนไปด้านหลัง เตรียมตัวโยนมันใส่น้องตัวแสบเต็มแรง!

     

                    นา มาได้แล้วเร็ว พ่อเค้ารออยู่นะ แต่แล้วเสียงแม่ก็ดังขึ้นมาหยุดมือผมเอาไว้เสียอีก

     

                    เจ้าไลอ้อนสบโอกาสที่ผมคลายแรงจับมันรีบดิ้นหลุดลงไปคลอเคลียเจ้านัทแทน...หนอย! ...เจ้าหมาทรยศ แต่ตอนนี้ผมไม่มีเวลาจัดการมัน ชิ ฝากไว้ก่อนเถอะทั้งคนทั้งหมา

     

     

                    หลังจากนั้นผมก็ช่วยพ่อแม่จัดการข้าวของขนาดใหญ่อย่างโทรทัศน์ ตู้เย็น คอมพิวเตอร์ บลาๆๆ โชคดีที่เฟอร์นิเจอร์ส่วนหนึ่งถูกขนมาจัดไว้ล่วงหน้าแล้วสองสามวันผมถึงไม่ต้องเหนื่อยมากมายอะไรนัก แต่ก็เหนื่อยอยู่ดีนั่นแหละนะ (แล้วเอ็งจะบอกทำไมว่าไม่เหนื่อยมาก) (นา : เอาน่า อย่างเรื่องมากดิ) หลังจากจัดการมื้อเย็นแสนอร่อย และอาบน้ำอาบท่าจนสบายตัวดีแล้ว ผมก็ขึ้นมาฝังตัวอยู่ในห้องนอนห้องใหม่

     

                    อา...การมีห้องส่วนตัวนี่มันสบายจริงๆ เสียงเพลงเบาๆ จากเครื่องเสียงขนาดย่อมชวนให้รู้สึกผ่อนคลาย บวกกับลมเย็นๆ จากเครื่องปรับอากาศช่างทำให้ตาสองข้างของผมชักจะประสานงานกันปิดตัวลงอย่างไม่ต้องสงสัย แต่แล้วมันก็ต้องมีอะไรมาขัดจนได้สิน่า...

     

                    นั่นแหละ อย่างนั้น นั่นล่ะ ชู้ตเลย เย่ สามแต้ม โย่ๆๆ ฟังจากสำเนียงการเชียร์ของไอ้น้องตัวแสบของผมแล้ว มันดูบาสเกตบอลอยู่แน่ๆ

     

                    เบาๆ หน่อยโว้ย คนจะหลับจะนอน ผมตะโกนบอกมันข้ามห้อง และมันก็ตะโกนตอบกลับมาเสียงดังไม่แพ้กัน

     

                    เบาไม่ได้เว้ย ชิคาโก บุลส์ กำลังนำ แอลเอ เลเกอร์ส อยู่ ต้องเชียร์ให้เลเกอร์สแซงขึ้นมาชนะให้ได้เว้ย

     

                    ออ...กำลังลุ้นทีมรักของมันให้ชนะ ชิคาโก บุลส์ ทีมเก่าของไมเคิล จอร์แดน นี่เอง แล้วมันก็ยังเป็นทีมโปรดของผมซะด้วย...เดี๋ยวนะ...เฮ้ย ทีมชอบตูกำลังนำอยู่นี่หว่า...นำทีมของไอ้น้องตัวแสบด้วย...

     

                    เฮ้ย ดูด้วยเว้ยนัท

     

                    แล้วผมก็ตาสว่างเผ่นแผลวไปนั่งเชียร์ทีมรักอยู่ข้างๆ น้องชายตัวแสบที่เชียร์คนละทีมกันทันที...โดยไม่ลืมที่จะเก็บแหวนวงนั้นเอาไว้ใต้หมอน อย่างที่เคยทำเป็นประจำ

                   

    P T.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×