ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [SF SJ] All about My SJ Short Fic

    ลำดับตอนที่ #1 : [SF SJ] Question (อยากรู้...แต่ไม่อยากถาม) [Kang x Teuk] Past : I

    • อัปเดตล่าสุด 5 ธ.ค. 50


    Title : [SF] Question (อยากรู้...แต่ไม่อยากถาม) 

    Past : I

    Pairing : Kangin x Leeteuk

    Author : Noonamijung

    Ratting : PG

    Credite Song : อยากรู้...แต่ไม่อยากถาม - Voice male

    Author message : เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องที่สมมติขึ้นเท่านั้น ใครอ่านแล้วไม่ชอบใจกรุณาปิดเสียเถิดนะคะ อย่ามาว่านู๋สายไหมทีหลังเน้~* เราเตือนคุณแล้ว ^ ^"


    ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และคำติชมค่ะ

    รักคนอ่าน

    นู๋สายไหม-นามิจัง

    --------------------------------------------------------------------------------------------------------

    ...โรงเรียนมัธยมซง ฮวาจิน... 

    เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังมาจากกลุ่มนักเรียนแถวหน้าสุดหลังจากที่เสียงออดดังขึ้นเป็นสัญญาณหมดชั่วโมงเรียนในคาบสุดท้ายสำหรับวันนี้ กลุ่มนักเรียนชายกำลังเตรียมตัวเก็บกระเป๋ากลับบ้าน ส่วนกลุ่มนักเรียนหญิงนั้นบางส่วนก็หยิบตลับแป้งและลิปกลอสขึ้นมาตบแต่งประทินโฉมกันอย่างเร่งด่วน บ้างก็เตรียมตัวนัดกันในกลุ่มว่าหลังจากนี้แล้วจะไปเดินเที่ยวเล่นที่ไหนกันสักแห่งก่อนกลับ บ้างก็เปิดกระเป๋าอย่างเซ็ง ๆ หยิบหนังสือขึ้นมาอ่านเพื่อเตรียมตัวสอบซ่อมในช่วงเวลาไม่กี่นาทีหลังจากนี้ ในขณะที่นักเรียนบางส่วนที่มีกิจกรรมชมรมก็เริ่มทยอยกันเดินออกจากห้องเรียน หากแต่ร่างสูงที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเรียนริมหน้าต่างกลับทอดสายตามองออกไปข้างนอกอย่างไร้จุดหมาย มองเห็นกลุ่มนักเรียนที่เลิกเรียนพากันเดินออกมาจากอาคารเรียนราวกับฝูงมดแตกรัง ก่อนที่เจ้าตัวจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตนเอง เมื่อเห็นว่ายังไม่ถึงเวลาที่ตนรอคอย ร่างสูงก็ถอนหายใจ

    “เฮ้! คังอิน ยังไม่กลับอีกเหรอ?” เสียงตะโกนทักทายดังมาจาก คิม จองอุน เพื่อนสนิทคนหนึ่งในกลุ่มนักกีฬาทีมฟุตบอลของโรงเรียน คังอินหรือ คิม ยองอุนเงยหน้าขึ้นมองเสียงทุ้มต่ำราวกับผู้ใหญ่ ซึ่งขัดกับใบหน้าของเจ้าของเสียงแล้วยกยิ้มให้ คังอินนั้นเป็นชื่อที่เพื่อน ๆ ในกลุ่มใช้เรียกเขาอย่างสนิทสนม ไม่มีใครที่ไม่รู้จักคังอิน โกลด์มือหนึ่งของทีมฟุตบอลโรงเรียนซง ฮวาจิน แม้ทีมตรงข้ามจะเก่งกาจแค่ไหน แต่คนอย่างคังอินนไม่เคยรับบอลพลาดแม้สักครั้ง จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ทีมโรงเรียนซง ฮวาจินคว้าชัยมาได้อย่านั้งไม่ยากเย็น เพราะความแข็งแกร่งที่ยากที่ใครจะชนะได้ จึงเป็นที่มาของชื่อ คังอินนั่นเอง

    “อา...ก็กำลังจะกลับน่ะ แล้วนายล่ะ เยซอง?” คังอินถามเพื่อนชายตาตี่แก้มป่องตรงหน้า เยซองก็เป็นชื่อที่ใช้เรียกอย่างสนิทสนมในกลุ่มทีมฟุตบอลเช่นกัน คนที่ถูกถามยิ้มจนตาที่หยีอยู่แล้วยิ่งหรี่เล็กลงไปอีกเสียจนคังอินเกรงว่าเจ้าตัวจะมองไม่เห็นทางข้างหน้า หากแต่เยซองก็เดินมาที่โต๊ะเรียนข้าง ๆ โต๊ะที่เขานั่งอยู่ก่อนที่จะหยุดยืนพิงโต๊ะตัวนั้น

    “ชั้นกำลังจะไปห้องซ้อมดนตรีน่ะ” เยซองตอบยิ้ม ๆ คังอินได้ยินคำตอบนั้นก็พอจะเข้าใจเจตนาที่คนตรงหน้าต้องการจะสื่อ

    “อ้อ...นายจะไปหาเรียววุคงั้นสิ” คำพูดของคังอินทำเอาคนแก้มป่องเลือดฝาดฉีดขึ้นจนกลายเป็นสีชมพู เหตุก็เพราะว่าคนที่กล่าวถึงนั้นเป็นคนที่เจ้าตัวแอบชอบ

    คิม เรียววุค เป็นนักเรียนรุ่นน้องของพวกเขาที่อยู่ชมรมดนตรี ทุก ๆ เย็นหากไม่มีซ้อมกีฬา เยซองก็มักจะแวะไปทักทายเรียววุคที่ห้องซ้อมดนตรีเสมอ เจ้าตัวสารภาพกับคังอินว่า หลงรักน้ำเสียงที่น่ารักน่าฟังนั้นเสียมากมาย แต่ยามที่เจ้าตัวเปล่งเสียงร้องเพลงออกมานั้น คนที่ได้ฟังเป็นครั้งแรกก็ถึงกับทึ่ง แม้ว่าเรียววุคจะเป็นเพียงแค่เด็กชายร่างบางตัวเล็ก หากแต่น้ำเสียงนั้นกลับมีพลังลึกซึ้งกินใจจนเยซองถึงกับเพ้อ ต้องแวะมาแอบฟังอยู่บ่อย ๆ พอนาน ๆ เข้า เรียววุคที่รู้ตัวนั้นแทนที่จะรังเกียจ กลับรู้สึกยินดีที่มีคนชื่นชอบเขาเสียอีก ถึงขนาดให้เยซองไปนั่งฟังได้ถึงในห้องซ้อมเลยทีเดียว แต่ฟังไปฟังมาท่าไหนคังอินก็ไม่อาจรู้ได้ เพราะพักหลังนี้ทั้ง 2 คนกลับบ้านด้วยกันบ่อยขึ้น บางครั้งในวันหยุดเยซองก็บ่ายเบี่ยงที่จะออกไปเฮฮากับเพื่อนในกลุ่ม ซึ่งคังอินก็เพิ่งค้นพบไม่นานมานี้เองว่าเจ้าเพื่อนตัวดีของตนนั้นหายไปเดินเตร็ดเตร่อยู่กับใครบางคนที่เจ้าตัวเอาแต่บอกว่าเป็นแค่ ‘รุ่นน้อง’ เท่านั้น

    “ก็...ทำนองนั้นมั้ง” เยซองตอบไม่เต็มเสียงนัก เจ้าตัวเอาแต่ก้มลงมองเท้าตัวเองที่กำลังถดไปมาบนพื้น หากแต่เมื่อบางสิ่งแวบเข้ามาในหัว คนตาตี่แก้มป่องก็เงยหน้าขึ้นหันไปมองหน้าร่างสูงที่นั่งอยู่ตรงข้ามก่อนจะยิ้มมุมปาก

    “แล้วนายล่ะ ไม่ไปหาพี่อีทึกเหรอ? ป่านนี้พี่เค้าไม่กลับไปกับพวกกรรมการนักเรียนแล้วเหรอ?” เยซองถามพลางจ้องมองไปที่เพื่อนของตน คังอินสะดุ้งโหยงก่อนจะก้มลงมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองซึ่งขนาดนี้ หน้าปัดดิจิตอลบอกเวลา 5 โมงเย็นแล้ว ร่างสูงผุดลุกขึ้นทันที เยซองหัวเราะขำ

    “อ้าว ๆ! ไม่ต้องรีบขนาดนั้นก็ได้ ชั้นแค่ล้อเล่นน่า ยังไง ๆ พี่อีทึกเค้าก็ต้องรอกลับพร้อมนายประจำไม่ใช่หรือไง?” เยซองว่าพลางเดินตามร่างสูงของคังอินที่ตอนนี้คว้ากระเป๋านักเรียนเดินไปทางประตูหน้าห้อง พอเดินตามไปจนทัน เยซองก็เอื้อมมือแตะบ่าเพื่อนตัวเองเบา ๆ ก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างกับร่างสูง หลังจากนั้นแล้วเจ้าตัวก็ยิ้มร่าเดินผิวปากอย่างสบายอกสบายใจไปตามโถงทางเดิน 


    ‘นี่...คังอิน นายจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ พี่เค้าไม่ได้จะอยู่โรงเรียนนี้ตลอดไปนะ คิดอะไรอยู่ในใจ ทำไมไม่ถามพี่เค้าไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวซะทีล่ะ ไม่กี่วันพี่เค้าก็จะเรียนจบแล้ว ถึงตอนนั้นนายจะทำยังไง?’ 


    คังอินยืนนิ่งอึ้งอยู่พักหนึ่ง คำพูดที่เยซองพูดเมื่อครู่นั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัว ร่างสูงส่ายหน้าไปมาช้า ๆ ก่อนจะเดินไปตามโถงทางเดินซึ่งตอนนี้มีนักเรียนที่ทยอยกันกลับบ้านหลั่งไหลออกมาจากห้องต่าง ๆ เสียจนทางเดินติดขัด คังอินกำลังคิดว่าจะตัดสินใจอย่างไรดี ก็พลันได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อเขาดังมาจากในกลุ่มฝูงชนนั้น


    “คังอิน~”


    ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายของนักเรียนที่ต่างก็รีบร้อนเบียดเสียดแย่งกันกลับบ้านในยามเย็น แม้ทุกคนจะเร่งรีบกันแค่ไหน แม้ว่ากลุ่มนักเรียนตรงหน้าจะเริ่มถอยหลังมาจนแทบจะเหยียบเท้าเขาแล้วก็ตาม แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่ทำให้คังอินไม่อาจละสายตาไปจากภาพเบื้องหน้าได้เลย...

    ภาพของเด็กหนุ่มร่างบางที่อยู่ในชุดสูทยูนิฟอร์มของคณะกรรมการนักเรียนโรงเรียนซง ฮวาจิน ที่กำลังยิ้มร่าโบกไม้โบกมือมาให้เขา ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางนักเรียนมากมาย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร คังอินก็มองเห็นเสมอ

    “คังอิน~” เสียงนั้นร้องเรียกมาอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกับที่คราวนี้ ร่างบางที่ร้องเรียกเขาอยู่นั้นโบกมือให้อย่างแรงเสียจนเขากลัวว่าท่อนแขนบาง ๆ นั้นจะหักเอาเสียก่อน เจ้าตัวทำหน้ากระอักกระอ่วนใจที่จะขอทางจากบรรดานักเรียนรุ่นน้องที่ตอนนี้ต่างก็ยื้อแย่งกันมายืนตรงหน้าเขาราวกับมีอะไรสักอย่าง


    “พี่อีทึก!” 


    “ว้าย! พี่อีทึกจริง ๆ ด้วย พี่อีทึกค๊า~”


    เสียงแสบแก้วหูของบรรดานักเรียนหญิงรุ่นน้องดังขึ้นระงมราวกับเสียงกบหลังฝนตกก็มิปาน ร่างบางทำหน้าเหมือนจะร้องไห้เสียให้ได้ คงเป็นเพราะว่าอีทึกเป็นคนที่รูปร่างผอมบางเสียด้วยกระมัง จึงทำให้แทบไม่มีเรี่ยวแรงที่จะแหวกฝูงชนมาทางร่างสูงที่ยืนมองอยู่อย่างกระวนกระวายใจได้เลย แต่สำหรับคังอินที่เป็นนักกีฬาของโรงเรียนแล้ว เรื่องแค่นี้สบายมากสำหรับเขา เพียงแค่ร่างสูงหันไปจ้องมองบรรดานักเรียนหญิงที่ยืนกรี๊ดกร๊าดอยู่แถวนั้น พวกเธอก็ได้แต่หลบสายตาเขาแล้วหลีกทางให้แต่โดยดี แม้บางคนจะหน้าแดงก่ำ อดส่งเสียงกรี๊ดเบา ๆ ให้เขาไม่ได้ก็ตาม 


    “พี่อีทึก!” คังอินร้องเรียกออกไปก่อนที่จะเดินตรงเข้าไปคว้าข้อมือของร่างบางที่ทำท่าว่าจะไหลไปกับฝูงชนอีกรอบออกมาได้ อีทึกหอบหายใจก่อนจะหันมายิ้มให้ 


    “วันนี้นักเรียนเยอะมากเลยนะคังอิน พี่ว่าพี่เลิกประชุมช้าแล้วนะเนี่ย” อีทึกหรือปาร์ค จองซู พูดพลางยิ้มร่า แก้มของเจ้าตัวมีรอยบุ๋มของลักยิ้มที่ไม่ว่าจะเห็นกี่ครั้ง คังอินก็รู้เพียงแต่ว่ามันน่ารักน่ามอง ซึ่งสิ่งนี้เองที่เป็นเหมือนเสน่ห์ของอีทึกที่ทำเอาบรรดาเด็กสาวเกือบทั้งโรงเรียนแทบคลั่งตาย เพราะความที่อีทึกเป็นคนที่ไม่ถือตัว มีมนุษย์สัมพันธ์ดี ทั้งยังเป็นกันเองกับนักเรียนทุกสายชั้นแม่ว่าตนเองจะเป็นประธานนักเรียนก็ตาม บวกกับใบหน้าที่แสนงดงามหวานอ่อนหวานนั้นแล้ว อย่าว่าแต่นักเรียนหญิงเลยที่จะชื่นชอบ นักเรียนชายเองก็อดที่จะชื่นชมไปด้วยไม่ได้

    “ก็ช่วงนี้ใกล้จะถึงวันพิธีจบการศึกษาแล้วนี่ครับ พวกอาจารย์เค้าก็เลยสอนพิเศษเพิ่มเติมให้นิดหน่อย เพราะพอถึงวันนั้นแล้วอาจารย์เค้ากลัวว่าพวกเราจะไม่ได้เข้าเรียนกันน่ะสิครับ” คังอินตอบยิ้ม ๆ ตอนนี้ทั้งคังอินและอีทึกเดินออกมาจนถึงบริเวณหน้าอาคารเรียนที่เป็นพื้นทางเดินปูพื้นอิฐบล็อกกว้างขวาง มองเห็นนักเรียนที่กำลังเดินกลับบ้านกันเป็นกลุ่ม ๆ ได้อย่างชัดเจน แต่ก็ไม่มากมายเท่ากับนักเรียนตามทางเดินในอาคาร อีทึกเงยหน้าขึ้นรับลมเย็นที่พัดโชยมาเบาๆ เสียจนเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนที่ซอยระใบหน้าพลิ้วไหว คังอินที่มองเห็นภาพนั้นก็อดคิดไม่ได้ว่าอีทึกดูราวกับนางฟ้าเสียจริง ๆ

    “จะว่าไป...คังอินก็แรงเยอะเหมือนกันนะ เมื่อกี้ตรงเข้ามาดึงพี่แบบนั้นน่ะ ถ้าพี่เดินมาคนเดียวนะ มีหวังป่านนี้คงยังไปไม่ถึงไหนแน่เลย” อีทึกพูดก่อนจะชี้มาที่แขนของคังอิน ร่างสูงได้แต่ยิ้มแห้งๆ เพราะการที่เขาพาอีทึกออกมาได้นั้น ก็เป็นเพราะว่าพวกนักเรียนต่างก็เกรงกลัวเขาต่างหาก คังอินไม่ได้เป็นเพียงผู้รักษาประตูมือหนึ่งของโรงเรียนเพียงแค่นั้น หากแต่เมื่อช่วงที่เขาเข้ามาเรียนที่นี่ใหม่ ๆ ก็มีข่าวลือว่าเขาไปมีเรื่องชกต่อยกับรุ่นพี่มัธยมปลายต่างสถาบัน ซึ่งเรื่องนั้นก็ยังเป็นที่เล่าลือมาจนถึงทุกวันนี้ ถึงแม้เขาจะเป็นนักกีฬาคนดังของโรงเรียนแล้วก็ตาม

    “ก็...ผมแรงเยอะนี่ครับ” คังอินพูดเลี่ยงๆ ก่อนจะแกล้งยกแขนขึ้นเบ่งกล้ามโชว์ เรียกเสียงหัวเราะจากอีทึกได้อีก ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เขามีความสุขมากที่สุด

    “นั่นสินะ เพราะว่าคังอินแรงเยอะไง คังอินก็เลยคอยดูแลปกป้องพี่มาตลอดเลย” คำพูดนั้นของอีทึกทำเอาคังอินชะงัก ร่างสูงรู้สึกว่าอุณภูมิที่หน้าขึ้นพรวดพราดอย่างไร้สาเหตุ เพียงแค่นี้เขาก็พอใจ แม้ว่าสิ่งที่อีทึกพูดไปนั้น เจ้าตัวจะไม่ได้คิดอะไรในใจเลยก็ตาม

    “ก็ผมมีหน้าที่ปกป้องดูแลพี่อยู่แล้วนี่ครับ 'คิม ยองอุน' ผู้พิทักษ์ นางฟ้า 'ปาร์ค จองซู' ไง” คังอินเอ่ยถึงชื่อจริงของอีทึก ชื่อ'ปาร์ค จองซู' นั้นเป็นชื่อจริงที่ไม่ค่อยมีใครเรียกเท่าไหร่นัก เพราะคำว่าอีทึกนั้นมีความหมายว่าเป็นคนสำคัญ คนพิเศษ เป็นความนัยที่นักเรียนทั้งโรงเรียนต่างพากันเรียกหลังจากที่เลือกอีทึกมาเป็นประธานนักเรียนนั่นเอง พอได้ยินคังอินพูดแบบนั้นอีทึกก็เอียงคอไปมาพลางขมวดคิ้ว 


    “อา...ทำไมคังอินต้องบอกว่าพี่เป็นนางฟ้าด้วยล่ะ?” 


    “ก็เพราะว่าพี่เหมือนนางฟ้าน่ะสิ” 


    “เห?” 


    “ผมไม่พูดแล้ว ไปดีกว่า” คังอินตัดบทก่อนจะหันหลังวิ่งไปตามทางเดินทันที 


    “อ๊า~ อย่าหนีสิคังอิน บอกพี่มาเดี๋ยวนี้นะ!” อีทึกร้องก่อนจะรีบวิ่งตามคังอินที่หัวเราะร่วนไปตามทางเดินซึ่งเป็นภาพที่แสนคุ้นตาของบรรดานักเรียนที่กลับบ้านเย็น 


    ภาพประธานนักเรียนอีทึกที่ถึงแม้ยามอยู่ในที่ประชุมจะเคร่งขรึมเป็นผู้ใหญ่แค่ไหนอย่างไรก็ตาม แต่พออยู่ต่อหน้าคังอินแล้ว ร่างบางที่ว่าเป็นผู้ใหญ่ก็ดูเหมือนจะทำตัวเป็นเด็กไปเสียอย่างนั้น ทั้งที่อีทึกอยู่ชั้นมัธยมปลายปี 3 ซึ่งถือว่าเป็นปีสุดท้าย ต่างจากคังอินที่ถึงแม้จะอยู่ชั้นมัธยมปลายปี 2 ซึ่งห่างกับอีทึกเพียงแค่ 1 ปี แต่ร่างสูงก็ดูเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก เป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจในสายตาของหลาย ๆ คน ที่มองเห็นทั้ง 2 กลับบ้านด้วยความสนิทสนมกันบ่อย ๆ ด้วยว่าอีทึกเป็นคนที่ร่าเริง เข้ากับคนง่าย แต่คังอินนั้นกลับเป็นคนที่ค่อนข้างเงียบขรึมไม่ค่อยพูด มิหนำซ้ำยังมีข่าวลือที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับตัวเขาเสียอีก ดังนั้นจึงเป็นที่สนใจกันว่าเหตุใด ‘นางฟ้าไร้ปีก’ ปาร์ค จองซู ถึงได้มาสนิทสนมกับ ‘เจ้าชายแบดบอย’ คิม ยองอุนได้เช่นนี้ 


    คังอินวิ่งเหยาะ ๆ แบบจงใจจะเย้าร่างบางที่วิ่งกระหืดกระหอบไล่หลังมา ร่างสูงหรี่ตามองอีทึกที่ทำท่าทางเป็นเด็กเสียขนาดนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ เขาไม่ได้พูดเกินไปเลยกับคำว่า ‘นางฟ้า’ ในเมื่อฉายา ‘นางฟ้าไร้ปีก’ ที่คนทั้งโรงเรียนต่างพากันขนานนามนั้นก็เป็นเครื่องชี้บอกอยู่แล้วว่าอีทึกเป็นที่ชื่นชอบมากแค่ไหน 


    สำหรับโรงเรียนมัธยมซง ฮวาจิน เมื่อมองผ่านสายตาของบุคคลภายนอก ที่แห่งนี้เป็นโรงเรียนของผู้ดีมีเงินที่นักเรียนเรียนดีเข้าขั้นอัจฉริยะ มีนักเรียนที่เป็นนักกิจกรรมตัวยง และมีนักเรียนที่เป็นนักกีฬาฝีมือฉกาจที่ระดับอุดมศึกษาต่างอยากได้ตัวไปสังกัดในมหาวิทยาลัยเมื่อเรียนจบ หากแต่ถ้ามองจากสายตาของนักเรียนต่างโรงเรียน โรงเรียนซง ฮวาจิน ถือได้ว่าเป็นโรงเรียนที่คัดเลือกคณะกรรมการนักเรียนของโรงเรียน โดยเฉพาะประธานนักเรียนนั้น นอกจากจะต้องมีความสามารถแล้ว หน้าตาก็เป็นส่วนสำคัญอย่างหนึ่งที่สามารถอวดแก่โรงเรียนอื่นได้อย่างไม่อายใคร ดังคำกล่าวที่ว่า ‘หากได้เข้ามาที่โรงเรียนซง ฮวาจิน เพียงแค่ได้เห็นหน้าประธานนักเรียนของที่นี่ก็ถือว่าคุ้ม’ และตลอดปีการศึกษาที่ผ่านมา อีทึกก็ไม่เคยทำให้ทุกคนในโรงเรียนต้องผิดหวังกับการรับตำแหน่งประธานนักเรียนครั้งนี้เลยแม้สักครั้ง 


    “เหนื่อยหรือยังครับพี่อีทึก?” คังอินตะโกนถามร่างบางที่เดินหอบหายใจตามมาด้านหลัง ร่างสูงจงใจหยุดยืนให้อีทึกเดินเข้ามาใกล้ ทำเอาคนที่วิ่งช้ากว่าทำเสียงจิ๊ปากแบบไม่พอใจก่อนจะซัดกำปั้นใส่ คังอินทำหน้าเหวอรีบเอามือมารับป้องกันไว้ได้ทันท่วงที 

    “หวา! พี่อีทึก ทำไมเดี๋ยวนี้โหดกับผมอย่างนี้ล่ะ?” คังอินพูดพลางยิ้ม มือของร่างสูงนั้นรองรับมือของอีทึกที่กำหมัดเสียแน่น อีทึกทำแก้มป่อง ๆ แบบขัดใจที่ไม่สามารถทำอะไรรุ่นน้องที่ตัวโตกว่าคนนี้ได้เลยก็ลดมือลง คังอินเห็นแบบนั้นจึงปล่อยมือแล้วยิ้มกว้าง หากแต่ร่างบางกลับทำหน้าบึ้ง ที่ดูยังไงก็แกล้งทำเสียมากกว่าที่จะรู้สึกโกรธจริง

    “ก็คังอินชอบแกล้งพี่นี่นา!” อีทึกพูดแบบงอน ๆ “ถือว่าตัวโตกว่าแล้วมาแกล้งรุ่นพี่ได้ยังไง เดี๋ยวพี่ก็เขียนชื่อส่งฝ่ายปกครองให้โดยภาคทัณฑ์หรอก” คังอินได้ยินดังนั้นก็หัวเราะ เพราะคำพูดนี้อีทึกชอบพูดขู่เขาบ่อย ๆ จนเขาชินไปกับมันแล้ว เลยมองว่าดูตลกขบขันเสียมากกว่าจะเป็นเรื่องซีเรียส

    “แหม...พี่อีทึกครับ ถ้าเกิดว่าพี่พูดแบบนั้นแล้วทำจริงล่ะก็ ป่านนี้ผมคงโดนทัณฑ์บนไล่ออกไปตั้งนานแล้วล่ะ” พูดจบ คังอินก็โดนชกเข้าที่ต้นแขนเบา ๆ อีกหนึ่งทีเป็นการตอบแทนคำพูดที่ยั่วโมโหนางฟ้าประจำโรงเรียน อีทึกเชิดหน้าเสียทีหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น 


    “ก็รู้อยู่แล้วนี่...พี่ยอมให้คังอินมากกว่าใครแล้วนะ เข้าใจรึเปล่า?” 


    “ครับ...ผมเข้าใจ” คังอินรับคำก่อนจะก้มหน้านิ่ง เดินเคียงข้างประธานนักเรียนแสนร่าเริงที่ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะไม่เข้าใจความรู้สึกเขาเอาเสียเลย


    เข้าใจครับ...พี่อีทึก 


    เข้าใจว่าพี่ยอมให้ผมมากกว่าใคร เข้าใจว่าพี่พูดคุยกับผมอย่างสนิทสนมมาตลอด 

    เข้าใจว่าพี่กลับบ้านกับผมทุกเย็นเพราะว่าผมกับพี่พักอยู่หอเดียวกัน 

    เข้าใจว่าพี่เป็นประธานนักเรียนถึงได้แสนดีกับทุกคนไม่เว้นแม้แต่ผม


    เข้าใจว่าถึงแม้จะรู้ดีว่าเป็นเพียงแค่นั้น...แต่ผมก็อดรักพี่ไม่ได้

    พี่อีทึกครับ...แค่เรื่องเดียวที่ผมไม่เคยเข้าใจเลย...

    พี่รักผมบ้างหรือเปล่า?

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


    เธอจะมีใจหรือเปล่า?

    เธอเคยมองมาที่ชั้นหรือเปล่า?

    ที่เราเป็นอยู่นั้น...คืออะไร?

    เธอจะมีใจหรือเปล่า?

    มันคือความจริงที่ชั้นอยากรู้ เก็บอยู่ในใจแต่ไม่อยากถาม...

    กลัวรับมันไม่ไหว...



    “นายเปิดเพลงอะไรของนาย เยซอง?”

    เสียงเพลงที่เปิดดังมาจากมือถือของเยซอง ตามมาด้วยเสียงของฮยอกแจ เพื่อนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ทำให้คังอินต้องละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ ตอนนี้เป็นช่วงเวลาพักกลางวัน หากแต่เขาและกลุ่มเพื่อนที่สนิทกันก็มักจะนั่งจับกลุ่มคุยกันในห้องมากกว่าที่จะต้องไปแออัดยัดเยียดเบียดเสียดแย่งที่นั่งกับนักเรียนที่ต่อคิวเข้าแถวซื้ออาหารที่ศูนย์อาหาร นอกจากเขาที่กำลังนั่งอ่านหนังสือ ก็ยังมี ฮยอกแจหรืออึนฮยอกที่กำลังถกเถียงกับเยซอง ซีวอนที่เอาแต่นิ่งเงียบมาทั้งวัน คิบอมที่นั่งกระดิกเท้าฟังเพลงจากหูฟังที่เสียบต่อกับเครื่อง MP4 อย่างสบายอารมณ์ และชินดงที่กำลังแย่งชิ้นหมูทอดจากข้าวกล่องของ ซองมิน สมาชิกในกลุ่มที่เรียบร้อยที่สุด

    “ก็เพลงที่เรียววุคจะขึ้นร้องบนเวทีในพิธีจบการศึกษาของรุ่นพี่ปี 3 ไงล่ะ” เยซองตอบอย่างไม่สะทกสะท้านอะไร ก่อนจะเร่งเสียงให้ดังขึ้นอีกจนฮยอกแจทนไม่ไหวต้องบ่นออกมาอีกเป็นคำรบสอง

    “แล้วนายจะเปิดให้ดัง ๆ ทำบ้าอะไรเนี่ย ! ฟังแล้วหดหู่พิกล ชั้นรู้ว่านายชอบน้องเค้ามาก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องมายัดเยียดเพลงที่เรียววุคร้องให้ชั้นฟังนี่นา...” ฮยอกแจบ่นฉอด ๆ ใส่เยซอง คนตาตี่แก้มป่องยิ้มมุมปากก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ

    “ก็เพราะว่านายชอบฟังแต่เพลงแร็ป ฮิพฮอพอะไรก็ไม่รู้ของนายทุกวัน ชั้นว่าเดี๋ยวมันจะทำให้นายประสาทเสื่อมเสียก่อนน่ะสิ” 

    คำพูดของเยซองทำเอาฮยอกแจตาโต ชี้นิ้วไปที่เยซองทันที


    “นายอย่ามาว่าชั้นนะ!”


    “แล้วนายมาว่าเรียววุคก่อนทำไม!”


    ฮยอกแจกับเยซองยังคงถกเถียงกันเสียงดังขั้นเรื่อย ๆ โดยมีแบ็กกราวด์เป็นซองมินที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ชูกล่องข้าวขึ้นเหนือหัวหนีชินดง คังอินส่ายหน้ามองเพื่อน ๆ อย่างระอา

    “นี่...ขอโทษทีนะพวกนาย แต่ขอเวลาเงียบ ๆ ซักนาทีให้ชั้นอ่านหนังสือก่อนได้มั้ย?” เสียงของคังอินที่พูดแทรกขึ้นทำให้ฮยอกแจและเยซองที่กำลังโต้เถียงกันอยู่เงียบกริบ ส่วนชินดงก็ดึงเก้าอี้กลับมานั่งที่ตัวเองก่อนที่ซองมินจะเอาข้าวกล่องวางลงบนโต๊ะเหมือนเดิมแต่ก็ไม่วายชำเลืองมองคู่กรณีที่นั่งอยู่ข้าง ๆ


    ถึงแม้จะเป็นเพื่อนสนิทกัน หากแต่ก็ไม่มีใครกล้าหือกับคังอิน

    เพราะทุกคนรู้ว่าถ้าทำให้คังอินอารมณ์เสียจะเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน...


    “อ้าว... ทำไมเงียบกันขนาดนั้นล่ะ? ชั้นขอแค่อย่าเสียงดังก็พอ ไม่จำเป็นต้องปิดปากสนิทแบบนั้นนี่” คังอินที่ละสายตาจากหนังสือเอ่ยขึ้นพลางขมวดคิ้ว สายตาจึงเหลือบไปเห็นซีวอนที่นั่งเงียบอยู่คนเดียว จริง ๆ แล้วเขาก็สังเกตเห็นแล้วว่าพักนี้เพื่อนเขาดูเงียบ ๆ ซึม ๆ ไปอย่างไรชอบกล

    “ซีวอน นายเป็นอะไร? ชั้นเห็นนายนั่งเงียบตลอดทั้งวันแล้ว ไม่สบายเหรอ?” คังอินเอ่ยถามเพื่อนชายที่นั่งอยู่ที่โต๊ะชิดหน้าต่างซึ่งอยู่ห่างจากโต๊ะที่พวกเขาจับกลุ่มกันสุดปลายอ้อปลายแขม จนแทบจะดูเหมือนว่าไม่ได้มีส่วนรวมในกลุ่มช่วงพักกลางวันเลยด้วยซ้ำ และเจ้าตัวก็ดูเหมือนจะจงใจนั่งให้ห่างจากพวกเขาเสียด้วย ซีวอนเงยหน้าขึ้นกระตุกยิ้มมุมปากให้น้อย ๆ 


    “เปล่า ชั้นสบายดี” 


    คำตอบสั้นเหลือประมาณของ เชว ซีวอน เจ้าของฉายา ‘เจ้าชายรูปงาม’ นั้น ทำเอาคังอินส่ายหน้า หากแต่คนตอบเมื่อครู่ตอนนี้ก็ฟุบหน้าลงบนโต๊ะเรียนเรียบร้อยแล้ว แถมยังนั่งหันหลังให้พวกเขาเสียอีก จนแทบดูไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่ สมาชิกคนอื่น ๆ มองกิริยาท่าทางนั้นของซีวอนอย่างงง ๆ ต่างจากคิบอมที่นั่งฟังเพลงอยู่นานแล้ว เมื่อเห็นว่าซีวอนเป็นแบบนั้นเจ้าตัวจึงถอนหายใจก่อนจะกระตุกสายหูฟังออก

    “เลิกทำท่าหดหู่ประชดชีวิตตัวเองแบบนั้นซักทีได้มั้ย! ชั้นเห็นแล้วมันขัดลูกตา!” คิบอมเอ่ยกระแทกเสียง เหมือนกับจะประชดประชันคนที่นั่งหันหลังให้เต็มที่ แต่ในสายตาของคังอินแล้ว เขาพอจะรู้ว่าคิบอมหมายความว่าอย่างไร คิม คิบอม เด็กหนุ่มที่เพิ่งย้ายมาจากอเมริกาเมื่อปีที่แล้ว เพียงไม่นานนักก็สนิทกับกลุ่มของเขาได้อย่างรวดเร็ว เพราะถึงแม้ว่าบางครั้งบางที เจ้าคนยิ้มยากแสนเย็นชาจนถูกขนานนามว่า ‘เจ้าหญิงสโนว์ไวท์’ จะพูดจาที่ดูเหมือนขัดหู แต่นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่รู้จะแสดงออกอย่างไรมากกว่า

    “อ้าว! คิบอม พูดแบบนั้นเดี๋ยวซีวอนก็เสียใจแย่สิ” ซองมินพูดขึ้น ร่างอวบที่ตัวเล็กกว่าทำหน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนจะดุใส่คิบอม แต่ในสายตาของทุกคน ท่าทางแบบนั้นของ ‘กระต่ายน้อยสีชมพู’ หรือ ‘เจ้าชายฟักทองหวาน’ ลี ซองมิน นั้นดูน่ารักมากกว่าที่จะน่ากลัว

    “นายเป็นเพื่อนสนิทของซีวอนไม่ใช่เหรอ? ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ?” คนตัวเล็กว่าอีกเป็นคำรบสอง ถึงแม้จะถูกว่าหากแต่คิบอมก็ยิ้มอ่อนโยนให้ซองมิน ก็เพราะเขาเป็นเพื่อนสนิทของซีวอน เขาจึงห่วงซีวอนมากกว่าใคร และเพราะว่าเป็นเพื่อนสนิท ซีวอนจึงเข้าใจคำพูดเขาได้อย่างไม่ยากเย็น เพราะในยามที่ลงแข่งขันฟุตบอลด้วยกัน แม้คำพูดคำจาจะพูดกระแทกกระทั้นใส่กันแค่ไหน แต่สายตาที่สื่อถึงกันนั้นเป็นอันรู้กันว่าต่างคนต่างคิดอะไรอยู่ แล้วก็เพราะคำว่าเพื่อนสนิทนี้เองที่ทำให้เขารู้สาเหตุที่ทำให้ซีวอนนั่งซึมอยู่ตลอดหลายวันที่ผ่านมานี้

    “ก็เพราะว่าเป็นเพื่อนสนิทกันน่ะสิ...ซองมิน” เยซองที่ตอนนี้ปิดเพลงบนมือถือเรียบร้อยแล้วหันมาพูดขึ้นบ้าง ก่อนที่จะส่งสายตาคมไปที่คิบอมพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูเหมือนจะรู้ทัน คิบอมหน้าขึ้นสีเลือดฝาดเพียงชั่วครู่ก็กลับเป็นปกติอีกครั้ง

    “ก็ถูกนะเยซอง ก็เพราะชั้นเป็นเพื่อนสนิทน่ะสิ ถึงได้รู้ว่า ไอ้บ้าที่นั่งซึมกระทือทั้งวันเนี่ย มันโดนใครหักอกมา!” คิบอมพูดอย่างเสียไม่ได้พลางยกแขนขึ้นกอดอกแล้วกระโดดขึ้นนั่งบนโต๊ะเรียน ทุกคนที่ได้ยินคำพูดนั้นต่างเบิกตากว้างราวกับไม่เชื่อหูตัวเอง

    “จริงเหรอ คิบอม?” ชินดงที่ดูเหมือนจะเอ๊าท์วงสนทนาไปชั่วครู่ถามขึ้น ตอนนี้ความรู้สึกของทุกคนต่างสงสัยและประหลาดใจไปตาม ๆ กัน ถ้าคำพูดของคิบอมเป็นจริงแล้วล่ะก็ คนคนนั้นที่ซีวอนชอบจะต้องมีความมั่นใจในตัวเองสูงมาก ถึงได้กล้าสลัดรักเจ้าชายที่เป็นที่หมายปองของบรรดาสาว ๆ และไม่สาวเกือบทั้งโรงเรียน มีเพียงคังอินที่รู้เท่านั้นว่าอะไรเป็นอะไร ร่างสูงจึงเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ


    “เพราะพี่ฮีชอลหรือ ซีวอน?”


    “หา!!” สิ้นเสียงของคังอิน ทุกคนในกลุมเว้นแต่คิบอมก็ร้องขึ้นเสียงดัง ก่อนที่ทั้งหมดจะกลืนน้ำลายลงคอไปพร้อมกับคำพูดที่คิดอยากจะพูดของตน ซึ่งดูเหมือนว่าจะพูดยังไงก็พูดออกมาไม่ได้


    ไม่มีใครเลยที่รู้จัก ‘นางฟ้าไร้ปีก’ ปาร์ค จองซู แล้วจะไม่รู้จัก ‘เจ้าหญิงซินเดอเรลล่า’ คิม ฮีชอล


    ฮีชอลเป็นรุ่นพี่ของพวกเขาที่เป็นรองประธานนักเรียน ซึ่งอยู่ห้องเดียวกันกับอีทึกที่เป็นประธานนักเรียน ด้วยใบหน้าที่แสนงดงามราวกับเจ้าหญิงที่ผู้หญิงแท้ ๆ ยังอาย ทั้งรูปร่างและท่าทางที่แสดงออกในบางครั้งก็ดูเหมือนกับผู้หญิง ถ้าไม่เห็นว่าชุดสูทฟอร์มกรรมการนักเรียนที่ฮีชอลใส่เป็นกางเกงนั้น ก็แทบไม่น่าเชื่อว่าฮีชอลจะเป็นผู้ชายจริง ๆ แต่ถึงอย่างนั้นแล้ว แม้จะรู้ว่าฮีชอลเป็นผู้ชาย แต่นักเรียนชายหลายคนแม้กระทั่งต่างโรงเรียนก็อดที่จะหลงรักไม่ได้ หากแต่ไม่มีใครเลยที่จะสามารถคว้าหัวใจของฮีชอลไปได้


    เจ้าหญิงซินเดอเรลล่าที่ไม่มีวันทิ้งรองเท้าแก้วรอให้เจ้าชายมาตามหา

    เจ้าหญิงซินเดอเรลล่าที่ไม่มีวันยอมให้ถูกรังแกได้ง่าย ๆ เหมือนในนิยาย


    ซีวอน...นายเอื้อมมือไขว่คว้าสิ่งที่อยู่สูงเกินไปหรือเปล่า?


    “ยังจะนั่งนิ่งอีก นิ่งไปทำไม นิ่งแล้วได้อะไรขึ้นมา ห๊ะ! ตอบชั้นซิ เชว ซีวอน” คิบอมที่ทนไม่ไหวกับท่าทางเซื่องซึมแบบนั้นของซีวอน ลุกขึ้นเดินตรงไปกระชากแขนเพื่อนที่นอนฟุบหน้าอยู่บนโต๊ะให้ลุกขึ้นมาเผชิญหน้า คิดว่าจะเจอใบหน้าหงอยเหงาซึมเศร้าแบบเมื่อครู่ หากแต่ซีวอนกลับยิ้มเยาะมุมปากแบบที่เจ้าตัวชอบทำบ่อย ๆ คิบอมถึงกลับผงะไป

    “ได้รู้ไงว่า...ในโลกนี้นอกจากจะมีคนตาบอดเพราะความรักแล้ว ยังมีคนงี่เง่า ที่เอาแต่ห่วงเพื่อนตัวเองจนลืมไปว่าต้องอยู่ซ้อมฟุตบอลเมื่อเย็นวานนี้จนถูกโค้ชทำโทษให้วิ่งรอบสนามน่ะ” สิ้นคำพูดของซีวอน ทุกคนหันมามองคิบอมเป็นตาเดียว เจ้าหญิงสโนว์ไวท์ที่แม้ไม่ใช่เจ้าชายสมกับชื่อยืนกำหมัดแน่น หากแต่แก้มขาว ๆ นั้นกลับถูกแต่งแต้มด้วยเลือดฝาดเสียจนเป็นสีชมพู

    “ไอ้...ไอ้ซีวอน ไอ้..” คิบอมพูดออกมาได้แค่นั้นเพราะไม่รู้จะสรรหาคำใด ๆ มาว่าซีวอนได้อีกแล้ว ในเมื่อสมองตอนนี้ว่างเปล่ากลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด ถึงจะรู้ว่าซีวอนพูดออกมาเพราะไม่ต้องการให้ตัวเขาเองและเพื่อน ๆ เป็นห่วงไปมากกว่านี้ แต่เรื่องอะไรกันถึงต้องขุดเอาเรื่องน่าอายเมื่อวานนี้ขึ้นมาพูดต่อหน้าเพื่อนคนอื่นให้เขาต้องขายหน้าด้วยเล่า


    ถ้าไม่ติดว่ามันเป็นเพื่อนสนิทที่กำลังอกหักนะ พ่อจะต่อยหน้ามันให้คว่ำเลยคอยดู


    “เถียงกันไปก็เปล่าประโยชน์” ซีวอนถอนหายใจพลางลุกขึ้นยืน “ชั้นว่าจะไปเล่นบอลแข่งกับพวกห้อง B เสียหน่อย มีใครจะไปกับชั้นบ้าง?” ร่างสูงพูดขึ้นแล้วหันไปมองหน้าเพื่อน ๆ อย่างรอคอยคำตอบ ไม่เกิน 3 วินาทีหรอก คนคนนั้นต้องตอบรับเขากลับมาแน่ ๆ


    “ชั้นไปด้วยก็ได้!”


    เสียงที่ตอบกลับมาแบบเสียไม่ได้นั้น เป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจาก คิม คิบอม เพียงคนเดียวเท่านั้น ซีวอนเห็นแบบนั้นก็ยิ้มกว้าง คว้ากระเป๋าตัวเองเดินออกจากห้องเรียน โดยมีคิบอมที่บ่นพึมพำไม่ได้ศัพท์วิ่งตามไปติด ๆ คนอื่นๆ ที่มองตามถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเห็นว่าซีวอนไปหยุดยืนรอคิบอมอยู่หน้าห้อง จากนั้นร่างสูงก็โดนคนที่เดินตามไปนั้นฟาดเข้าที่หลังเสียทีหนึ่ง

    “นี่...2 คนนี้ชั้นว่ามันชักยังไง ๆ อยู่นะ คังอิน” เยซองที่มองตามทั้ง 2 คนที่เดินไปด้วยกันเอ่ยขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หากแต่คังอินกลับยิ้มแล้วส่ายหน้า


    ถ้าจะคิดว่าทั้ง 2 คนนั้นชอบกันล่ะก็...ลืมมันไปได้เลย

    ในเมื่อมีความจริงบางอย่างที่คนอื่น ๆ ไม่รู้ซ่อนอยู่...


    “ไม่ใช่หรอกเยซอง” คังอินพูดตัดบทพลางหันกลับมาสนใจหนังสือในมือของตน ในขณะทีซองมินเองก็กลับไปสนใจข้าวกล่องบนโต๊ะของตัวเองต่อไป โดยมีฮยอกแจและชินดงนั่งอยู่ข้าง ๆ เยซองถอนหายใจก่อนจะโยนโทรศัพท์มือถือของตนให้คังอินที่รับไว้ได้โดยไม่มีพลาดตามสัญชาตญาณของผู้รักษาประตูมือหนึ่ง

    “ชั้นให้ยืม เอาไปฟังซะล่ะ” เยซองหมายถึงเพลงที่เขาเปิดเมื่อครู่ ซึ่งดูแล้วท่าทางคงจะยังไม่เข้าหูคังอินที่กำลังจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือเมื่อครู่เป็นแน่

    “ ขอบใจ” คังอินพยักหน้าแล้วเก็บมือถือเรื่องนั้นใส่กระเป๋านักเรียน ไม่คิดจะถามว่าคนตรงหน้าต้องการจะใช้หรือไม่ เพราะเป็นที่รู้กันดีอยู่ว่าเยซองเป็นลูกชายเจ้าของบริษัทผลิตมือถือยักษ์ใหญ่ของประเทศ มิหนำซ้ำเครือข่ายสัญญาณต่าง ๆ ที่โยงใยไปทั่วประเทศนั้นก็เป็นของลุงของเขาเสียอีก เพราะฉะนั้นคนตาตี่แก้มป่องตรงหน้าก็ไม่จำเป็นต้องใส่ใจ ในเมื่อในข้างในกระเป๋าของตัวเองก็ยังมีโทรศัพท์มือถืออยู่อีกเครื่องหนึ่งที่ใช้โทรเป็นประจำอยู่แล้ว

    เยซองลุกขึ้นจากที่นั่งก่อนจะเดินไปทางประตูห้องเรียน ซึ่งหมายความว่าในชั่วโมงถัดไป เจ้าตัวคงต้องขอผ่านอีกคนเป็นแน่ คังอินแม้จะเห็นด้วยว่าชั่วโมงประวัติศาสตร์นั้นน่าเบื่อแค่ไหน เพราะอย่างไรเสียแค่กลับไปอ่านหนังสือที่บ้านก็เข้าใจเองได้ง่าย ๆ แต่ก็ไม่อยากให้อาจารย์ที่มาสอนต้องเสียน้ำใจนัก อีกทั้งยังไม่รู้ว่าเวลาที่เหลืออยู่นั้นจะเอาไปทำอะไรจนกว่าจะถึงเวลาที่เขานัดหมายกับอีทึก นั่งเบื่อ ๆ ไปซักชั่วโมงสองชั่วโมงก็ดีเหมือนกัน

    “ว่าแต่นายเถอะ...คิม ยองอุน” เยซองหันมาพูดก่อนจะเดินออกจากห้อง

    “ไม่คิดจะถามพี่อีทึกจริง ๆ หรือว่าคิดยังไงกับนายกันแน่?”


    .
    .
    .


    “ซีวอน! จะรีบเดินไปถึงไหน เวลาพักกลางวันไม่หนีนายไปไหนหรอกนะ!” คิบอมที่เดินตามร่างสูงมาจนทันเอ่ยขึ้นอย่างฉุน ๆ ตามโถงทางเดินที่ไม่ค่อยมีนักเรียนมากนักเพราะเป็นเวลาพักกลางวัน ซีวอนที่เดินนำหน้าโค้งให้บรรดานักเรียนตามทางเดินที่ส่งเสียงทักทายมาเล็กน้อยโดยไม่ลดความเร็วของการก้าวเท้าลงเลย

    “ใครกันแน่ที่รีบ” ซีวอนหันมาถามคนที่เดินตามมา “นายต่างหากไม่ใช่หรือไง คิบอม?” ไม่ทันที่คิบอมจะได้โต้เถียงอะไรกลับไป ทั้งคู่ก็เดินมาถึงหน้าห้อง 5-B ห้องเรียนของนักเรียนที่ป็นทีมฟุตบอลที่เก่งกาจอีกห้องหนึ่งที่ซีวอนมักจะมานัดดวลฝีเท้าท้าพนันในช่วงพักเที่ยงเสมอ หากแต่สำหรับคิบอมแล้ว ใครคนหนึ่งในห้องนี้กลับมีค่ามากกว่านั้น เพียงแค่ทั้ง 2 คนยื่นหน้าเข้าไปนั้นก็มีเสียงใส ๆ ทักทายดังมาจากในห้อง


    “ซีวอน...คิบอม?”


    เพียงแค่ได้ยินเสียงของเจ้าตัว หน้าของคิบอมก็ร้อนผ่าว ร่างสูงยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไม่ให้หลุดพูดอะไรออกไป หากแต่ซีวอนที่ยืนมองอยู่ข้างๆ นั้นกลับยิ้มมุมปาก เจ้าหญิงหิมะผู้แสนเย็นชาผู้ไม่เคยหวั่นไหวกับใครเลย กลับถึงคราวที่หิมะต้องละลายหมดไม่มีเหลือ เมื่อเจอกับคนคนนี้ ‘เจ้าชายยิ้มเสน่ห์’ ลี ดงแฮ

    “มีธุระอะไรไม่ทราบ?” ดงแฮที่ตอนนี้เดินมายืนเท้าสะเอวเบื้องหน้าทั้ง 2 ถามขึ้น แม้จะเป็นเพียงคำพูดห้วน ๆ และท่าทางที่ดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย แต่สำหรับคิบอมแล้ว ไม่ว่าคนคนนี้จะปฏิบัติต่อเขาราวกับซาตานอย่างไร เขาก็ยังมองว่า ลี ดงแฮ เหมือนนางฟ้าอยู่ดี

    “ถ้าไม่มีคงไม่ถ่อมาถึงนี่หรอกนะ” ซีวอนพูดเสียงเรียบ หากแต่แววตานั้นกลับแฝงความระรื่นไว้ พอ ๆ กับที่มุมปากของเจ้าตัวกระตุกยิ้มให้ร่างบางเสียทีหนึ่ง ดงแฮหายใจฟึดฟัดแล้วเม้มปาก

    “ก็คงจะผีพนันเข้าสิงละมั้ง...ดงแฮ” เสียงแปลกปลอมดังมาจากด้านหลังของดงแฮ เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งเดินเข้ามาร่วมวงสนทนา ท่อนแขนแข็งแรงนั้นโอบรอบคอดงแฮจากด้านหลังราวกับหวงแหนแล้วจิกสายตาคมมองผู้มาเยือนทั้ง 2 คน

    “ชั้นไม่ได้มีธุระกับนายเสียหน่อย ชอง ยุนโฮ” ซีวอนเหยียดยิ้มให้ “เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าห้อง B สอนให้นักเรียนรู้จัก ‘แส่’ แล้วก็ ‘สอด’ ธุระคนอื่นที่ไม่ใช่ของตัวเองด้วย” ร่างสูงจิกกัดแบบไม่ไว้หน้า ทำเอายุนโฮขบกรามแน่น หากดงแฮไม่ปรามไว้เสียก่อนคงได้มีการวิวาทกันหน้าห้องเป็นแน่

    “น่า...น่า ยุนโฮ อย่าอารมณ์ร้อนไปหน่อยเลย” ดงแฮร้องห้ามเพื่อนไว้ ยุนโฮถอนหายใจพรืดก่อนที่จะถอยห่างมายืนนิ่ง ๆ แต่ก็ยังคงจ้องมองซีวอนไม่วางตา ในขณะที่ซีวอนยิ้มเยาะในชัยชนะของตน
    ร่างบางมองทั้ง 2 คนที่ทำเหมือนเป็นเด็กไม่รู้จักโตเสียทีก็ส่ายหน้า

    “เอาล่ะ...ซีวอน วันนี้นายจะเลือกใครไปล่ะ?” ดงแฮเปลี่ยนเรื่องหันมาพูดกับซีวอน การที่ทั้งซีวอนและคิบอมมาเยือนที่ห้อง B นั้น มีอยู่เรื่องเดียวสำหรับความเป็นอริกันระหว่างห้อง A และ ห้อง B นั่นก็คือการแข่งฟุตบอลแบบท้าพนันเอาเงิน ซึ่งทุกคนต่างก็รู้ว่าทั้ง 2 คนต่างก็เป็นมิดฟิลด์ตัวฉกาจของทีมฟุตบอลของโรงเรียน หากแต่การท้าแข่งของทั้งคู่มากกว่านั้นตรงที่ทั้ง 2 คนก็ต่างอยากแสดงฝีมือ ดังนั้นกติกาจึงมีอยู่ว่า ทั้ง 2 คนจะอยู่คนละทีม แล้วเลือกใครก็ได้คนหนึ่งมาเป็นคู่หูในการเลี้ยงส่งบอล หากชนะก็จะได้รับเงินโดยแบ่งเท่า ๆ กัน นั่นทำให้คนบางคนในห้อง B มองว่า ตัวเองถูกคนห้อง Aเหยียดหยามมากแค่ไหน ทั้งที่ทั้ง 2 คนไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากความสนุก แม้บางครั้งปากเปราะของซีวอนจะทำงานอย่างรวดเร็วไปหน่อยก็เถอะ

    “อืม...เรียกจุนซูมาทีสิ” ซีวอนออกปากเรียก ‘คิม จุนซู’ เด็กหนุ่มห้อง B ที่มีฝีเท้าเก่งกาจไม่แพ้กันมาเป็นคู่หู เพียงครู่เดียว ดงแฮก็ไปตามเจ้าตัวออกมา จุนซูเป็นคนร่าเริงและค่อนข้างจะเรียบร้อยด้วยซ้ำ หากแต่คราวลงสนามกลับเล่นได้ดีจนน่าตกใจ เพราะภายนอกเป็นแบบนั้น ทำเอาคราวก่อนซีวอนต้องพลาดท่าเสียเงินแพ้พนันให้กับคิบอมที่อยู่อีกฝ่ายหนึ่งมาแล้ว

    “หวัดดี! ซีวอน” จุนซูเอ่ยทักทายแล้วยิ้มกว้างให้ทีหนึ่ง ก็พอดีกับที่หันไปเห็นคิบอมที่ยืนนิ่งเงียบอยู่คนเดียว “อ้าว! คิบอมมาด้วยเหรอ? เอ...งั้นคราวนี้ชั้นก็ไม่ได้จับคู่กับคิบอมแล้วสิ” จุนซูพูดอย่างเสียดาย คิบอมเห็นท่าทางไร้เดียงสาแบบนั้นของจุนซูก็ยิ้มออกมา

    “ไม่เป็นไรหรอก เอาไว้คราวหน้าก็ได้” ถึงใบหน้าจะแย้มยิ้ม แต่สายตาของคิบอมก็จิกมองไปที่ซีวอนที่ทำท่าทางเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวที่แย่งคู่หูของเขาไปเสียอย่างนั้นราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ ก่อนที่สายตานั้นจะอ่อนโยนลงเมื่อหันกลับมามองที่ร่างบางตรงหน้า

    “งั้น...ลี ดงแฮ จะกรุณาไปเป็นคู่หูผมได้ไหมครับ?” คิบอมพูดขึ้นราวกับจะเย้าคนตรงหน้าอยู่ในที ทั้งที่ในใจนั้นพองโตราวกับจะหลุดออกมาข้างนอก ดงแฮยิ้มให้ทีหนึ่ง ดูเป็นยิ้มที่ร้ายกาจไม่เบาเลยในสายตาของซีวอน แต่สำหรับคิบอมแล้ว เป็นยิ้มที่อ่อนหวานอย่างยิ่ง

    “เป็นเกียรติ อ้อ...ไม่ใช่สิ เป็นอะไรที่เกลียดมากทีเดียวเลยล่ะ คิม คิบอม” ดงแฮตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่เชือดเฉือนไม่แพ้วาจา ซีวอนหลุดขำออกมา ในขณะที่คิบอมได้แต่ยิ้มอย่างใจเย็น

    ถึงร้ายก็รักครับผม...ลี ดงแฮ

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    บรรยากาศของทางเดินระหว่างอาคารในยามนี้นั้นดูเงียบเหงาอย่างไรชอบกล อาจเป็นเพราะว่าวันนี้เป็นวันที่ฝนตกหนักเกือบตลอดวัน ดังนั้นเมื่อฝนเริ่มซาลง บรรดานักเรียนทั้งหลายนั้นจึงพากันรีบกลับบ้านไปกันเสียหมด เพื่อให้ไม่ถูกฝนระลอกใหญ่ที่อาจจะเล่นงานลงมาซ้ำอีกได้ ดังนั้นตามห้องเรียนต่าง ๆ จึงไม่มีนักเรียนที่ซุกซนคนไหนกลับบ้านผิดเวลา แม้กระทั่งห้องซ้อมตามชมรมต่าง ๆ ก็มีนักเรียนที่อยู่เย็นซ้อมเพียงไม่กี่คนเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียนที่มีรถยนต์ส่วนตัว หรือไม่ก็มีบ้านหรือหอพักอยู่ใกล้โรงเรียนแทบทั้งสิ้น คังอินเดินทอดน่องไปตามทางเดินช้า ๆ อย่างสบายอารมณ์ และไม่ลืมที่จะแวะทักทายเพื่อนสนิทตัวแสบที่วันนี้ก็คาดว่าน่าจะมาสิงสถิตย์อยู่ที่ชมรมดนตรีอีกเช่นเคย หากแต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้ห้องซ้อมดนตรีนั้น เสียงเพลงที่แว่วดังมาจากด้านในก็ทำให้คังอินต้องหยุดยืนฟังเหมือนต้องมนต์ 


    ได้ชิดเพียงลมหายใจ...แค่ได้ใช้เวลาร่วมกัน

     แค่เพื่อนเท่านั้น แต่มันเกินห้ามใจ...

    ที่ค้างในความรู้สึก ลึก ๆ เธอคิดยังไง...

    รักเธอเท่าไร แต่ไม่เคยพูดกัน

    อะไรที่อยู่ในใจก็เก็บเอาไว้...มันมีความสุขแค่นี้ก็ดีมากมาย...


    เธอเคยมองมาที่ชั้นหรือเปล่า?

    ที่เราเป็นอยู่นั้น...คืออะไร?

    เธอจะมีใจหรือเปล่า?

    มันคือความจริงที่ชั้นอยากรู้ เก็บอยู่ในใจแต่ไม่อยากถาม...

    กลัวว่าเธอเปลี่ยนไป...



    “ว่าไง...เพราะมั้ย? คิม ยองอุน” เสียงทักทายตามแบบฉบับของเยซองนั้นทำเอาคังอินตื่นจากภวังค์ ร่างสูงส่ายหน้าไปมาสองสามครั้ง ให้ตายสิ นี่เขาเคลิ้มถึงขั้นยืนฟังอยู่ได้นานสองนานจนเยซองมายืนข้างๆ แล้วเขาก็ยังไม่รู้ตัวเลยเชียวหรือ

    “ก็...เพราะดี” คังอินตอบเสียงค่อย ความรู้สึกยังคงติดค้างอยู่กับเพลงนั้นไม่หายเพราะร่างสูงอดคิดเปรียบเทียบกับตัวเองไม่ได้ เยซองเห็นคังอินนิ่งไปนั้นก็พอจะเข้าใจ

    “คิดถึงพี่อีทึกล่ะสิ นายน่ะ” เยซองร้องแซว คังอินหน้าแดงก่ำเพราะถูกคำถามแทงใจดำของคนตาตี่แก้มป่องที่บังอาจรู้ทัน

    “ใครว่าล่ะ ชั้นก็แค่นึกตามเพลงไปก็เท่านั้นล่ะ!” คังอินแสร้งกลับมาตีหน้าขรึมแล้วโวยวายใส่ หากแต่แทนที่เยซองจะหวากลัว ตรงกันข้าม เจ้าตัวกลับหัวเราะคิกคัก

    “ก็ได้ ๆ ๆ นึกตามเพลงยังไงก็ต้องนึกถึงพี่อีทึกอยู่ดีล่ะน้า~” เยซองพูดไม่ทันจบ ร่างสูงของคังอินก็ก้าวฉับ ๆ ไปตามทางเดินเหมือนจะไม่ใส่ใจฟังคำพูดของเขาเสียแล้ว ทำเอาคนตาตี่แก้มป่องถอนหายใจอย่างเสียดายที่ยังไม่ทันแกล้งได้หนำใจคังอินก็เดินหนีไปเสียแบบนั้น

    “ใครมาหรือครับ พี่จองอุน?” เรียววุคโผล่หน้าออกมาถาม ตอนนี้เขาอยู่ในช่วงพักหลังจากร้องจบเพลง ก็พอดีกับที่มองเห็นรุ่นพี่ที่มาฟังตนร้องเพลงบ่อย ๆ ยืนคุยกับใครด้านนอกพอดี

    “อ้า...เพื่อนพี่เองน่ะ ไม่มีอะไรหรอก” เยซองหันไปตอบเด็กรุ่นน้องอย่างเอ็นดู ครั้นพอเห็นสายฝนที่ยังคงโปรยปรายอยู่ภายนอกจากหน้าต่างบานใหญ่ในห้องซ้อมดนตรีเจ้าตัวก็พูดขึ้น

    “วันนี้เรียววุคกลับกับพี่มั้ย? พี่เอารถมาด้วย เรียววุคบ้านอยู่ไกลนี่ เดี๋ยวก็เปียกหมดหรอก”

    “ยังไงผมก็ต้องกลับกับพี่จองอุนทุกวันอยู่แล้วนี่ครับ” ร่างบางตอบเบา ๆ ก่อนจะยิ้มให้ เยซองยิ้มขำในความใสซื่อของเด็กคนนี้ ก่อนจะเลื่อนมือไปลูบหัวเรียววุคเบา ๆ

    “นี่...ไม่ต้องเรียกพี่ว่าจองอุนหรอก เรียกว่าเยซองก็ได้” เยซองพูดพลางสบตากับเรียววุค สาบานได้เลยว่าเห็นเรียววุคหลบตาเขาวูบหนึ่ง คนตัวเล็กก้มหน้าลงมองพื้นตลอดเพราะไม่ต้องการให้เยซองเห็นว่าหน้าตัวเองแดงแค่ไหน

    “ครับ...พี่เยซอง”


    .
    .
    .


    “พี่อีทึกครับ” คังอินร้องเรียกรุ่นพี่ร่างบางที่อยู่ด้านในหลังบานประตูไม้แกะสลักอย่างวิจิตร ตอนนี้เขากำลังอยู่หน้าห้องทำงานของประธานนักเรียน ซึ่งอยู่ภายในห้องกรรมการนักเรียนอีกทีหนึ่ง ใครที่ได้เข้ามาในห้องกรรมการนักเรียน ไม่ว่าด้วยเหตุผลหรือธุระอะไรก็ตาม ต่างอดทึ่งไม่ได้กับการตกแต่งภายในที่ดูโอ่อ่า หรูหรา มากกว่าจะเป็นเพียงแค่ห้องทำงานของคณะกรรมการนักเรียน ด้วยว่าในบางโอกาสที่ห้องนี้ต้องใช้รับรองแขกต่างโรงเรียนที่มาเยี่ยมชมกิจกรรมการเรียนการสอน และเพื่อให้เหมาะสม คู่ควรกับผู้ใช้ห้องนี้ ซึ่งกรรมการนักเรียนส่วนใหญ่มักเป็นบุตรของผู้มีหน้ามีตาในสังคมแวดวงธุรกิจของประเทศ ดังนั้นการตกแต่งและการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ รวมไปถึงข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ จึงถูกออกแบบและเลือกสรรมาอย่างดี แม้ว่าคณะกรรมการนักเรียนส่วนใหญ่มักไม่ค่อยใส่ใจกันเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อถึงเวลาทำงานจริง ๆ แล้ว พวกเขาก็ไม่ค่อยมีความจำเป็นที่จะใช้ห้องนี้กันเท่าไหร่ เว้นแต่ประธานนักเรียนและรองประธานนักเรียนเท่านั้นที่ต้องจัดการงานเอกสารทั้งหมด ดังนั้นจะเรียกว่าเป็นห้องที่สำหรับประธานนักเรียนและรองประธานนักเรียนใช้สะสางงานทั้งหมดก็คงไม่ผิดนัก


    “อ้าว...คังอินหรือ?”


    ประตูไม้บานใหญ่ถูกแง้มออกเล็กน้อย ก่อนที่รุ่นพี่คนสวยผู้ได้รับการขนานนามว่า ‘เจ้าหญิงซินเดอเรลล่า’ คิม ฮีชอล จะยื่นหน้าออกมาทักทายผู้มาเยือน ตามปกติแล้ว ฮีชอลมักจะเป็นปราการด่านแรกสุดให้กับอีทึกเสมอยามที่มีนักเรียนทั้งชายหญิงมาเกาะแกะเจ้าตัวที่เป็นโรคปฏิเสธคนไม่เป็น หากคนที่มาหาอีทึกไม่มีธุระปะปังอะไรที่หนักหนาสำคัญมากจริง ๆ นอกจากต้องการเพียงแค่จะมาดูหน้าประธานนักเรียนคนสวยแล้ว เขาคนนี้ก็จะเป็นคนจัดการไล่ไปทั้งหมด จะเรียกว่าฮีชอลหวงเพื่อนก็คงได้ แต่สำหรับรุ่นน้องที่ยืนอยู่ตรงหน้าเขาคนนี้ ถือว่าเป็นคนพิเศษคนหนึ่งที่มีสิทธิ์เข้าพบอีทึกได้ โดยไม่จำเป็นต้องผ่านเขาก่อนแต่อย่างใด

    “สายัณห์สวัสดิ์ครับ พี่ฮีชอล” คังอินทักทายตอบรุ่นพี่รองประธานนักเรียนคนสวย ที่ตอนแรกเพียงแค่เปิดประตูแง้มไว้เล็กน้อย มาบัดนี้เจ้าตัวกลับเดินออกมายืนอยู่ตรงหน้าเขาเสียแล้ว คิม ฮีชอลเป็นคนสวยที่สง่าราวกับเป็นเจ้าหญิงเสียจริง ๆ ดูเอาเถอะ ขนาดเขาเป็นรุ่นน้องที่ถือว่ารู้จักมักคุ้นจนสามารถเข้าออกห้องกรรมการนกเรียนได้จนเป็นที่รู้กันดีในหมู่คณะกรรมการนักเรียนอยู่แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ ฮีชอลก็ยังคงยืนนิ่งเอามือกอดอก เชิดหน้าขึ้นแล้วหรี่ตาลงมองเขานิ่ง ถ้าไม่เห็นรอยยิ้มบนเรียวปากบาง ๆ นั้น เขาก็คงอดที่จะครั่นคร้ามไม่ได้

    “มารับอีทึกเหรอ?” ฮีชอลเอ่ยถามเสียงเรียบ ไม่ได้ต้องการจะขู่คนตรงหน้าแม้แต่น้อย แต่การที่เขาทำท่าทางเชิดใส่ หรือแม้กระทั่งคำพูดคำจาที่ฟังดูเหมือนอวดดี แต่บางครั้งก็ร้ายกาจเสียจนทำให้คนฟังหลายคนแทบกระอักเลือดด้วยความแค้น สิ่งนั้นเหมือนจะกลายเป็นความเคยชินของเขาและกลายเป็นนิสัยประจำตัวของเขาไปเสียแล้ว คงมีเพียงแต่อีทึกเท่านั้นที่เขาจะยอมพูดดีด้วย เพราะอีทึกเป็นเพียงคนเดียวที่รู้สาเหตุว่า เหตุใดเขาจึงต้องสร้างเกราะป้องกันตัวเองเช่นนี้ขึ้นมาด้วย


    “ครับ”


    คำตอบสั้น ๆ และแววตาที่จริงจังของคังอินทำเอาฮีชอลอดขำไม่ได้ เจ้าหญิงคนสวยล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนจะดึงบางสิ่งออกมาแล้วเหยียดแขนคลี่มันออกอย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียงผ้าที่ตึงดังแหวกอากาศพร้อมเพรียงกัน ก่อนที่เจ้าตัวจะยกสิ่งนั้นที่คลี่ออกจนสุดขึ้นปิดปากตัวเอง ถึงจะเคยเห็นเป็นประจำไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง แต่ก็อดทึ่งไม่ได้ทุกครั้งกับการสะบัดพัดประจำตัวของฮีชอล ที่ดูราวกับท่าทางการร่ายรำ แต่คังอินก็พอจะมองออกว่าตอนนี้เจ้าตัวที่ยกพัดขึ้นปิดใบหน้าส่วนล่างตั้งแต่จมูกลงไปคงกำลังหัวเราะเขาอยู่เป็นแน่


    “รุ่นพี่หัวเราะอะไรครับ?”


    “ปล๊าว...” ฮีชอลลากเสียงยาว ก่อนที่จะตวัดแขนขึ้นเพียงครั้งเดียว พัดก็ถูกหุบกลับเข้าไปอยู่ในช่องเก็บ แล้วเจ้าตัวก็ยกแขนขึ้นกอดอกไว้หลวม ๆ เช่นเดิม ท่าทีแบบนั้นยิ่งทำให้ฮีชอลดูราวกับนางพญาไม่มีผิด ฮีชอลเหยียดยิ้มมุมปากแล้วพูดขึ้นอีก “ก็แค่คิดว่า...เป็นห่วงเป็นใยกันดีเหลือเกินนะ”

    “พี่ฮีชอลกับซีวอนก็เหมือนกันนั่นแหละครับ” คังอินตอกกลับเสียงเรียบแบบไม่ไว้หน้าเช่นกัน ทำเอาฮีชอลชะงักไป ก่อนที่เจ้าหญิงคนสวยจะกลับมาเหยียดยิ้มมุมปากเช่นเดิม ไม่มีใครในโรงเรียนนี้ที่จะกล้าต่อปากต่อคำกับคิม ฮีชอลคนนี้ได้ โดยเฉพาะรุ่นน้องแล้วยิ่งไม่มีทาง เว้นไว้แต่คนคนหนึ่งที่ตามปกติแล้วจะต้องมารับเขาที่นี่ทุกเย็น เหมือนกับที่คังอินมารับอีทึก หากแต่มันจะไม่มีทางเป็นเช่นนั้นได้อีกต่อไป เหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ที่เจ้าเด็กปากคอเราะร้ายคนนั้นไม่แวะเวียนมาให้เขาเห็นหน้าอีก


    ไม่ทันที่ฮีชอลจะโต้ตอบอะไรกลับไป ประตูไม้บานใหญ่ก็ถูกเปิดออกอีกครั้งด้วยฝีมือของประธานนักเรียนที่อยู่ด้านใน ก่อนที่ใบหน้าที่งดงามของนางฟ้าประจำโรงเรียนจะเยี่ยมหน้าออกมาทักทาย


    “อ้าว...คังอินมารอพี่นานแล้วเหรอ?” อีทึกเอ่ยถามขึ้น เพราะแม้จะอยู่ด้านในและง่วนอยู่กับการทำงานเอกสารเพียงใด แต่เสียงพูดคุยของคน 2 คนที่ดังแว่วอยู่ด้านนอกก็ทำให้เจ้าตัวพอจะเดาได้ว่าผู้มาเยือนเป็นใคร ยิ่งฮีชอลที่บอกว่าจะออกมาเป็นตัวแทนพูดคุยแทนเขานั้นยืนคุยอยู่ด้วยเสียนาน โดยที่ไม่ได้หันหลังกลับเข้ามาในห้องอีกก็ทำให้อีทึกรู้ได้ทันที เพราะปกติแล้วหากมีคนมาขอพบเขาด้วยธุระต่าง ๆ ฮีชอลก็จะเปิดทางให้เข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่หากไม่ใช่ เพียงไม่กี่นาที ฮีชอลก็จะเดินกลับเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มเหยียดแปลก ๆ ที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้า จนอีทึกต้องปรามอยู่บ่อย ๆ ไม่ให้ไปพูดจาเชือดเฉือนทำร้ายจิตใจใครเอาได้

    “พี่อีทึก...ยังทำงานไม่เสร็จหรือครับ?” คังอินที่ตอนนี้ขอสงบศึกพักรบชั่วคราวกับฮีชอลถามขึ้น เหมือนจะรู้หน้าที่ของตนเองดี ฮีชอลเบี่ยงตัวขยับไปยืนทางซ้ายมือของขอบประตูให้อีทึกสามารถเปิดประตูออกมายืนด้านนอกได้สะดวกขึ้น


    “อา...ใช่แล้วล่ะ พี่ยังมีเอกสารงานกิจกรรมของชมรมทั้งหมดที่ต้องเซ็นต์อีกเป็นตั้ง ๆ เลย” อีทึกตอบพร้อมกับรอยยิ้ม


    ถึงแม้จะทำงานหนักเสียจนเหนื่อยอ่อนแค่ไหน จะไม่มีใครเลยที่จะได้ยินคำบ่นที่หลุดออกมาจากปากนางฟ้า ปาร์ค จองซู คนนี้เลยแม้สักครั้ง ขนาดฮีชอลที่เป็นเพื่อนสนิทที่ร่วมทำงานอยู่ด้วยก็ตาม แม้ในบางครั้งที่เอกสารของบางชมรม ไม่เรียบร้อยสมดังที่หวังไว้ ทั้งฮีชอลที่รับหน้าที่รองประธานนักเรียน และคณะกรรมการนักเรียนคนอื่นที่รับหน้าที่เลขานุการ และเหรัญญิก ยังต้องส่ายหน้า โดยเฉพาะฮีชอลที่แทบตวาดแว้ดใส่ประธานชมรมด้วยความโกรธที่โยนงานที่ยังไม่เสร็จดีมาให้พวกเขารับหน้าต่อ และหากมีการตรวจสอบความเรียบร้อยอีกครั้งเมื่อนำขึ้นเสนอแผนงานแล้วล่ะก็ ย่อมกลายเป็นความด่างพร้อยของคณะกรรมการนักเรียนอย่างไม่ต้องสงสัย หากแต่อีทึกผู้เป็นประธานนักเรียนกลับยิ้มอ่อนโยนแล้วให้เวลาชมรมนั้นได้แก้ตัวอีกครั้ง ทั้งที่เวลาแทบจะมีไม่พอแล้วก็ตาม แต่แล้ว ในวันรุ่งขึ้น งานเอกสารชมรมที่คั่งค้างนั้นกลับเสร็จเรียบร้อยได้อย่างไม่น่าเชื่อ และอีทึกก็นำงานเอกสารชมรมทั้งหมดขึ้นเสนอต่อที่ประชุมแผนงานต่อคณะอาจารย์ได้อย่างเรียบร้อยไม่ขาดตกบกพร่อง แต่ใครเลยจะรู้ว่า หลังจากการประชุมในเที่ยงวันนั้น ประธานนักเรียนคนเก่งของโรงเรียนมัธยมซง ฮวาจิน กลับต้องใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดในคาบบ่ายงีบหลับในห้องกรรมการนักเรียน เนื่องมาจากว่าเจ้าตัวใช้เวลาทั้งคืนในการแก้ไขเอกสารที่ผิดพลาดแล้วเรียบเรียงใหม่เองทั้งหมด การกระทำในครั้งนั้นจึงเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ดีถึงความรับผิดชอบและน้ำใจอันงดงามของนางฟ้าประจำโรงเรียนคนนี้

    “งั้นหรือครับ” คังอินก้มหน้าตอบนิ่ง ๆ พอจะรู้ดีว่าอีทึกนั้นรับผิดชอบต่อหน้าที่ของตำแหน่งประธานนักเรียนมากแค่ไหน อีกทั้งยังรักษาน้ำใจของเขาได้ดีอีกด้วย บางครั้งหลังจากที่เขาและอีทึกกลับหอพักที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนพร้อมกัน ทั้งที่เขาแน่ใจแล้วว่าส่งอีทึกถึงห้องแล้วจริง ๆ ทั้งยังมองเห็นตอนที่เจ้าตัวยิ้มกว้างแล้วปิดประตูลงต่อหน้าเขาอีกต่างหาก จนเขาแน่ใจแล้วกลับห้องของตัวเองไปทำธุระส่วนตัวแล้วล้มตัวลงนอนเรียบร้อยแล้วก็ตาม หากแต่กลางดึก คืนใดที่เขาเผอิญลุกขึ้นมาแล้วนั่งมองออกไปยังตำแหน่งของโรงเรียนที่เห็นอยู่ไม่ไกลแล้วล่ะก็ เขาจำต้องมองเห็นแสงไฟสว่างเรื่อ ๆ นวลตาของห้องกรรมการนักเรียนที่ถูกเปิดเอาไว้เสียทุกครั้ง ทั้งที่ก่อนออกมาจากที่นั่นคนที่ปิดไฟก็คือตัวอีทึกเอง นั่นหมายความว่าอีทึกไม่อยากจะเสียน้ำใจที่เขามารับ จึงได้กลับบ้านมาพร้อมกับเขา แต่หลังจากนั้น เจ้าตัวก็จะออกไปทำงานต่อในห้องกรรมการนักเรียนกลางดึกอีกครั้งหนึ่ง คังอินเห็นมันเป็นเช่นนี้หลายต่อหลายครั้ง แต่เขาก็ไม่อยากจะขัดการกระทำของนางฟ้าคนนี้ เขาจึงไม่ได้บอกอีทึกไปเกี่ยวกับความจริงที่เขาได้รู้มัน นอกจากเฝ้ามองว่าเมื่อไหร่ที่หลอดไฟดวงนั้นจะดับลง และเมื่อไหร่ที่อีทึกจะเดินกลับมายังหออีกครั้งหนึ่ง ซึ่งบางครั้งมันก็ไม่ได้ดับเลยจนกระทั่งเช้า

    “คังอิน...จะกลับก่อนมั้ย?” เสียงของอีทึกที่เอ่ยถามขึ้นทำให้คังอินตื่นจากภวังค์ ร่างบางยืนทำหน้างง ๆ เอียงคอไปมาเมื่อเห็นว่าร่างสูงเอาแต่ก้มหน้านิ่งคิดอะไรเงียบ ๆ คนเดียวมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว เห็นท่าทางแบบนั้นของอีทึก คังอินก็อดที่จะยิ้มไม่ได้

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมรอได้” คังอินตอบในที่สุด ลองถ้าเขาดึงดันจะรอแบบนี้แล้วล่ะก็ จนแล้วจนรอดอีทึกก็คงจะต้องพยายามเคลียร์งานให้เสร็จอย่างรวดเร็วให้ได้อยู่แล้ว แต่ถึงอย่างนั้น ร่างสูงก็อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากอีทึกคิดจะใช้วิธีเดิมอีกล่ะก็ คราวนี้เขาก็จะไม่ปล่อยให้อีทึกต้องเดินออกมากลางค่ำกลางคืนดึกดื่นเพื่อมาทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จเพียงคนเดียวเป็นแน่ 


    แทนที่จะได้เห็นสีหน้าท่าทางที่ลำบากใจของนางฟ้า...อีทึกกลับยิ้มหวานให้


    “ได้สิคังอิน ถ้าอย่างนั้นก็ไปนั่งรอพี่ที่ห้องรับรองก่อนก็แล้วกันนะ ถ้าเสร็จแล้วพี่จะไปเรียก”


    “ครับ” คังอินพยักหน้ารับคำ ก่อนจะเดินกลับไปยังทางเดิมที่เปิดสู่ห้องรับรองที่เขาเดินผ่านมาแล้วเมื่อครู่นี้ 


    คล้อยหลังคังอินไปแล้ว อีทึกก็หันกลับมาหาเจ้าหญิงรองประธานนักเรียนคนสวยที่ยืนกอดอกมองเขาสนทนากับคังอินเมื่อครู่นานแล้วโดยไม่ปริปากพูดอะไรออกมาขัดจังหวะเลยแม้แต่คำเดียว

    “อ้าว! ฮีชอล นายมายืนอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่น่ะ?” อีทึกแสร้งทำหน้าตกใจ เหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าตัวเองยืนคุยกับคังอินอยู่นานจนไม่ได้ทันสังเกตเห็นร่างบางที่ยืนกอดอกมองอยู่ที่ประตูด้วยซ้ำ หากแต่ฮีชอลกลับถอนหายใจพรืด

    “ตลกตายแหละ! คุณประธานนักเรียนปาร์ค จองซู” ฮีชอลเบะปาก “ชั้นก็ยืนอยู่ของชั้นมาเป็นชาติแล้วเนี่ย! ชั้นก็กำลังสงสัยอยู่เหมือนกันนะว่า...เมื่อไหร่นายจะหันมาเห็นชั้นซะที ก็เอาแต่คุยอยู่กับเด็กคนนั้นนี่นะ” ฮีชอลพูดแล้วก็หัวเราะ คงจะมีเพียงอีทึกคนเดียวที่เคยเห็นท่าทางที่สนุกสนานร่าเริงของเจ้าหญิงซินเดอเรลล่า ฮีชอล คนนี้ได้ เพราะต่อหน้าคนอื่น ๆ แล้ว ท่าทางของฮีชอลที่ทุกคนเคยเห็นก็คือมาดของนางพญาที่นิ่งเงียบ เพอเฟ็คต์อยู่ตลอดเวลา เอาจริงเอาจังเสียจนไม่มีใครกล้าที่จะพูดแหย่เลยด้วยซ้ำ และก็คงเป็นอีทึกอีกนั่นแหละ ที่จะกล้าพูดจาแบบนั้นใส่ฮีชอลได้

    “อา...ฮีชอล นายจะกลับเลยรึเปล่า?” อีทึกที่ตอนนี้หยุดหัวเราะแล้ว พูดตัดบทโดยไม่ใส่ใจคำพูดที่ฟังดูเหมือนประชดประชันนั้นของฮีชอล

    “คงต้องแบบนั้นนั่นแหละ” คนสวยยักไหล่ ก่อนจะเดินไปหยิบกระเป๋านักเรียนที่วางอยู่ใต้โต๊ะวางแจกันดอกไม้ขึ้นมาแล้วถือพาดไว้บนบ่า อีทึกมองแล้วยิ้มเจื่อน ๆ พอจะรู้ว่าฮีชอลมีนิสัยที่ไม่คุ้นเอาเสียเลยกับล็อคเกอร์เก็บกระเป๋าส่วนตัวของกรรมการนักเรียนที่มีจัดเตรียมไว้ให้อยู่แล้วในห้องพักที่อยู่ติกกับห้องรับรอง โดยเจ้าตัวให้เหตุผลว่า ถ้าเกิดวันนั้นเขามีความจำเป็นต้องใช้ของในกระเป๋านักเรียนขึ้นมา แล้วเผอิญว่ามีแขกมาเยี่ยมโรงเรียนนั่งอยู่ในห้องรับรองพอดี เขาจะทำใจกล้าหน้าด้านเดินแหวกองค์ประชุมเพื่อไปยังห้องพักก็ใช่ที่ สู้เอามันซ่อนไว้ใต้โต๊ะวางแจกันหน้าห้องประธานนักเรียนนั่นแหละดีแล้ว เพราะห้องส่วนตัวของอีทึกเป็นที่ที่เขาชอบไปขลุกอยู่เสมอ พอออกจากห้องประธานนักเรียน เขาจะได้คว้ากระเป๋าออกไปจากห้องกรรมการนักเรียนได้ทันที อีทึกก็จำต้องยอมจำนน แม้เหตุผลมันจะฟังดูทะแม่ง ๆ หน่อยก็เถอะ

    “แล้ววันนี้...เด็กคนนั้นไม่มารับนายหรือไง?” อีทึกเอ่ยถามขึ้น เพราะปกติแล้วในช่วงเวลานี้ ก่อนที่คังอินจะมารับเขา หรือไม่ก็พร้อม ๆ กับที่คังอินมารับ ร่างบางจะต้องมองเห็นเด็กหนุ่มร่างสูงที่มารับฮีชอลถึงห้องกรรมการนักเรียนเสมอ ๆ แม้ว่าฮีชอลจะทำท่าเหมือนไม่เต็มใจนัก และทั้ง 2 คนก็ถกเถียงทะเลาะกันกันเสียงดัง เพราะความเป็นคนไม่ยอมใครเหมือนกันทั้งคู่ตลอดเวลาทุกครั้งที่กลับบ้านพร้อมกันก็เถอะ แต่ถึงอย่างนั้น อีทึกก็ไม่เคยเห็นฮีชอลจะยอมให้ใครได้แบบนั้นได้เลยสักครั้ง ยกเว้นกับคนคนหนึ่งซึ่งเรียนจบจากที่นี่ไปเมื่อปีก่อน 


    เพราะเขาถามตรงไปหรือเปล่า...อีทึกสังเกตเห็นว่าฮีชอลที่กำลังจะเดินออกจากห้องชะงักไป...


    “อา...ซีวอนน่ะเหรอ?” ฮีชอลเอาพัดแตะริมฝีปากก่อนจะเอ่ยชื่อนั้นออกมา “ชั้นบอกปัดไปเองน่ะ” คนสวยยักไหล่ทำท่าเหมือนกับว่าไม่สลักสำคัญอะไร แต่อีทึกก็พอจะรู้ดีว่า ท่าทางที่เอาพัดจรดริมฝีปากของฮีชอล เป็นท่าทางเวลาที่เจ้าตัวกำลังกดดันหรือกำลังไม่สบายใจอยู่ โดยที่ฮีชอลก็แทบไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองแสดงท่าทางแบบนั้นออกมาเสมอ ๆ แต่สำหรับเขาแล้ว ฮีชอลเป็นเพื่อนสนิทที่สุดที่อยู่ข้างๆ เขามาตลอด นิสัยและท่าทางของฮีชอลนั้นจึงเป็นสิ่งที่เขาจดจำมันได้เสมอ

    “นายรำคาญเหรอ?” อีทึกถามขึ้นอีกครั้ง ทั้ง ๆ ที่รู้ดีว่ามันไม่ใช่เหตุผลแค่นี้แน่นอน ไม่อย่างนั้นแล้ว ฮีชอลก็คงไม่ยอมให้ซีวอนเทียวรับเทียวส่งอยู่ได้นานเป็นเดือน ๆ หรอก เพราะสำหรับฮีชอลแล้ว หากว่าเป็นเพียงแค่ ‘ของเล่น’ แก้เซ็งยามเหงา เพียงไม่กี่วันหรอก ของเล่นชิ้นนั้นก็จะถูกคนสวยทิ้งขว้างอย่างไม่ไยดีอีกต่อไป กลับกันแล้ว ถ้าเป็นสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คนสวยจะไม่มีวันทิ้งขว้างเพราะเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ได้เลย


    เหตุผลมีเพียงเรื่องเดียวเท่านั้น นั่นคือ...


    “เปล่าหรอก ชั้นแค่ไม่อยากให้ความหวังเด็กคนนั้นจนเกินไป มันก็แค่นั้นล่ะ” ฮีชอลตอบพร้อมกับทำท่าเหมือนไม่ใส่ใจอะไรอีก อีทึกเห็นแบบนั้นก็ส่ายหน้าช้า ๆ


    นายโกหกไม่เก่งเลย...คิมฮีชอล


    “คนดีจริง ๆ เลยนะ...นายน่ะ” อีทึกพูดเสียงเรียบ พร้อมกับช้อนสายตาขึ้นมองหน้าฮีชอล ที่ตอนนี้เจ้าตัวไม่กล้าที่จะสบตาเขาเลยแม้แต่น้อย ฮีชอลก้มหน้านิ่ง ยอมสยบให้กับสายตาคมเฉียบของอีทึกได้ทันที โดยไม่มีแม้แต่คำพูดที่จะโต้เถียงได้เลย...


    นี่คือบุคลิกยามที่เอาจริงเอาจังของประธานนักเรียนปาร์ค จองซู...

    คิดว่าคนอย่างอีทึกจะเป็นคนที่อ่อนไหวได้ง่าย หรือ อ่อนแอขนาดนั้นเชียวหรือ?

    ไม่เลย...ไม่แม้แต่น้อย...


    ปาร์ค จองซู ไม่จำเป็นต้องให้ใครปกป้องเลยด้วยซ้ำ หากว่าบุคลิกนี้ของเจ้าตัวทำงานขึ้นมา


    ตามปกติแล้ว ในยามที่ต้องอยู่ต่อหน้านักเรียนเป็นร้อยเป็นพันในโรงเรียน ในสายตาของนักเรียนทั่วไปแล้ว เมื่อมองมายังกลุ่มคณะกรรมการนักเรียนที่เดินมาเป็นทีมแล้วล่ะก็ คนที่เดินอยู่หน้าสุดก็คือ รองประธานนักเรียน คิม ฮีชอลคนนี้ และเลขานุการของคณะกรรมการนักเรียนที่เป็นรุ่นน้องที่อยู่ปี 1และตามมาด้วย 3 คนที่รั้งท้ายอยู่หลังสุดก็คือ เหรัญญิก ปฏิคม และประชาสัมพันธ์ซึ่งอยู่ปี 2 โดยพวกเขาจะทำหน้าที่เสมือนเป็นเกราะคนที่คอยปกป้องคนที่อยู่ตรงกลาง นั่นก็คือ ประธานนักเรียน อีทึกนั่นเอง ท่ามกลางสายตาที่มองมาอย่างชื่นชม เขาและเลขานุการที่มีนิสัยดุดัน ไม่ยอมใคร เอาจริงเอาจังจนทำให้ใครไม่กล้าต่อกร เหรัญญิกที่คมเฉียบไม่ขาดตกบกพร่อง ปฏิคมที่ใจเย็น สง่างามในสายตาของผู้พบเห็น และประชาสัมพันธ์ที่เสียงก้องกังวานน่าฟัง บวกกับประธานนักเรียนที่ร่าเริง มีมนุษย์สัมพันธ์ เรียบร้อยเข้ากับคนง่าย คงเป็นอะไรที่เพอร์เฟ็คต์ที่สุด


    คิดแบบนั้นจริง ๆ หรือ?


    ก็จริงอยู่ บุคลิกภายนอกของอีทึกเป็นเช่นนั้นจริง ๆ และก็สามารถเป็นเช่นนั้นได้ตลอดไปเสียด้วย

    ...หากว่าไม่มีใครบังอาจกล้ามาต่อกรกับนางฟ้าล่ะก็นะ


    ฮีชอลคิดแบบนั้นแล้วก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ แม้เหงื่อจะผุดพรายเพราะอยู่ในสภาพที่ถูกกดดันก็ตาม
    เขายังจำได้ดีถึงวันที่โรงเรียนมัธยมนัม โทยอง ส่งตัวแทนคณะกรรมการนักเรียนและครูอาจารย์มาเพื่อศึกษาดูงานและแนวทางการเรียนการสอนของที่นี่ และเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ของโรงเรียนไปด้วยในตัว ในจดหมายแจ้งมาแบบนั้น แต่สำหรับคณะกรรมการนักเรียนโรงเรียนซง ฮวาจิน แห่งนี้แล้ว นี่เปรียบเสมือนสารท้ารบจากโรงเรียนนัม โทยอง ทีเดียว เพราะโรงเรียนมัธยมซง ฮวาจิน และ โรงเรียนมัธยมนัม โทยอง ถือได้ว่าเป็นโรงเรียนที่เป็นคู่แข่งกันมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นนักเรียน นักกีฬา หรือแม้แต่กิจกรรมของโรงเรียน เจอแบบนี้เข้าแล้วใครที่คิดว่าประธานนักเรียนที่อ่อนโยนและเรียบร้อยอย่างอีทึกจะกล้าท้าชนกับประธานนักเรียนโรงเรียนคู่แข่งที่ดูเหมือนจะแข็งกร้าวกว่า เขาเองก็คิดแบบนั้น ในวันที่มีการพบปะและพูดคุยหารือกันในห้องรับรองนั้น ทั้งเขาและเลขานุการเองก็ตั้งใจรวบรวมข้อมูลอย่างดีเพื่อไม่ให้ประธานอย่างอีทึกต้องเสียหน้า ด้วยว่าเขาทั้ง 2 คนนั้นจำเป็นจะต้องปกป้องอีทึกให้ถึงที่สุด


    ในตอนนั้นเองที่ดูเหมือนว่าทางโรงเรียนเขาจะเสียเปรียบที่ถูกประธานนักเรียนโรงเรียนนัม โทยอง ดึงข้อมูลต่าง ๆ ขึ้นมาอ้างเสียจนทางคณะอาจารย์หน้าซีดไป...


    แล้วแววตาของอีทึกก็เปลี่ยนไป และรอยยิ้มมุมปากที่ผุดขึ้นมาตอนนั้นของอีทึกทั้งเขาและคณะกรรมการนักเรียนทุกคนจำได้ไม่มีวันลืม...


    ไม่มีวันลืมได้แน่กับคำพูดโต้กลับที่สุขุมเยือกเย็นของอีทึก ไม่มีวันลืมได้ลงกับสายตาคมเฉียบที่จ้องมองไปยังฝ่ายตรงข้ามที่ทำเอารู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่มีวันลืมได้เลยกับเหตุผลที่อีทึกยกมาอ้างกลับเจ็บแสบเสียจนคณะกรรมการนักเรียนฝ่ายนั้นถึงกับนิ่งอึ้ง โดยเฉพาะตัวประธานนักเรียนนัม โทยอง เองที่ถึงกับผุดลุกขึ้นขออนุญาตออกจากห้องทันทีที่อีทึกพูดจบ หลังจากนั้นเพียงไม่กี่นาที ทางตัวแทนคณะกรรมการนักเรียนที่เหลืออยู่จำต้องขออนุญาตกลับโรงเรียนทันที ทั้งที่ยังไม่ทันได้เยี่ยมชมอาคารเรียนต่าง ๆ ได้ทั่วถึงเลยด้วยซ้ำ แววตาของคณะกรรมการนักเรียนเหล่านั้นที่มองมาที่อีทึก ที่เพิ่งฉีกหน้าประธานนักเรียนฝ่ายนั้นไปหมาด ๆ ไม่ใช่แววตาถือดีแบบที่มองนางฟ้าอีกต่อไป หากแต่เป็นแววตาสั่นระริกด้วยความกดดันจากส่วนลึกอย่างควบคุมไม่อยู่...


    ปิศาจ...นางฟ้าไร้ปีก 'ปาร์ค จองซู' คือปิศาจดี ๆ อย่างไม่ต้องสงสัย...


    หลังจากนั้นแล้ว อีทึกก็เหมือนจะกลับสู่สภาพนางฟ้าคนเดิมอีกครั้ง โดยที่เจ้าตัวทำหน้าเหมือนไม่รู้เรื่องราวอะไรที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้เลยด้วยซ้ำไป ทำให้คณะกรรมการนักเรียนทุกคนลงความเห็นว่า เพราะอีทึกฟิวส์ขาดมาก ๆ กระมังถึงได้แสดงกิริยาท่าทางแบบนั้นออกมาได้ ราวกับไม่ใช่อีทึกคนที่พวกเขารู้จัก เรื่องนี้เป็นที่รู้กันเฉพาะคณะกรรมการนักเรียน และอาจารย์ที่เข้าร่วมเหตุการณ์ในครั้งนั้นเพียงไม่กี่คนเท่านั้น แม้แต่เขาเองที่เป็นเพื่อนสนิทเองยังอดตกใจไม่ได้กับท่าทีที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือแบบนั้นของอีทึก 


    ก็นั่นแหละ...ถ้าประธานนักเรียนเป็นแค่คนที่มีดีแค่หน้าตา แล้วก็ความสามารถนิด ๆ หน่อย ๆ เพียงแค่นั้น คงไม่สามารถควบคุมคณะกรรมการนักเรียนได้ทั้งหมดหรอก ถ้าเป็นแค่ประธานนักเรียนที่หงิม ๆ ไม่สู้คนล่ะก็ พวกเขาเองก็คงไม่ยอมรับได้ง่าย ๆ เพราะคนที่ไม่ยอมใครแบบเขาและเลขานุการรุ่นน้องนั้นไม่ใช่ใครที่จะมาควบคุมกันได้ง่าย ๆ เลย...


    ถ้าไม่ใช่...คนที่เข้มแข็งและร้ายกาจกว่าเสียจนต้องยอมสยบ...


    “อา...อีทึก ชั้นไม่ได้ตั้งใจให้นาย...” ฮีชอลเอ่ยขึ้นเสียงแผ่วเพราะความกลัวที่คิดว่าตัวเขาเองที่พูดโยกโย้ไปมาเสียจนทำให้อีทึกฟิวส์ขาดอีกหน หากแต่สายตาของอีทึกที่มองเขาอย่างงง ๆ อีกครั้งในตอนนี้ก็ทำเอาคนสวยที่พูดไม่ทันจบชะงักปากไป

    “ชั้นเข้าใจน่ะฮีชอล พี่ฮันรอนายอยู่ใช่มั้ยล่ะ ไม่เห็นจะต้องทำหน้าซีเรียสเลยนี่นา...” อีทึกที่กลับมาเป็นนางฟ้าคนเดิมอีกครั้งหนึ่งเอียงคอมองฮีชอลที่จู่ ๆ ก็นิ่งไปอย่างงุนงง ว่าเขายังไม่ได้ทันทำอะไรเสียหน่อย ทำไมฮีชอลถึงต้องทำท่าเหมือนกลัวเขาเสียขนาดนั้นล่ะ อีทึกไม่มีทางรู้เลยว่า สายตาและท่าทางตอนที่บุคลิกเอาจริงเอาจังของเขาทำงานนั้นน่ากลัวแค่ไหนในสายตาของฮีชอล ทั้งที่เจ้าหญิงคนสวยไม่เคยยอมสยบให้ใครได้มากเท่านี้ก็ตาม


    พอได้ยินชื่อของคนคนนั้นที่ออกมาจากปากอีทึก ฮีชอลก็หน้าแดงซ่าน...


    “อืม...ใช่” ฮีชอลก้มหน้าตอบเบา ๆ แก้มขึ้นสีระเรื่อไม่เหลือมาดของนางพญาผู้เย่อหยิ่งอีกต่อไป


    ฮันเกิงหรือฮันคยอง รุ่นพี่นักเรียนทุนจากประเทศจีนที่มาศึกษาเล่าเรียนเพิ่มเติมสาขาภาษาต่างประเทศที่โรงเรียนมัธยมซง ฮวาจิน แห่งนี้ในช่วงที่ฮีชอลและอีทึกเป็นนักเรียนชั้นมัธยมปลายปี 1 ใหม่ ๆ และได้พบกับฮันคยองครั้งแรกในพิธีปฐมนิเทศนักเรียนเข้าใหม่ ซึ่งในสายตาของฮีชอล สิ่งที่สะดุดตาไม่ใช่ประธานนักเรียนที่กำลังกล่าวแนะนำอยู่ที่แท่นบนเวที หากแต่เป็นรุ่นพี่ร่างสูงโปร่งผมยาวประบ่าสีน้ำตาลทองที่นั่งอยู่ด้านหลังแท่นนั้นกับคณะกรรมการนักเรียนคนอื่น ๆ บนเวทีต่างหาก ซึ่งเมื่อร่างสูงโปร่งลุกขึ้นกล่าวแนะนำตัว ฮีชอลก็ถึงกับหัวเราะเสียงดัง เพราะเสียงของคนคนนั้นที่ฟังดูแปลก ๆ แปร่ง ๆ ออกสำเนียงภาษาเกาหลีไม่ชัดเจนอย่างไรชอบกล จนอีทึกต้องรีบยกมือขึ้นปิดปากฮีชอล แต่ทุกอย่างก็กระจ่างชัดเมื่อเจ้าตัวหันมายิ้มให้กับนักเรียนเจ้าของเสียงหัวเราะอันน่าไม่อายนั้น ก่อนจะออกตัวว่าเขาเป็นนักเรียนทุนจากประเทศจีนนั่นเอง ฮีชอลในตอนนั้นไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีกต่อไป นอกจากรอยยิ้มแบบเขิน ๆ ของคนบนเวที และชื่อของฮันคยองที่วนเวียนอยู่ในหัวสมองซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    หลังจากนั้นไม่นาน คณะกรรมการนักเรียนทุกคนก็จะได้เห็นภาพนักเรียนรุ่นน้องปี 1 ที่น่ารักราวกับเด็กผู้หญิงคอยวิ่งตามฮันคยองอยู่เสมอ โดยที่ร่างสูงโปร่งก็ไม่มีทีท่ารังเกียจอะไรเลย ตรงกันข้ามกลับสนิทสนมกับฮีชอลเป็นอย่างดีด้วยซ้ำ จนฮีชอลอดที่จะรักไม่ได้ จะเรียกว่าคนคนนี้เป็นรักแรกของฮีชอลก็ว่าได้ อีทึกที่ในตอนนั้นไม่ใส่ใจกับความรักเท่าไหร่นักได้แต่ปรามให้ฮีชอลหยุดความรู้สึกนั้นลงเสีย เพราะรู้อยู่ว่ารุ่นพี่ปี 3 อีกไม่เท่าไหร่ก็จะต้องเรียนจบจากโรงเรียนนี้ไป โดยเฉพาะฮันคยองที่ไม่ใช่แค่เรียนจบ แต่เจ้าตัวยังต้องกลับไปศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยที่ประเทศจีนด้วยซ้ำ แต่ฮีชอลก็ยังคงดื้อดึงอยู่อย่างนั้นโดยไม่ใส่ใจคำเตือนของอีทึก


    แต่ที่ใดที่ยังมีความหวัง...ที่นั่นก็ยังคงมีแสงสว่าง แม้มันจะริบหรี่เพียงใดก็ตาม


    ในพิธีจบการศึกษาของนักเรียนชั้นมัธยมปลายปี 3 ทั้งประธานนักเรียนและรองประธานนักเรียนฮันคยองนั้นต่างได้รับของขวัญมากกว่าใคร ๆ อีทึกที่ตอนแรกเข้าใจว่าฮีชอลจะร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายใครนั้นแต่ก็ผิดคาด เมื่อเจ้าตัวเพียงแค่ยื่นสร้อยถักที่เจ้าตัวตั้งอกตั้งใจทำตลอดทั้งคืนให้ฮันคยองเท่านั้น ก่อนที่จะเดินกลับไปที่ห้องเรียนพร้อมกับอีทึกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และไม่มีแม้แต่คำร่ำลาให้กับฮันคยองจนอีทึกเองยังแปลกใจ แต่เรื่องทุกอย่างก็ถูกเฉลย เมื่อกลางดึกคืนนั้น ฮีชอลโทรศัพท์มาปลุกอีทึกที่กำลังนอนหลับสบาย ๆ จนคนรับสายที่เพียงแค่แนบหูลงกับโทรศัพท์ก็ตาสว่าง เพราะเสียงของฮีชอลในตอนนั้นที่มีแต่เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นไหลมาตามสายจนแทบฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ก็พอจับใจความได้ว่า ฮันคยองกำลังจะขึ้นเครื่องบินที่สนามบินเพื่อกลับประเทศจีนเดี๋ยวนี้แล้ว แต่เพราะไม่สามารถออกไปได้ เจ้าตัวจึงร้องไห้เพราะเจ็บใจตัวเองที่ไม่ได้เอ่ยคำอำลาฮันคยองแม้แต่คำเดียว


    เหตุผลที่ฮีชอลไม่ยอมพูดอะไรเลยกับฮันคยองในพิธีจบการศึกษาของนักเรียนชั้นปีที่ 3 ก็คือ... 


    เกรงว่าน้ำตาที่เจ้าตัวอุตส่าห์อดกลั้นมาตั้งแต่ถักสร้อยคอเมื่อคืน มันจะไหลย้อนกลับมาพร้อมกับคำอำลาเสียได้ง่าย ๆ ...

    คำอำลาที่ฮีชอลอยากจะพูดเพื่อส่งฮันคยองพร้อม ๆ กับรอยยิ้มแท้ ๆ ...

    ในที่สุดแม้ว่าฮันคยองจะไม่ได้เห็น แต่ฮีชอลก็ไม่สามารถทำได้เลย เพราะเจ้าตัวร้องไห้แทบขาดใจ


    แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป หลังจากที่ฮันคยองกลับไปประเทศจีนได้ไม่นาน ฮันคยองก็ส่งจดหมายกลับมายังโรงเรียนมัธยมซง ฮวาจิน อีกครั้ง โดยเป็นจดหมายพูดคุยถึงสารทุกข์สุขดิบของตนกับคณะกรรมการนักเรียนรุ่นปัจจุบัน ซึ่งก็คือรุ่นของฮีชอลกับอีทึกนั่นเอง ในจดหมายนั้นมีทั้งคำแนะนำในการปฏิบัติตนให้เป็นที่รักของนักเรียนในโรงเรียน รวมทั้งเคล็บลับในการทำงานร่วมกันให้กับคณะกรรมการนักเรียนอย่างพวกเขาได้ปฏิบัติตามด้วย และเหนืออื่นใด เมื่ออ่านจดหมายนั้นจนจบแล้ว ฮีชอลก็พบว่านอกจากจดหมายแล้ว ยังมีกล่องพัสดุเล็ก ๆ อีกหนึ่งกล่องที่ถูกส่งมาพร้อมกันด้วย ซึ่งจ่าหน้าซองถึง คิม ฮีชอล อย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อกล่องพัสดุถูกแกะออกด้วยมือที่สั่นเทา สิ่งที่นอนแน่นิ่งอยู่ก้นกล่องก็คือ พัดแบบพับได้ของจีนที่เมื่อคลี่ออกก็จะเห็นลวดลายพู่กันที่วาดเป็นรูปหงส์กับมังกรของจีนอย่างดงาม รวมทั้งมีการตกแต่งด้วยพู่แบบจีนที่ด้ามถืออีกด้วย พร้อมกับกระดาษแผ่นเล็ก ๆ ที่เขียนคำพูดสั้น ๆ ที่ทำเอาน้ำตาของคนที่ได้รับของขวัญแทบร่วงหล่นอีกรอบ


    ‘จะรอวันที่หงส์กางปีกอย่างงามสง่า แล้วโบยบินไปบนฟ้าเคียงข้างมังกร – ฮันคยอง’


    ดังนั้น จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยสำหรับคณะกรรมการนักเรียนโรงเรียนซง ฮวาจิน ที่จะได้เห็นว่าพัดเขียนลวดลายแบบจีนอันนั้นจะกลายเป็นของใช้ที่ถือเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของฮีชอลไปแล้ว ซึ่งฮีชอลเองก็คิดว่ามันเป็นของขวัญนำโชคที่มีค่ามากที่สุดเช่นกัน

    “งั้นนายก็ต้องพยายามเข้าล่ะ อยากไปเรียนต่อที่ประเทศจีนกับพี่ฮันไม่ใช่หรือไง?” อีทึกเอ่ยแกมหยอกกับฮีชอลที่คนสวยเอาแต่ยืนหน้าแดงนิ่งเงียบอยู่นานแล้ว ให้ตายสิ เรื่องอะไรก็ตามไม่เคยทำให้เจ้าหญิงซินเดอเรลล่าคนนี้หวั่นไหวได้ เว้นไว้แต่เพียงเรื่องของฮันคยองเพียงเรื่องเดียวจริง ๆ เกราะป้องกันที่เจ้าหญิงเพียรบรรจงสร้างไว้ปกป้องไม่ให้ใครเห็นความอ่อนแอของตัวเองเป็นอันต้องพังครืนลงแทบทุกที

    “แน่นอนล่ะน่า!” ฮีชอลอดขึ้นเสียงไม่ได้ เพราะเป็นฝ่ายโดนอีทึกไล่ต้อนตลอด เรื่องฮันคยองเป็นเรื่องเดียวจริง ๆ ที่เขาไม่สามารถเถียงได้เลย หากอีทึกยังคงเป็นอีทึกคนเดิมเหมือนเมื่อตอนที่พวกเขาขึ้นชั้นปีที่ 1 ล่ะก็ เขาคงไม่สามารถหาเรื่องมาพูดกระแนะกระแหนนางฟ้าคนสวยได้เลยจริง ๆ หากแต่ในตอนนี้...ไม่ใช่แล้ว


    “ว่าแต่นายล่ะอีทึก”


    “เห?”


    “คังอินน่ะ เด็กคนนั้นนายสนิทมากเลยไม่ใช่เหรอ?” เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ฮีชอลต้องการจะสื่อคืออะไร อีทึกก็นิ่งเงียบไปอีกครั้งหนึ่ง สายตาของรองประธานนักเรียนคนสวยที่จ้องมองไปยังประธานนักเรียนที่นิ่งเงียบราวกับจะใช้ความคิดนั้น ไม่สื่อถึงความรู้สึกใด ๆ นอกจากรอยยิ้มพรายที่มุมปากเหมือนกับจะรู้ทันมากกว่า อีทึกที่เอาแต่ก้มหน้ามองพื้นอย่างใช้ความคิด แต่เพียงครู่เดียวเจ้าตัวก็เงยหน้าขึ้น

    “ฮีชอล...คังอินน่ะ ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ” อีทึกตอบ นางฟ้าประจำโรงเรียนถอนหายใจก่อนจะทอดสายตามองไปยังทางเดินด้านขวามือที่จะเปิดออกไปสู่ห้องรับรองซึ่งคนที่พวกเขากำลังพูดถึงนั้นกำลังนั่งรอเขาอยู่ “มัน...พิเศษเกินกว่าที่ชั้นจะคิดแบบนั้น”


    คำตอบของอีทึกทำเอาฮีชอลยิ้มกว้าง


    “นั่นสินะ ใครจะไปรู้ดีได้เท่านายแล้วล่ะ!” ฮีชอลว่าพร้อมกับเดินวนไปรอบ ๆ จนหยุดยืนอยู่ตรงทางแยกด้านซ้ายมือที่จะนำไปสู่ประตูทางเข้าออกของห้องคณะกรรมการนักเรียนแห่งนี้ “งั้น...ชั้นไปล่ะนะ ตั้งใจทำงานให้เสร็จอย่าให้เค้าต้องรอนานล่ะ ท่านประธาน” ประโยคสุดท้าย ฮีชอลที่หันมาพูดยิ้มเหมือนจะรู้ทันเสียทีหนึ่ง อีทึกหัวเราะกับท่าทีนั้น ก่อนที่ประธานนักเรียนของโรงเรียน จะถอนหายใจเบา ๆ แล้วเปิดประตูเดินหายลับเข้าไปในห้องทำงานของประธานนักเรียนอีกครั้งหนึ่ง


    .
    .
    .


    หลังจากเปิดประตูออกมาจากห้องกรรมการนักเรียนแล้ว ใช่ว่าฮีชอลจะเดินกลับไปยังรถส่วนตัวของตัวเองเสียทีเดียว เจ้าหญิงคนสวยถอนหายใจเฮือกใหญ่เหมือนรู้สึกกดดันขึ้นมาอีกระลอก ก่อนจะล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกงของตัวเองแล้วหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาเพ่งพินิจดู...

    มันก็เป็นเพียงแค่มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดที่มีหน้ากากสีแดงสดแต่งแต้มด้วยลวดลายโกธิคอาร์ตอย่างที่เจ้าตัวชอบ ซึ่งก็เหมือนกับมือถือรุ่นอื่น ๆ ทั่ว ๆ ไปที่ฟังค์ชั่นก็คงไม่แตกต่างกันเท่าไหร่นัก แต่สิ่งเดียวที่ทำให้มันแตกต่าง ก็คือสิ่งที่อยู่ในตัวเครื่องนี้ และสิ่งที่ห้อยติดอยู่กับตัวเครื่องต่างหาก...

    ฮีชอลกดปุ่มบนมือถืออย่างชำนาญ เพียงไม่กี่วินาที หน้าจอที่สว่างไสวก็แสดงผลรายชื่อทั้งหมดในเครื่องของเจ้าตัว นิ้วเรียวกดเสิร์ชหาชื่อของคนคนหนึ่งที่บันทึกอยู่ในเครื่องโทรศัพท์ จนชื่อของคนคนนั้นรวมทั้งเบอร์โทรศัพท์ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอดิจิตอล ถึงตอนนี้เจ้าหญิงคนสวยหายใจอีกครั้งก่อนจะยิ้มเย็น


    ต้องการลบหรือไม่? 

    เชว ซีวอน


    ใช่ 


    ตื้ด...


    ฮีชอลกดตอบตกลงอย่างไม่ลังเล หน้าจอขึ้นแสดงผลว่าลบเบอร์โทรศัพท์นี้ออกจากเครื่องแล้วโดยทันที นอกจากนั้นแล้ว...

    “เสียดายจัง...ยังใหม่อยู่เลย” ฮีชอลเอ่ยขึ้นกับตัวเอง สายตาจ้องมองไปยังสายห้อยโทรศัพท์มือถือที่เป็นเครื่องประดับเงินสลักเป็นชื่อเขาอย่างงดงาม ตกแต่งด้วยกาเนตเม็ดเล็ก ๆ คล้ายหยดน้ำกระจายอยู่โดยรอบ

    ใคร ๆ ก็รู้ว่าตระกูลเชวมีชื่อเสียงด้านการทำเครื่องประดับไม่แพ้แบรนด์ชั้นนำของชาติไหน ๆ จนสามารถกลายเป็นสินค้าส่งออกได้ ไม่ว่าจะเป็น สร้อยคอ จี้ ตุ้มหู เข็มกลัด หรือแม้กระทั่งสายห้อยโทรศัพท์มือถือ โดยที่ผู้ซื้อไม่ต้องเป็นกังวลว่าของที่ตัวเองมีอยู่จะซ้ำกับใคร เพราะเครื่องประดับแต่ละชิ้นเป็นงานแฮนด์เมดที่ถูกออกแบบรังสรรค์โดยฝีมือช่างผู้ชำนาญโดยไม่ใช้เครื่องจักรเลย ดังนั้นงานที่ออกมาแต่ละแบบจึงมีเพียงชิ้นเดียวเท่านั้น ไม่มีทางซ้ำกันได้...


    แต่ในเมื่อเขาไม่อยากรับความหวังดีของคนคนนั้นไว้

    ไม่ว่ามันจะราคาแพง ไม่ว่ามันจะมีค่ามากในสายตาใครแค่ไหน...


    ...สิ่งที่คนคนนั้นให้มาเขาก็ไม่ควรจะเก็บไว้เช่นกัน


    ฮีชอลตัดใจกระตุกสายโซ่เงินบาง ๆ ที่คล้องอยู่ที่โทรศัพท์มือถือ อดแปลกใจไม่ได้ว่า แม้เขาจะไม่ได้ออกแรงมากมายนัก แต่สายโซ่เงินเส้นบางกลับขาดออกจากกันอย่างง่ายดายราวกับว่าหมดใจที่จะอยู่กับเจ้าของโทรศัพท์อย่างเขาแล้วเช่นกัน


    เอาล่ะ...


    ฮีชอลหย่อนสายคล้องมือถือเส้นนั้นลงถังขยะที่อยู่หน้าห้องกรรมการนักเรียนพร้อมกับยิ้ม เป็นรอยยิ้มที่ยิ้มออกมาจากใจจริง ไม่ใช่รอยยิ้มเหยียดแบบที่เจ้าตัวชอบทำบ่อย ๆ


    ถึงจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง...แต่เขาก็ไม่ใช่คนเห็นแก่ตัว

    ถึงจะเสียใจอยู่บ้าง...แต่เขาก็ไม่อยากสูญเสียตัวเองไปมากกว่านี้...


    ขอบคุณมากนะ แต่จากนี้ไป...ชั้นจะต้องเข้มแข็ง แล้วก้าวต่อไปด้วยตัวของชั้นเองคนเดียว

    ชั้นไม่จำเป็นต้องมีคนคอยปกป้องชั้นอีก ในเมื่อตอนนี้ชั้นยังสามารถปกป้องตัวเองได้
    ชั้นจะเค้นเอากำลังทั้งหมดที่ชั้นมีมาปกป้องตัวเอง และทำให้ตัวเองก้าวต่อไปข้างหน้า
    เมื่อถึงจุดจุดหนึ่งที่ชั้นก้าวไปยืนอยู่เคียงข้างคนคนนั้นได้แล้ว
    แม้ชั้นจะไม่หลงเหลือเรี่ยวแรงที่จะปกป้องตัวเองอีกก็ตาม ชั้นก็ไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งอีกต่อไปแล้ว

    เพราะคนคนนั้นจะเป็นคนคอยปกป้องดูแลชั้นยังไงล่ะ


    ฮีชอลยิ้มให้กับความคิดของตัวเอง ก่อนที่จะก้าวเดินไปตามโถงทางเดินอันเงียบสงัด ที่ทอดยาวไปสู่ลานจอดรถส่วนตัวของครูอาจารย์และคณะกรรมการนักเรียน ท่ามกลางเสียงของสายฝนนอกอาคารที่ยังไม่สร่างซา

    “บ๊ายบาย...เชว ซีวอน”

    -----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    >>>To be continues

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×