ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Hero Wings

    ลำดับตอนที่ #1 : Prologue ( Good Wish in Tear )

    • อัปเดตล่าสุด 26 มี.ค. 50


    Prologue

    มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าอยากจะโบยบินเล่นลมเหมือนหมู่วิหค

    ด้วยปีกสองข้างที่พร้อมหอบหุ้มความหวังและความเชื่อมั่น

    ไกลแสนไกลที่ยังไปไม่ถึง หนทางข้างหน้าย่อมถูกวางไว้

    ข้าไม่เคยสนว่ามันจะสวยงามหรือโหดร้าย

    เพราะบางสิ่งจะคอยช่วยข้า พวกเขาทุกคนจะคอยหนุนข้า นี่คือสิ่งที่ข้าเชื่อ

    ...ด้วยคำว่าเพื่อนพ้องอันเปรียบดั่งปีกที่ไม่มีวันหัก...

    ฝ่าเท้าของข้าเหยียบลงบนผืนทรายแห้งผาก มันดูนุ่มนวลด้วยสีทองสว่างใส แต่เพียงแค่นี้ก็ไม่อาจปลอบประโลมจิตใจของข้าได้ น้ำเสียงหากจะให้เอ่ยออกมาในตอนนี้มันก็แทบจะสั่นเครือ กล้ามเนื้อทุกส่วนเกือบจะเต้นตุบตับไปตามจังหวะเสียงหัวใจ ด้ามดาบช่างเย็นเฉียบ ความหนักอึ้งเริ่มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆจนต้องกระชับมืออยู่บ่อยครั้ง แผ่นโล่กำลังสะท้อนแสงแดด ด้วยสายตาที่มองลอดหมวกเหล็กออกไป ปรากฏภาพผืนทรายตัดกับแผ่นฟ้าสีส้มแดง อากาศร้อนระอุจนเกิดเป็นมิราจ การรอคอยกำลังจะจบลงด้วยเสียงโห่ร้องที่ดังมาจากอีกฟาก

    ข้าสัมผัสได้ถึงแรงสั่นสะเทือน ในทีแรกอาจดูน้อยนิดแต่แล้วมันกลับเพิ่มมากขึ้นจนข้านั้นรู้สึกใจหาย แถวสีดำทะมึนเริ่มโผล่พ้นออกมา พวกมันกู่ก้องราวกับฟ้าจะถล่ม มันยิ่งกว่าความกลัวซะอีกที่กำลังเล่นงานข้า โลหะสะท้อนแสงแปลบปลาบ ปลายทวนตั้งตระหง่านเรียงราย แผ่นเกราะปกคลุมร่างของพวกมันจนไร้ช่องว่าง เสียงคำรามดังขึ้น บางตัวใช้อาวุธตีกระทบโล่เพื่อสั่นประสาทข้า เสียงเป่าเขาดังทอดยาวออกมา มันแทบจะไม่รู้สึกอะไรแล้ว ข้ากัดฟันแน่นอย่างโกรธแค้น ตวัดปลายดาบขึ้น พวกแถวหน้ากำลังวิ่งเข้ามาอย่างมืดฟ้ามัวดิน ฝุ่นทรายตลบฟุ้งที่ปลายเท้า เลือดในกายกำลังฉีดพล่านไปทั่ว ข้าพยายามทำใจให้ฮึกเหิม ความขลาดเขลาจะต้องไม่มีวันปรากฏให้พวกมันได้เห็น จนในที่สุดข้าก็ปล่อยแรงกดดันทั้งหมดออกมาด้วยการขู่คำรามเพียงครั้งเดียว

    เสียงโห่ร้องดังตอบออกมา ทุ่งกองทัพค่อยๆเคลื่อนพ้นขอบเนินขึ้นมาทางด้านหลัง ทุกสายตากำลังจ้องมองลงไป พี่น้องของข้าจะไม่มีวันถอยหนี เหล่าพลทำศึกก้าวขึ้นมาขนาบข้างข้า เสียงชักอาวุธดังรัวขึ้น แผ่นโล่ขนาดใหญ่ต่อติดประกบกันเหมือนกำแพง พลแม่นธนูขนของกันมาอย่างพร้อมเพรียง จัดแถวขึ้นอย่างเป็นระบบ พวกเขากำลังน้าวคันศร บ้างก็กำลังขึ้นคันหน้าไม้

    พวกมันบางตัวล้มลง บ้างถูกดีดจนหงายหลัง ลูกศรบางลูกเสียบเข้าที่ช่องตาและตรงบริเวณรอยต่อของลำคอ ล้มตายลงไปกว่าครึ่งหลังการระดมยิงในครั้งแรก พวกมันโถมเข้ามาอย่างไม่หวั่นแม้กระทั่งความตาย เสียงปึกปักดังขึ้นอีกครั้งจนทำให้พวกมันหยุดชะงักลงไปได้บ้าง มืออันใหญ่โตหักศรที่ปักร่างออก วิ่งเหวี่ยงดาบเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ทิ้งพวกที่ตายไว้ทางด้านหลังเหมือนเศษขยะที่กองเกลื่อน

    ข้าวาดดาบไปข้างหน้าอย่างสุดเงื้อกำลังแขน สัญญาณประจัญบาญถูกส่งออกไป หลังจากนั้นข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น บางครั้งรู้สึกเหมือนถูกดันกระแทกจนล้มลง แต่ข้าก็ลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง น่าแปลกที่ดาบในมือตอนนี้มันเบาหวิวเหมือนขนนก ข้าเห็นแต่สีแดง ฟันสะเปะสะปะออกไปตรงหน้าจนร่างของข้านั้นชุ่มโชกไปหมด เสียงครวญครางผ่านเข้ามาอย่างไร้ความหมาย เพราะมีเพียงสิ่งเดียวที่ข้ารู้ในตอนนี้ การฆ่าเท่านั้นที่จะทำให้ข้าอยู่รอด

    ข้าเหวี่ยงโล่บุบบู้บี้ใส่พื้น ดาบบิ่นงอถูกทิ้งลง รู้สึกชาไปทั้งตัว ข้าสูดหายใจเข้าอย่างหนักหน่วงจนแผ่นอกขยายใหญ่ ชูกำปั้นขึ้นฟ้าพร้อมกับตะโกนออกมาด้วยกำลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ หลอดเสียงนั้นแทบขาด ร่างของศัตรูกองอยู่ใต้ฝ่าเท้า นักรบที่เหลือโห่ร้องกับชัยชนะ บางคนทิ้งตัวลงนอนแผ่ราบกับพื้นทราย บาดแผลความเจ็บปวดแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง ตลอดคืนตลอดวันผ่านไปอย่างยากลำบาก หวังว่านี่คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะต้องจับดาบในสถานการณ์เช่นนี้

    ///////////////////////////////////////

    แต่นานมาแล้วที่มนุษย์อาจหาญทำสงครามกับเทพเจ้า ด้วยว่าสามัญชนนั้นต่างพากันก่นด่าพวกทวยเทพถึงความลำบากที่ตนได้รับ พวกนั้นสุขสบายและไม่เคยคิดจะยื่นมือลงมาช่วยเหลือ ความโกรธแค้นโหมแรงขึ้นจนแปรเปลี่ยนเป็นไฟสงคราม มืออันบอบบางเริ่มจับอาวุธขึ้นเป็นครั้งแรก เห็นดังนั้นพวกเทพต่างพากันนึกขันในความเขลาของสิ่งมีชีวิตที่ถูกแรงทะเยอทะยานชักนำพา เทพเจ้ากรีฑาทัพถล่มโลกลงมาราวกับห่าฝน ความน่ากลัวกลายเป็นที่ประจักษ์จนแทบจะติดค้างอยู่กับลูกนัยน์ตา เป็นอีกครั้งที่มนุษย์ได้เรียนรู้กับความสิ้นหวัง

    ชัยชนะนั้นแทบจะกลายเป็นความเพ้อฝัน พวกเขาถูกลงทัณฑ์อย่างเจ็บปวด เหล่าทหารกล้าที่ลุกขึ้นเหยียบย่ำเทพเจ้าถูกเปลวเพลิงเผาร่างตลอดคืนตลอดวัน มันไม่ยุติธรรมเลยในสิ่งที่พวกมนุษย์ได้รับ พวกเขาล้มตายลงอย่างบานเบือ ความอุดมสมบูรณ์ถูกดึงหายไป พวกเทพนั้นกล่าวอ้างว่ามันคือค่าตอบแทนของสงครามอันโง่เง่าที่สมควรได้รับ เปรียบดั่งคำเตือนแรกที่ถูกส่งมอบมาอย่างไร้ความปราณี

    มันเกิดขึ้นอีกครั้งกับสงครามที่พวกเทพเจ้าคิดว่าไร้สาระ แต่ว่าครั้งนี้มันไม่ใช่อีกต่อไป พวกเทพนั้นแทบจะถอนคำพูด ไม่อยากเชื่อว่านี่คือสิ่งที่พวกมนุษย์ทำ กองทัพเทพเจ้าถูกบดขยี้ลงจนไม่เหลือจุณ ต่างพากันถอยหนีออกไปอย่างหมดสภาพ เสียงหัวเราะโห่ร้องไล่หลังตามมา ความปราชัยที่ได้รับช่างน่าอับอายยิ่งนัก พวกเทพเจ้าจึงตัดสินใจอพถอยหนีออกไปจากภูมิโลก หนีไปจากสิ่งมีชีวิตที่น่าสะพรึงเป็นที่สุด

    เหล่ามนุษย์หลังแพ้สงครามจึงได้เรียนรู้ถึงความอ่อนแอ ความคิดอันแสนชั่วร้ายเกิดขึ้น พวกเขาสมคบคิดกับกองกำลัง เดนิกซ์ไฟร์ เหล่าปิศาจร้ายที่กบดานอยู่ใต้โลก กำลังของพวกมันล้นเหลือ พวกมนุษย์ให้คำสัญญาว่าหากสงครามครั้งนี้บรรลุผล สิ่งตอบแทนที่พวกมันจะได้รับคือวิญญาณเทพบริสุทธิ์ พลังอันขาวสะอาด แน่ละมันคืออาหารอันน่าโปรดปรานเป็นที่สุดสำหรับพวกมัน จึงไม่ยากเลยที่พวกมันจะตอบตกลงอย่างหิวกระหาย

    เดนิกซ์ไฟร์อยากจะถลกหนังหัวพวกมนุษย์ออกเป็นชิ้นๆ มันถูกทรยศหักหลังอย่างร้ายกาจเป็นที่สุด แท้จริงแล้วพวกมนุษย์ก็ไม่เคยคิดจะรักษาสัญญาอยู่แล้ว พลังของพวกมันถูกใช้สำหรับเป็นขั้นบันไดขึ้นสู่สรวงสวรรค์เท่านั้น ภายหลังแดนสวรรค์ถูกถล่มจนย่อยยับ พวกมนุษย์ไม่เพียงแต่จะขโมยวิทยาการชั้นสูงมาแต่ยังนำเอาพลังบริสุทธิ์สร้างเขตอาคมกักขังพวกเดนิกซ์ไฟร์ไว้ที่ใต้โลกตามเดิม คำสาปแช่งถูกฝังอยู่ในความมืด จะว่าไปพวกมนุษย์ก็ไม่อยากจะไว้ใจสิ่งมีชีวิตพรรค์นี้สักเท่าไรนัก นี่จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดแล้วแม้ว่ามันจะดูเห็นแก่ตัวเพียงใดก็ตาม

    ดูเหมือนจะเกิดเรื่องยุ่งขึ้นอีกแล้ว เดนิกซ์ไฟร์บางส่วนหลุดออกมาจากเขตอาคม กองทัพดำทมิฬขึ้นมาสูดอากาศบนผิวโลกอีกครั้ง เสียงกระซิบแห่งการแก้แค้นดังก้องอยู่ภายในหู พวกมันตบอาวุธเข้าด้วยกันโห่ร้องเกรียวกราวอย่างพยายามเรียกฝันร้ายกลับคืนสู่พวกมนุษย์ ต่อหน้าพลังเพลิงร้อนระอุที่แผดเผาทุกสิ่งตลอดทาง ทำลายล้างทุกอย่างจนกลายเป็นเถ้าถ่าน อีกไม่นานพวกมนุษย์คงถูกถลกหนังหัวแน่หากยังไม่ยอมทำอะไรสักอย่างเข้า

    ข้ารับอาสาในการเป็นจอมทัพ กำลังพลเรือนหมื่นเรือนแสนถูกระดมมาจากทั่วสารทิศ การรบพุ่งเกิดขึ้นอย่างดุเดือด เหล่าปราชญ์ต่างนำวิทยาการของเทพมาใช้ ตีอาวุธทรงพลังขึ้นมา แจกจ่ายให้กับทัพหน้าอย่างทั่วถึง เดนิกซ์ไฟร์ต้องดับดิ้นลงไปพร้อมกับเพลิงแค้น ต่อหน้าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ พวกมันคือพวกอัปรีย์ที่หยิบยืมพลังของเทพมาใช้ พลังของพวกมันแทบไร้ค่าเพราะถูกสะกดไว้ ร่างปิศาจนั้นถึงกับสูญสลายและซึมหายลงไปกับแผ่นดิน เหลือไว้เพียงเกราะดำที่กองเกลื่อนสูงใหญ่ราวกับขุนเขา อาจเป็นของดูต่างหน้าที่พยายามเรียกหาความยุติธรรม

    พวกมนุษย์ขนเกราะเหล็กลงมา นานนับปีกว่าจะหมด โยนลงไปยังเหมืองลึกจนกระทั่งท่วมท้นขึ้นมา เหล่าจอมเวทย์โบราณวาดเขตพลังไว้เพราะคิดว่ามันคือสิ่งชั่วร้ายและเป็นไปได้ที่อาจจะกลายร่างมาเป็นเดนิกซ์ไฟร์อีกครั้ง

    นี่คือความยุติธรรมที่พวกมนุษย์ทวงถามอย่างนั้นหรือ ไม่มีคำตอบเพราะความยุติธรรมไม่มีอีกต่อไปแล้ว ข้ากับสหายของข้า เอปทรีซิส ได้ดื่มน้ำอมตะของพวกเทพ การเวลาจะละเว้นชีวิตของพวกข้า เป็นของขวัญที่ดีไม่น้อยที่จะได้อยู่ดูลูกหลานบนความสุขสงบตลอดไป อย่างน้อยในตอนแรกข้าก็คิดเช่นนั้น

    เกือบร้อยปีที่ล่วงพ้น ความคิดของข้าเริ่มเปลี่ยนไป บางทีการได้รับชีวิตอมตะคงจะไม่ดีเท่าไรนัก อาจเหมือนกับว่าข้าต้องอยู่ชดใช้บาปกรรมที่ทำไว้กับพวกเดนิกซ์ไฟร์ ภัยพิบัติครั้งใหญ่ถูกทำนายเอาไว้แล้วเพียงแต่เอปทรีซิสปกปิดไม่ให้มันแพร่งพรายออกไปสู่โลกภายนอก คราวนี้เองที่พวกเดนิกซ์ไฟร์เอาคืนพวกเขาได้อย่างเจ็บแสบ มันน่าแค้นชนิดที่ข้าอยากจะกลับเป็นฝ่ายไปถลกหนังหัวของพวกมันใต้ขุมนรกเสียจริงๆ

    ///////////////////////////////////////

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×