ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ Fic Lookism ] NO.1 fanboy ( ?? x oc )

    ลำดับตอนที่ #1 : Prologue

    • อัปเดตล่าสุด 8 มี.ค. 67


    ─── ・ 。゚☆: *.☽ .* :☆゚. ───

     

     

    Prologue

     

     

    ─── ・ 。゚☆: *.☽ .* :☆゚. ───

     

     

     

    Chanseul Part.


     

    ชานซึล ชื่อภาษาเกาหลีที่มีความหมายว่า ผู้ล้ำค่าจากฟากฟ้า 


     

    แม่ของผมเป็นคนตั้งชื่อนี้เอาไว้ ในช่วงเวลาที่ผมนั้นยังคงหลับไหลภายใต้ความอบอุ่นของเธอ เพื่อรอเวลาลืมตาออกมาดูโลก เปรียบเสมือนสิ่งล้ำค่าที่ผู้ปกครองทั้งสองตั้งใจถนอมอย่างหวงแหน และสร้างผมขึ้นมาด้วยความรัก แม้เธอจะเป็นคนอังกฤษโดยแท้ แต่การแต่งงานเข้าบ้านสามีและลัดฟ้ามาห่างไกลจากบ้านเกิด เธอก็ควรที่จะเรียนรู้ภาษาของประเทศนี้


     

    พ่อของผมนั้นปราถานาที่จะมีลูกชายคนเล็กอีกสักคนหนึ่ง เขาอยากให้ใบหน้าของผมละม้ายคล้ายกับแม่ อยากให้ผมมีทั้งความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว และความอ่อนโยนที่คอยโอบกอดครอบครัวเอาไว้ 


     

    และพ่อก็ได้สิ่งนั้น ผมเกิดขึ้นมาพร้อมกับเส้นผมสีทองคำขาวและดวงตาสีซัฟไฟร์ที่เหมือนกับผู้เป็นแม่ มีใบหน้าที่ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าน่ารักน่าชังตั้งแต่ยังเป็นทารก กระนั้นในวินาทีที่น่ายินดีกลับกลายเป็นความโศกเศร้าในเวลาต่อมา


     

    ผมเกิดมามีรูปลักษณ์ย่างที่พ่อปราถนา แต่แลกกับการที่เขานั้นต้องสูญเสียภรรยาที่รักไปตลอดกาล


     

    " ชื่อที่เธอตั้งให้มีค่าเกินไปสำหรับคนอย่างแกจริง ๆ " 


     

    ผมเกลียดชื่อของตัวเอง 


     

    เพราะแม้มันจะมีความหมายที่ล้ำค่าขนาดไหน แต่ผมนั้นกลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้ค่าที่สุดในตระกูลนี้ 


     

    แม้จะมีรูปลักษณ์เหมือนผู้เป็นแม่ตามความต้องการของพ่อเพียงใด แต่ผมกลับมีร่างกายที่อ่อนแอเป็นอย่างมาก มักจะเป็นลมล้มพับบ่อย ๆ จนเข้า - ออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น และยิ่งนานวันเข้าร่างกายที่อ่อนแอก็ย่ำแย่เมื่อย่างเข้าสู่วัย 20 ปี 


     

    ผมมีโรคประจำตัวที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะมันยังไม่มีวิธีรักษาโรคหายากนี้ ชีวิตหลังจากนั้นผมก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโรงพยาบาล 


     

    การหายใจที่ไม่สามารถสูดลมเข้าไปให้เต็มปอดได้ และร่างกายที่ลำบากต่อการเดินเหินเหมือนอย่างคนทั่วไป มักจะไอเป็นเลือดจนเปรอะเปื้อนเสื้อผ้าที่สวมใส่อยู่บ่อยครั้งและมีสภาพราวกับคนใกล้ตายใช้ชีวิตอยู่ไปวัน ๆ 


     

    เดือนนึงนั้นนับครั้งได้ที่พ่อของผมจะมาแวะมาเยี่ยมเยียนที่โรงพยาบาล เมื่อใดที่ท่านเห็นสภาพป่วยติดเตียงของผม สายตาของผู้เป็นพ่อก็มักจะแสดงออกว่ารังเกียจและโกรธแค้น—ไม่สิ


     

    ถ้าจะพูดให้ถูก พ่อมักจะทำสายตารังเกียจและโกรธแค้นตลอดเมื่อเจอหน้าผมต่างหาก 


     

    " เธอสละชีวิตให้ขยะอย่างแกเกิดมาแท้ ๆ แต่แกกลับไม่ได้เรื่องแถมยังจะมาใกล้ตายอีก " 


     

    พ่อเชิดหน้าขึ้นมองเหยียดผมที่นอนอยู่บนเตียงและด่าทอเหมือนอย่างเคย ต่อให้มันจะเป็นคำพูดที่ได้ยินบ่อยแต่ไหนแต่ผมก็ไม่สามารถอดกลั้นความเสียใจเอาไว้ได้อยู่ดี 


     

    อาจเพราะร่างกายที่อ่อนแอและการถุกเลี้ยงดูมาอย่างขาดหายความรักจากผู้ปกครอง ผมก็ยังมีจิตใจที่บอบบาง ความขี้ขลาดและความกลัว มันยิ่งเป็นชนวนควาามเกลียดชังต่อผม เพราะนอกจากหน้าตาที่เหมือนแม่แล้วนิสัยหรือความกล้าหาญก็ไม่ได้มีแม้แต่นิดเดียว


     

    " เธอต้องตายเพราะแกแท้ ๆ " 


     

    น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความโกรธกริ้วและโทษความผิดให้ผมเป็นคนคร่าชีวิตของแม่ ดวงตาดุคมที่มองเหยียดหยามการมีชีวิตอยู่ของผม รวมไปถึงคำพูดสุดท้ายก่อนที่พ่อจะเดินจากไปมันทำให้ผมภายในอกแตกสลายเป็นเสี่ยง ๆ 


     

    " ขยะแบบแกนี่มันไม่น่าเกิดมาแต่แรกเลย " 


     

    มันคือคำพูดที่บาดลึกเข้าไปในหัวใจของผม และเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมได้เจอพ่อ 


     

    ผ่านไปเพียงแค่สี่เดือนเมื่อได้เข้ามารักษาในโรงพยาบาล ผมก็ได้เสียชีวิตเพราะโรคร้ายที่ไม่มีทางรักษา ไร้ซึ่งวี่แววของครอบครัวข้างกายในตอนที่หมดลมหายใจ 


     

    ก่อนที่ผมจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่ตายไปแล้ว 


     

    ลืมตาขึ้นมาตอนที่อายุ 8 ขวบ และยังไม่ได้มีอาการของโรคร้ายแรง 


     

    ความดีใจและนึกว่ามันคือฝันร้ายทำให้ผมที่ยังเป็นเด็กอายุ 8 ขวบ รีบวิ่งไปหาพ่อพร้อมกลับน้ำตาที่เปื้อนบนใบหน้า ทันอาจจะเป็นฝันร้ายที่เกิดขึ้นมาในช่วงที่นอนกลางวันก็ได้—ผมคิดแบบนั้น 


     

    ก่อนที่จะถูกด่าทอและไล่เหมือนกับสัตว์ออกจากห้องรับแขก 


     

    ชีวิตครั้งที่ 2 นั้นผมได้ปรับปรุงนิสัยที่ขี้ขลาดใก้กล้าที่จะลองทุ่มเทให้แก่การศึกษาเล่าเรียนจนมีคะแนนที่ดีล้ำหน้าพี่สาวและพี่ชายไปไกลโข ผมหวังว่ามันจะทำให้พ่อมอบความรักแก่ผม ผู้ซึ่งมีความเฉลียวฉลาดบ้าง 


     

    แต่มันก็แค่ความฝันลม ๆ แล้ง ๆ ของเด็กที่ขาดความรักความอบอุ่นจากพ่อเท่านั้น 


     

    และชีวิตครั้งที่สองก็ไม่ได้ต่างจากครั้งแรกเสียเท่าไหร่ ผมตายในโรงพยาบาลโดยไม่มีครอบครัวอยู่เคียงข้างเหมือนเช่นเคย 


     

    นั่น...เป็นตอนที่ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความฝัน เมื่อได้ย้อนกลับมาอายุ 8 ขวบ เป็นครั้งที่ 3 


     

    ชีวิตครั้งที่ 3 ไม่ได้ต่างจากครั้งก่อน นอกจากทุ่มเทให้การเรียนแล้ว ผมยังเข้าเรียนศิลปะและดนตรีเพื่อการยอมรับจากพ่อเหมือนอย่างเคย ต่อให้ถูกด่าทอหรือเหยียดหยามมากแค่ไหน ผมก็จะเอามันมาเป็นแรงผลักดันเสมอ 


     

    อย่างน้อยในชีวิตครั้งนี้ผมก็ตายโดยมีครอบครัวอยู่เคียงข้าง ผมหมายถึงทีพี่ชายกบพี่สาวที่มานั่งเฝ้าส่งผมให้หลับไหล และใช่ ...


     

    มันยังคงไร้วี่แววของพ่อ 


     

    ในชีวิตครั้งที่ 4 กว่าจะรู้ว่ามันไร้ประโยชน์ที่จะรองขอหรือพยายามที่จะได้ความรักจากพ่อ ผมใช้เวลาสิ้นเปลืองไป 4 ครั้ง 


     

    ในตอนแรกผมทุ่มเททุกอย่างที่เคยผ่านมาในชีวิตครั้งก่อน และตั้งใจเรียนเกี่ยวกับธุรกิจของครอบครัว ผมหาเงินเข้าตระกูลได้มากมายจนใคร ๆ ก็นับถือ


     

    จนกระทั่งได้ยินคำพูดเหยียดหยามความพยายามของผมออกมาจากปากของพี่ชายและพี่สาว ความสนิทสนมที่ได้มาตลอดนั้นมันก็แค่สิ่งจอมปลอม พวกเขาจะหลอกใช้งานผมจนกว่าผมจะตาย และพ่อของผมที่สามารถหาหมอมารักษายืดเวลาชีวิตของผมได้ แต่ท่านกลับไม่ทำ 


     

    ความเกลียดชังของเขาที่มีต่อผมมันมากเกินจนไม่คิดจะแยแสเลยสักนิดว่าผมจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร 


     

    มันทำให้ผมลืมคำพูดของพ่อจากชีวิตครั้งแรกที่ร้ายกาจและทำร้ายจิตใจไปเสียสนิท จนมันรู้สึกเคว้งคว้างไร้จุดหมายในการมีชีวิตต่อไป 


     

    ชีวิตครั้งที่ 4 หวนคืนสู่โรงพยาบาลและความหนาวเหน็บในจิตใจไม่ต่างจากชีวิตแรก การตัดสินใจที่จะดับชีวิตของตัวเองเป็นสิ่งที่ผมจะทำมันก่อนโรคร้ายมาคร่าชีวิต 


     

    วัน ๆ นึงผมอยู่แต่กับหน้าจอสมาร์ทโฟนที่แตกละเอียด ฉายรายการวาไรตี้ต่าง ๆ ของพวกหนุ่มสาวมากความฝัน และเปิดเพลงที่นานครั้งจะคิดฟังสักทีเป็นการแก้เบื่อไปในแต่ลวัน


     

    มันช่างดูไร้ชีวิตชีวาเสียเหลือเกิน 


     

    ดาดฟ้าโรงพยาบาลสูงมากกว่าสิบชั้น สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดโชยมาบาดผิวที่แห้งกร้าน ผ่านเศษซากของหัวใจที่แตกสลายจนกลายเป็นผุยผง ก่อนที่ผมจะก้าวขึ้นไปยืนบนราวกั้นดาดฟ้า 


     

    ไม่อยากย้อนกลับไปอีกแล้ว 


     

    นั่นคือสิ่งที่ผมคิดก่อนจะทิ้งตัวลงไปข้างหน้า  


     

    หมับ ! 


     

    " มันอันตรายนะครับ " 


     

    เส้นผมสีชมพูคล้ายสายไหมและน้ำเสียงตื่นตกใจฉุดรั้งให้สติของผมกลับมา ความอบอุ่นจากฝ่ามือหยาบกร้านที่คว้าแขนของผมเอาไว้ ทำให้ร่างไร้เรี่ยวแรงของผมรีบหันกลับไปมองผู้ที่ยื่นมือเข้ามาช่วย 


     

    ผมตะลึงค้างกลางอากาศเมื่อหันไปเจอเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาเจิดจ้า ในช่วงเวลานี้ไม่มีใครที่จะไม่รู้จักเขา 


     

    ดีจี คังดากยอม ดาราชื่อดังเข้ามาห้ามไม่ให้เขาฆ่าตัวตาย 


     

    วินาทีนั้น 


     

    แม้มันจะเป็นการหยิบยื่นความช่วยเหลือที่ผมไม่ได้ต้องการเลยสักนิด กระนั้นมันกลับเป็นชนวนทำให้ผมรู้ว่าถ้าหากย้อนเวลากลับมาครั้งที่ 5 ผมจะทำอะไรในชีวิตนั้น 


     

    .


     

    .

     

    " กลับมาอีกแล้ว " 

     

    หลังจากที่ถูกช่วยเหลือจากดาราขวัญใจประชาชน ผมก็ถูกตำหนิเกี่ยวกับความปลอดภายไปยกใหญ่ เขาคนนั้นจากไปพร้อมบอกให้ผมใช้ชีวิตที่ไม่เคยได้ใช้ ดีกว่ามาจบด้วยการกระโดดตึกแบบนี้ 

     

    ถึงแม้ผ่านไปเพียงไม่ถึง 2 สัปดาห์ผมจะเสียชีวิตก็ตาม แต่ภายในช่วงเวลานั้นผมได้เปิดเพลงของเขาเพื่อปลอบประโลมความว่างเปล่าในจิตใจ ราวกับพลสิ่งที่เขาต้องการมาโดยตลอดผ่านบทเพลงแสนไพเราะนั้น

     

    " ดีล่ะ " 

     

    ผมกำหมัดก่อนจะชูมันขึ้นเต็มความยาวของแขน ละทิ้งชีวิตแสนอดสูเอาไว้ และเดินหน้าทำสิ่งที่อยากทำในชีวิตครั้งที่ 5 นี้ให้เต็มที่ 

     

    ผมจะเป็นติ่งไอดอล 

     

    แม้มันจะดูเป็นความคิดตื้นเขิน แต่เขาก็ไม่อยากจะทุ่มเทให้กับสิ่งที่ไม่เคยได้รับการตอบแทนจากใจจริงในอดีตอีกแล้ว 

     

    " ครั้งนี้...ฉันจะผลาญเงินในบ้านให้ล้มละลายไปเลย " 

     

     

     

     

     

     

    #ชีวิตติ่งเดนตายของคุณชายขี้โรค


    ** พระเอกไม่ใช่ดีจีค่ะ ดีจีไม่ได้คู่กับน้องค่ะ บอกไว้ก่อน แค่เป็นชนวนในการติ่งเฉย ๆ ค่ะ เพราะจริง ๆ ไอ้เด็กซึลมันจะติ่งทั้งวงการ ???? 

    คอมเม้นแลกเปลี่ยน/พูดคุยกันได้นะคะ เป็นกำลังใจแก่เรา

    ไว้เจอกันตอนหน้าค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×