NC

คำเตือนเนื้อหา

เนื้อหาของเรื่องนี้อาจมีฉากหรือคำบรรยายที่ไม่เหมาะสม

  • มีการบรรยายเนื้อหาที่เกี่ยวกับความรุนแรงสูง
  • มีเนื้อหาที่เครียดหรือหดหู่มาก ซึ่งอาจกระทบต่อภาวะทางจิตใจ

เยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ควรใช้วิจารณญานในการอ่าน

กดยอมรับเพื่อเข้าสู่เนื้อหา หรือ อ่านเงื่อนไขเพิ่มเติม
ปิด
ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ONE PIECE | หงส์ขาวเคียงสุริยัน( KING x OC )

    ลำดับตอนที่ #1 : I | THE FALLEN ANGEL

    • อัปเดตล่าสุด 27 ก.พ. 67


     

     

    TW : ความรุนแรง ,ลัทธิความเชื่อ ,สังหารหมู่

     

     

     

    I  :  THE FALLEN ANGLE

     

     

    ( Santorini ,Greece )

     

     

     


     

     

    Isola De Luce Island ,Grand Line

    ภัยแล้งอันร้อนระอุยาวนานมาตลอดระยะสามเดือนแล้ว พวกพืชผลไร่เกษตรที่ชาวบ้านเพาะปลูก บ้างก็ล้มตาย บ้างก็ออกดอกออกผล บ้างก็อยู่นิ่งเหมือนเดิม 

    ซึ่งมันผิดปกติ...


     

    อิโซลา ดิ ลูเช* เกาะแห่งแสงกำลังประสบภัยที่น่าหวาดหวั่น นามตัวแทนที่พักพิงของพระเจ้า กำลังมีบางสิ่งที่ผิดปกติไป... ก่อนสามเดือนที่ผ่านมา ทุกอย่างยังคงสงบและเรียบง่าย ร้องรำทำกินตามภาษา พูดคุยพบปะสังสรรค์ และรื่นเริงดั่งเช่นเคย 

     

    แต่นี่ไม่ใช่ ไม่ใช่เช่นเคย ...เมฆหมอกจากที่ปกคลุมทั่วเกาะ ป้องกันภัยอันตรายเริ่มบางและจางลงเรื่อยๆ มีเรือเดินทางมายังเกาะมากขึ้น ทั้งกองทัพเรือ โจรสลัด เรือขนส่ง นานาชนิดที่จะระบุได้ มีผู้คนมากหน้าหลายตา ล้วนในนั้นก็มีโจรสลัดบางกลุ่ม หวังจะยึดชิงทรัพยากรในเกาะแต่ก็ถูกจัดการจนเรียบไปเสียบ้างแล้ว….


     

    “ ท่านนักบุญ ...เราจะทำอย่างไรดี ”  หนึ่งในชาวบ้านชายทักถามตัวแทนของพระเจ้าเฉกเช่นนักบุญวัยกลางคน ภายใต้โบสถ์ขาวสนิท รูปปั้นของศาสดาและพระผู้เป็นเจ้าตั้งเรียงรายอยู่ทุกย่อม ประดับประดาด้วยทองคำทั้งขาวทั้งทอง บริสุทธิ์ผุดผ่อง สะอาดจิตทั้งกายใจ ล้วนเปี่ยมไปด้วยศรัทธาและคุณธรรม

    ทุกที่ที่นักบุญได้ก้าวเท้าย่ำไป ย่อมเจริญตามไปด้วย   อิโซลา ดิ ลูเช ผู้คนในเกาะนี้ถูกสอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ มีจิตใจโอบอ้อมอารี และรักมนุษย์ทุกคนบนโลก จึงเป็นที่มาของเกาะแห่งแสง เกาะที่เทวทูตจะมาพักพิงและนำข่าวแจ้งแก่พระผู้ทรงสวรรค์ ทุกเทศกาลย่อมมีการขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอ 

     

     

     

     

    “ คงเป็นลางบอกเหตุ เกาะแห่งแสงของเรามิเคยพบเจอกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้มาก่อน.. ” สตรีงามคนหนึ่งนั้นพูดแทน ส่วนนักบวชไม่ได้เอ่ยอะไร ยังคงสวดภาวนา สวดอ้อนวอนสรรเสริญ ได้เพียงหวังให้ภัยตรงหน้าหายไปเสียที

     

     

    เพอร์เบเลียน มารีแอนด์ เป็นบุตรสาวของนักบุญ เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์ของจักวรรดิแห่งแสง เมื่อนางเกิดมาแล้ว ท้องฟ้าแจ่มแจ้ง เมฆคลี่ อาทิตย์สาดส่อง บ้านเมืองยินดีปรีดาที่นางฟ้าตัวน้อยถือกำเนิดขึ้นในเมืองแห่งนี้ 

    ส่วน เพอร์เบเลียน โยเซฟา เป็นนักบุญและสามีของมารีแอนด์ สองสามีภรรยาได้กำเนิดบุตรชาย ที่เป็นพรจากสวรรค์ประทานมาให้ เพอร์เบเลียน เยซิอัส  เด็กชายวัยแรกแย้ม ผิวพรรณสะอาดตา เป็นเด็กศักดิ์สิทธิ์สืบทอดต่อจากมารดา เมื่อครั้งที่เด็กชายถือกำเนิดขึ้นมา ในวันนั้นพืชผลออกดอกมากมาย ไม่มีภัยใดเกิดขึ้นนับตั้งแต่นั้น

     

     

     

     

    “ อย่าได้กังวลไป ข้าเชื่อว่าพระผู้เป็นเจ้ากำลังทดสอบเรา จงศรัทธาและเชื่อมั่นเถอะชาวแห่งแสง ” นักบุญโยเซฟาเอ่ย

    “ แต่ท่านนักบุญ.. ชาวบ้านกำลังล้มตา- ”

     

    “ เจ้ากำลังขัดโองการของพระเจ้า ” มารีแอนด์เปล่งเสียงเข้ม สีหน้าของนางดำมืดลงเห็นได้ชัด เหมือนกำลังหงุดหงิด

    “ ข..ข้าขอภัยท่านนักบุญ ”

     

     

     

    “ เยซิอัสไปไหน ท่านโยเซฟา ” 

    “ คงเตร็ดเตร่ที่ใดสักแห่ง ไม่นานก็กลับมา ”

     

    มารีแอนด์พยักหน้าตอบรับไป นางเป็นห่วงบุตรชายคนเดียวของนาง โยเซฟาก็รู้ดีว่ามารีแอนด์รู้สึกเช่นไร ก็ไม่พูดสิ่งใดให้มากความ มารีแอนด์คำนับต่อรูปพระเจ้าก่อนจะขอตัวออกไปจากโบสถ์ ตามหาลูกชายของนางที่เดินเตร็ดเตร่อยู่ที่ไหนสักแห่ง

    ภรรยาของเขาคือพระแม่มาจุติ มาเพื่อสร้างสรรค์ความสุข ความรักให้แก่มนุษย์โลก มารีแอนด์ช่างเป็นหญิงงามที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน พื้นเพโยเซฟาไม่ใช่คนของเกาะแห่งนี้ เขาเป็นเพียงนักบุญเรร่อนที่ติดเรือของโจรสลัดมาลงยังเกาะแห่งนี้

    ครั้นเมื่อพบเจอมารีแอนด์ และได้ครองรัก …เหมือนเขาได้ครอบครองนางฟ้าที่ลงมาจากสวรรค์

     


     


     

     

     

     

     

     

    นางฟ้า ?

    สวรรค์ ?

     

     

     

     

     


     

     

     


     

     

    ข้าฤาทรยศต่อเทวาลัย...

    ข้าฤาอสุราโค่นบัลลังก์...

    ข้าฤาเทวทูตผู้แปรพักต์...

    เป็นข้าฤา... ที่ต้องถูกลงทัณฑ์


     

     

    ปีกขาววจีร่วงหล่นลงสู่พื้นดินล่าง เทวาลัยบัดนี้ได้ทอดทิ้งทูตสวรรค์ตนนี้เสียแล้ว อันร่างระหงส์คลุมด้วยปีกสวรรค์ทั้งหกกอบกุบร่างอรชร มิให้เปื้อนกับเศษดินทรายอันไม่บริสุทธิ์

    เทวาลัยมิอาจยอมรับผู้ที่คิดยโสต่อบัลลังก์ของท่านผู้ทรงสวรรค์ เฉกเช่นพระผู้เป็นเจ้าได้ พระองค์นั้นคือผู้สูงสุด ผู้สร้างและผู้ทำลาย เป็นสมดุลแห่งชีวิต ที่ผู้พิพากษาก็คือพระองค์เอง

     

     

    อันตัวนางอัปสรผู้งดงาม สะพือพัดปีกทั้งหก พยุงร่างอันไร้แรงของตนให้ยืนหยัด นางงามดั่งวิมานเทวาลัย หากแต่จิตนั้นเปื้อนเปรอะไปด้วยมลทิน ที่สมคบคิดกับเหล่ามารที่อยู่เบื้องล่าง..

    ทูตสวรรค์บุรุษเพศตนนั้น กำลังชักจูงให้นางไปสู่ทางโลกอันแตกสลาย เปี่ยมไปด้วยบาปกิเลสตัณหา อันหาที่สุดมิได้... นางกำลังจะกลายเป็นพญามาร ดั่งเจ้าแห่งยมโลกที่ทั้งเทวทูตและมนุษย์ต่างหวาดกลัว

    ….ซาตาน

     

     

     

     

    “ โถ นางอัปสรของข้า.. เซราเนีย ” พลันเสียงเพรียกที่เฝ้าใฝ่หาก็ทะยานโผน ครอบคลุมร่างนางอัปสรผู้ยลโฉม แรงลมและมวลเมฆา เคลื่อนลอยเป็นเมฆสายฝนเทาเข้มเมื่อสิ่งนั้นคลืบคลานมา...

     

     

    ลูซิเฟอร์..

    “ ข้าเห็นทุกอย่าง ...มิต้องเอ่ยอันใด ” พญามารผู้เลื่องชื่อเพียงช้อนร่างของนาง พำนักกับพื้นหญ้าเขียวสะอาด ร่างของนางเปลือยเปล่า ช่างเป็นร่างจำแลงอันงามงด ที่ทูตสวรรค์คนอื่นจะเทียบเคียง … เซราเนียคือเซราฟิม ลูซิเฟอร์ก็เคยเป็นอดีตเซราฟีม อัครทูตสวรรค์ชั้นสูงสุด ที่ใกล้ชิดกับพระผู้เป็นเจ้ามากที่สุด…

    ดวงเนตรทับทิมของจ้าวนรก จรดมองสำรวจร่างของนางฟ้าคนสวย ผิวกายขาวดุจน้ำนมของนางบอบช้ำด้วยแรงปะทะที่ถูกขับไล่ ตามเนื้อตัวนั้นครั้นเปื้อนด้วยคราบเลือดแห้งกรัง …แสงยานุภพาที่พระผู้ทรงสวรรค์นั้นสาปส่งลงมา แรงพอจะสังหารเทวทูตได้เพียงแค่พริบตาเดียว …. แต่นาง เซราเนียต่างไป แตกต่างสิ้นเชิง นางกล้าแกร่ง อยู่ยงคงกระพัน ไม่มีสิ่งใดฆ่านางได้ เว้นเสียแต่ตัวนางเอง…

     

     

    “ เซราเนีย ข้ามิอาจอยู่กับเจ้าได้ จงใช้ชีวิตในฐานะผู้ร่วงหล่นเถิด.. ”  เสียงนุ่มทุ้มลึกของอดีตทูตสวรรค์เพียงแค่ปลอบโลมนางอัปสรให้คลายที่ มือเรียวหนาเด็ดขนวิหคสีดำ มอบให้นางเป็นเครื่องเตือนใจ

     

    “ หากมีเหตุจำเป็น จงเผามันและข้าจะรู้แจ้ง ” ลูซิเฟอร์เอ่ยสั้นๆ

     

     

     

    อันตัวพญามารมิสามารถอยู่กับนางได้ทุกช่วงเวลา ในฐานะความตาย จำต้องมีการมีงานทำเป็นเรื่องปกติ และที่นี่หาใช่เทวาลัยไม่ นี่คือแผ่นดินโลกาที่เปี่ยมไปด้วยบาปและกิเลสตัณหาอันไม่มีสิ้นสุด

    เซราเนีย ต้องยืนหยัดด้วยตนเอง..

     

     

     

    “ เมื่อเจ้าพร้อมข้าจะกลับมา …และพวกเรา จะทำลายสวรรค์ให้สิ้น… ” พญานรกกางปีกพือสะบัดหายไปชั่วทันใด ทิ้งไว้เพียงของดูต่างหน้าที่แสนสำคัญ ขนวิหคที่ครั้งหนึ่งเหล่าเทวทูตหวงนักหวงหนา บัดนี้มีเพียงลูซิเฟอร์ที่ยังกล้าเด็ดมีนออกโดยไม่กลัวว่าจะเสียศักดิ์ศรี  

    ใครๆก็รู้ว่ามันงอกใหม่ได้ แต่เทวดาหน้าโง่ก็ทะนงตนว่างอกไม่ได้ เชื่อว่าเป็นของขวัญของพระเจ้า แตะต้องไม่ได้เด็ดขาด…

     

     

    สิ้นการไปของราชานรก เสียงไม่คุ้นหูดังลั่นมาแต่ไกลจากด้านหลัง ฝีเท้าย่ำลงบนหญ้าแห้งดังกรอบแกรบ เป็นการเรียกเชิญให้นางอัปสรข้องใจถึงการมาของเสียงปริศนา

     

     

    “ ท่านเป็นใคร? มาทำอะไรกลางป่าเช่นนี้.. ” 

    “ แล้วเจ้าล่ะ ..มาทำอะไร ” เซราเนียยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ได้หันหลังไปมองต้นตอของเสียงเรียก

     

     

    “ ข้ามาเดินเล่นไปเรื่อยครับ แล้วท่านเป็นใคร ข้าไม่คุ้นหน้าท่าน.. ”

    “ อยากรู้นามข้าไปทำไมกัน? ข้องใจอัน…ใด.. ”

     

    พอหันไป ดวงเนตรผืนสมุทรไม่ทันใดก็เบิกกว้าง ใบหน้าเยาว์วัยของบุรุษเพศที่อ้อล้ออ้อเฉาะกับนาง คลับคล้ายคลับคลากับคนผู้นั้น คนที่ที่เซราเนียเคยรู้จัก และรู้จักดียิ่งจนจำขึ้นใจ 

     

     

    ชายผู้ริเริ่มทุกสิ่งของความศรัทธา…

     

     

     

    “ เยซู? ”

    “ เยซูคือใคร? ”

    “ นี่สวรรค์… กำลังล้อข้าเล่นฤา… ”

    “ ข้าชื่อ เพอร์เบเลียน เยซิอัส ครับ เป็นบุตรชายของบักบุญโยเซฟา และมารีแอนด์ ”

     

     

     

     

     

    โลกคู่ขนาน? 

    มิติพิศวง?

    หรือเป็นตัวนางเองที่กำลังประสาทหลอน?

     


     

     

     

    นางเพียงได้แค่แค่นเสียงหัวเราะเย็น เพียงสมเพชตน ที่ต้องมาประสบพบเจอกับเหตุการณ์หน้าปวดหัวตรงหน้า ช่างตลกอะไรเช่นนี้ ซึ่งไม่ว่าจะอยู่ที่ใด จะสวรรค์ จะโลกา จะนรกภูมิ นางก็มีแต่เรื่องน่าปวดหัวทุกครั้ง..

     

     

    “ นามของข้าคือ เซราเนีย ”

    “ เจ้าเป็นเผ่าใดกัน? ทำไมเจ้าถึงสูงเสียจริง ” เยซิอัสชะเง้อหน้ามองเซราเนีย ที่ส่วนสูงระหว่างชายหญิงห่างกันลิบลับ เขาสูงตามมาตรฐานชาย แต่นางสูงตามมาตรฐานใดกัน หรือเป็นเผ่าพันธุ์ ชาติพันธุ์ ที่เขามิเคยพบเห็น

     

     

    “ ก่อนถามถึงชาติพันธุ์เรา ใยเจ้ามิบอกว่าที่นี่คือใด? ”

    “ อ๋ออออ ที่นี่คือเกาะแห่งแสง …อิโซลา ดิ ลูเช ครับ ”

     

     

    เซราเนียได้เพียงนั่งฟังเยซิอัส เล่าถึงประวัติของอาณาจักรแห่งนี้ด้วยความปลาบปลื้ม เด็กชายตรงหน้าเทิดทูนจักวรรดิแห่งนี้เข้าเลือด นางอัปสรได้แต่เป็นผู้ฟัง แม้จะแอบระแคะระคายถึงการยกยอถึงพระผู้เป็นเจ้าไปบ้าง ซึ่งนางก็ไม่ได้เอ่ยขัดใดให้เสียบรรยากาศนัก…

    เป็นภาษาอิตาเลียน แปลว่าเกาะแห่งแสง สร้างขึ้นด้วยพรจากพระผู้เป็นเจ้า ว่ากันว่าเกาะนี้คือแหล่งพักพิงของเหล่าทูตสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น... นางก็มิเห็น ว่าพวกอัครทูตจะมาพักพิงอะไรเลย วันๆที่ทำก็ร้องเพลงสรรเสริญ ไม่ก็นำข่าวสารไปบอกกล่าวแก่สาวกที่นับถือ ส่วนมากก็เป็นเพียงเทวดาชั้นล่างที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ พวกชั้นสูงไม่มีร่างตายตัวนัก หากการนำข่าวสารไปแจ้ง มนุษย์ก็คงหวาดกลัวและหมดศรัทธาพอดิบพอดี

     

     

    “ บิดาข้า บอกว่าสักวันข้าจะได้ขึ้นไปยังสวรรค์ เพื่อรับใช้พระเจ้า ”

    “ อ๋อ.. ” 

    “ แล้วเซราเนีย เชื่อในพระเจ้ารึไม่.. ”

    ไม่

     

    เยซิอัสยิ้มเจื่อน ผู้หญิงตรงหน้าเขา ช่างตรงไปตรงมาจนทำตัวเองไปเสียไม่ถูก เซราเนียสำหรับเขาเป็นคนสวย เป็นหญิงงามที่เขาไม่เคยพบเคยเห็น งามเทียบเคียงมารดาของเขา หรืออาจจะงามมากว่านั้น..

     

     

    “ เยซิอัส! นั่นเจ้ากำลังพูดคุยอยู่กับใครกัน!? ” มารีแอนด์เอ่ยเสียงลั่น นางทั้งตกใจ และประหลาด จนลมแทบจับ ที่บุตรชายเพียงคนเดียวของตน กำลังพูดคุยกับสตรีแปลกหน้า ที่ร่างของนางทั้งบอบช้ำและสูงใหญ่กว่าลูกชายของตนมาก อีกทั้งยังมีปีกวิหคสีขาว ราวกับนางสวรรค์ที่ลงมายังพื้นดินโลก 

    นางสวรรค์?  หรือนี่คือบททดสอบของพระผู้เป็นเจ้าที่ส่งมาลองใจเกาะแห่งนี้กัน?

     

     

    “ ท่านแม่ นี่เพื่อนใหม่ข้า นางชื่อเซราเนีย ” 

    “ เจ้ามาจากที่ใด ใยจึงมาที่เกาะแห่งนี้.. แล้วเผ่าพันธุ์เจ้าคือเผ่าใด จงบอกมาให้หมด.. ” มารีแอนด์เค้นถามนางอัปสรเซราเนีย นางไม่อาจจะไว้ใจบุคคลตรงหน้านี้ได้ลง ดินแดนแห่งนี้ไม่เคยมีผู้ใดข้ามผ่านพ้นหมอกที่ปกคลุมนี้ได้ เว้นเสียแต่จะล่องเรือมาตรงๆด้วยใจอันบริสุทธิ์

     

    “ ข้ามาจากเทวาลัย ข้าคืออัครทูตสวรรค์…และหากนี่เป็นโองการของพระเจ้าก็คงใกล้เคียง ” นางสวรรค์ปั้นคำโกหกสร้างความเชื่อใจให้แก่หญิงวัยกลางคน เซราเนียส่งยิ้มพริมใจ หวานเจื้อดั่งหยาดเกสรของบุปผาแรกแย้ม ดั่งรอบตัวนางเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายแห่งความบริสุทธิ์ เปี่ยมไปด้วยคุณธรรมความดี 

     

    “ ท..ท่านคือเทวดาฤา ..ข้าขออภัยที่ล่วงเกินท่าน ท่านผู้มาโปรด.. ” มารีแอนด์คุกเข่าแทบหมอบกราบ นางกลั้นเสียงสะอื้นที่เล็ดลอดออกมา เป็นบุญของมารีแอนด์เสียนี่ ที่ได้พบเจอกับตัวแทนของพระองค์ด้วยตาทั้งสองนี้

    เหมือนดั่งสวรรค์มาโปรด ขอบพระคุณท่าน ที่เมตตาเราชาวแห่งแสง

     

     

    “ ท่านแม่ เรามอบที่พักพิงให้นางได้หรือไม่ ” เยซิอุส

    “ พานางไปยังปราสาทเพอร์เบเลียน ”

     

     

    “ มารีแอนด์.. ท่านคือพระแม่ผู้มาจุติ ข้าขอขอบพระคุณ… ”

    “ พระแม่อันใดกันท่านเทวดา มาเถิด..ข้าจะให้ลูกชายข้าเป็นพาท่านชมเมืองของเรา ” นักบุญหญิงมารีแอนด์คว้ามือขาวซีดของนางอัปสร ลากออกไปจากตัวป่าเขียวชอุ่มที่ยังไม่โดนภัยแล้งมารุกราน  ส่วนเยซิอัสตามหลังนางมาติดๆ เด็กหนุ่มสังเกตุเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศโดยรอบ 

    จากที่อากาศร้อนแห้งจากภัยแล้ง ก็เริ่มเบาบาง และมีกลิ่นอายของต้นหญ้าใบไม้มาแทรกแทน  ทำให้เขารู้ได้ทันทีว่าเพื่อนใหม่ตรงหน้าคือความหวังของเกาะแห่งนี้

     

     

    .

     

     

     

    .

     

     

    ความหวังฤา ?

     

     

    .

     

     

     

    .

     

     

     

    .

     

     

     

    5 ปีต่อมา…

     

     

    เมื่อผ่านพ้นภัยแล้งมานาน บ้านเมืองเริ่มมีชีวิตชีวาและรื่นเริงเหมือนเก่า ชาวเมืองยกย่องสรรเสริญตระกูลเพอร์เบเลียนและนับถือบูชาเทวทูตผู้มาพร้อมกับพรอันศักดิ์สิทธิ์ ที่ฟื้นฟูมวลชีวิตให้กลับมาอุดมสมบูรณ์ได้อีกครั้งหนึ่ง

    เซราเนียเป็นเหมือนดั่งพระเจ้าของเกาะแห่งนี้ ไม่ว่านางจะเดินย่ำไปที่ใด ก็ย่อมมีคนสรรเสริญและน้อมคำนับอยู่ตลอดเวลา นางไม่ชอบการบูชาเช่นนี้แต่ทำอะไรมิได้ เพราะมารีแอนด์และโยเซฟาที่เป็นนักบุญกำชับนักหนาให้เคารพนางในฐานะทูตสวรรค์ผู้มาโปรด…

     

     

    “ เซราเนีย …ท่านพ่อเรียกท่านไปที่โบสถ์หลวง ” เยซิอัสในวัยแตกหนุ่ม ครานี้เขาอายุได้สิบแปดปีบริบูรณ์ รูปร่างมังสาสมส่วน ยลหน้าก็เริ่มคมเข้มขึ้นตามวัย ผิวพรรณเนียนสีน้ำผึ้ง ผมสีน้ำตาลเข้มและดวงเนตรสีทองอำพัน  เด็กหนุ่มนั้นฉายแววหล่อคมคายมาแต่เด็ก ตั้งแต่ครั้งแรกที่นางพบเจอเขา

     

    เยซิอัสรู้ดีว่าการไว้ใจใครมันเป็นเรื่องยาก แต่กับเซราเนียนั้นแตกต่างออกไป ไม่ว่าจะเพ่งมองไปยังห้วงลึกมากเท่าไหร่ ก็มิสามารถเดาออกได้ว่านางคนนั้นคิดอะไรอยู่ นางไม่ใช่คนเฮฮามากนัก หรือคนที่เข้ากับใครได้ง่ายๆ เซราเนียมักจะเงียบและไม่พบปะกับใครสักเท่าไหร่ กิจวัตรของหญิงผมบลอนด์สว่างจ้า คือการเข้าโบสถ์ที่อยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองหลายกิโล และการนั่งอยู่ในป่าเงียบๆ ที่คนเข้าไม่ค่อยถึง..

     

     

    “ ในเมืองดูครึกครื้นกันนัก มีเรื่องอะไรฤา? ” เซราเนียเอ่ยถาม

    “ ภริยาของขุนนางลำดับที่สองของราชวงศ์กลาดิอุส ให้กำเนิดบุตรชายคนแรก คนในเมืองก็เลยเฉลิมฉลองกัน ”

    “ อ่อ... ”

     

     

     

     

    กลาดิอุส... เป็นนามสกุลที่ไม่คุ้นหู นางจำไม่ได้ด้วยซ้ำ ว่ามีราชวงศ์นี้ในจักวรรดินี้ด้วย… มิใช่ว่ามีเพียงเพอร์เบเลียนที่เป็นราชวงศ์หลักของดินแดนนี้หรือ นางอัปสรไม่เข้าใจและยังคงตั้งคำถามตลอดทาง..

    โบสถ์เบอร์บีลันเป็นศาสนาสถานหลักของดินแดนแห่งแสง ที่แห่งนี้คือแหล่งรวมจิตใจของประชาชนบนเกาะ เป็นที่ที่ตระกูลเพอร์เบเลียนเป็นเจ้าของ เพราะปู่ทวดของมารีแอนด์นั้นเป็นผู้ใกล้ชิดกับองค์ราชาของจักวรรดิมากที่สุด การได้รับความเมตตาจึงเป็นไม่ได้เป็นปัญหามากนักเมื่อต้องการความช่วยเหลือ…

     

     

     

    “ สายัณห์สวัสดิ์ครับท่านเซราเนีย ข้ามีเรื่องแคลงใจอยากจะถามไถ่ท่านมานาน เข้ามาข้างในเถิด ” นักบุญโยเซฟาโค้งคำนับอัครทูตสวรรค์เพียงคนเดียวของเกาะ ชายหนุ่มผายมือเชิญให้นางเข้ามาขางใน เพื่อพูดคุยกับเรื่องที่ค้างคาในใจของเขา

    นางมิชอบใจโยเซฟานัก ชายคนนี้น่ารำคาญและไม่น่าเข้าหา มาดราศีขัดกับภาพนักบุญยิ่ง

     

     

    “ ปีนี้เยซิอัสอายุสิบแปดปีบริบูรณ์ ถึงเวลาที่เราต้องทำพิธีชำระแก่สรวงสวรรค์ได้แล้ว ”

    “ พิธีชำระคือสิ่งใด? ”

    “ บูชายันแก่พระผู้ทรงสวรรค์ครับ  ”

    “ เจ้าว่ากระไรนะ.. ”

     

     

     

     

    เซราเนียชะงักกึก โยเซฟาเพียงยิ้มอ่อนให้นาง นั่นเป็นรอยยิ้มจอมปลอมที่นางรู้แจ้งได้ดี… ชายคนนี้ไม่น่าไว้วางใจ

     

     

    “ เจ้าจะสังหารเขาฤา.. ”

    “ หาใช่การสังหารครับท่านเซราเนีย นี่คือพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่ดินแดนนี้มีมานานโข บุตรของนักบุญคนแรก ต้องสละชีพทั้งกายและวิญญาณ ให้แก่พระผู้เป็นเจ้าครับ.. ” โยเซฟายังคงเดินทอดไปเรื่อย เมื่อมาหยุดยังรูปปั้นใหญ่ของพระเจ้าที่หล่อด้วยทองคำบริสุทธิ์..

     

    “ และเราต้องการเลือดของท่าน… เพื่อชำระร่างของเยซิอัสครับ.. ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    จะเอาโลหิตของเซราฟีม ง่ายเกินไปไหม…

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    โบสถ์ขาวเบอร์บีลันสว่างสไวยามค่ำคืนคือความงามอันหาที่สุด และนภาในยามวิกาล ประดับด้วยดวงดาราสว่างขัดแย้งเสียจริงกับภายในโบสถ์ที่นองด้วยหยาดโลหิตข้นของมวลประชาชนที่นอนกองนับร้อยชีวิต กลิ่นคาวฟุ้งตลบอบอวลเสียจีนน่าสะอิดสะเอียน 

    ใบหน้าเปื้อนโลหิตแห้งกรังของเซราเนีย และดวงเนตรสีฟ้าไร้ประกายของชีวานั้น จรดมองไปยังร่างของสองสามีภรรยาเพอร์เบเลียน อันที่นอนระรวยรินและสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัวต่อนางอัปสรตรงหน้า

    ที่สภาพน่าอดสูมิต่างจากหนูจนตรอก น่าสมเพช น่าเวทนา  

     

     

    ปีกทั้งหกพือสะปัด ปัดเป่าความโสมมที่เปรอะปนร่างกายของตัวนางเองจนขาวสะอาด …เลือดของสัตว์เดรัจฉานมีกลิ่นเหม็นเน่ามิใช่น้อย... เหม็นเน่าด้วยจิตอันโสมม จิตที่บิดเบี้ยวด้วยความศรัทธา อันนำพามาซึ่งการกระทำอันไร้มนุษยธรรมนี้..


     

     


     

    “ ท…ท่าน เซราเนีย.. พวกข้าขออภัย.. ” มารีแอนด์พาร่างของตน หมอบแทบเท้าสวยของนางสวรรค์

    “ ไม่ ”

     

    “ ข้าขอโทษ ข้าขัดโองการขององค์ราชามิได้ ” โยเซฟา

    “ แล้ว? เจ้าจะบอกว่าทั้งหมดเป็นเพราะราชาของเจ้ารึ? อย่ามาเรียกร้องหน่อยเลย ”


     

     

    คำลวงของมนุษย์ ช่างน่าเอียนเต็มทน ครั้งคราแรกที่พบกัน กับครั้งนี้ช่างแตกต่างนัก ที่นึกว่าจะดีก็กลับแทงข้างหลัง เซราเนียไม่แม้แต่จะมองหน้านั้นเสียด้วยซ้ำ ความไว้เนื้อเชื่อใจที่เคยฝากฝังไว้ดับสูญสลายไปราวเถ้าธุลี หากคนเรานั้นมีปากก็พูดได้แต่มิพูด ใช่ว่าคนทั่วทั้งเมือง จะเห็นดีเห็นงามกับความเชื่อเช่นนี้


     

    “ เพราะข้ามิรู้...ว่าโลกภายนอกเป็นเช่นไร ข้ามิอาจขัดขืนได้ ”มารีแอนด์

    “ หากเจ้ามีปากก็พูดได้ แต่กลับหุบมันไว้เพราะความเขลา ”


     

    มนุษย์หญิงได้เพียงแต่ปิดปากเงียบเสียจนมุม คำที่เซราเนียเอ่ยเป็นความจริงที่เลี่ยงไม่ได้ นางเขลาเบาปัญญาอย่างแท้จริง นางพูดออกมาได้แต่กลับไม่พูด เพราะความขลาดในศักดิ์ศรี  มารีแอนด์เป็นเพียงแค่แก้วเปล่าที่ถูกเติมเต็มด้วยน้ำสีเขาบริสุทธิ์ บิดาและมารดาขัดเกลานางให้เป็นเพียงวัตถุ ที่บูชาแก่พระผู้เป็นเจ้า รวมทั้งสามีที่ถูกล้างสมองเติมเต็มด้วยความเชื่ออันผิดแผกธรรมชาติ 

    เมืองแห่งนี้ช่างน่าสงสาร ราวกับโดนคำสาปให้มิอาจรับรู้เรื่องราวใดๆได้…

     

     

     

    เออ!! ข้าเลี้ยงไอ้เด็กนรกนั่นมาเพื่อบูชายันแก่พระองค์เจ้า …เยซิอัสมันเพียงแค่ของบูชา… ข้าแต่งงานกับโยเซฟาก็เพื่อรักษาชีวิตตนเองเพียงเท่านั้น  …ไอ้เด็กเวรนั่นน่ะ ตายไปก็มิมีใครจดจำหรอก!!! และเลือดของท่าน แค่ข้าได้ดื่มมันก็ทำให้ข้าเป็นนิรันดร์ได้!! ท่านก็มีค่าเพียงนี้แหละ …เซราเนีย!! ” มารีแอนด์แผดเสียงแหบแห้งของตนด้วยแรงเฮือกทั้งหมดที่มี นางตวาดลั่น เผยทุกอย่างในจิตออกหมดเปลือก 

     

     

     

    ผัวะ!!

    เท้าเรียวสวยเตะตะบันเข้าหน้าสวยของนักบุญหญิงด้วยแรงทั้งหมด มารีแอนด์กระอักเลือดออกมากองใหญ่ แรงเตะมหาศาลนั้นพอจะทำให้นางกรามหลุดออกมาได้ เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของนางไม่ได้ทำให้เซราเนียรู้สึกรำคาญ หากแต่เป็นเสียงอันไพเราะที่นางอยากยลยินในครานี้

    ความทรมาณด้วยบาดแผลนี่แหละ การลงทัณฑ์ชั้นดีที่จะมอบให้นาง…

     

     


     

     

    “ ให้ข้า ได้บอกลาท่านก่อนได้หรือไม่ ข้าขอเถิด.. ” โยเซฟาเอ่ยเสียงสั่น…

    “ ไม่ ขอบคุณ ” เซราเนียปฏิเสธ และยิ้มร่าให้พวกเขา


     

    เพลิงนวลขาวลุกไหม้ แผดเผาร่างของมนุษย์ชายหญิงในพลันตา เสียงกรีดร้องที่เต็มใบด้วยความรู้สึกหลากหลายจิต ไม่อาจทำให้เซราเนียเขวได้  นางเป็นทูตสวรรค์ ไร้รู้สึก ไร้นึกคิด ถูกสร้างขึ้นมาเพียงเพื่อรับส่งข่าวสารให้แก่สาวกของพระเจ้า ไม่มีแม้กระทั่งรูปลักษณ์ที่แท้จริง ที่เป็นอยู่เป็นเพียงแค่ร่างจำแลง

    หากผู้ที่น่าสงสาร คงอาจจะเป็นตัวนางอัปสรผู้นี้แทนกระมัง…


     

     

    “ ข้าแด่พระบิดาบนสวรรค์ มนุษย์ที่ท่านรักหนักหนาทรยศความไว้เนื้อใจข้าจนหมดสิ้น หากท่านยังคงอภัยโทษ ครานั้น…ข้าคิดว่าสรวงสรรค์คงไร้ความศักดิ์สิทธิ์แล้วหนา ”


     

     

    การสวดอ้อนวอนครั้งนี้คือครั้งสุดท้ายที่จะร้องขอ หากเทวาลัยยังเพิกเฉย กระนั้นความศรัทธาก็สิ้นเปล่า

    เซราเนียสะปัดปีกทั้งหกขึ้นเหนือพื้นดิน บินโผไปยังท้องนภาที่ขัดกับพื้นเบื้องล่างที่นองเลือด การสังหารหมู่ การทำลายล้าง จะเริ่มขึ้นในอีกไม่ช้านี้..

     


     

    “ อิโซลา ดิ ลูเช ...จงหมอดไหม้ไปพร้อมกับบาปครั้งนี้เถิด ”


     

     

    และทุกๆอย่างก็สว่างจ้าจนมิอาจมองเห็น ราวกับว่าทุกอย่างที่เคยพบเห็น ว่างเปล่าจนมิเหลือเค้าโครงเดิม เกาะแห่งนี้ไม่เหลือแม้กระทั้งสิ่งใด มีเพียงแต่เปลวเพลิงสีขาวและร่างไร้วิญญาณของผู้คนเพียงเท่านั้น

    แม้ภายนอกของเทวทูตตนนี้จะไร้ซึ่งจิตสำนึก กระนั้นแล้วความเป็นก็คือความเป็นจริง …การหักหลัง โกหกปลิ้นปล้อน และคลั่งในความเชื่อ หากยังมีอยู่ …มนุษย์จะกลายเป็นเพียงวัตถุที่ใช้เพื่อบูชาก็เท่านั้น
     

    เว้นไว้เพียงแต่คนคนหนึ่งที่นางยังคงไว้ชีวิตหนึ่ง ให้ยืนหยัด… เยซิอัส

     

     

     

     

     

     

    “ ท่านพ่อ.. ท่านแม่.. ทุกคน… ไม่นะ ไม่ๆๆๆๆๆ …นี่มันเกิดอะไรขึ้นกัน.. ” เยซิอัสไร้เรี่ยวแรงจะยืนต่อ เขาเที่ยวเล่นตามประสา แต่เมื่อแสงสว่างสีขาวจ้าโผล่แวบขึ้นมา พร้อมกองเพลิงขาววจีที่มอดไหม้ทุกทรัพสิ่ง น่าแปลกนักที่ตัวเขามิได้ถูกมอดไหม้ไปด้วย  นั่นไม่ใช่ปัญหา เด็กหนุ่มทิ้งทุกสิ่งวิ่งไปยังซากโบสถ์ที่เป็นธุลี ก้มมองร่างไร้กายหยาบของบิดามารดาด้วยใจอันสิ้นหวัง…

     

     

    “ เซราเนีย.. เจ้าทำอะไรลงไป!! ” เด็กหนุ่มตะโกนลั่นสุดเสียง หยาดน้ำตาสีใสรดจรดลงบนใบหน้าคมคาย ทั้งสิ้นหวัง เสียใจ และสับสนปนเป รวมทั้งเคียดแค้น

    ทำไมนางถึงทำเช่นนี้? คนพวกนี้ทำอะไรให้นางต้องเคืองใจ? ทำไมล่ะ…

     

     

     

    “ ข้าแค่เบื่อพวกมนุษย์โง่เขลา พวกที่จิตบิดเบี้ยวไร้ซึ่งศรัทธาที่แท้จริง.. ข้าไว้ชีวิตเจ้า..เยซิอัส ฮึๆ ” เซราเนียยังคงบินอยู่เหนือหัวของเด็กหนุ่ม นางยังคงปั้นรอยยิ้มส่งให้เขาที่แตกสลายไม่เหลือชิ้นดี..

     

    “ เจ้ามันปีศาจ!! ข้าจะฆ่าเจ้า!!! นังสารเลว… ”

    “ งั้นก็ไว้เจอกันใหม่ บุตรแห่งพระเจ้า :) ”

     

     

     

     


     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     


     


     


     


     



     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×