คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : AGAIN 01 #ละเลย
AGAIN 01 #ละเลย
08:10 pm
[คิดดีแล้วใช่ไหมนา จะไม่บอกหมอนั่นก่อนจริง ๆ เหรอ?]
เสียงปลายสายดังแข่งกับเสียงฝนโปรยปรายจากท้องฟ้ายามค่ำคืน ลมพายุพัดผ่านนำพาเส้นผมสีน้ำตาลอ่อนพลิ้วไหวระใบหน้าสวย เรียวนิ้วยาวใช้ปลายเล็บสีม่วงอ่อนเกี่ยวเส้นผมทัดข้างหู
ฉันเหม่อมองภาพสะท้อนของผู้หญิงคนหนึ่งผ่านกระจกประตูคาเฟ่ ใบหน้าสวยซีดเซียวเล็กน้อย ดวงตาคมเฉี่ยวฉายแววอ่อนล้า ริมฝีปากสีพีชขบเม้มก่อนจะขยับเอ่ยตอบน้ำเสียงเฉยชา “นาตัดสินใจแล้ว ครั้งนี้… นาจะเลิกกับเขาจริง ๆ”
[…] ปลายสายเงียบงันครู่หนึ่ง ก่อนจะถอดถอนใจ [เข้าใจแล้ว]
หลังจากได้ยินคำตอบรับจากปลายสาย ภายในใจของฉันรู้สึกเจ็บหน่วงขึ้นมา แต่ความรู้สึกนั้นถูกกดลงไปอย่างรวดเร็ว
[รู้ใช่ไหมว่าพี่อยู่ข้างนาเสมอ ครั้งนี้มันคงไม่ยอมเลิกเหมือนเดิมแน่ ๆ ถ้านาต้องการให้พี่ช่วยก็โทรมาหาได้เสมอเลยนะ]
ฉันหยักยิ้มมุมปาก สายตาจ้องมองหยาดฝนบนท้องฟ้า “พูดอย่างกับว่าถ้านาต้องการให้พี่ช่วยแล้วพี่จะกลับมาช่วยนาได้ทันทีงั้นแหละ”
ปลายสายหัวเราะเบา ๆ น้ำเสียงคลายความผ่อนคลายลง [ก็ไม่แน่นะ ถ้านาเอ่ยปากขอ พี่อาจจะไปอยู่ตรงหน้านาตอนนี้เลยก็ได้]
คราวนี้ฉันหัวเราะบ้าง เสียงหัวเราะเบา ๆ กลืนหายไปกับสายลมของพายุฝน “ที่นั่นบอสตันนะคะไม่ใช่กรุงเทพที่จะไปกลับชลบุรีภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมงน่ะ”
เมื่อได้หัวเราะครั้งหนึ่ง ความรู้สึกอัดอั้นในใจคล้ายจะจางหายไปมาก พอได้สติกลับมาฉันก็อดจะยิ้มเย้ยหยันให้กับความน่าสมเพชของตัวเองไม่ได้
กี่ครั้งแล้วนะ…
กี่ครั้งแล้วที่ฉันถูกละเลย…
กี่ครั้งแล้วที่ฉันเป็นฝ่ายเฝ้ารอ…
หนึ่งครั้ง… สองครั้ง… สามครั้ง… หรือว่าสิบครั้ง?
ฮึ… มันมากมายจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะมั้ง!
พอเถอะนะ… ลานนา
ทำให้ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายสักทีเถอะนะ
11:55 pm
ประตูห้องแลปเปิดออกพร้อมกับร่างสูงก้าวเข้ามาด้านใน หอบพาไอเย็นจากสายฝนด้านนอกเข้ามา เขาปัดละอองฝนออกจากไหล่อย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะชะงักฝีเท้าเล็กน้อยเมื่อเห็นว่ามุมหนึ่งของห้องแลปยังเปิดไฟสว่างอยู่
ใครคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตาอยู่กับแผงวงจรไฟฟ้า สีหน้าจริงจังจดจ่ออย่างมากจนไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ไม่ได้สังเกตแม้กระทั่งว่ามีคนเข้ามาในแลปและกำลังยืนมองเขาอยู่
“มึงยังอยู่อีกเหรอ” เสียงทักดังขึ้นจากผู้มาใหม่ ก่อนเจ้าของเสียงจะเดินเข้ามาใกล้
ใบหน้าหล่อเหลายังคงนิ่งเฉย ไม่ได้ละสายตาไปจากแผงวงจรเลยสักนิด
ผู้มาใหม่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองนาฬิกาบนผนังก่อนหลุบตามองแผงวงจรไฟฟ้า “นี่มึงนั่งแก้มาตั้งแต่เมื่อคืนแล้วไม่ใช่เหรอ ไม่คิดจะกลับบ้านกลับไปช่องไปนอนบ้างหรือไง”
มือที่จับเครื่องเชื่อมชะงักเล็กน้อย ดวงตาเฉยเมยภายใต้กรอบแว่นตาเลื่อนมองนาฬิกาบนผนัง เป็นครั้งแรกที่เขามีปฏิกิริยาตอบสนองในรอบหลายชั่วโมงที่ผ่านมา
คิ้วเข้มขมวดเบา ๆ สีหน้าแฝงแววยุ่งยากใจ น้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อยเอ่ยถาม “นี่วันอะไรแล้ว?”
คนถูกถามชักสีหน้าเอือมระอา “วันเสาร์ที่ 7 มิถุนา”
คนฟังเม้มปากเล็กน้อย หลุบตามองแผงวงจรตรงหน้าอย่างครุ่นคิด ก่อนวางเครื่องเชื่อมลงแล้วควานหาโทรศัพท์จากซากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บนโต๊ะที่แสนรกจนเจอ
แบตหมด… ตั้งแต่เมื่อไหร่นะ
“ยืมโทรศัพท์หน่อย” เขายื่นมือขอโดยไม่เงยหน้ามองสักนิด
‘สิบทิศ’ แค่นยิ้มจาง ๆ นอกจากไม่คิดจะให้ยืมโทรศัพท์ เขายังหมุนตัวเดินไปอีกทางอย่างไม่สนใจอีกด้วย
‘ภาคี’ ปรายตามองแผ่นหลังของร่างสูงที่เดินไปอีกฟากของห้องแลป เขาชักสีหน้าเล็กน้อย หยิบโทรศัพท์ตนเองใส่กระเป๋ากางเกง ถอดเสื้อกาวน์ออกแล้วลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะเดินออกจากห้อง ทว่าเสียงทุ้มของสิบทิศดังลอยตามหลังมา
“ด้านนอกฝนตกหนักตั้งแต่ช่วงหัวค่ำ ถ้ากูเป็นยัยนั่นคงไม่โง่นั่งรอมึงแน่”
ดวงตาเฉยชาวูบไหว ริมฝีปากเม้มแน่น สีหน้าเย็นชาแฝงแววหงุดหงิดจาง ๆ “รู้มาก”
“ฮึ” เสียงหัวเราะเยาะหยันดังตามหลัง แต่เขาไม่ใส่ใจรีบก้าวออกจากแลป กดลิฟต์ลงมาชั้นล่าง ฝนด้านนอกตกหนักอย่างที่สิบทิศบอกจริง ๆ และดูเหมือนจะตกมานานแล้วด้วย
“เวรเอ๊ย” เขาสบถเบา ๆ วิ่งฝ่าสายฝนมาถึงลานจอดรถ สะบัดน้ำฝนบนเสื้อกับเส้นผมออกอย่างลวก ๆ ก่อนเปิดประตูรถเข้ามานั่งด้านใน ถอดแว่นออกมาเช็ดเลนส์จนใสแล้วสวมกลับเข้าไปใหม่ จากนั้นสตาร์ทรถและขับออกจากคณะด้วยความเร็ว
00.25 am
ออด ออด
เสียงออดดังขึ้นหน้าประตู ฉันละสายตาจากแลปทอปเล็กน้อย มองเวลาเที่ยงคืนกว่าบนนาฬิกาตั้งโต๊ะก่อนมองไปทางประตูห้อง
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหลังประตูนั่นใคร
“…”
เสียงออดรอบสองดังขึ้นอีกครั้ง ฉันครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงหยิบหูฟังมาเสียบกับแลปทอป กดเปิดเพลงดัง ๆ แล้วสวมครอบหู ตัดขาดจากเสียงรบกวนจิตใจหน้าประตูห้องโดยสิ้นเชิง
อยากกดก็กดไป ฉันไม่สนใจซะอย่าง
เขารอได้ก็รอ รอไม่ได้ก็ไสหัวไปซะ
เวลาผ่านไปเกือบยี่สิบนาที ฉันทิ้งตัวนอนลงบนโซฟา หลับตาฟังเพลงจบไปหลายเพลงแล้วจึงถอดหูฟังออก เสียงหน้าประตูห้องเงียบลงแล้ว
เขากลับไปแล้วสินะ…
แววตาหม่นหมองจ้องมองบานประตูอย่างเหม่อลอย ความรู้สึกปวดหน่วงหัวใจแล่นพล่านจนเจ็บหน้าอกไปหมด ฉันกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อเรียกสติ พยายามก้าวข้ามความเจ็บปวดนี้ไปให้ได้ด้วยตัวเอง
ครั้งนี้… ฉันจะเลิกกับภาคีให้ได้…
พวกเราคงต้องจบกันจริง ๆ สักที…
++++++++++++++++++++++++++++++
เปิดบทแรกด้วยความหน่วงๆ หน่อย การมีแฟนแต่ถูกละเลยเนี่ย เจ็บกว่าการไม่มีแฟนอีกนะ มีแฟนไม่ใส่ใจแบบนี้สู้ไม่มีซะดีกว่า ยัยลานนาก็คิดแบบนี้เหมือนกัน มาลุ้นกันว่าครั้งนี้นางจะเลิกกับภาคีได้สำเร็จไหมนะ
ฝากกดติดตาม กดไลค์ คอมเม้น เปย์ของขวัญให้กันหน่อยน้าา ปาความคิดถึงใส่ไรท์ได้รัวๆ เล้ยย
กดติดตามเพจนิยายด้วยจ้า พันเก้า
ความคิดเห็น