ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [ REBORN︱ KHR ] Au revoir #All27

    ลำดับตอนที่ #1 : 00︱Hyacinth

    • อัปเดตล่าสุด 26 พ.ย. 63


    Hyacinth

    ; reborn,sincerity

     

                      ภาพร่างของนภายามเย็นที่กำลังเริงระบำไปพร้อม ๆ กับผ้าผืนบางสีแดงชาติชวนให้สะดุดตานั้นสะท้อนออกมาจากดวงตาคมสีดำขลับของผู้มาใหม่ มือทั้งคู่ของชายผมสีโกโก้ตวัดเชือดเฉือนผู้ที่เคยเป็นดังครอบครัวอย่างไร้ความลังเล รวดเร็วเสียจนไม่ทันที่จะได้ส่งเสียงร้อง หรืออ้อนวอนขอชีวิต

     

     คำถามมากมายพลันลอยเคว้งขึ้นมาเต็มหัวนักฆ่าหนุ่มยามเมื่อได้ทอดมองไปยังร่างบางโชกเลือดนั้นที่ค่อย ๆ ปล่อยร่างอีกหนึ่งสมาชิกของหน่วยวายุลงไปนอนแน่นิ่งบนพื้นหินอ่อนที่นองด้วยของเหลวหนืดสีชาติโดยไม่แม้แต่จะเหลียวหลังหันกลับไปมอง

     

                      ในคืนที่ฟ้าเปิดแบบนี้ คงไม่ใช้เรื่องยากเลยที่จะมองไม่เห็นร่างบางอันสง่างามนั้น

     

                      ใบหน้าหวานเปื้อนรอยโลหิตถูกแต่งแต้มไปด้วยหยาดน้ำตา

     

                      แต่ทำไมถึงร้องไห้กันล่ะ ?

     

                      ริมฝีปากแตกแห้งพึมพำคำพูดซ้ำ ๆ อย่างแผ่วเบาราวกับเสียงกระซิบ ก่อนที่อัญมณีสีชาทั้งคู่จะหันมาสบกับอดีตครูสอนพิเศษของตน บรรยากาศรอบตัวที่ไม่คุ้นเคย ดวงตาคู่นั้นดูเลื่อนลอยชวนให้รู้สึกว่านี้ไม่ใช่นภาผืนที่เขาเคยรู้จักตลอดหลายปีที่ผ่านมา

     

                      “นายหยุดฉันได้ใช่ไหมรีบอร์น...?” คำถามที่ถูกส่งมานั้นเบาเสียจนแทบจะลอยหายไปพร้อมกับลมหนาวที่ผัดผ่านร่างของทั้งคู่ “ขอร้องละฉันไม่อยากทำแบบนี้กับใครอีกแล้ว” 

     

                      “สึนะ?” ดวงตีปีกกาใต้เงาหมวกฟีโดร่าใบสวยจ้องมองมาที่นภาอย่างไม่ละสายตาราวกับกำลังต้องการคำตอบจากสิ่งที่เกิดขึ้น 

     

     “นั้นไม่ใช่แกใช่ไหมสึนะ?” 

     

    “บอกฉันมาสิว่านั้นไม่ใช่แก ฉันจะได้ฆ่าแกซะ”

     

                      .

                      .

                      .

     

                      “เฮือก!” เสียงหายใจหอบแฮกเสมือนเจ้าของร่างนี้เพิ่งโผล่พ้นจากการจมน้ำมา ฝ่ามือชุ่มเหงื่อทั้งสองข้างกำผ้านวมที่ตอนนี้คลุ่มตัวเองไว้อยู่อย่างแนบแน่นเสียจนข้อนิ้วเป็นสีขาว เหงื่อกาฬอาบไปทั่วแผ่นหลังและกรอบหน้า รวมถึงผ้าปูที่นอนที่ร่างบางนั้นนอนทับอยู่ด้วย

     

                      อากาศที่ติดลบเลขคู่ภายนอกห้องนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยทำให้คนบนเตียงนั้นเย็นใจขึ้นได้เลยแม้แต่น้อย

     

                      อาการปวดหัวตุบ ๆ เริ่มเข้าโจมตีในทุก ๆ เช้าเหมือนอย่างเคย ร่างบางยกมือขึ้นนวดขมับทั้งสองข้างของตัวเอง หวังจะให้อาการปวดหัวคล้ายไมเกรนนั้นทุเลาลงบ้าง

     

                       ‘ฝันแบบนี้อีกแล้ว’

     

                      ช่วงนี้เขาแทบจะจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำไปว่าการนอนหลับอย่างเต็มอิ่มนั้นมันรู้สึกอย่างไร ทุก ๆ ครั้งที่เปลือกตาเลื่อนลงมาบดบังและจิตใต้สำนึกก็เริ่มที่จะมีบทบาท ออกมาโลดแล่นในหัวนั้นมันช่างเป็นอะไรเขาเกลียดที่สุด เพราะมันมักจะเอา ‘ภาพ’ ในอดีตที่จบไปนานมากแล้วติดมือมาฝากเขาด้วยอยู่เสมอ ๆ

     

    ถ้าคืนไหนโชคดีก็จะเป็นความฝันที่ชวนให้คิดถึงเป็นฝันที่ดี ดีที่สุด แต่ในทางกลับกันก็สามารถเป็นฝันที่เลวร้ายที่สุดได้ด้วยเช่นกัน

     

                      เจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลยุ่งนอนแช่อยู่บนเตียงซักพักก่อนจะค่อย ๆ พลิกตัวมาอีกด้านของฝั่งเตียงดวงตาหรี่ตาลงเล็กน้อยเมื่อจดจ้องไปยังนาฬิกาดิจิตอลเครื่องจิ๋วที่กำลังฉายแสงสีน้ำเงินสว่างชวนแสบตาอยู่ตรงโต๊ะข้างหัวเตียง

     

                      [ 14 oct - 04:13 ]

     

    เปลือกตาบาง ๆ เลือนลงปิดอัญมณีทั้งสองข้าง คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย เหมือนเขากำลังใช้ความคิด 

     

    หรือไม่ก็พยายามจะห้ามตัวเองไม่ให้ไปสนใจความรู้สึกด้านลบที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในอกนี่กันแน่นะ ?

     

    เดิมทีแล้ววันนี้ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนมันก็สมควรที่จะเป็นวันเกิดของเขา

     

    แต่ตอนนี้มันไม่ใช่ 


    ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว

     

                      น้ำที่เย็นเฉียบถูกกวักขึ้นมาชโลมใบหน้าหวานหลังจากตื่นนอน  มือขาวเล็กยกขึ้นไปถูคราบไอน้ำที่เข้ามาเกาะที่กระจกเพื่อที่ว่าจะได้เช็คสภาพตัวเองตอนเช้าได้ 

     

    ขอบตาดำคล้ำ ชุดนอนลายทางที่เหม็นเหงื่อชวนน่าจับยัดเข้าเครื่องซักผ้า ริมฝีปากแห้งเพราะยังไม่ได้ดื่มน้ำ นี่เขาคงจะไม่โง่ขนาดที่จะเอาตัวเองในสารรูปแบบนี้ลงไปทักทายเพื่อนบ้านหรอกนะ

     

                      สภาพเขาดูไม่ได้จริง ๆ

     

                 ซาวาดะ สึนะโยชิ ในวัยสามสิบกลาง ๆ เอามือกายหน้าผากอย่างปลงตกหลังจากที่จัดการธุระในยามเช้าเสร็จ ตอนนี่เวลาก็หกโมงเช้านิด ๆ ที่เหลือก็คงมีแต่ข้าวเช้าเท่านั้นที่เขาเองนั้นยังไม่ได้เริ่มลงมือจัดเตรียมหรือทำอะไรเลย

     

     อากาศยามเช้าในฟลอเรนซ์นั้นมักจะสดใสเสมอในฤดูใบไม้ผลิ แดดอ่อน ๆ ที่ช่วยให้อากาศข้างนอกไม่หนาวจนเกินไปลอดผ่านบานกระจกใสเข้ามา นั้นเป็นสัญญานที่ดีสำหรับคนที่อยากจะออกไปพักผ่อน หย่อนใจข้างนอก

     

    แต่ช่างน่าเสียดายที่ใครบางคนในห้องนี้คงไม่ได้อยากจะออกไปยืนรับลมหนาวข้างนอกเสียเท่าไหร นอกซะจากว่าจะต้องออกไปหาอะไรใส่ท้องเป็นมื้อเช้า

     

                      ‘เอสเพรสโซ่ซักแก้วก็คงพอแล้วล่ะมั้ง’

     

    .

    .

    .

    ขม

     

    นั้นคือรสสัมผัสแรกหลังจากที่ได้จิบของเหลวสีดำไม่น่ารับประทาน แต่กลับส่งกลิ่นหอมผิดกับหน้าตาของมันจนน่าเหลือเชื่อ

     

    ไอความร้อนที่เล็ดรอดออกมาจากในแก้วนั้นกระทบเข้ากับอากาศเย็นติดลบในยามเช้าของฤดูใบไม้ผลิที่อิตาลีจนเกิดเป็นควันจาง ๆ ก่อนที่จะค่อย ๆ ลอยและระเหยหายไปพร้อมกับลมหนาวที่พัดมา

     

    ผ่อนคลาย

     

    อย่างน้อยเขาสึนะก็เลิกหมกมุ่นกับความฝันที่เคยเกิดขึ้นจริง ๆ ไปได้หน่อยหนึ่ง

     

    เขาไม่ใช่ผู้ชายที่ชอบดื่มกาแฟมากนัก ถ้าให้เลือกเขาคงจะเลือกดื่มชาจีน ไม่ก็ชาอังกฤษมากกว่า แต่ช่วยไม่ได้ที่วันนี้ใบชาที่บ้านของเขาดันหมดได้อย่างพอดิบพอดี อีกทั้งยังประจวบเหมาะกับร้านกาแฟที่เพิ่งมาเปิดใหม่อยู่ที่จัตุรัสแถว ๆ บ้านเขาเพิ่งจะมาแจกใบปลิวไว้ให้เมื่อวาน

     

    แต่ก็นั้นแหละ ถึงจะยกเหตุผลมาเยอะขนาดไหน เหตุผลหลัก ๆ นั้นก็มีแค่อยากแก้ง่วงกับกลิ่นของมันดันเป็นกลิ่นประจำตัวของคนที่เคยรู้จักคนหนึ่งเพียงเท่านั้นเอง

     

    สึนะมักจะดื่มกาแฟเวลาที่คิดถึงเขาคนนั้น

     

                      “ เดินเล่นอีกซักพักค่อยไปเปิดร้านดีกว่า ” เจ้าตัวพึมพำเบาๆ ในระหว่างที่กำลังเดินเล่นฆ่าเวลาไปเรื่อย ๆ อย่างเอื่อยเฉื่อยในสวนที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านเขา หนุ่มผมน้ำตาลจัดการกระชับผ้าพันคอสีเข้มให้เข้าที่  ในหัวคิดเรื่องหนังสือล็อตใหม่ที่จะมาส่งที่ร้านของเขาวันนี้ในตอนเที่ยงว่าจะเอาลงหน้าร้านตอนไหนดี

     

                      ตอนนี้เขาเปิดร้านหนังสือเล็ก ๆ ที่ย่านชุมชนแห่งหนึ่งในฟลอเรนซ์ แถวนั้นคนไม่ค่อยจะชุกชุมมากนักเพราะไม่ได้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญอะไรเหมือนที่อื่น ๆ ในเมืองแต่ถึงกระนั้นก็ยังมีนักอ่านหน้าใหม่ ๆ คอยแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมร้านเขาอยู่เสมออย่างไม่ขาดสาย

     

     คงเพราะด้วยความหลงใหลในกลิ่นหนังสือเก่า ๆ และบรรยกาศความเงียบแต่ไม่รู้สึกอึดอัดในร้านหนังสือที่เคยไปละมั้ง ถึงทำให้เขาเลือกจะทุ่มเงินก้อนแรกที่มีไปกับตึกเล็ก ๆ แต่ถือว่าใหญ่พอสมควรสำหรับเขาที่อาศัยอยู่คนเดียวแล้วเปิดร้านขายหนังสือ โดยตึกนั้นมีอยู่ 3 ชั้น

     

     ชั้นแรกเขาเปิดไว้ให้เป็นพื้นที่ของตัวร้านและห้องครัว ชั้นที่สองจะใช้สำหรับเก็บของ และชั้นสุดท้ายก็แน่นอนว่าต้องเป็นพื้นที่ส่วนตัวและห้องนอนของเขาเอง

     

                      “จะว่าไปกาแฟร้านนี้ก็อร่อยดี...” ริมฝีปากจรดกับขอบแก้ว จิบเครื่องดื่มสีเข้มในแก้วไปนิดหน่อย กลิ่นหอมที่ตีเข้าจมูกเข้ามาเหมือนจะช่วยเปิดตุ่มรสสัมผัสอื่น ๆ ของเขาไปด้วย

     

                      แต่กาแฟรสแบบนี่สำหรับเจ้าบ้านั้นคงต้องมิวายมีจุดจบอยู่ที่ถังขยะหลังจากที่ผ่านไปแต่จิบเดียวอย่างแน่นอน

     

                      [ครืด ครืด]

     

                      สมารท์โฟนที่จู่ ๆ ก็สั่นขึ้นมาอย่างไม่มีปีมีขลุ่ยนั้นทำเอาสึนะที่กำลังยืนเหมอมองนกสองตัวบนต้นไม้ทำรังกันอยู่สะดุ้งเบา ๆ ก่อนที่เจ้าตัวจะหยิบต้นเหตุของแรงสั่นที่อยู่ในเสื้อโคทของตัวเองออกมาดูอย่างนึกสงสัย ดวงตากลมโตไล่อ่านชื่อที่กำลังเด่นหราอยู่ในหน้าจอ

                      

                      อิเอมิสึ...

     

                      อดีตคุณพ่อ ผู้ควบตำแหน่งผู้ดูแลนอกแก๊งของวองโกเล่ที่ตอนนี้กลายเป็นพี่ชายต่างสายเลือดของเขาไปสะได้

     

                      สึนะทอดสายตามองชื่อต้นสายที่โทรมาจกญี่ปุ่นอยู่สักพัก ก่อนจะลอบกลืนก้อนน้ำลายที่เหนียวหนืดลงคอไปอย่างยากลำบาก ดวงตาสีไม้มะฮอกกานีเจือด้วยความรู้สึกที่หลายหลายตอนที่มองชื่อที่ปรากฎบนหน้าจอ 

     

    พิจารณาอยู่นานว่าจะรับดีไหม ก่อนที่จะถอดหายใจออกมาหนัก ๆ และกดรับสายไป “ฮัลโหลอิเอมิสึ โทรมามีอะไรรึเปล่า?”

     

    [ ฮัลโหลสึนะ! นี่อิเอมิสึเองนะ! ] 

     

    น้ำเสียงที่ดูตื่นเต้นกว่าปกติของบุคคลที่ต้นสายนั้นชวนให้สึนะเองอดสงสัยไม่ได้ว่าทางฝั่งที่ญี่ปุ่นนั้นเกิดเรื่องอะไรดี ๆ ขึ้นรึเปล่า  แต่ก่อนจะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ เสียงรบกวนที่ดังแทรกเข้ามาในสายนั้นพอให้สึนะได้เลิกคิ้วทั้งสองขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่สักพักจะเริ่มระบายยิ้มบาง ๆ เมื่อเริ่มจับต้นชนปลายถูก

     

    เสียงเด็กทารก...

     

    “ฉันเดาว่านายคงจะมีข่าวดีมาบอกฉันสินะคุณพ่อ ?” น้ำเสียงหยอกเย้ากับสรรพนามคุณพ่อที่ได้ยินจากปลายสายพลันทำให้อีกคนที่กำลังอยู่อีกซีกโลกนั้นนั้นก็ระเบิดหัวเราะลั่นขึ้นมาทันที ส่วนสึนะเองก็ยิ้มกว้างขึ้นไปอีกที่การคาดการณ์ของตนนั้นถูก

     

                      ‘พรีโม่พูดถูกจริง ๆ ด้วยแหะ’

     

    คำพูดหนึ่งของบุรุษแห่งนภาที่เคยพูดเอาไว้กับเขานั้นพลันแล่นปราดเข้ามาในหัว

     

    วองโกเล่เดชิโม่ในโลกนี้ ตามที่ข้าคาดไว้ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เด็กคนนั้นจะเกิดวันเดียวกับเจ้า...สึนะโยชิ ’

     

    วองโกเล่รุ่นที่ 10 จะเกิดในวันนี้

     

    [ นานะ! นานะเมียฉันน่ะคลอดแล้ว! ] อะไรมันจะต้องตื่นเต้นขนาดนั้น สึนะคิดขึ้นในใจอย่างขำ ๆ 

     

    จะว่าไปก็อยากรู้เหมือนกันนะ ว่าตอนที่เขาเกิดมา เจ้าพ่อบ้านี่ดีใจออกอาการขนาดนี้เลยรึเปล่า

     

    ร่างบางเดินดุ่ม ๆ ไปทรุดนั่งลงบนม้านั่งใกล้ ๆ ในสวนพลางวางแก้วกาแฟและถุงชาไว้ข้าง ๆขาข้างหนึ่งถูกยกขึ้นมาพาดทับไว้กับอีกข้าง ดูท่าการคุยกันครั้งนี้น่าจะไม่จบเร็ว ๆ นี้แน่ “แล้วนี้นายจะตั้งชื่อเด็กคนนั้นว่าอะไรละ?”

     

    เสียงเด็กทารกที่เหมือนจะร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ  และเสียงผู้หญิงคนหนึ่งร้องเพลงขับกล่อมอะไรสักอย่าง คล้ายกับเพลงกล่อมนอนที่เขาเคยฟังตอนเด็กดังแทรกเข้ามาในสาย ริมฝีปากอมชมพูระบายยิ้มบางออกมาเล็กน้อย เพราะนั้นก็เป็นหลักประกันที่ดีได้ในระดับหนึ่งว่าอย่างน้อยนั้นก็เด็กคนนั้นเกิดมาและแข็งแรงปกติดี

     

     [ เมื่อกี้นายว่าอะไรนะสึนะ ? พอดีตัวเล็กร้องอยู่ฉันได้ยินไม่ค่อยถนัดเลย ]

     

    “ฉันถามนายว่าจะตั้งชื่อเด็กคนนั้นว่าอะไร?” เขาได้ยินอีกฝ่ายกำลังครางต่ำในลำคอเหมือนว่ากำลังใช้ความคิด

     

    [ ทูน่าโยชิดีไหม ? คล้าย ๆ นายดีด้วย ] 

     

    ไม่เคยทำให้ผิดหวังจริง ๆ ให้ตายเถอะ 

     

    “โยชิคาวะ” เจ้าของเรือนผมสีมะฮอกกานีพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง 

     

    [ หืม ? นายพูดดังๆหน่อยฉันไม่ค่อยได้ยินเลย ]

     

    “ลูกนายน่ะ ชื่อโยชิคาวะดีไหม ?” ความรู้สึกเหมือนสัมผัสเบา ๆ ที่ฝ่ามือนั้นทำให้สึนะชำเลืองมองไปมือของตน ใบไม้สีเขียวเข้มดูมีสารอาหารครบดีลอยมานอนแน่นิ่งอยู่บนมือเขา ดูเหมือนจะเป็นใบไม้ที่เพิ่งจะแตกออกมาได้ไม่นาน ช่างน่าแปลกใจที่มันดันหลุดลงมาในฤดูนี้

     

    [ โอ้เอาสิ! ฉันชอบนะ ] ดูเหมือนทางอิเอมิสึกำลังปรึกษากับนานะอยู่ สึนะนั่งไขว่ห้างฟังอดีตพ่อและแม่ของเขาปรึกษากันเรื่องชื่อของทายาทคนใหม่ด้วยใบหน้าเปี่ยมสุข  [ นานะบอกว่าโอเค ! ]

     

    “ฮะ ๆ อย่างงั้นก็ดีแล้ว ฝากทักทายโยชิคุงเขาด้วยนะอิเอมิสึ” 

     

    อ่า แล้วก็ต่อจากนี้ก็ฝากด้วยล่ะ

     

    ซาวาดะ โยชิคาวะ

     

    วองโกเล่เดชิโม่

     

     

    tbc .

     

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×