ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ฟ้าลิขิตรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : When we first met

    • อัปเดตล่าสุด 14 มี.ค. 61


              บนเส้นทางไปสู่จังหวัดชายแดนในเวลาตี 4 ครึ่ง ประกายฟ้ากำลังขับรถด้วยความเร็วปกติเพราะวางแผนจะถึงที่หมายตอนรุ่งเช้าพอดี เธอเป็นนักสังคมสงเคราะห์อยู่ในบริษัทข้ามชาติอันดับต้นๆของประเทศ อาจจะฟังดูแปลกที่องค์กรค้ากำไรที่เธอทำงานอยู่ จะมีตำแหน่งนักสังคมสงเคราะห์ที่มีไว้เพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังลำบากขัดสน และนั่นเป็นข้อดีของบริษัทที่เธอภูมิใจที่ได้ทำงานที่นี่ ทั้งๆที่ครอบครัวของเธอก็มีธุรกิจที่พร้อมจะให้เธอดูแลอยู่ตลอดเวลา หน้าที่ของเธอคือคิดและจัดโครงการเพื่อช่วยเหลือสังคม ในที่นี้คือการส่งเสริมสวัสดิการ พัฒนาบ้านเรือน รวมทั้งจัดหาอาชีพและช่วยเหลือด้านการศึกษาของคนในชุมชนที่เธอไปเยี่ยมเยือน ผลพลอยได้จากกิจกรรมเหล่านี้ คือบริษัทได้มีการประชาสัมพันธ์สินค้าไปในตัว ทำให้เป็นที่นิยมมากกว่าการโฆษณาทางโทรทัศน์และสื่อต่างๆด้วยซ้ำไป

    ครั้งนี้ก็เช่นกัน เธอมีหน้าที่ไปช่วยเหลือและสันทนาการเพื่อฟื้นฟูพร้อมทั้งให้กำลังใจคนในชุมชนชายแดนภาคใต้ที่อยู่สุดมุมประเทศ ความจริงแล้วเธอต้องเดินทางพร้อมกับทีมอีก 4 คน แต่เพราะเธอติดงานด่วนที่กรุงเทพ เลยขอขับรถตามมาทีหลัง

    บนถนนที่ปกคลุมด้วยความมืด เธอเห็นว่าไม่มีรถสักคัน ก่อนจะเหลือบตาไปปรับคลื่นวิทยุ แต่ทันทีที่เธอเงยหน้าขึ้นมามองถนน ชั่ววินาทีนั้นเธอเหยียบเบรกสุดแรงและหักพวงมาลัยจนสุดด้วยความตกใจ แรงกระแทกกับต้นไม้ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่ทำให้เธอบาดเจ็บเท่าที่คิดไว้ เนื่องจากมีถุงลมนิรภัย แต่กระนั้นเธอก็จุกและปวดร้าวไปทั่วร่างกาย ผ่านไปอึดใจนึงที่ทำให้เธอพอตั้งสติได้ เธอจึงเหลือบตาไปมองบนถนนว่าเธอไม่ได้ตาฝาดไปจริงๆ

    มีคนนอนอยู่กลางถนนจริงๆด้วย!

    จิตใต้สำนึกแรกบอกให้เธอลงไปดูด้วยอารมณ์เป็นห่วง เธอรีบปลดเข็มขัดนิรภัย และกำลังจะก้าวขาลงจากรถ

    ปัง!!!

    ก่อนร่างของเธอจะถูกฉุดให้ทรุดตัวลงแนบกับพื้นดินแฉะๆ ทันใดที่เธอกำลังจะเปล่งเสียง กลับมีมือหนาปิดปากพร้อมกับแขนที่แข็งแรงราวกับปลอกเหล็กรัดร่างเธอจนแทบหายใจไม่ออก ดวงตากลมเบิกจนสุด เมื่อเห็นว่ามือข้างที่ปิดปากเธอนั้นมีปืน

    “หยุดดิ้น ถ้าไม่อยากตาย”

    แทนที่ประกายฟ้าจะหยุดตามคำสั่งนั้น กับออกแรงที่มีอยู่น้อยนิดเพิ่มขึ้นไปอีก ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบต่อชายหนุ่มไปมากกว่าความรำคาญ

    “คนที่จะทำอันตรายคุณ ไม่ใช่ผม แต่เป็นคนที่อยู่กลางถนนต่างหาก เงียบสักที”

    ความคิดของประกายฟ้าสับสนไปหมด ภายในอกปั่นป่วนราวมีกลองชุดมาตีรวมกัน เธอได้ยินเสียงปืนอีกหลายครั้ง แต่ไม่ทันมีสติพอที่จะนับ รู้อย่างเดียวคือเสียงปืนนั้นไม่ได้มาจากชายหนุ่มที่รัดเธอไว้ รู้ตัวอีกทีก็โดนฉุดให้ลุกขึ้นและลากให้เข้าไปในป่า มือที่ปิดปากเธอไว้ปล่อยไปสักพักแล้ว แต่เมื่อเธอนึกถึงปืนที่อยู่ในมือเขา เธอก็ไม่กล้าปริปากร้องอยู่ดี

    ความหวาดกลัวเกาะกินในจิตใจ ถ้าเธอถูกข่มขืนและฆ่าในป่านี้จะเกิดอะไรขึ้น ผู้ชายลากเธอเข้ามาแบบนี้ โอกาสรอดเป็นศูนย์แน่ๆ จะหาทางรอดออกไปยังไง ในหัวมีความคิดนับร้อยตีกันให้ยุ่ง หัวใจก็เต้นรัว หูเริ่มอื้ออึงได้ยินเพียงเสียงวิ้ง สำนึกสุดท้ายก่อนที่เธอจะหมดสติ เธอได้ยินเสียงปืนดังขึ้นพร้อมกับแขนที่ถูกกระชากอย่างแรง ก่อนจะรู้สึกแสบร้อนที่ต้นแขนและภาพทุกอย่างก็หายไป

    ดวงตากลมโตค่อยๆเปิดกว้างขึ้น กลอกซ้ายทีขวาทีอย่างงุนงง กลิ่นฉุนเฉพาะตัวของโรงพยาบาลเข้าจมูก ความทรงจำค่อยๆไหลกลับมาจนถึงภาพความทรงจำสุดท้าย

    “ตื่นแล้วเหรอ”

    ใบหน้าชายหนุ่มปริศนาปรากฏอยู่ในหางตา เธอหันไปมองด้วยความสงสัยพร้อมทั้งพิจารณา ชายหนุ่มคนนี้สูงจัด ใบหน้าขาวสะอาดแต่มีแนวเคราจางๆ สีหน้าเรียบเฉยแต่แววตาอ่อนโยน  

    “คุณถูกยิงที่แขนน่ะ ยังเจ็บอยู่ไหม”

    ประกายฟ้าก้มมองต้นแขน ก่อนจะค่อยๆรู้สึกปวดหนึบขึ้นมา “คุณช่วยฉันไว้เหรอคะ”

    เขาหัวเราะเล็กน้อย ก่อนจะมองไปทางโซฟาที่มีชายหนุ่มอีกคนยืนอยู่

    “คนนั้นต่างหากที่ช่วยคุณ”

    ประกายฟ้าหลุบตามองต่ำ “ฉัน… ฉันปลอดภัย…หรือเปล่าคะ”

    “ก็ต้องปลอดภัยสิ ไม่อย่างนั้นคุณจะฟื้นมาพูดอยู่แบบนี้เหรอ”

    ประกายฟ้าไม่ตอบ เพราะที่เธอหมายถึงมันคนละเรื่องกับที่เขาเข้าใจ ในสมองยังคิดไม่ตกว่าจะอธิบายอย่างไรให้ไม่น่าเกลียดต่อหน้าคนที่ช่วยเธอไว้ และเธอยังไม่เข้าใจเรื่องราวที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งยังจำอะไรไม่ได้สักอย่าง

    “แต่ถ้าหมายถึงความผิดปกติทางร่างกายคุณล่ะก็ มีเพียงต้นแขนที่ถูกยิง”

    “คุณช่วยอธิบายให้ฉันฟังหน่อยได้ไหมคะ ฉันจำอะไรไม่ได้เลย”

    ชายหนุ่มข้างเตียงเธอถอนหายใจเฮือกหนึ่ง “ผมไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกนะ แต่ผมจะฝากคนของผมเล่าให้คุณฟังแล้วกัน เป็นการปลอบใจที่ดึงคุณเข้ามาเจ็บตัวด้วย”

    “แสดงว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของพวกคุณงั้นเหรอ” ประกายฟ้าหลุดถามด้วยเสียงดังขึ้น ในใจก่อความหงุดหงิดขึ้นมา แต่ไม่ทันจะได้คำตอบอะไร เขาก็ก้มหัวเล็กน้อย และเดินออกประตูไป เหลือทิ้งไว้เพียงหนุ่มหน้าเข้ม ประกายตาดุ ที่มองเผินๆเหมือนกำลังเกลียดใครอยู่ตลอดเวลา

    “เอ่อ…”

    “…”

    “เขาบอกให้คุณเล่าให้ฉันฟังไม่ใช่เหรอคะ เมื่อไหร่จะเล่าล่ะ” น้ำเสียงประกายฟ้าแผ่วลงอย่างตรงข้ามกับสิ่งที่อยากจะให้เป็น เธอคิดว่าเพราะเห็นใบหน้าดุดันแต่แววตาดูไม่สนใจเธอนั้นเริ่มทำให้เธอรู้สึกกลัว

    “คนที่ปิดปากคุณและพาคุณเข้าป่าคือผม”
    นัยน์ตาหวานเบิกกว้างขึ้น “คุณทำแบบนั้นทำไม รู้ไหมว่าฉันตกใจแค่ไหน แล้วฉันจะแน่ใจได้ยังไงว่าฉันไม่ถูกคุณทำอะไรจริงๆ”

    ชายหนุ่มไม่ตอบในทันที ได้แต่เพียงมองหญิงสาวบนเตียงด้วยสายตานิ่งเฉย 

    “ว่าไงล่ะ คุณกำลังทำให้ฉันรู้สึกเหมือนจะเป็นโรคประสาท”

    “ถ้าคุณสงสัย คุณก็ไปตรวจร่างกายเอาละกัน ผมหมดธุระแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ” ประกายฟ้าเห็นว่าเขากำลังจะผละออกไป 

    “หยุดนะ! พวกคุณเป็นบ้าอะไร อธิบายให้ฉันฟังเดี๋ยวนี้นะ”

    เขาเหลือบมองมาทางเธอนิดเดียว นิดเดียวจริงๆ 

    “ฉันมีงานต้องทำเหมือนกันนะ ฉันอยู่ที่ไหนฉันก็ไม่รู้ เกิดมาไม่เคยเจ็บตัวแบบนี้ แม้แต่เสียงปืนยังไม่เคยได้ยิน อยู่ๆก็เกิดอะไรขึ้นไม่รู้ รถฉันก็ด้วย เจ้านายคุณบอกว่าดึงฉันมาเจ็บตัว มันต้องเป็นเพราะพวกคุณสิ แล้วคุณจะมาทิ้งฉันไว้แบบนี้หรือไง!”

    ประกายฟ้าไม่รู้ตัวเลยว่าตัวเองร้องไห้จนกระทั่งฝ่ามือที่อยู่บนตักนั้นเปียกชุ่ม เธอปาดน้ำตาลวกๆ ก่อนจะพูดต่อ

    “คุณไม่คิดจะพูดอะไรหน่อยเหรอ”

    เขาไม่ตอบ แต่เธอก็เริ่มใจชื้นเพราะเขาเดินกลับมาทีเตียง ก่อนจะสำนึกได้ว่าเธออาจจะคิดผิด เขาจะโมโหแล้วใช้มือหนาที่รัดเธอเมื่อคืนนั่นชกหน้าเธอด้วยความรำคาญหรือเปล่า

    “คุณทำงานที่ไหน เดี๋ยวผมไปส่ง”

    “ตอนไหนคะ”

    “ตอนนี้”

    หลังจากนั้นไม่เกินครึ่งชั่วโมง เธอก็ได้ขึ้นมาอยู่บนรถที่มีหนุ่มหน้าเข้มเป็นคนขับ เส้นทางไปยังอำเภอที่เธอบอกไว้ก่อนหน้านี้ เพื่อไปจัดกิจกรรมที่เตรียมไว้

    “รถฉันเป็นยังไงบ้างคะ”

    “ผมเรียกรถลากเข้าอู่ไปแล้ว เดี๋ยวคุณหาทางไปรับรถแล้วกัน” พูดจบเขาก็หยิบกุญแจพวงหนึ่งจากช่องที่ประตูยื่นมาให้ ประกายฟ้ากระพริบตาปริบๆ ก่อนจะยื่นมือไปรับ

    “กระเป๋าคุณอยู่เบาะหลัง หวังว่าคงไม่คิดว่าผมจะขโมยอะไรของคุณไปหรอกนะ”

    ประกายฟ้าค้อนขวับ นึกในใจว่ารู้ได้ยังไงกันนะผู้ชายคนนี้น่ากลัวสุดๆ 

    “เมื่อคืนเกิดอะไรขึ้นเหรอคะ เล่าให้ฉันฟังบ้างสิ”

    เขานิ่งไปเล็กน้อย “ผมเป็นแค่ลูกน้อง พูดได้เฉพาะเรื่องของคุณ” 

    ประกายฟ้าไม่ติดใจอะไรกับคำพูดนั้น เธอคิดไว้อยู่แล้วว่าจะได้คำตอบทำนองนี้ แค่ถามเผื่อคนขับจะอารมณ์ดีแล้วตอบคำถามเธอบ้างเท่านั้นแหละ แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าหน้าแบบนี้ไม่เคยอารมณ์ดีแน่ๆ

    “ฉันประกายฟ้าค่ะ คุณล่ะคะ”

    เช่นเคย เขาไม่ตอบในทันที คราวนี้เขานิ่งไปพักใหญ่ ประกายฟ้าไม่รู้เลยว่าในใจเขานั้นเกิดเต้นแรงมาวูบหนึ่ง ก่อนจะกลับสู่ปกติ เขาคิด… นานแค่ไหนแล้ว ที่ไม่ได้ยินคำถามนี้จากใคร

    เขาไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นนอกจากเจ้านายนานแค่ไหนแล้วนะ

    ก่อนจะตอบ “ผมธันน์”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×