คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 ก่อนที่มันจะจางหายเราก็ต้องช่วยกันจำ (โมบายล์)
เรื่องราวบางเรื่องมันก็เริ่มได้ดีนะ ยิ่งเป็นเรื่องราวที่คนหลายๆ
คนช่วยกันสร้างแล้วมันก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ดียิ่งกว่าเรื่องไหนๆ
มีมิตรภาพในเรื่องราวเหล่านั้น มีความสนุกที่ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างร่วมกัน
ได้หัวเราะพร้อมๆ กัน ได้ยิ้มไปด้วยกัน
เวลาเจอปัญหาทุกคนก็จะช่วยกันแก้ไขและฝ่าฟันมันไปให้ได้ ฟังๆ ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องราวที่ดีใช่ไหมล่ะ?
แต่ว่านะ...ทุกอย่างมันไม่ได้คงอยู่ตลอดไปหรอก...บางทีการลาจากก็คือส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่...
เสียงนาฬิกาปลุกยังคงดังวนลูปไปเรื่อยๆ
เหมือนกับว่ามันไม่มีวันจะหยุดจนกว่าแบตจะหมด เอ๋~ หรือว่าหนูตั้งปลุกซ้ำๆ
ไว้หลายครั้งกันแน่นะ?
“โมบายล์! ช่วยปิดเสียงนาฬิกาปลุกหน่อยได้ไหม!”
เสียงของรูมเมทของหนูเต็มไปด้วยน้ำเสียงที่งัวเงียปนเกรี้ยวกราดหน่อยๆ
“หนูขี้เกียจอ่า~ พี่ยื่นมือมาปิดให้หนูหน่อยดิ”
หนูพลิกตัวหันข้างให้รูมเมทที่พร้อมจะปะทุความโกรธของตนได้ทุกเมื่อ
“ตั้งปลุกเองก็ปิดเองได้ไหมเล่า!”
ถึงรูมเมทหนูจะดูเกรี้ยวกราดก็เถอะแต่ถึงยังงั้นเธอก็ยังเอื้อมมือไปคว้าโทรศัพท์ของหนูที่วางบนลิ้นชักไปปิดเสียงปลุกให้อยู่ดี
สามสิบนาทีต่อมา
“ลุกๆ ไปอาบน้ำ!” รูมเมทหนูที่พึ่งอาบน้ำและแต่งตัวเสร็จแล้วมาสะกิดหนูให้ตื่น
“อย่ารีบสิพี่ปู๊บ! วันนี้ไม่มีงานที่ไหนซะหน่อย” จะว่าไปในรอบหลายวันที่ผ่านมานี่เป็นครั้งแรกที่หนูนอนเต็มอิ่มขนาดนี้นะเนี่ย
“ก็รู้นะว่าเหนื่อยแต่นี่มันจะบ่ายโมงแล้วจำไม่ได้เหรอว่าบ่ายสองต้องไปไหน?”
“โห่ว พึ่งแค่บ่ายโม-บ่ายโมง!?”
สติของหนูตื่นตัวจนตัวหนูเด้งลุกขึ้นจากเตียงนอนอัตโนมัติ
“จ้ะ บ่ายโมง” เมื่อพี่ปูเป้เห็นว่าหนูลุกขึ้นแล้วก็หันไปแต่งหน้าต่อทันที
“ทำไมพี่ไม่ปลุกหนูให้เร็วกว่านี้เล่า!” หนูรีบลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวด้วยความเร่งรีบเลยเผลอไปสะดุดมุ้งสีชมพูที่หนูพึ่งต่อเสร็จเมื่อเร็วๆ
นี้
“เจ็บบบบ!”
“เหอๆ
ก็คิดไว้แล้วว่าซักวันนึงต้องสะดุดนะแต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้ ฮ่า ฮ่า!” พี่ปูเป้ที่แอบดูหนูในกระจกหัวเราะขึ้นมาอย่างสะใจ
“โห่ว พี่ปู๊บ! ไม่ช่วยยังจะซ้ำเติมอีก โป้งแล้ว!”
หนูทำหน้าบึ้งใส่พี่ปูเป้ที่ยังแต่งหน้าต่อแบบโนสนโนแคร์
หลังจากที่หนูอาบน้ำและแต่งตัวสไตส์ฮาราจูกุสีชมพูสดใส
แสบตาวิ้งๆ เสร็จ หนูก็รีบมานั่งแต่งหน้าข้างๆ พี่ปูเป้ที่แต่งหน้าใกล้เสร็จแล้ว
“อาบเร็วดีเนอะ”
“ไม่เร็ว! พี่อย่าคิดว่าเร็วดิ ถ้าคิดว่าเร็วมันก็เร็วแต่คิดว่าช้าก็จะซ้-@$*@$&ช้า!”
พอหนูรู้สึกตัวว่าพูดผิดหนูก็รีบพูดภาษาเอเลี่ยนเพื่อตั้งสติ
“เมื่อไหร่ถึงจะพูดชัดๆ
ได้เนี่ยหนูโมบิล” พี่ปูเป้พูดในขณะที่กำลังปัดมาสคาร่า
“ท-ที่จริงมันเป็นคาแรคเตอร์นะพี่ปู้บ!” แก้ตัวน้ำขุ่นๆ เลยแฮะเรา...
“จ้ะๆ เอาที่หนูศรัทธาเลยจ้า ตอนนี้พี่ดูเป็นไงบ้าง” พี่ปูเป้ที่แต่งหน้าเสร็จแล้วหันมายิ้มหวานใส่หนู
หนูหยุดแต่งหน้าแปปนึงแล้วหันไปคอมเม้นอย่างจริงจัง
พี่ปูเป้ก็ยังคงเป็นพี่ปูเป้ เธอไม่ได้แต่งหน้าจัดเท่าไหร่(เฉพาะวันนี้)ก็เลยสามารถเรียกความสวยของตัวเองได้อย่างพอดี
รอยยิ้มที่พอยิ้มค้างไว้แล้วจะทำให้แก้มกลมเกือบเท่าคุณไข่อย่างไม่รู้สาเหตุ
ผมสีดำปนน้ำตาลประบ่าและหน้าม้าที่เนี๊ยบทำให้พี่ปูเป้ดูเป็นสาวหวานในสายตาของหนุ่มๆ
อย่างไม่ต้องสงสัย(เราจะไม่พูดถึงนิสัยจริงๆ นะ) บวกกับชุดในธีมสีเหลืองของวันนี้ด้วยแล้วเลยทำให้พี่ปูเป้ดูเหมือน-
“-อืม...ก็เหมือนแม่เป็ดดีนะพี่”
“ห้ะ?
ไอ้ที่ว่าแม่เป็ดนี่มันดีหรือไม่ดี!?”
พี่ปูเป้หันไปมองกระจกเช็คหน้าตัวเองอีกรอบ
“ตอนนี้กี่โมงแล้วอ่ะพี่ปู้บ?” หนูถาม
พี่ปูเป้เปิดโทรศัพท์และดูเวลา “บ่ายโมงครึ่ง”
“น่าจะทันนัดใช่ไหมเนอะ?” หนูเหล่ตาไปมองพี่ปูเป้เพื่อขอความมั่นใจ
“หึ หึ
อะไรก็เกิดขึ้นได้ถ้ามีโมบายล์นะรู้ไหม~” พี่ปูเป้แสยะยิ้ม
“เห๋?
ขยายความให้หนูเข้าใจทีสิ้!”
“รีบแต่งๆ หน้าไปให้เสร็จเหอะน่า!
มาเดี๋ยวช่วย!”
พี่ปูเป้ขยับตัวเข้ามาใกล้หนูและเริ่มช่วยหนูแต่งหน้า
“หนูเป็นไงมั่ง?” หนูหันไปยิ้มให้พี่ปูเป้และเหล่มองตัวเองในกระจกไปด้วย
ทรงผมสีดำปนน้ำตาลแดง ผมด้านข้างของหนูยาวจนปิดถึงแค่ใบหูแต่ข้างหลังปกถึงหลังคอ
หนูไม่รู้ว่าจะพูดถึงหน้าตัวเองว่ายังไงดีเหมือนกันถ้าให้หนูคอมเม้นหน้าตัวเองมันก็เหมือนกับว่ากำลังยอตัวเองยังไงก็ไม่รู้สิ...แต่หลายๆ
คนชอบบอกกับหนูว่าหน้าหนูเหมือน พี่หนูนา หนึ่งธิดา พี่หนูนาสวยนะ
งั้นแสดงว่าหนูก็คงสวยใช่รึเปล่า? เห๋~ นี่หนูกำลังชมตัวเองอยู่เหรอ
“ก็ดูเป็นตู้เพลงสไตส์ฮาราจูกุดีนะ” พี่ปูเป้ทำหน้าจริงจังและชูนิ้วโป้งให้หนู
“โห่ว พี่เป้เอาดีๆ
หน่อยได้ไหมเล่า!” หนูแบะปาก
“เอ้า!
ก็บอกว่าดีอยู่ไง! ลุกได้แล้ว!
เดี๋ยวก็ไปสายหรอก!” พี่ปูเป้เริ่มมีน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
หนูกับพี่ปูเป้จัดของเตรียมตัวออกไปที่ห้างห้างหนึ่งที่พวกเรานัดพี่ไข่มุกกับพี่แจนไว้ตอนบ่ายสอง
วันนี้พวกเราจะไปช็อปกัน! เพราะเราสี่คนว่างตรงกันพอดี
หนูว่าวันนี้ต้องเป็นวันที่สนุกแน่นอน!
หลังจากที่จัดของกันเสร็จและขึ้นแท็กซี่แล้วเวลาตอนนี้ก็บ่ายโมงห้าสิบพอดี
“พี่ปู้บเราจะไปสายไหมอ่ะ!”
หนูดูเวลาที่หน้าจอโทรศัพท์แล้วก็รู้สึกใจหายเพราะถ้ารถติดล่ะก็ยังไงก็สายแน่ๆ
“อย่าซีเรียสดิ ถ้าเราสายจริงๆ
เราก็ไม่ได้ตั้งใจซะหน่อย”
พี่ปูเป้เล่นโทรศัทพ์อย่างสบายใจเฉิบ
“เป็นวิธีคิดที่ดจีย์มากกก”
“แน่ะติดเชื้อใครมารึเปล่าเนี่ยโมบายล์
ฮ่า ฮ่า!”
พวกหนูนั่งแท็กซี่จนมาถึงห้างที่นัดคุณไข่กับพี่แจนเอาไว้ตอนเวลาบ่ายสองสิบนาที
เรทไปตั้งสิบนาทีแน่ะ! จะโดนดุไหมเนี่ย?!
หนูกับพี่ปูเป้เดินไปจุดที่เรานัดกันไว้ปรากฏว่าเจอแค่พี่ไข่มุกที่กำลังนั่งกอดอกมองพวกหนูอยู่
สีหน้าของพี่ไข่มุกดูนอยไม่ใช่น้อย...
วันนี้คุณไข่ก็ยังมาในชุดสีชมพูอ่อนๆ
(อ่อนกว่าของหนู)
ลุคของคุณไข่ก็ยังดูเป็นผู้หญิงเรียบร้อยมีหวานเล็กน้อยเหมือนอย่างเคย หน้ากลมๆ
ที่หาใครเหมือนได้ยากบวกกับตัวที่เล็กด้วยแล้ว ทำให้คุณไข่น่ารักแบบไม่ต้องพยายามมากด้วยซ้ำแถมยังได้ฉายาว่าเพกวินอีกต่างหาก
“ช้า...ช้ามาก!” คุณไข่ที่นั่งอยู่ที่ม้านั่งหันไปมองหน้าพี่ปูเป้ที่ยังทำตัวไม่สนและไม่แคร์ว่าคุณไข่จะโกรธอะไร
“ข-ขอโทษค่า...” หนูก้มหัวขอโทษและนั่งลงที่ม้านั่งอย่างเงียบๆ
“ก็รถมันติดจะให้ทำไงล่ะเออ!” พี่ปูเป้หยักไหล่และนั่งลงข้างๆ คุณไข่
“ไม่ต้องอ้างเลยคุณปู้บ! ช้าก็คือช้า!” คุณไข่ทำหน้าบึ้ง
“นอยอะไรเนี่ย
ไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนี้ซะหน่อย!”
พี่ปูเป้เริ่มฉายแววเกรี้ยวกราด
“...”
คุณไข่ไม่พูดอะไรแต่เธอก็ไม่มองหน้าพี่ปูเป้เลย
“หันมาคุยกัน!”
“ไม่คุย!”
“เฮ้อ...!
อ่ะๆ เดี๋ยวเลี้ยงหนมๆ เอาหนมของโปรดเลยอ่ะๆ” พี่ปูเป้เริ่มเปลี่ยนน้ำเสียงไปเมื่อเห็นว่าคุณไข่โกรธจริงจัง
“หนมไรก็ได้เหรอ?” คุณไข่หันหน้าไปหาพี่ปูเป้ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“อืม...”
“สั่งเท่าไหร่ก็ได้ไหม?”
“อืม..”
“กินเท่าไหร่ก็ได้ใช่รึเปล่า?”
“อืม!”
“ล-แล้วจะ-”
“อะไรก็ได้ตามแต่คุณไข่เลยครับ!” พี่ปูเป้พยายามทำตัวไม่เกรี้ยวกราดและกัดฟันพูดไปด้วย
“เย้!
งั้นดีล!” คุณไข่กอดพี่ปูเป้ไว้แน่น
ถ้าถามว่าทำไมหนูรู้ว่าแน่นก็สังเกตจากสีหน้าพี่ปูเป้ที่หันมาขอความช่วยเหลือจากหนูน่ะนะ...
“ช่วยอย่าต่อเรือทั้งๆ
ที่ไม่มีใครดูอยู่ได้ไหมเนี่ย!”
พี่ปูเป้ผล่ะออกจากคุณไข่มาหอบหายใจ
ตั้งแต่ที่พี่ปูเป้กับคุณไข่กำลังเคลียร์กันหนูก็มองหาพี่แจนตลอดแต่ก็ไม่เจอเลย
ไปไหนนะ?
“พี่ไข่มุกๆ พี่แจนยังไม่มาเหรอ?”
หนูหันไปถามคุณไข่ที่พยายามจะกอดพี่ปูเป้อีกรอบ
“ใช่!
พี่ยังไม่เห็นพี่แจนเลย” คุณไข่ส่ายหน้า
“เอ๋...”
“เดี๋ยวก็มาแหละอย่าพึ่งทำหน้าบึ้ง!” พี่ปูเป้หันมาพูดกับหนู เอาจริงๆ
หนูไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังทำหน้าบึ้งอยู่
“หนูไม่ได้ทำหน้าบึ้งซะหน่อย” หนูหันไปหยิบโทรศัพท์มาเล่น
แต่ว่าหลังจากเล่นโทรศัพท์ได้ไม่นานจู่ๆ ตาหนูก็โดนอะไรบางอย่างปิดเอาไว้ให้มองไม่เห็นอะไร
“ห้ะ? อะไรเนี่ย!” หนูพยายามเอามือไปจับตาตัวเองแต่กลับกลายเป็นจับมือที่กำลังปิดตาหนูแทน
“อย่าก้มดูโทรศัพท์ใกล้เกินสิหนู! เดี๋ยวสายตาก็เสียหรอก!” เสียงของผู้หญิงคนหนึ่งที่ดัดให้ดูเหมือนเสียงคุณยายดังขึ้นจากข้างหลังของหนู
“หนูก็ไม่ได้ดูใกล้ขนาดนั้นซะหน่อย”
“เห๋~
เห็นอยู่คาหนังคาเขายังจะมาเถียงอี๊ก! แต่ก่อนอื่นทายซินี่ใค-”
“พี่แจนเดสสส” หนูแกะมือที่ปิดตาหนูออกและหันไปมองพี่แจน
วันนี้พี่แจนมาในชุดลำลองสีขาว
หน้าของพี่แจนดูเนี๊ยบเข้ากับเครื่องสำอางที่แต่งมามาก ใบหน้าเนียนสีขาวผ่องบวกกับรอยยิ้มที่ดูสวยเปรียบนางแบบทำให้หนูละสายตาจากพี่แจนไม่ได้เลย
“ว-วันนี้สวยจังเลยนะคะ...” หนูพูดตะกุกตะกัก
“บร้า!
เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าชมคนอื่นพร่ำเพื่อสิ!”
พี่แจนตีแขนหนูเบาๆ หนึ่งทีและเดินมานั่งข้างหนู
“แน่ะ
พี่แจนระวังนุ้ยมาเก็บค่าลิขสิทธ์นะ” พี่ปูเป้พูด
“บร้า! เนยไม่รู้หรอก!”
“ทำไมวันนี้ดูดีดจังคะพี่แจน” พี่ไข่มุกถาม
“ก็สวดมนต์ตอนเช้ามาแล้วจิตใจมันก็ผ่องใสเป็นธรรมดา” พี่แจนหลับตาและยิ้มเหมือนคนเมาความสุข
“สมกับเป็นเซนต์แจนทุกคนปรบมือ!” หนูและคนอื่นๆ ปรบมือให้เซนต์แจนที่ยังเมาความสุขอยู่
“เวอร์ล่ะๆ
วันนี้จะไปไหนกันก่อนดี?” พี่แจนยกมือขึ้นห้ามไม่ให้พวกหนูปรบมือต่อ
“ตอนแรกว่าจะไปดูเสื้อผ้านะแต่ตอนนี้รู้สึก-”
“หิว!/หิว!/หิว!/หิว!”
ทุกคนพูดพร้อมเพียงกันอย่างไม่ได้นัดกันมา
“กินข้าวกัน!คุณปู้บบอกว่าจะเลี้ยงด้วย!”
ดวงตาของคุณไข่ฉายแววเต็มไปด้วยความอยากอาหาร
“เห้ย!
จริงดิคุณแม่เป็ดปู๊บ! ดีเลยๆ ไปกินกัน!” พี่แจนทำตาโต
“เดี๋ยวๆ
ไม่ได้บอกว่าจะเลี้ยงข้าวแค่บอกว่าจะเลี้ยงหนมคุณไข่คนเดียว!” พี่ปูเป้ส่ายหน้าและโบกมือปฏิเสธรัวๆ
“แหม่ คนเดียวซะด้วยมีความต่อเรือ~” หนูฉีกยิ้มและทำหน้าเจ้าเล่ห์ไปทางพี่ปูเป้และคุณไข่
“อุ้ย เขินจัง” พี่ไข่มุกปิดหน้าและตีไหล่พี่ปูเป้เบาๆ
“โอ้ยยย! หลายคนมันเปลืองตังไง! คนเดียวถูกแล้วก็สัญญาไว้กับคุณไข่ไง!
ก็ต้องคนเดียวดิ!” พี่ปูเป้เริ่มเกรี้ยวกราด
“โมบิลอย่าไปล้อคุณเป็ดปู้บสิ!” พี่แจนทำหน้าจริงจัง
“ใช่ไหมพี่แจน! เออช่วยหน่อยๆ” พี่ปูเป้ยกนิ้วโป้งให้พี่แจน
“โมบิลต้องเข้าใจคุณเป็ดปู้บนะเพราะเขาทำสัญญาใจด้วยกันสองคนเราไม่เกี่ยวว”
หลังพี่แจนพูดจบ หนู คุณไข่และพี่แจนก็หัวเราะลั่นห้าง
“โอ้ยยย!
ไม่ได้ขอให้ช่วยต่อเรือพี่แจน!” พี่ปูเป้ทำหน้าบึ้ง
“พอๆ พี่หิวแล้วอ่ะ
ไปหาไรกินกันลุกๆ”
พวกเราสี่คนเดินไปทั่วห้างเพื่อหาร้านอาหารที่ชอบ
พอได้แล้วก็นั่งกินกัน หนูนั่งข้างพี่แจนส่วนพี่ไข่มุกนั่งข้างพี่ปูเป้
“โมบิลๆ คิดว่าชุดนี้สวยม่ะ?” พี่แจนโชว์โทรศัพท์ที่มีรูปชุดราตรีสีขาวโชว์อยู่
หนูพยักหน้าเพราะกำลังเคี้ยวอยู่
“พี่ก็ว่างั้น กินเสร็จเดี๋ยวไปดูกันถ้าจำไม่ผิดน่าจะอยู่ชั้นสามนะ”
“แล้วร้านที่พี่แจนไปมันพอจะมีสีแสบวิ้งๆ
ไหมคะ?” หนูหันไปคุยกับพี่แจนหลังเคี้ยวเสร็จแล้ว
“อะไรคือสีแสบ วิ้งๆ อ่ะโมบายล์
ฮ่า ฮ่า ฮ่า” พี่แจนปิดปากพยายามกลั้นขำ
“โห่วว พี่แจน! สีที่มันเอ่อ เขาเรียกว่าอะไรนะ อ่า จัดย้าน?
จัดบ้าน? อะไรอ่าหนูคิดไม่ออก”
หนูขมวดคิ้วและพยายามคิดอย่างหนัก
“จัดจ้านป่ะจ้ะ?” พี่แจนยิ้ม
“เอ้อ!
ใช่จัดจ้าน!” หนูปรบมือเสียงดังจนคนในร้านอาหารหันมามอง
“ใจเย็นๆ ฮ่า ฮ่า” พี่แจนหัวเราะ
“ชู่! เบาๆ” พี่ปูเป้ที่กำลังกินอยู่เงยหน้าขึ้นมาจุ๊ปาก
“อย่าพูดตอนกินสิคุณปู๊บ! เดี๋ยวปากก็เลอะหรอก” พี่ไข่มุกหยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดขอบปากพี่ปูเป้
“ฮึ้ม!”
ฟังจากเสียงถอนหายใจของพี่ปูเป้ดูเหมือนว่าจะไม่ชอบเท่าไหร่.
“งั้นสรุปกินเสร็จไปดูเสื้อกันเนอะ!” พี่แจนพูด
“หนูคงไปด้วยไม่ได้นะ
ต้องพาคุณไข่ไปกินเค้กก่อน”
พี่ปูเป้ที่กินเสร็จแล้วหันไปพูดกับพี่แจน
“ใช่!
คุณไข่อยากกินหนม!”
พี่ไข่มุกตาเป็นประกายทุกครั้งที่พูดถึงขนม
“ฮั่นแน่ แอบไปเดตกันสองคนรึเปล่าเนี่ย” พี่แจนทำหน้าเจ้าเล่ห์
“พี่ก็จะต่อเรือหนูให้ได้เลยเนาะ!” พี่ปูเป้ทำหน้าบึ้ง
“โอ๋ๆ หยอกเล่นๆ” พี่แจนทำท่าโอ๋พี่ปูเป้ที่ยังหน้าบึ้งอยู่
“งั้นก็แสดงว่าหนูกับพี่แจนไปดูเสื้อ
ส่วนพี่ปูเป้กับคุณไข่ไปกินขนมไรแบบนี้เหรอ?”
หนูเอียงคอและทำหน้าสงสัย
“เอาตามที่โมบายล์ว่าเลยก็ล่ะกัน
เดี๋ยวถ้าอยากรวมกลุ่มกันค่อยโทรเรียกก็แล้วกันเนอะ”
พี่แจนพูดสรุปอีกที
หลังจากที่พวกเรากินและจ่ายค่าอาหารเสร็จแล้ว
พวกเราก็แยกกันเป็นสองกลุ่ม เป็นหนูไปกับพี่แจน ส่วนพี่ปูเป้ไปกับพี่ไข่มุก
ตอนนี้หนูกับพี่แจนกำลังขึ้นบันไดเลื่อนไปชั้นสอง
ในระหว่างที่พี่แจนเล่นโทรศัพท์หนูก็แอบดูพี่แจนอยู่ตลอดไม่รู้ว่าทำไมถึงทำแบบนั้นแต่แค่รู้สึกว่ามันละสายตาออกไปไม่ได้
พี่แจนที่กำลังมองโทรศัพท์พอเห็นว่าหนูเงียบก็เลยหันมามองที่หนูแทนและเอาหน้าเข้ามาใกล้หนูเรื่อยๆ
“โมบายล์!”
เสียงของพี่แจนกระชากให้หนูออกจากภวังค์และสะดุ้งจนแทบตกบันไดเลื่อน
“ค-คะ!?”
“เป็นไรลูก?
ง่วงเหรอ?” พี่แจนจับไหล่หนูเอาไว้เหมือนเธอจะกลัวว่าหนูจะสะดุ้งจนตกบันไดเลื่อน
“ก-ก็นิดหน่อยค่ะ...” หนูพยักหน้า
“มานี่หน่อย”
พี่แจนมองหน้าหนู เธอลากหนูเดินออกไปจากบันไดเลื่อนและพาไปหยุดที่ระเบียงชั้นสอง
“ม-มีอะไรรึเปล่าคะ?”
“เปล่าๆ
คือผมโมบายล์มันเสียทรงตอนที่ขึ้นบันไดเลื่อนอ่ะ ก็เลยพามาจัดผมเฉยๆ
คือพี่ขอจัดหน่อยได้ไหม?”
“ด-ได้ค่ะๆ ตามสบายเลย” ทำไมวันนี้หนูถึงทำตัวไม่เหมือนเดิมเลยทั้งๆ ที่แต่ก่อนหนูออกจะร่าเริงและกล้ามากกว่านี้ไม่ใช่เหรอ...
“งั้นพี่ไม่เกรงใจน้า” พี่แจนเริ่มจัดทรงผมให้หนูใหม่
ตอนที่มือพี่แจนมันโดนแก้มหนูก็รู้สึกได้ว่ามือพี่แจนมันนุ่มและอบอุ่นมาก
ใจของหนูเต้นแรงและไม่เป็นจังหวะทำไมถึงได้เป็นแบบนี้นะทั้งๆ
ที่แต่ก่อนก็ไม่เคยรู้สึกอะไรขนาดนี้แท้ๆ
“ตัวร้อนจัง เป็นหวัดเหรอ?” พี่แจนพูดตอนที่มือเผลอไปโดนหน้าหนูเข้า
“ไม่รู้สิคะ...อาจจะเป็นก็ได้ล่ะมั้งคะ” หนูส่ายหน้า
“แน่ะ อย่าพูดว่าไม่รู้สิ! นี่มันร่างกายตัวเองไม่ใช่เหรอต้องไปเช็คหรือไม่ก็ลองไปให้หมอตรวจดู
เราเป็นไอดอลงานเราเยอะนะถ้าเกิดป่วยขึ้นมามันจะแย่เอา ดูแลร่างกายตัวเองหน่อยเจ้าหนูโมบิล!” พี่แจนหยิกแก้มหนูหนึ่งทีตอนที่จัดทรงผมหนูเสร็จแล้ว
“เข้าใจแล้วค่ะ” หนูพยักหน้า
“ป่ะ! พี่จัดให้เสร็จแล้ววไปชั้นสามกัน!
โก!!” พี่แจนลากหนูที่ยังทำตัวไม่ถูกให้ขึ้นบันไดเลื่อนชั้นสาม
พวกเราสองคนเดินไปจนถึงร้านเสื้อผ้าที่พี่แจนหา บรรยายกาศข้างในร้านก็เหมือนร้านเสื้อผ้าในห้างทั่วๆ
ไปแต่ชุดข้างในดูมีหลากหลายแนวจนทำเอาหนูใจเต้นสุดๆ สีแสบตาวิ้งๆ เยอะมาก!
อยากจะลองใส่ดูซะให้หมดเลย!
“ชอบไหม?”
พี่แจนหันมายิ้ม
“ชอบค่ะ!
พี่แจนดูตัวนั้นดิเสื้อสายรุ้ง!” หนูชี้ไปที่เสื้อคอกลมลายสีรุ้งที่ห้อยเอาไว้อยู่
“ชอบขนาดนั้นเลย?”
“ใช่สิพี่!
สีมันแสบตาวิ้งๆ มาก! มีความฮาราจูกุ!” หนูพยักหน้าและพูดด้วยความตื่นเต้น
“งั้นไปลองเสื้อกัน”
“ตัวนี้เป็นไง?” พี่แจนลองใส่ชุดในแนวแบบโกธิคโลลิต้าและเอามาโชว์หนูดู
“มองมุมนึงเหมือนเมดเชเช่
พอมองอีกมุมเหมือนแม่มดเชเช่” หนูขยับตัวไปมาตลอดที่พูดเพื่อที่จะได้มองหลายๆ
มุม
“แล้วสรุปมันดีม่ะ?”
“มันดจีย์มากกก” หนูชูนิ้วโป้ง
“เกลียดคำว่าดจีย์ของโมบายล์มากเลยอ่ะ
ฮ่า ฮ่า!” พี่แจนพยายามกลั้นขำ
“มันไม่ใช่ของหนูนะคำนี้
อันนี้ของพี่ตาหวาน! ฮุ ฮุ”
“ไหน
โมบายล์ลองใส่ตัวสีรุ้งที่บอกว่าชอบให้พี่ดูหน่อยดิ”
“ได้เลย!
หนูอยากใส่ดูอยู่แล้ว!”
หนูรีบออกจากห้องลองเสื้อทันทีที่เปลี่ยนเสร็จ
“หนูเปลี่ยนเสร็จแล-”
พี่แจนในชุดสีชมพูสไตล์ฮาราจูกุทำเอาหนูใจเต้นยิ่งกว่าเดิม...ไม่อยากเชื่อเลยว่าพี่แจนในลุคนี้ก็ดูดีขนาดนี้
“เป็นไงมั่งอ่ะ...ว้าว
โมบายล์ใส่สีนี้ดูมีความโมบายล์มากขึ้นกว่าเดิมอีกนะเนี่ย!”
พี่แจนทำตาโต
“พี่แจนก็ดูน่ารักเยอะเลยค่ะ...ต-แต่ว่านะไอ้คำว่าความโมบายล์ที่ว่ามาเนี่ยมันดีใช่ไหมอ่ะ?”
หนูพยายามเปลี่ยนเรื่องเพื่อไม่ให้ตัวเองเขิน
“ก็น่ารักแบบโมบายล์อะไรแบบนั้นไงโถ่ว!” พี่แจนพูดและหยิกแก้มหนูหนึ่งที
“ค่าๆ
หวังว่าจะเป็นแบบที่พูดจริงๆ นะคะ”
“พี่คือเซนต์แจนเชียวน้าไม่โกหกน้องหรอก”
จากนั้นหนูและพี่แจนก็เริ่มลองใส่เสื้อหลายๆ
แบบ พวกเราสองคนลองผลัดกันเลือกเสื้อสไตล์ตัวเองให้กันและกันใส่
บางตัวก็ดูเข้าส่วนบางตัวก็ดูไร้ความเข้ากันอย่างสิ้นเชิงจนเราสองคนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะสภาพของกันและกัน
...หนูสนุกแบบนี้ครั้งสุดท้ายตอนไหนนะ?
ตั้งแต่ที่หนูได้เป็นเซนตี้ เอ้ย
เซนเตอร์เพลงคุกกี้เสี่ยงทายหนูก็แทบจะไม่มีเวลาว่างเลย ต้องออกงานมินิคอนเสิร์ตหลายๆ
ที่ รายการทีวีบางรายการและที่พูดมาบางที่ก็ไม่ได้อยู่ในกทม.บางงานก็ชนกันจนต้องรีบนั่งรถไปหลายๆ
จังหวัดในวันแค่วันเดียว พอเสร็จงานกลับถึงห้องก็แทบจะสลบทุกครั้ง
แต่หนูก็ไม่ได้หมายความว่ามันแย่นะเพราะทุกงานที่หนูไปและเวลาหนูกลับบ้านหรือกลับหอ
ก็จะมีทั้งแฟนคลับ ครอบครัวและคนในวงBNK48ให้กำลังใจอยู่ตลอดเวลา...สิ่งเหล่านี้มันค้ำจุนกันทั้งหมดเป็นเสาให้กันและกันคอยพยุงกันไว้ไม่ให้มันล้มลง
ขาดอะไรไปอย่างหนึ่งทุกอย่างที่เราทั้งหมดช่วยกันค้ำเอาไว้ก็พังลงมาได้ง่ายๆ
อย่างไม่ต้องสงสัย
พี่แจนก็ไม่ต่างอะไรกับเสาที่หนูบรรยายถึงแต่ว่านะ...ทำไมหนูถึงรู้สึกว่าพี่แจนเป็นเสาต้นพิเศษสำหรับหนูกันนะ
ไม่รู้สิหนูอธิบายอะไรไม่ถูกแล้ว...
“ฮัทโหลลลเด็กดีด! นี่หนูมองหน้าพี่แล้วก็เออเร้อไปอีกแล้วเรอะ!?”
พี่แจนพูดเสียงดังลั่นร้าน
“ค-คะ?”
หนูส่ายหน้าและมองพี่แจนที่เลือกเสื้อผ้าตัวที่ต้องการซื้อได้แล้ว
“ไปคิดเงินกันได้แล้วเร็ว!” พี่แจนตะแบงเสียงให้ดังขึ้นเหมือนตั้งใจจะให้หนูหายเบลอ
“เดี๋ยวนะคะ!
หนูว่าหนูอยากซื้อเสื้อไปซักตัวอยู่น่ะค่ะ”
“อื้ม เข้าท่านะเดี๋ยวพี่ร-”
ก่อนที่พี่แจนจะพูดจบเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น
“ใครอ่ะพี่แจน พี่ปู๊บเหรอ?”
“ไม่...จ๊อบซังน่ะ...” พี่แจนโชว์เบอร์ให้หนูดู
ทำไมหนูรู้สึกไม่ดีกับเรื่องนี้เลย
มันเป็นลางสังหรณ์ไม่ดีแปลกๆ จ๊อบซังถึงกับต้องโทรมาเหรอ?
ถ้ามีอะไรก็น่าจะพิมพ์แชทเอาก็ได้ไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงต้องโทรมาด้วยถ้ามันไม่สำคัญมากจริงๆ
พี่แจนกดรับโทรศัพท์
“ค่ะ
ตอนนี้อยู่กับโมบายล์ค่ะ...มีอะไรเหร-”
พี่แจนหน้าซีดไปพักหนึ่ง
“ค่ะ ได้ค่ะเดี๋ยวหนูบอกเองค่ะ...” พี่แจนวางหูจากโทรศัพท์และจ้องหน้าหนู
“มีอะไรเหรอคะ…?” หนูเริ่มทำตัวไม่ถูก
“ซินซินบอกว่าอยากประกาศจบการศึกษา...” หลังพูดจบพี่แจนก็หลบตาหนูและพยายามทำตัวให้เป็นปกติ
“อ-เอ๋?
ท-ทำไมล่ะคะ?” หนูเริ่มรู้สึกเวียนหัว...ถึงพี่ซินซินกับหนูจะไม่ได้คุยกันมากมายอะไรแต่ว่าการที่มีคนแกรดออกไปมันก็เป็นเรื่องน่าใจหายอยู่ดี
พี่แจนส่ายหน้า
“เป็นไรไหม?”
“ก็มั้งคะ...”
“งั้น...โมบายล์ไปรอพี่ที่ร้านกาแฟข้างหน้าแปปนึงนะ
เดี๋ยวพี่จ่ายค่าเสื้อผ้าแล้วมาคุยกัน”
หนูพยักหน้าแล้วก็เดินไปสั่งน้ำที่ชอบที่สุดในร้านกาแฟและนั่งรอพี่แจนอย่างอัตโนมัติ
ความรู้สึกในหัวของหนูมันตีกันไปหมด คำถามหลายคำถามเกิดขึ้นมา ทำไมถึงแกรดล่ะ?
ทำไมถึงไม่อยู่ด้วยกัน? แต่ในส่วนหนึ่งของจิตใจหนูก็บอกว่า
เราไม่ได้รู้จักพี่เขาขนาดนั้นซะหน่อยแต่ทำไมต้องใจหายขนาดนี้ด้วย...
“พี่มาแล้ว นี่น้ำของโมบายล์ใช่ไหม?”
พี่แจนเดินถือแก้วน้ำของตัวเองและน้ำที่หนูชอบมาวางตรงหน้า
หนูพยักหน้า
“แล้ว...ตอนนี้รู้สึกยังไงเหรอ?” พี่แจนมองหน้าหนูตาแทบไม่กระพริบ
“มัน...มันหลายความรู้สึกและมีคำถามที่ตีกันอยู่ข้างในค่ะ
มัน มันไม่รู้สิคะ...”
“คำถามที่ว่าคืออะไรเหรอ?”
“ก็...อีกคนแล้วเหรอ? ค-คือครั้งก่อนก็พึ่งผ่านไปไม่นานก็เป็นพี่คิดแคต
ต-ตอนนี้พี่ซินซินก็ไปอีก ล-แล้วต่อไปจะใครคะ? พี่ปูเป้? พี่ปัญ? พี่ไข่มุก หรือพี่?”
พอได้พูดความในใจออกมาจู่ๆ
ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและคำพูดปนน้ำเสียงสะอื้นก็ออกมาตามๆ กัน
“...โมบายล์คนที่แกรดไปแล้วไม่ได้หายไปซะหน่อยนะ
เราก็ยังเจอกันได้ คุยกันได้เหมือนเดิมนะ”
“น-หนูไม่ได้เศร้าเพราะเรื่องนั้น หนูหมายถึงแล้ววันที่เราฝ่าฟันมันมาล่ะคะ? ทั้งตอนรอบคัดเลือกจาก 1300 คน จนเหลือ 330 คน แล้วก็คัดไปจนเหลือ 80 คน
แล้วก็รอบสุดท้ายที่เหลือกันแค่ 30 คน ล-แล้วไม่ใช่ว่าพอพวกเราคัดเข้ามาแล้วมันจะจบแค่30คนแล้วไปเปิดโชว์ซะหน่อย! เรายังต้องฝึกซ้อมเสียสละเวลาส่วนตัวไปตั้งมากมายกว่าพวกเราจะขึ้นแสดงได้
วันพวกนั้นสำหรับหนูมันคือวันที่สำคัญมากเลยนะคะ!
แต่ทำไมถึงแกรดกันอีกล่ะ? ท-ทำไมถึงได้...” หนูปิดปากตัวเองกล้ำกลืนเสียงโฮ่ที่จะออกมาได้ทุกเมื่อ
พี่แจนเอื้อมมือไปกุมมือหนูเอาไว้
ความอบอุ่นของมีพี่แจนมันบรรเทาความสับสนในจิตใจของหนูได้ดีไม่ใช่น้อย
“โมบายล์ฟังนะพี่เชื่อนะว่า...พวกเขาแค่ตัดสินใจ
‘เลือก’
อีกเส้นทางหนึ่งของตัวเองได้แล้วต่างหาก ทุกคนมีช่วงเวลาแบบนั้นกันทั้งนั้นช่วงเวลาที่เราต้องเลือกซักทางหนึ่ง
ทางที่เรามั่นใจว่ามันดีที่สุด ทางที่เรามั่นใจแล้วว่าจะไปให้สุด มนุษย์อย่างเราไม่สามารถทำสองอย่างได้พร้อมกันนะ...”
หนูไม่พูดอะไรทำได้แค่จ้องตากลับไปหาพี่แจนอย่างเงียบๆ
แต่ว่าตอนนี้หนูก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้ในระดับหนึ่งแล้วล่ะ
“แล้วก็นะถึงจะมีคนแกรดแล้วแต่ว่า
ทุกคนก็ยังจำคนนั้นได้ว่าคนนั้นก็เคยเป็นหนึ่งในBNK48
เป็นหนึ่งในคนที่ตัดสินใจจะทำตามฝันที่ตัวเองอยากทำและเธอก็ทำสำเร็จ และได้เป็นBNK48 ถึงเวลาที่ใช้นามสกุลนี้มันจะน้อยแต่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงว่าคนที่แกรดไปก็เคยเป็นBNK48นะ”
“พี่แจนอยากจะพูดอะไรกันแน่คะ…?”
“ก่อนที่มันจะจางหาย...เราก็ต้องช่วยกันจำว่าครั้งหนึ่งไม่ว่าจะคิดแคทหรือซินซินก็เคยเป็นBNK48มาก่อน ไม่มีอะไรที่จะแทนความจริงข้อนี้ได้นะรู้ไหม?”
หนูทำได้แค่พยักหน้า สิ่งที่พี่แจนพูดมันไม่ผิดเลยสักเรื่อง...
“ดีขึ้นไหม?”
พี่แจนกำมือหนูไว้แน่นกว่าเดิม
“ค่ะ...ดีขึ้นแล้วค่ะ” หนูพยักหน้า
“ดี...งั้นเรากลับกันเล-”
ตอนที่พี่แจนจะปล่อยมือ
หนูก็เอื้อมมือไปจับมือพี่แจนเอาไว้ก่อนที่เธอจะลุก
“...”
พี่แจนไม่ได้พูดอะไรแต่ก็มองหน้าหนูเหมือนต้องการคำตอบ
“ค-คือว่าอยู่แบบนี้อีกซักแปปได้ไหมคะ?”
“อ-อื้มได้สิ...นานเท่าที่โมบายล์ต้องการเลยนะ” พี่แจนใช้นิ้วลูบมือหนูวนไปมาและไม่ได้พูดอะไรอีก
หลังจากที่เรานั่งอยู่แบบนั้นกันสักพักใหญ่หนูก็ขอลาพี่แจนไปก่อนเพราะพี่ปูเป้โทรมาเรียกให้กลับไปพร้อมกัน
พอผ่านวันนั้นไปไม่นานพี่ซินซินก็ประกาศจบการศึกษาอย่างเป็นทางการผ่าน BNK48 Digital Studio หรือตามศัทพ์ติดปากที่ทุกคนเรียกกันว่า ตู้ปลา...
*BNK48 Digital Studioหรือตู้ปลา หมายถึง
สถานที่ที่สมาชิกในวงBNK48จะมาไลฟ์สดผ่านfacebookเพื่อทำกิจกรรมต่างๆ และยังถือเป็นการฝึกฝนทักษะทางวาไรตี้ของตัวเองให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ ศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์ชั้น 1 โซน C หน้า Q stadium (สถานที่ตั้งเอ็มควอเทียร์
693
695 ถนนสุขุมวิท แขวง คลองตันเหนือ เขต วัฒนา กรุงเทพมหานคร 10110)
**ประกาศจบการศึกษาหรือแกรด หมายถึง
ลาออกหรือถอนตัวออกจากวง
ความคิดเห็น