ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    WiNd ChImES ยามกระดิ่งลมสั่นไหว

    ลำดับตอนที่ #1 : การสั่นไหวครั้งที่ 1 ผมกับการกลับบ้านไปหาคุณย่า

    • อัปเดตล่าสุด 16 ธ.ค. 59


    O W E N TM.
                

     

    การสั่นไหวครั้งที่ 1
    ผมกับการกลับบ้านไปหาคุณย่า



                ท้องฟ้าในยามสนธยาทอแสงสีส้มอ่อน ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินให้วิวทิวทัศน์นั้นสวยมากขึ้นกว่าเดิม นัยน์ตาสีทะเลลึกมองบรรยากาศรอบกาย มันไม่ใช่ตึกราบ้านช่องที่สูงเฉียดฟ้าแต่เป็นขุนเขาและต้นไม้ใหญ่นานาพรรณถูกเลี้ยงและเติบโตมาโดยธรรมชาติ


                หมู่บ้านของคุณย่าที่ผมกำลังเดินทางไปเองก็มีภูเขาล้อมรอบเช่นกัน แถมเขาทางทิศเหนือก็มีบ่อน้ำพุร้อนตามธรรมชาติที่สมัยเด็กคุณย่าชอบพาไปบ่อยๆอีกด้วย


                อ่า~ พูดแล้วก็คิดถึงจัง


                ผมคิดพลางถไลตัวไปยังขอบหน้าต่างมองวิวที่ถูกขับผ่านด้วยความเร็วเคลื่อนที่อย่างไม่รู้จักเบื่อ บรรยากาศในรถคันหรูสีดำสนิทเต็มไปด้วยความเงียบสงบเพราะหน้าต่างระหว่างคนที่อยู่ด้านหลังและคนที่อยู่ด้านหน้าถูกกั้นเอาไว้ด้วยกระจกที่ติดฟิล์มสีดำสนิท 
    แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกกลัวว่าถูกฆ่าหรอกนะ


                ให้ตายสิ!! ปากพาจนอีกแล้ว ถ้าคุณย่ารู้ความคิดผมเมื่อกี้มีหวังโดนอดขนมเพราะพูดไม่ดีในป่าในเขาแน่ๆ


                โอ๊ะ! นั้นลูกหมานี่หน่า


                ผมทำตาวิ๊งวับทะลุกระจกไปยังเจ้าสุนัขตัวน้อยที่กำลังเดินเล่นลอยชายตัวเดียวอยู่อย่างน่าสงสาร ซึ่งเหมือนมันจะรู้ตัวว่าถูกจ้องดวงตาสีทองอร่ามมองกลับมาพร้อมกับหยุดเดินแล้วเอียงคอมองผมด้วยท่าหมางง


                "คุณลุงครับหยุดรถก่อนได้ไหมครับ" ผมตะโกนผ่านกระจกสีดำทึบอย่างหวังว่าคุณลุงที่ขับรถมาส่งผมจะได้ยิน ซึ่งรถที่ค่อยๆชะลอลงจนหยุดก็เป็นสัญญาณว่าการตะโกนครั้งนี้ไม่สูญเปล่า ผมรีบเปิดประตูแล้ววิ่งไปหาเจ้าหมาน้อยที่ยืนนิ่งอยู่เป็นรูปปั้น


                พอเข้ามามองระยะใกล้ขนมันเป็นสีดำสนิทตัดกับสีขาวที่แซมมาเล็กน้อยตรงข้อเท้าทั้งสีข้างและตรงช่วงหน้าท้อง แต่ที่โดดเด่นออกมาก็คงเป็นตามสีทองอร่ามสวย


                "แกเป็นพันธุ์อะไรกันเนี่ย" ผมยื่นมือไปให้มันดมเล็กน้อยซึ่งมันก็ลุกเดินมาดมแล้ววนมองผมอย่างสงสัย ด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยดุร้ายของมันเลยผมเลยจัดการใช้นิ้วชี้ลูบไปที่สันจมูกของมันแล้วไล้ไปที่หน้าผากอย่างที่ชอบทำกับสัตว์ทุกชนิด


                ก็เคยอ่านเจออ่ะ ว่าการที่มันยอมให้เราทำแบบนี้คือมันเชื่อใจเรา


                "ไปอยู่ด้วยกันไหม?" ผมลูบหัวมันเล็กน้อยก่อนที่จะเอื้อมแขนไปอุ้มเจ้าตัวน้อยที่นิ่งไม่ขัดขืน ถือว่าเป็นคำอนุญาติแล้วนะ ผมยิ้มแฉ่งอุ้มมันไปทีรถก่อนจะพูดใหห้คุณลุงที่ขับมาส่งผมให้ออกรถไปสู่เป้าหมายซึ่งก็คือบ้านของคุณย่า


                และที่สำคัญกว่านั้น! เจ้าตัวเล็กที่เขาเอามาด้วยตัวนุ่มมากเลยล่ะ!!



               
    "หลานก็เลยเอามันมาเลี้ยงที่บ้านย่าเหรอ"


               
    ผมที่กำลังยิ้มแฉ่งเล่าเรื่องประสบการณ์ตอนมาที่นี้กับพวกคุณป้าที่คอยดูแลบ้านของคุณย่าพลางชูหมาน้อยที่ผมพามาด้วยประกอบกับการเล่าอย่างเมามันรีบหันกลับหลังมามองเจ้าของเสียงอบอุ่นที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี


                หญิงชรากำลังยืนโดยมีเด็กหนุ่มอีกคนประคองอยู่ไม่ห่างและเหมือนเขาจะรู้ว่าผมกำลังจะทำอะไรมือหนารีบมายันหัวของผมเอาไว้และด้วยความต่างที่ห่างกันค่อนข้างเยอะเลยทำให้ผมเข้าไปกอดคุณย่าไม่ได้ แถมพอจะเข้าไปประทุษร้ายร่างสูงเป็นการแก้แค้นก็ไปไม่ได้อีกเพราะมือหนานี้คอยดันเขาอยู่


                "คุณย่าพี่ริโอะแกล้งผมง่ะ" ผมฟ้องพลางกอดเจ้าคุโระที่อยู่ในอก เบ้หน้าใส่คนข้างกายคุณย่าที่กำลังหัวเราะเยาะผม คุณย่าที่ยืนมองพวกผมก็ส่ายหัวเบาๆอย่างอ่อนอกอ่อนใจ ท่านแตะแขนพี่ริโอะเหมือนจะบอกว่าท่านจะเดินเอง ก่อนที่จะกางแขนเหมือนรอผมเข้าไปกอด


                ผมวางคุโระลงไปแล้วรีบเดินไปกอดคุณย่าอาจเพราะว่าผมมีส่วนสูงพอๆกับท่าน พวกเราเลยกอดกันได้อย่างพอดี กอดนี้อบอุ่นที่สุดเลย~


                "ยินดีต้อนรับกลับมาบ้านนะ หลานชายของย่า" เสียงที่ในวันวานยังเป็นเช่นไรในวันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น ยังคงอบอุ่นและอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย


                "กลับมาแล้วนะครับ"


                การที่มีคนรอการกลับมาของเรามันดีแบบนี้นี่เองสินะ~


                "อะแฮ่ม! อย่าหาว่ากระผมขัดจังหวะความรักเลยนะครับ แต่ตอนนี้ได้เวลาไปทานข้าวแล้ว อีกอย่างถ้าไปช้ากว่านี้ระวังจะได้กินข้าวเย็นแบบเย็นของจริงแน่ครับ" เสียงทุ้มเอ่ยอย่างเริงร่าทำเอาผมรีบเงยหน้าไปมอง เจ้าของเสียงยิ้มกว้างให้แล้วเดินมาประคองคุณย่าแบบก่อนหน้านี้ และผมจะไม่อะไรมากเลยถ้าหลังจากที่แยกคุณย่าไปแล้วพี่แกไม่หันกลับมายักคิ้วใส่ผม ซึ่งผมก็ยิ้มกลับไปโดยที่ตั้งปฏิญาณในใจ 


               
    บางคนสิบปีมาแก้แค้นยังไม่สาย แต่สำหรับผมที่ดีกว่านั้นคือการที่แก้แค้นแบบทบต้นทบดอก ทบเวลาที่เสียไปด้วย ก่อนอื่นต้องค่อยๆตีสนิทแล้วแอบแกล้งไปด้วย ฮูเล่! ใครกันช่างคิดแผนการดีดีแบบนี้ สุดหล่อไง >_<


                แต่ก่อนอื่นใด จุดจุดนี้หิวข้าวมากครับ


                "คุโระ ไปกินข้าวกันเถอะ มานี่ม่ะ" ผมอ้าแขนให้มันกระโดดขึ้นแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องอาหารตามหลังของของคนสองคนที่เดินนำโด้งไปแบบไม่มีการรออะไรทั้งสิ้น
                


                อิ่มครับ อิ่มของแท้ไม่มีการแกล้งกินแล้วมาสั่งคัทแต่อย่างใด และไม่ใช่แค่ผมที่กินแบบจัดหนักจัดเต็ม เจ้าคุโระที่นอนอยู่ข้างผมก็มีอาการไม่ต่างกัน


                อาการที่เรียกว่าตะกละแบบไม่บันยะบันยังจนท้องจะแตกตายแบบชูชกนั่นเอง!


                ใช่เวล่ำเวลาไหมเนี่ย...


                จะว่าไปมันเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างนะเนี่ย ผมที่เข้ามาอยู่ในห้องของตัวเองที่อยู่ตั้งแต่สมัยเด็กยันโตเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นสำรวจภายในห้องอย่างคิดไม่ตกว่าขาดอะไรไป และสายลมที่พัดเข้ามาผ่านบานประตูแบบโบราณที่เปิดอ้าเพื่อลมโกรกก็เป็นตัวเตือน


                กระดิ่งลมผมหาย!!!


                ผมรีบวิ่งไปยังห้องที่อยู่ด้านข้างซึ่งเป็นห้องของพี่ริโอะ แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพี่แกกำลังเดินมาที่ห้องผมเหมือนกัน ผมทำหน้างงใส่พี่แกซึ่งพี่แกก็ทำหน้างงใส่ผมจนผมนี่งงไปหมด


                โอเคกลับเขาเรื่อง


                "พี่เห็นกระดิ่งลมที่อยู่ในห้องของผมไหมครับ" ผมพูดเสียงเบากลัวรบกวนคนอื่นที่อาจกำลังหลับใหลในห้วงนิทรา ร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าผมร้องอ๋อขึ้นมาก่อนจะยกกล่องไม้ในมือพี่แกให้ผม


                "คุณย่าให้เอามาให้นะ ท่านบอกว่ายูจะนอนไม่หลับถ้าไม่มีมัน" ผมพยักหน้าหงึกหงักกับสิ่งที่ได้ยินและเมื่อได้ของที่ต้องการแล้วผมเลยจัดการสะบัดตัวกลับห้องทันที แต่มือหนาของพี่ริโอะก็เอื้อมมารั้งผมไว้ก่อนที่จะได้ไป ผมส่งสายตาเป็นเชิงคำถามไปให้พี่แก 
    พี่ริโอะเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็ชะงักลงก่อนจะสะบัดมือไล่ผมให้ไปนอนแล้วเดินหนีไปอย่างไม่ใยดี


                อ้าว เรียกเขาให้หันมาแต่ตัวเองดันเดินหนีเฉย 
    พิลึกคน แต่ก็ช่างเถอะ ผมได้ของของผมมาแล้วเหลือก็แค่เอาไปติดไว้ตรงประตูให้มันสั่นตอนที่ลมพัดเท่านั้นเอง


                ผมคิดอย่างร่าเริงแล้วเดินกลับไปอยางสบายใจ เมื่อเปิดประตูไปภาพแรกที่เห็นคือเจ้าคุโระได้ไปยึดที่นอนของเขาเสียแล้ว จะไปโกรธก็ไม่ได้เพราะเขาดันลืมปูที่นอนให้มัน


                ซอรี่นะครับคุโระ


                ผมพยายามอย่างยิ่งที่จะอุ้มมันให้เบาที่สุดแล้วไม่ให้มันตื่นขึ้นมา ซึ่งดูเหมือนจะสัมฤทธิ์ผลเพราะเจ้าตัวยังหลับปุ๋ยอยู่เลย ที่นอนของคุโระอยู่ข้างเขาเพราะมันยังเด็กและต้องการความอบอุ่นของพ่อแม่อยู่...มั้งนะ


                เอาเถอะ ให้นอนตรงไหนก็เหมือนกันอยู่ดี เพราะงั้นนอนตรงนี้แหล่ะ


                ผมพยักหน้ากับความคิดของตัวเอง แล้วเปิดกล่องไม้ที่เขียนชื่อของเขาเป็นตัวอักษรสวยงามด้วยพู่กันว่า คาโกะ ยูซึเกะ ภายในเป็นกระดิ่งลมสีน้ำเงินเหมือนตาของเขา ตัวของมันสลักด้วยชื่อย่อของเขา ยู ของขวัญที่ได้จากการไปเล่นเทศงานดอกไม้ไฟเมื่อหลายปีก่อน


                เขาติดมันไว้ตรงที่เดินคือตรงกลางของบานประตูโดยที่แขวนอยู่ด้านใน


                กรุ๊งกริ๊ง~ กรุ๊งกริ๊ง~


                แบบนี้ค่อยน่าหลับขึ้นหน่อย


                ผมคิดพลางล้มตัวลงนอน ลูบหัวเจ้าคุโระแล้วปล่อยให้ความง่วงเข้าครอบงำทุกโสตประสาทในร่างกาย ดำดิ่งสู่ความฝันที่แสนเลือนลาง


                'ชอบกระดิ่งลมไหม'


                'ไม่'


                'งั้นเดี๋ยวผมจะทำให้นายชอบเองนะ'


                'สัญญาสิ...'


                'ผมสัญญา'


                'อ่ะ! นายยิ้มแล้ว'


                'เปล่า'


                'จริงอ่ะ อย่ามาขี้ตู่ ผมเห็นนายยิ้มจริงๆ'


                'เราแค่มีความสุข
    '

                

    -.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.-.

                มาแล้วสำหรับตอนแรกที่แสนยากลำบาก แต่ก็เข็นขึ้นมาบนภูเขาสำเร็จแล้วค่ะ >_< สำหรับตอนต่อไปนั้นไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไรแต่มาต่อแน่นอนค่ะ ฮูเล่!!

                ตอนต่อไป การสั่นไหวครั้งที่ 2 ผมกับเรื่องที่ไม่เข้าใจ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×