คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : ผู้รอดตาย
ทุกสิ่งทุกอย่างมืดสนิท ไม่มีภาพ ไม่ได้ยินสรรพเสียงสำเนียงใดๆทั้งสิ้น
สติผมเริ่มคืนมาช้าๆ เวลาผ่านไปชั่วครู่ เสียงต่างๆเริ่มแว่วเข้ามาให้ได้ยิน ผมรู้สึกได้ถึงความร้อนแรงของแสงแดดที่ลอดผ่านเปลือกตาจนต้องเผยอตาขึ้น
ภาพเลือนๆค่อยๆปรากฏชัดขึ้น ท้องฟ้าสีคราม ปุยเมฆขาวสะอาด ผมอยู่ที่ไหนหรือ?
เสียงที่ได้ยินเริ่มดังชัดขึ้น เสียงคลื่น? คลื่นกระทบฝั่งครืนครัน
ผมเริ่มรู้สึกถึงความเปียกแฉะ รู้สึกถึงน้ำทะเลที่ซัดสาดร่างกายอยู่
เริ่มรู้สึกถึงรสชาติขมเค็มของน้ำทะเลที่ค้างอยู่ในปาก
เริ่มรู้สึกถึงความเจ็บปวดจากแผลที่โดนน้ำทะเลบนร่างกายบางส่วน
และเริ่มรู้สึกอะไรอีกหลายๆอย่างที่ไม่รู้จะบรรยายไปทำไม...นั่นนะสิ
ผมผงกหัวขึ้นมองสำรวจรอบๆตัว พบว่าผมกำลังนอนหงายอยู่ริมชายหาด ปล่อยให้คลื่นซัดร่างกายที่มีร่องรอยถลอกปอกเปิก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง เนื้อตัวเมื่อยขบจนแทบขยับตัวไม่ไหว รอบด้านเป็นเหมือนเวิ้งอ่าวที่ไหนสักแห่งที่โอบล้อมด้วยผาหินสูงชัน ต้นไม้แน่นทึบ ไม่มีร่องรอยของสิ่งมีชีวิตใดๆในสายตา
ทำไมผมถึงมานอนอยู่ที่นี่? ผมพยายามนึกค้นความทรงจำในลิ้นชักสมอง พบว่ามันว่างเปล่าไม่มีคำตอบในนั้น ภาพที่พยายามขุดค้นขึ้นมาได้ คือภาพความโกลาหล ผู้คนกรีดร้อง ผมอยู่ในที่นั่งของพาหนะอะไรสักอย่าง...
เครื่องบิน...ใช่..ผมอยู่บนเครื่องบินที่ผู้โดยสารต่างตื่นตระหนก กรีดร้องด้วยความหวาดกลัว
"กริ๊ดดด...ช่วยด้วยยย...ฉันยังไม่อยากตาย..กริ๊ดดด...ว๊ายย...จะตกแล้ววว...อ๊า..." ภาพอาเจ๊ที่นั่งข้างๆหลับหูหลับตากรีดร้องตะโกนจนแสบแก้วหูยังรู้สึกติดตาและติดหู
ผมจำได้ถึงความสั่นสะเทือนและความรู้สึกสุดท้ายของแรงกระแทกมหาศาลที่ฉุดให้สติและสำนึกทั้งหลายทั้งปวงของผมดับวูบลง
เครื่องบินที่ผมโดยสารมาตกในทะเล ผมสรุปความได้อย่างนั้นในภาวะตอนนี้ ลองนึกทบทวนย้อนไปอีกนิดผมกำลังนั่งเครื่องบินไปไหน...นึกไม่ออกแฮะ
งั้นลองนึกดูว่าผมนั่งเครื่องบินมาจากไหน เอ๊ะ..นึกไม่ออกอยู่ดีแฮะ เอางี้ดีกว่า ผมเป็นใคร? เอ้า..1..2..3..เฉลย...ชิบเป๋งล่ะสิ ผมก็ยังคงนึกไม่ออก!
ซวยแล้ว! ผมเป็นอะไรวะนี่ นึกอะไรไม่ออก จำอะไรไม่ได้เลย...เฮ้ย! จริงเหรอเนี่ย
อารามตกใจผมลุกพรวดขึ้นมาจากท่านอน จนต้องร้องอูยด้วยความปวดขัดยอกที่หลังและต้นคอ พยายามสะบัดหัวไล่ความมึนงง มองไปรอบด้านหาตัวช่วย แต่ไม่มีประโยชน์ รอบด้านมีเพียงความว่างเปล่าของทะเลสีเขียวและท้องฟ้าสีคราม นกนางนวลส่งเสียงร้องอยู่ไกลๆ ผมรู้สึกเหมือนมันกำลังหัวเราะเยาะผมอยู่
เอาล่ะสิครับท่านผู้ชม! ผมเป็นชายความจำเสื่อมจากอุบัติเหตุเครื่องบินตก
ผมไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน เกาะร้างหรือแผ่นดินที่ติดกับทะเล...ยังไงดีล่ะทีนี้ ผมไม่อยากกลายเป็นทอม แฮงค์ ในหนังเรื่อง Cast Away ที่วันๆนั่งคุยกับลูกวอลเล่ย์บอลวิลสัน จนหนวดหงอกหนังเหี่ยว...
ไม่เอานะเฟ้ย ผมยังไม่อยากเป็นพระเอกหนัง...Help me,please. ...ใครก็ได้ช่วยผมด้วย..เอ๊ะ..ผมความจำเสื่อมไม่ใช่เหรอ ทำไมผมจำหนังเรื่องนั้นได้ แต่ดันนึกอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ออกวะเนี่ย..ยิ่งคิดยิ่งมึนงงปวดหัวตุ๊บๆ
ใจเย็นๆ..เย็นไว้น้องชาย ผมพยายามนึกปลอบใจตัวเอง...อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ นี่มันยุคไหนสมัยไหนแล้ว ยุคนี้ท่านผู้นำประเทศเป็นเจ้าของดาวเทียมนะเฟ้ย เรื่องใหญ่ขนาดเครื่องบินตกแบบนี้ สั่งการกันแป็บเดียวเดี๋ยวความช่วยเหลือก็มาถึงแล้ว
คำนวณจากพระอาทิตย์บนท้องฟ้าแล้ว ตอนนี้น่าจะเป็นเวลาเช้าอยู่ อาจจะสักเก้าหรือสิบโมงเพราะพระอาทิตย์ยังลอยไม่สูงแดดยังไม่ร้อนมากนัก ยังมีเวลาอีกเยอะกว่าจะมืด เดี๋ยวหน่วยค้นหาก็คงมา พอคิดได้อย่างนี้แล้วผมก็สบายใจ ถอดถุงเท้าเปียกแฉะที่ยังสวมอยู่ออกให้เท้าได้ผึ่งลม นั่งพักผ่อนเล่นเย็นใจรอเฮลิคอปเตอร์ที่จะมาค้นหาผู้รอดชีวิตดีกว่า
เอ๊ะ..เดี๋ยวก่อนนะ แล้วเขาจะรู้ได้ไงว่ามีผมอยู่ตรงนี้อีกคน ดูแล้วรอบๆนี่ก็ไม่มีเศษซากอะไรสักอย่าง ผมลอยมาไกลจากจุดเครื่องบินตกแค่ไหนก็ไม่รู้ อืมม์...นั่งรอเฉยๆท่าจะเป็นความคิดที่ไม่ค่อยดีแฮะ
"วู๊วว...ยูฮู...มีใครอยู่บ้างไหม..ไหม..ไหมมม...." ผมลุกขึ้นป้องปากตะโกน
ไร้ประโยชน์ ไม่มีเสียงใดๆตอบมานอกจากเสียงสะท้อนก้องไปมาของคำท้ายประโยคฟังเหมือนคำตอบว่า..ไม่...ไม่...
ชักรู้สึกแสบคอ เริ่มรู้สึกถึงความกระหาย นี่ผมลอยคอสลบมากี่ชั่วโมงกี่วันก็ไม่รู้ได้ พอนึกแล้วพาลให้ท้องไส้ลั่นโครกคราก มองรอบตัวไม่เห็นอะไรพอจะมายาไส้ได้ มะพร้าวสักต้นก็ไม่เห็น มีแต่ต้นไม้ที่คุ้นตาแต่ไม่รู้จักชื่อ
ผมลองเดินสำรวจบริเวณชายหาด จากจุดที่ผมอยู่มองไม่เห็นวัตถุอะไรสักอย่างที่จะบอกถึงเหตุการณ์เครื่องบินตก บริเวณนี้พื้นที่ส่วนที่เป็นหาดทรายไม่กว้างใหญ่นัก รอบหาดโอบล้อมด้วยผาหินสูง2ด้าน ริมทะเลด้านหนึ่งเป็นโขดหินระเกะระกะ อาจจะเชื่อมต่อกับบริเวณอื่นๆได้ เท่าที่ดูคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นด้านหนึ่งของเกาะมากกว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่เชื่อมต่อกับแผ่นดินแน่ๆ
บริเวณหาดทรายไม่มีอะไรน่าสนใจ นอกจากจะพบว่าทรายที่นี่ขาวละเอียดเป็นเกล็ดร่วนเหมือนน้ำตาลทราย น้ำทะเลก็สีเขียวมรกตใสสะอาดจนมองเห็นปลาเล็กปลาน้อยแหวกว่ายสวยงามรื่นรมย์เหมาะกับการมาเที่ยวพักผ่อนในวันหยุดอย่างยิ่ง
จินตนาการถึงแว่นกันแดดสีชา เก้าอี้ผ้าใบสักตัว จิบเบียร์ที่เย็นเป็นวุ้น นอนกระดิกเท้ามองสาวๆหุ่นสะโอดสะองในชุดบิกินี่เดินยิ้มหวานขึ้นมาจากทะเล ว้าว...ช่างเป็นสุขเสียนี่กระไร แต่ตอนนี้ผมคงจะมีอารมณ์โรแมนติคแบบนั้นหรอกครับ..ปั๊ดโธ่ คุณก็ ยิ่งนึกก็ยิ่งหิว ท้องส่งเสียงร้องเตือนเสียง..จ๊อก..จ๊อก..เหมือนมีจิ้งจกอยู่ในกระเพาะ
ผมลองสุ่มเดินสำรวจไปทางด้านโขดหินที่ยื่นไปในทะเล ดูไกลๆเหมือนจะไม่มีทางไปต่อได้ แต่พอลองเดินจริงๆพบว่าพอจะเดินเลาะเลียบไปได้บ้าง บางช่วงอาจต้องปีนหรือกระโดดข้ามช่องว่างระหว่างหินบ้างแต่ก็ไม่ลำบากนัก เมื่อหันมองกลับไป ผมเดินมาไกลจากจุดที่นอนสลบอยู่พอสมควร มองข้างหน้าดูแล้วยังมีทางต่อไปได้อีกไกลเหมือนกัน คิดแล้วไปตายเอาดาบหน้าน่าจะดูมีอนาคตดีกว่า
ตอนแรกที่เดินๆมีปวดเมื่อยหลังกับขาบ้าง แต่สักพักพอเดินจนชินอาการปวดก็เหมือนจะลดลงไป จากที่เดินมานี่ผมว่าเกาะนี้คงไม่ใช่แหล่งท่องเที่ยวหรือที่ๆคนรู้จักแน่ๆ หาดสวยน้ำใสขนาดนี้ ขยะหรือสิ่งประดิษฐ์ของมนุษย์ประเภทกล่องโฟม,ขวดพลาสติก,กระดาษทิชชูหรือว่า..เอ่อ..ถุงยางอนามัยไม่มีให้เห็นในสายตาเลย เออแฮะ..รายละเอียดแบบนี้ผมยังนึกได้ แต่จำเรื่องของตัวเองไม่ได้สักอย่าง สมองผมนี่มันยังไงๆอยู่ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน
ช่วงหนึ่งจุดที่ผมกำลังปีนข้ามซอกหินใหญ่ สายตาก็เหลือบเห็นเหมือนจะเป็นแสงสะท้อนจากโลหะอะไรสักอย่างแวบๆอยู่ใต้หินก้อนที่ผมกำลังปีนอยู่ ท่าทางน่าสนใจแฮะ ผมลองเดินเกาะๆหินเลียบลงไปดูสักหน่อย อาจจะเป็นอุปกรณ์อะไรสักอย่างที่พอจะเอาไปใช้งานอะไรได้บ้าง
ใต้หินใหญ่ด้านนั้นคงเป็นซอกเว้าเข้าไปใกล้กับระดับน้ำทะเล ผมยังมองเห็นไม่ชัด ปีนลงไปจนสุดตรงจุดที่ผมยืนเป็นหินก้อนเล็กๆโผล่พ้นน้ำอยู่ ปีนต่อไปไม่ได้แล้ว แต่จุดที่ผมเห็นแสงสะท้อนต้องเอื้อมตัวเหนี่ยวหินอ้อมไปถึงจะเห็นว่ามันเป็นอะไร
ผมลองหาที่เกาะยึดก็พอมีแง่มุมของหินจะปีนอ้อมไปได้ ค่อยๆเกาะไปช้าๆทีละนิด ยึดตัวให้มั่นชะโงกหน้าไปมองหน่อย ผมเห็นแล้วล่ะไอ้วัตถุที่สะท้อนแสงอยู่มันเป็นนาฬิกาข้อมือสีเงินที่ติดอยู่กับกิ่งไม้แห้งสีคล้ำ
ปั๊ดโธ่เอ๊ย..นึกว่าจะเป็นมีดหรือเป็นอะไรที่น่าจะเอาไปใช้ประโยชน์ได้ดีกว่านี้ แต่ก็เอาน่ะไหนๆก็เสียแรงปีนมาแล้ว ลองหยิบมาดูเผื่ออย่างน้อยถ้ามันเจ๊งเข็มไม่เดินแล้วก็เอามาใช้สะท้อนแสงขอความช่วยเหลือได้ก็ยังดี
ผมชะโงกหน้าไปเล็งจุดอีกที แล้วใช้มือขวาเกาะยึดกับแง่หินให้มั่นคง โน้มตัวเอื้อมมือซ้ายอ้อมไปหยิบนาฬิกาเรือนนั้น มันติดกับกิ่งไม้อยู่ดึงไม่หลุด ลองกระชากๆดูมันเหมือนสอดกับกิ่งไม้แน่นดึงยังไงก็ไม่ออก ดึงนานๆชักเมื่อยตะคริวจะกิน เลยเอามือกลับมาเกาะหินพักอยู่ก่อน
ลองขยับตัวใหม่อีกทีใช้เท้าเหยียบซอกหินให้ตัวใกล้เข้าไปพอที่จะเอื้อมมือไปหยิบได้ถนัดกว่าเดิม เอาล่ะทีนี้คงได้การแน่ๆล่ะ มือขวายึดหินให้มั่นมือซ้ายเอื้อมไปจับที่กิ่งไม้ท่อนนั้นดึงกระชากนาฬิกาอีกทีสุดแรง ฮึบ! สำเร็จ ทั้งนาฬิกาทั้งกิ่งไม้หลุดจากซอกหินติดมือผมมาในที่สุด
หันมองในมือ...มือ..มือครับ..ไม่ใช่..ผมไม่ได้พูดถึงมือของผม มือ..มือ..หรืออันที่จริงต้องเรียกว่าแขนครับท่านผู้ชม แขนท่อนหนึ่งสภาพผ่านสภาวะสายลมแสงแดดและน้ำทะเลกัดกร่อนอาจจะรวมถึงปลาเล็กปลาน้อยตอดมานานจนเป็นโครงสีคล้ำๆติดเนื้อหนังอยู่นิดหน่อยมองเผินๆเหมือนกับกิ่งไม้ผุๆ แขนท่อนนั้นสวมนาฬิกายี่ห้อดังจากสวิตเซอร์แลนด์ ที่มีกลไกออโตเมติค ทำงานเมื่อมีการเขย่า
ใช่ครับ..แขนท่อนที่ว่านี้อยู่ในมือของผม บรรลัยล่ะครับท่าน คิดได้ก็รีบโยนท่อนแขนพร้อมนาฬิกาทิ้งทันทีแบบไม่เสียดาย อื๋อ..อี๋..อึ๋ย..ขยะแขยง..ความรู้สึกยังติดมือผมอยู่เลย ล้างน้ำยังไงภาพท่อนแขนข้างนั้นก็ยังคงหลอนอยู่ อโหสิด้วยนะพี่นะไม่ว่าพี่เป็นใคร ผมไม่มีเจตนาจะรบกวนพี่เลยจริงๆให้ดิ้นตาย
จากสภาพของแขนข้างนั้นทำให้ผมรู้สึกเสียวๆหนาวๆเมื่อนึกถึงชะตากรรมตัวเอง ผมอาจต้องแห้งตายซากแบบพี่เขาด้วยก็ได้ถ้าความช่วยเหลือมาไม่ถึงจุดที่ผมกำลังรอความหวังอยู่นี่ คิดแล้วพาลให้ขาจะหมดแรงเอาดื้อๆ แต่เอาน่ะไหนๆก็ไหนๆแล้วลองไปต่อดูอีกสักหน่อยเผื่อจะเจอคนเป็นๆที่อวัยวะครบสมบูรณ์ไม่ใช่มาทักทายด้วยแขนข้างเดียวเหมือนเมื่อกี้นี้
พ้นจากโขดหินที่ผมทั้งเดินทั้งโดดทั้งปีนทั้งไต่ข้ามมาจนในที่สุดก็มาถึงหาดอีกด้านหนึ่งของเกาะ หาดด้านนี้ยาวกว่าเวิ้งอ่าวแรกที่ผมจากมา ทรายขาวน้ำใสแบบเดียวกัน และก็ยังคงไร้ร่องรอยสิ่งมีชีวิตเหมือนเดิม แต่ยังดูอุดมสมบูรณ์กว่าฟากโน้น เพราะอย่างน้อยที่นี่ก็ยังมีต้นมะพร้าวเป็นทิวแถวยาวอยู่
ตอนนี้ตะวันเลยหัวมาพักหนึ่งแล้ว ผมเริ่มรู้สึกได้ถึงความอ่อนล้าของร่างกาย ริมฝีปากแห้งผาก อยากได้น้ำอัดลมเย็นๆสักขวด ข้าวผัดกระเพราร้อนๆสักจานโปะไข่ดาวด้วยก็ดี โอย..เพ้อเจ้อไปท้องไส้ก็ลั่นโครกครากไปหิวแสบไส้กระหายแสบปากเลยคุณเอ๊ย
นั่งลงพักเหนื่อยใต้ต้นมะพร้าวริมหาดต้นหนึ่ง หยิบทางมะพร้าวแห้งมารองนั่งกันร้อนก้น เหลือบเห็นลูกมะพร้าวแห้ง เอ..ปกติมะพร้าวแห้งมันจะมีน้ำมีเนื้อบ้างไหมเนี่ย ว่าแล้วก็ลองหยิบมาเขย่าดู 2-3 ลูก ไม่มีเสียงอะไรเลยแฮะ มองขึ้นไปบนต้นยังมีมะพร้าวอยู่หลายลูก แต่คำนวณความสูงแล้วอย่างน้อยน่าจะ 7-8 เมตรได้มั้ง
สมองส่วนที่ยังดีนึกถึงเรื่องที่เขาว่ากันว่าในยามสถานการณ์คับขัน ร่างกายจะหลั่งสารบางอย่างออกมาทำให้คนมีความสามารถมากกว่าปกติ อย่างเช่นคนที่ยกตุ่มได้เวลาไฟไหม้บ้าน
เอ..อย่างผมนี่ก็น่าจะเรียกได้ว่าอยู่ในสถานการณ์คับขันเหมือนกันนี่ ลองหลับตารวบรวมสมาธิกำหนดจิต..อืมม์..เริ่มรู้สึกถึงพลังบางอย่างที่แผ่ซ่านในตัว เอาน่ะมาลองดูกันสักตั้ง
สองมือโอบรอบต้นมะพร้าว แหงนหน้าเชิดขึ้นมองเป้าหมาย สองเท้ากระหวัดเกี่ยวลำต้นไว้ ใช้พลังจาก 2 มือ 2 เท้า ดันตัวเองขึ้นสู่จุดมุ่งหมาย
ฮึบ..เอ้า ฮึบ..ฮึบ...ดันจนสุดกำลัง...กระดื๊บไปได้สัก3คืบเห็นจะได้ แขนก็หมดแรงเหนี่ยว ปล่อยตัวไถลมาตามเดิม ปั๊ดโธ่..ทำไมมันไม่ง่ายเหมือนเวลาลิงมันปีนต้นไม้เลยวะเนี่ย ก็ไหนเขาบอกว่าลิงเป็นบรรพบุรุษของคน
แหงนมองดูเป้าหมายที่ห่างไกล มองดูรอบๆประเมินสถานการณ์ คงไม่มีอาหารอะไรที่เป็นไปได้มากกว่ามะพร้าวเหล่านี้อีกแล้วเป็นแน่แท้ ไอ้ต้นอื่นก็ดูมันจะสูงชะลูดกว่าไอ้ต้นนี้ทั้งนั้น ถ้าอยากรอดตายต้องจัดการมันลงมาให้ได้
ลองวิธีใหม่หาอะไรเขวี้ยงมันลงมาดีกว่า ผมลองมองหาบนพื้นทราย หินสักก้อนก็ไม่มีให้เห็น มีแต่ทางมะพร้าว ที่ดูเข้าท่าหน่อยคงมีแต่ลูกมะพร้าวแห้งนี่แหละน่าจะพอใช้ได้ ก้มลงหยิบมาลูกหนึ่ง คะเนน้ำหนักน่าจะพอปาถึง
มองตรงที่เป้าหมายมะพร้าวลูกหนึ่งบนยอดด้านซ้ายมือลอยเด่นพ้นทะลายออกมาเห็นเป็นเป้านิ่งชัดเจน มือขวาโน้มไปข้างหลังเขวี้ยงลูกมะพร้าวแห้งในมือสุดแรงเกิด
เฟี้ยวววว...มะพร้าวแห้งแหวกอากาศ ลูกแรกพลาดเป้าหมายไปไกลโข ลองอีกทีเล็งให้มั่น ขว้างออกไปเป็นลูกที่ 2 ...ผลั่วะ...นั่นโดนเต็มๆแต่ไม่ยักกะร่วงลงมาแฮะ ต้องซ้ำเข้าไปอีก
ลูกที่3,ลูกที่4 พลาดไป ลูกที่5...โช๊ะเด๊ะ...โดนเต็มๆอีกที แต่ผลก็เหมือนเดิม มะพร้าวลูกนั้นยังคงยึดเหนียวแน่นอยู่กับต้น ด้วยความโมโหคราวนี้มีแรงเท่าไหร่ก็ไม่ยั้งตามติดเข้าไป เขวี้ยงแล้วเขวี้ยงอีกจนแขนล้าหมดแรงนอนแผ่หอบแฮ่กๆ ก็ยังคงไม่มีผลใดๆ มันยังคงลอยหน้าลอยตาเหมือนจะเย้ยผมอยู่บนต้นอยู่อย่างนั้น
แค้น..แค้นจริงๆ..อย่าอยู่เลยมึ๊งงง...ด้วยอารมณ์โมโหหิวหน้ามืดตาลาย ผมทั้งเขย่าทั้งถีบที่ลำต้นมะพร้าวต้นนั้นอย่างไม่ปรานีปราศรัย ถีบๆๆๆๆมัน โมโหเว๊ย..โมโห...
เฟี้ยววว...เสียงวัตถุบางอย่างดังแหวกอากาศ ผมแหงนหน้ามอง อะฮ้า..ในที่สุดไอ้ลูกมะพร้าวคู่รักคู่แค้นมันก็เสร็จผมลอยลิ่วร่วงลงมาจากต้นจนได้ มันลอยลงมาให้สมน้ำหน้าใกล้ๆ
และแล้วผมก็หมดสติไปด้วยฤทธิ์มะพร้าวลูกนั้นที่หล่นมาโดนกบาลพอดี
ความคิดเห็น