ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    รักพลิคล็อค ล็อคคอรัก

    ลำดับตอนที่ #1 : รักพลิคล็อค ล็อคคอรัก 1

    • อัปเดตล่าสุด 18 เม.ย. 49


    เตรียมล็อค

     

    อาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม   สิบเอ็ดนาฬิกาศูนย์ๆนาที  

    หน้าคอนโดหรู   ชื่อฝรั่ง  ติดริมแม่น้ำใจกลางเมือง

                                                    

    ผมยืนแหงนคอตั้งบ่า     ตาจ้องเป๋งไปที่ชั้นยี่สิบสาม

    ถึงจะไม่เห็นอะไรนอกจากแสงอาทิตย์กระแทกลูกตาที่สะท้อนจากกระจกระเบียงแต่ผมก็ยืนอยู่อย่างนี้มายี่สิบนาทีแล้ว    

     

    มือผมสั่น   หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ   แต่สมองกลับสงบด้วยความมุ่งมั่น

    สิ่งที่ผมกำลังจะทำถ้าใครรู้เค้าคงหาว่าบ้า      ขนาดผมเองยังว่าตัวเองบ้าเลย

    แต่ทำไงได้    ภายในมันเรียกร้อง    ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องทำ 

    เกิดมายี่สิบห้าปียังไม่เคยรู้สึกมุ่งมั่นเด็ดขาดอย่างนี้มาก่อน    ความรู้สึกทั้งสงบทั้งพุ่งพล่านที่อยู่ในหัวบอกให้รู้ว่าผมจะไม่เสียใจภายหลังแน่     นอกเสียจากว่าจะไม่ได้ทำให้มันเกิดขึ้น

    เอาล่ะ     เวลาของการตัดสินใจจบลงแล้ว      จากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้นช่างมัน

     

    ผมเดินเข้าคอนโดพร้อมชายหญิงคู่หนึ่ง     แกล้งทำเป็นโทรศัพท์จะได้ไม่ต้องหันไปสบตาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นั่งเป็นเจ้าเฝ้าศาลอยู่ตรงทางเข้า     หวั่นๆอยู่เหมือนกันว่าจะโดนถามอะไรรึเปล่าเพราะคอนโดระดับนี้มันต้องเข้มงวดเรื่องคนผ่านเข้าออก    

    ผมเดินตัวตรง  โทรศัพท์แนบหู   ทำเหมือนคุยธุรกิจร้อยล้านพันล้าน   แอบเหลือบรปภก็เห็นมองๆมาเหมือนกันแต่คงเพราะบุคลิกคนรวยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมันแก้ความข้องใจได้กับทุกคน     พี่ยามเลยแค่มองแต่ไม่ได้เดินมาเชิญไปคุยแต่อย่างใด    ถือว่าด่านแรกรอด

     

    ผมกดลิฟต์ชั้น 23 อันเป็นจุดหมายปลายทางด้วยนิ้วที่สั่นน้อยๆ     ไม่ได้สั่นเพราะหิวข้าวหรือกลัว      อาการอย่างนี้ชาวบ้านเรียกสั่นสู้

    ลิฟต์ไต่ชั้นขึ้นไปเรื่อยๆ   ยิ่งใกล้ชั้นเป้าหมายเท่าไหร่หัวใจผมก็เต้นช้าลงเท่านั้นจนมันเข้าระดับปกติและทันทีที่ลิฟต์เปิดออกสู่ชั้น 23 ผมก็สงบนิ่งเหมือนคนบรรลุโสดาบันติผล

    น่าแปลกใจตัวเองจริงๆ    

     

    ออกจากลิฟต์มายืนหันซ้ายหันขวา    ไม่แน่ใจว่าห้องที่จะไปมันอยู่ด้านไหน

    ดีที่ทั้งชั้นมีแค่สองห้อง      สมเป็นคอนโดมีตระกูล ห้องหนึ่งกว้างยังกับบ้านทั้งหลัง

     

    ตัวเลขสีเงินเป็นเงาเหมือนโดนขัดทุกวันปรากฏอยู่ตรงหน้า   231

    ผมยกมือขึ้นเคาะเบาๆสามที แล้วถึงเหลือบไปเห็นว่าเค้ามีออดให้กดนี่หว่า

    กำลังจะยกมือขึ้นกด     ประตูก็เปิดผัวะออกมาซะก่อน

    อารมณ์สงบเงียบของผมเริ่มระทึกอีกครั้งเมื่อเห็นหน้าคนเปิด     ไอ้ที่ซ้อมพูดมาเป็นสิบครั้งหายวับไปกับตา      อย่าว่าแต่ไอ้ที่ซ้อมมาเลยตอนนี้ภาษาคนผมก็พูดไม่เป็นแล้ว    

     

    เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ตื่นเต้นและตื่นตัวมากขนาดนี้     ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นเหมือนจะทะลุออกมานอกอก    ขนาดแค่เห็นหน้าเองนะเนี่ย...   

    นี่ถ้าฟลุ๊คได้ทำอย่างที่คิดไว้จริงๆผมจะช็อคตายคาเตียงไหมวะ

    ผมได้แต่ยืนจ้องผู้ชายตรงหน้าชนิดตาไม่กระพริบ     เค้าก็จ้องผมเหมือนกันออกแนวงงๆ

    ตาผมเห็นอยู่หรอกว่าเค้ามองเป็นเชิงถามแต่ตอนนี้ขอเวลาสำรวจหน่อยเหอะ   ขอมองตัวเป็นๆให้เต็มตาก่อน      ตั้งแต่หัว ผม หน้า  ไล่มายังหุ่นสูงใหญ่ล่ำสันที่ขนาดอยู่ในเสื้อยืดธรรมดายังดูเท่ห์ซะจนบรรยายไม่ถูก    โอย!   คนอาไรวะ

    พอมองต่ำลงไปเรื่อยๆ (อย่าพึ่งคิดลึก)  ก็เห็นว่าที่มือเรียวขาวแต่ดูแข็งแรงนั้นมีแบงก์สีม่วงอยู่

    หนึ่งใบ    ประกอบกับการเปิดประตูทันทีที่เคาะ   เดาได้ว่าเค้าคงกำลังรอใครมาส่งของอยู่เป็นแน่   อาจเป็นคนส่งพิซซ่า

     

    เอ่อ…”    เป็นผมที่หลุดคำออกไปก่อน           

    ครับ?”     เสียงเข้มถามพร้อมเลิกคิ้ว    โอ้ย!  เท่ห์อิบอ๋าย 

    เอ่อ…”    ฮึ้ย!   หายใจไม่ทัน

    มาหาใครครับ    ผิดห้องรึเปล่า    ถามพร้อมยิ้มน้อยๆ     รอยยิ้มเดียวกับที่ทำให้ผมตัดสินใจทำการอุกอาจอย่างนี้

    ไม่ผิดครับ    ผมมาหาคุณ   

    แต่ผมไม่รู้จักคุณ    คนตรงหน้าผมพูดพร้อมสีหน้าสงสัย   ออกแนวระวังตัวนิดๆ

    ครับ   แต่ผมรู้จักคุณ   ผมชื่อทะเลครับ   คือผมมีเรื่องอยากขอร้อง    ถึงท้ายประโยคจะเบาแต่ผมก็ยังจ้องหน้าเค้าตลอดเวลา      ไม่ได้เห็นกันง่ายๆต้องจ้องให้คุ้ม   

     

    คนตรงหน้าผมก็จ้องตอบกลับมาแบบไม่กระพริบเช่นกัน    “… คุณเป็นแฟนผลงานใช่ไหม    ถ้ามีอะไรติดต่อผ่านบริษัทดีกว่านะ    สีหน้าเรียบเฉยพร้อมถอนหายใจ ดูเบื่อหน่าย 

    คงเจอเหตุการณ์อย่างนี้บ่อย 

    เอ่อผม   

    โทษที    แต่ตอนนี้ผมกำลังยุ่ง    อย่างที่บอกถ้ามีอะไรติดต่อผ่านบริษัทจะดีกว่า   พูดพร้อมดันประตูปิดโดยไม่สนใจอะไรอีก    

     

    ผมรู้ว่าเรื่องมันต้องไม่ง่ายแน่      และถ้าไม่ได้พูดคราวนี้คงไม่มีโอกาสอีก   

    ไอ้เรื่องที่ผมอยากขอร้องเค้าถ้าเอาไปขอผ่านบริษัทคงได้โดนเตะออกมาแทบไม่ทัน      

    ในเมื่ออุตส่าห์ขวนขวายหาที่อยู่จนได้และวันนี้ก็มายืนอยู่ต่อหน้าคนๆนี้แล้วเรื่องจะให้หันหลังกลับโดยที่ยังไม่ได้เริ่มนั้นไม่มีทาง!!     ถึงตอนนี้หูจะลู่หางจะตกแต่ก็ต้องลองซักตั้ง    

    ผมยกมือขึ้นกดออดสองตื๊ด      คราวนี้ประตูไม่ได้เปิดออกทันทีแต่กลายเป็นเสียงถามผ่านอินเตอร์คอมออกมาแทน

    ใครครับ    เสียงเฉยไร้อารมณ์ แต่ยังสุภาพอยู่     เป็นคนดีจัง

    “…ผมเองครับ    ตอบไปแล้วก็รอฟังด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ

    ผมไหน?”     ถามเสียงเรียบเหมือนเดิม

    คนที่คุยกับคุณเมื่อกี้น่ะครับ  

    “…………”              

    เอ่อ…”    ผมส่งเสียงอีกครั้งหลังจากไม่ได้รับสัญญาณตอบรับจากคนข้างใน

    ผมบอกแล้วไงว่ามีอะไรก็ไปที่บริษัท     ขอโทษด้วยที่ทำอย่างนี้ แต่ผมลำบากใจนะถ้าพวกคุณมาถึงที่นี่    ขอร้องล่ะกลับไปเถอะ     เสียงเหนื่อยหน่ายอย่างไม่ปิดบัง

    แต่ว่า    เอ่อ...เรื่องที่ผมอยากขอร้องมันฝากบอกผ่านคนอื่นไม่ได้จริงๆครับ   

    ไม่ต้องห่วง     คำขอแปลกๆที่บริษัทเจอมาเยอะแล้ว   คุณบอกเค้าไปเหอะเดี๋ย…”   

       ชะ   ช่วย  ช่วยมีเซ็กส์กับผมได้ไหมครับ!”    ผมโพล่งออกไปแบบไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ

     

    “…………”   

    เอ่อ    ผมรู้ว่ามันแปลก   แต่แต่มันจำเป็นสำหรับผม     ผมต้องการจริงๆอย่างที่ไม่เคยต้องการอะไรมากขนาดนี้มาก่อน    ถ้าไม่ได้ผมคงทำอะไรต่อไปไม่ได้แน่ๆ   ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรและทำไมแต่ได้โปรดเถอะครับ    เอ่อ    ผมรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นเกย์   ไม่ต้องห่วงผมก็ไม่ได้เป็น สาบานได้   เพราะงั้นเรื่องโรคไม่มีแน่นอน     เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกกับผู้ชาย    เอ่อ  จะว่าไปกับผู้หญิงก็ไม่บ่อยนัก    ผมมีใบรับรองแพทย์มาด้วยนะ  ตรวจเลือดตรวจร่างกายพร้อม   แล้ว แล้ว   เอ่อ   ผมอาจไม่ได้เรื่องแต่ผมจะพยายาม  ให้ทำแบบไหนก็ได้  ทำทุกอย่างทุกท่าที่คุณต้องการ    ผมจะพยา…”    ผมเริ่มสติแตกเพราะกลัวคนในห้องไม่ยอมเล่นด้วย   เลยพ่นไปเรื่อยทั้งเรื่องที่ควรและไม่ควร   หนักไปทางหลังซะมากอีกต่างหาก     และเค้าคงทนฟังผมเลอะเทอะต่อไปไม่ไหว      เลยเปิดประตูผลัวะอย่างไม่ให้ตั้งตัวเล่นเอาผมเซหลุนๆเพราะยืนเกาะมันอยู่      

     

    บ้าไปแล้วรึไง!  ล้อเล่นอย่างนี้ไม่ตลกเลยนะ    หน้าที่โผล่ออกมาดูถมึงทึงอย่างที่ไม่เคยมีแฟนเพลงคนไหนเคยเห็นแน่ๆ     ถือเป็นโชคดีของผมไหมเนี่ย

    ไม่ได้ล้อเล่น    ผมพูดจริงๆ     ได้โปรดเถอะ   นะครับ    ผมตอบพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนเหมือนหมาน้อยขอเพร็ดดรีกรี    เป็นกริยากระแดะอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน     

     

    พูดกันอย่างเป็นกลาง  ไม่ได้เอียงซ้ายหรือขวาเข้าข้างตัวเอง    แต่หน้าตาท่าทางอย่างผมเนี่ย

    ก็เป็นที่ต้องตาสาวน้อยสาวใหญ่รวมไปถึงผู้ชายบางคนเหมือนกัน     ปกติจะมีคนเอาทั้งเพชรดีกรีทั้งบิสกัสมาล่อให้กินอยู่บ่อยๆโดยที่ไม่ต้องไปทำท่าเป็นหมาหิวอย่างนี้  แต่ผมไม่เคยเล่นด้วย   

    ก็นั่นแหละมันไม่เหมือนกัน     ไม่ซักนิด

    กับคนๆนี้ผมรู้สึกต้องการจนควบคุมตัวเองไม่ได้     ควบคุมไม่ได้ขนาดที่ว่ายอมหน้าด้านเอาตัวมายืนเสนอถึงหน้าประตูอย่างนี้  

    การที่ผมขอมีเซ็กส์กับคนตรงหน้านี้มันไม่ใช่เซ็กส์ที่หมายถึงความใคร่อย่างเดียว     สิ่งที่ผมต้องการจริงๆคือการสัมผัสและถูกสัมผัสจากผู้ชายคนนี้      อยากรู้อุณหภูมิยามแนบชิด    อยากเห็นหน้าตาที่บ่งบอกความต้องการ    อยากเห็นทุกอย่างของเค้า

    อยากได้ทุกอย่าง   

    ผมไม่รู้จริงๆว่าเพราะอะไร     แต่แน่ใจว่าไม่ใช่แค่ความใคร่ในรูปร่างหน้าตาแน่ (ถึงมันจะน่าใคร่ขนาดนี้ก็เหอะ)    มันเป็นอะไรที่เกี่ยวกับจิตใจ     การได้รับรู้อุณหภูมิหรือการแลกเปลี่ยนสัมผัสกับผู้ชายคนนี้เหมือนเป็นสิ่งค้ำจุนจิตใจผม    เพราะอะไรก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน

     

    ฉันไม่ใช่เกย์แล้วก็ไม่คิดจะเป็นด้วย    จะออกไปเองหรือจะให้เรียกยาม    เค้าถามเสียงเข้ม    

    สีหน้าเรียบเฉย

    “…………”    

     

    ผมหันหลังกลับ   หูลู่  หางตก   ในใจมันหวิวๆโหวงๆ  เหมือนจะเป็นลม

    มันยิ่งกว่าที่คิดไว้   คำปฏิเสธที่ได้รับมีผลต่อผมมากกว่าจะบอกเป็นคำพูด

    เดินมาได้สองก้าวจากที่ก้มหน้าอยู่ก็ต้องรีบยกหัวเชิดขึ้นอย่างเร็วเพราะน้ำตาลูกผู้ชายมันกำลังจะหยดแหมะ      โอ้ย!   เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย    ทำไมเสียใจขนาดนี้วะ

     

    ผมหยุดอยู่กับที่     ขามันก้าวไม่ออก     อย่างน้อย อย่างน้อยขอมองหน้าอีกซักทีเหอะ

    ผมหันหลังกลับ     เค้ายังยืนอยู่ที่เดิม   หน้าตาเย็นชาเหมือนเดิม   แต่แค่นิดเดียว

    แววกังวลที่ส่งออกมาแค่กระพี้เดียวนั่นทำให้ผมขาดสติกระทำการอุกอาจ(อีกแล้ว)

    โดยไม่มีใครคาดคิด   ไม่ว่าจะเป็นเค้าหรือผม     ขาผมมันก็วิ่งตรงไปหาคนที่ยืนอยู่ก่อนจะยันพื้นส่งตัวพุ่งเป้าไปที่คนตัวโต   สองมือกางออก   เมื่อถึงเป้าหมายก็เกาะหมับเหมือนลูกครึ่งลิงตุ๊กแก...

     

    ยอมรับว่ามารู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปก็ตอนที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนตัวแบรดซะแล้ว

    อย่างนี้ละมั้งที่เค้าว่าหมาจนตรอก      อาจจะผิดความหมายไปหน่อยแต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ

    -------------------------------------------------------


    ติดล็อค (ตัวเอง)

     

    สามสิบเจ็ดวันกับอีกแปดชั่วโมง      กำลังจะเข้าสู่ชั่วโมงที่เก้า

    โอ้ย!    กรูจะบ้า      ขออภัยที่ไม่สุภาพแต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ

    ใครก็ได้ช่วยด้วย!      ช่วยเอาแบรดออกไปจากหัวผมซักนาทีเหอะ    ให้ผมได้คิดอย่างอื่นบ้าง

    ไม่ใช่เอาแต่นั่งนับวันนับชั่วโมงว่าไม่ได้เห็นหน้าโคตรหล่อกับหุ่นโคตรเซ็กซ์นั่นมานานเท่าไหร่

    จนไม่เป็นอันทำอะไรอย่างนี้      จริงอยู่ว่าผมทำตัวเอง  ทั้งการเสนอหน้าไปรู้จักเค้าถึงคอนโดแล้วยังเอาหน้าหายมาโดยไม่บอกลาซักคำ     แต่จะทำยังไงได้เล่า มันยังมีทางเลือกอื่นอีกรึไง!    ก็ในเมื่อแบรดพูดออกมาชัดเจนแล้วว่าเค้าไม่รังเกียจที่จะคุยกับผมตราบเท่าที่ผมไม่ผ่าไปขอให้เค้ามีอะไรด้วยอีก      สรุปก็คือเป็นเพื่อนกันได้แต่ถ้ายังโลภอยากได้มากกว่านั้นก็ไปข้างหน้าเหอะ

    แล้วผมที่หลงเค้าหัวปลักหัวปำถึงขนาดเอาตัวไปเสนอถึงที่ทั้งที่ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอ    พอได้มาคุยได้มารู้ว่าไอ้นิสัยที่ไม่เคยรู้น่ะมันดี๊ดี   ถูกฉโลก ซะจนยิ่งทำให้หัวทิ่มหัวตำไปกันใหญ่

    แล้วทีนี้ถ้าได้ไปมาหาสู่นานกว่านั้น     ผมต้องฝ่าฝืนกฎเหล็ก  สละแล้วซึ่งความอายและศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย (เหมือนที่เคยทำมาแล้ว) คลืบคลานเข้าไปขออิงแอบแนบชิดกับเค้าอีกแน่ๆ

    แล้วความเป็นเพื่อนที่แบรดอุตส่าห์เจียดให้มาก็จะอันตรทานหายไปในพริบตาอย่างไม่ต้องสงสัย   

    ผมเลยเลือกวิธีที่คิดว่าดีที่สุด   อย่างน้อยแบรดก็คงไม่เห็นผมเลวร้ายไปกว่านี้

     

    คุณคงสงสัยว่าหลังจากผมทุ่มสุดตัวสุดใจ    กระโดดล็อคคอแบรดในวันแรกที่เจอกันแล้ว     จากนั้นผมได้ในสิ่งที่ต้องการหรือไม่      

    คำตอบคือไม่

     

    ถึงจะโดนขู่ให้มีเซ็กส์ด้วยๆการล็อคคอแล้วก็ตาม   แต่คำตอบอันหนักแน่นมั่นคงดังหินผาที่ได้รับก็คือไม่  และไม่     เท่านั้น      

    แม้ว่าผมจะถึงขนาดร้องไห้    เอาน้ำตาลูกผู้ชายเข้าช่วยแต่แบรดก็ยังคงไม่ใจอ่อน

    อาจมีสมเพชแต่คำตอบก็คือไม่(โว้ย)    เหมือนเดิม    

     

    ย้อนกลับไปเมื่อสามเดือนกับอีกสิบวันก่อนโดยประมาณ    

    วันที่ผมบุกไปถึงคอนโดแบรนดอน  แม็คแกรน     แล้วกระโดดถวายตัวเข้าหา

    หลังจากตั้งสติได้ (ทั้งผมและเขา)      เลยยืนกันแบบทำอะไรไม่ถูกไปครู่ใหญ่ๆ

    แบรดคงไม่เคยเจอผู้ชายเข้าหาแบบถึงเนื้อถึงตัวอย่างนี้เลยตกใจยืนนิ่งเป็นหุ่นทหารแถวอนุสาวรีย์

    ส่วนผมก็ตกใจเหมือนกันเพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ถึงลูกถึงคนกับผู้ชายด้วยกันขนาดนี้

    สรุปเลยยืนกอดกันเฉยซะอย่างนั้น     เป็นกำไรชีวิตของผมไป

     

    แต่หลังจากตั้งตัวได้คนที่ยืนเฉยให้ลวนลามอยู่เป็นนานก็ดันผมออกอย่างแรง    เรียกว่าผลักจะถูกกว่าเพราะไอ้มือผมมันเหนียวเป็นตุ๊กแกขนาดนั้น      เค้าไม่ยันให้ก็บุญแล้ว    

    พอหลุดจากกันได้     ต่างฝ่ายต่างก็ยืนนิ่ง

    แบรดถอยไปจนติดตู้วางรองเท้าข้างประตู     ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพร้อมสายตาระแวดระวัง

    ส่วนผมยืนเซ่อ     ไม่รู้จะทำยังไงต่อ     ไอ้ลูกบ้าเมื่อกี้มันหายไปพร้อมกับสติที่กลับมาอีกครั้ง

    พอสบกับตาสีเงินที่มีแววระแวงและไม่ชอบใจอย่างไม่ปิดบังที่ส่งมา    ต่อมน้ำตาลูกผู้ชายมัน

    ก็พาลจะแตกขึ้นมาดื้อๆ

     

    ครั้งสุดท้ายที่ผมร้องไห้คือตอนย่าเสียซึ่งก็เกือบหกปีมาแล้ว     หลังจากนั้นไม่มีอะไรมาทำให้ผมหลุดน้ำตาลูกผู้ชายได้อีก    แต่คราวนี้ แค่เห็นสายตาไม่ชอบใจ  ไม่ยอมรับจากคนๆนี้กลับทำให้ขอบตามันร้อนได้ง่ายๆ   แล้วผมก็ร้องไห้ออกมาจริงๆ     ไม่ได้ฟูมฟายเหมือนจะขาดใจแต่เป็นการร้องไห้ที่เหมือนนางเอกละครตอนสองทุ่มครึ่ง   ฉากที่โดนตัวร้ายกลั่นแกล้ง    

    น้ำตาผมเริ่มมารวมตัวกันปริ่มๆ   ไม่นานเกินรอก็หยดแหมะๆ    แหมะแล้วแหมะเล่า

    สาบานได้ว่าไม่ได้เสแสร้งแกล้งบีบน้ำตาหรือแอบหันหลังบีบยาหยอดตาแต่อย่างใด      มันเกิดจากพลังขับภายในล้วนๆ   บวกกับพลังขับจากภายนอกคือสายตาคมๆที่มองมาอย่างระแวงนั่นแหละ

    แต่แล้วหลังจากพระเอกของผมเห็นน้ำตา  แทนที่จะเข้ามาดูอาการนางเอก     ไม่เลย

    พี่แกเล่นถอยหลังไปอีกหลายก้าวอย่างตกใจ      เล่นเอาผมหลุดฟอร์มพจมานเปลี่ยนบทกลางอากาศเป็นหญิงเล็ก     ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายผีบ้านผีคอนโด

    เรียกว่าร้องแบบไม่มีเทคนิค เสียงมีเท่าไหร่ก็โฮมันเข้าไป  ลมในปอดถูกขับมาใช้อย่างไม่กลัวหมด    แล้วยังอาการสะอื้นฮักๆอย่างกับจะขาดใจและก็ต้องรีบสูดหายใจฟืดฟาดก่อนที่จะขาดอากาศตายไปจริงๆ    เป็นเรื่องน่าอายในรอบหลายปี     แต่ต้องสารภาพว่านาทีที่ได้ปล่อยโฮแรกออกไปมันเหมือนได้ปลดปล่อยทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ข้างใน    รวมทั้งยางอายก็หลุดออกไปกับโฮแรกนี่แหละ    

     

    ผมยืนแหกปากน้ำหูน้ำตาไหลอยู่สิบชั่วโมง  และมีแนวโน้มว่าเสียงจะดังขึ้นเรื่อยๆจนเรียกให้ชาวบ้านข้างห้องแห่กันมาดูได้      แบรดก็คงเห็นท่าอย่างนั้นเหมือนกัน...

     

    น่าเห็นใจแบรดไม่ใช่น้อย    เค้าคงไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์นี้   ถ้ากลับกัน เป็นให้ผมมาเห็น

    ผู้ชายที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว  ยืนแหกปากร้องไห้ดัมพ์อายุอยู่ตรงหน้า    ผมก็คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน     แต่ตอนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแบรดคิดว่าควรทำอย่างไร    ส่วนผมมีหน้าที่เอาหน้ามาขาย   ยืนร้องไห้ ไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น

     

    ผมรู้ว่าเจ้าของห้องเค้าไม่ค่อยเต็มใจ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว การยอมให้ไอ้บ้านี่เข้าไปยืนเป่าปี่ในห้องมันต้องดีกว่าให้เดี่ยวไมโครโฟนอยู่ตรงนี้จนชาวบ้านชาวช่องโผล่หัวออกมามุงเป็นแน่   

    คงเพราะเหตุนี้ผมเลยถูกดึงเข้าไปในห้องโดยมีเสียงสบถอย่างหัวเสียเป็นคำเชิญ

     

    ผมได้เปลี่ยนที่จากนอกห้องมายืนน้ำตาไหลพรากเหมือนญาติเสียอยู่ในห้องก็จริง      แต่ก็อยู่แค่หน้าประตูเท่านั้น   ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปนั่งสะอื้นในห้องนั่งเล่นแต่อย่างใด    ก็แน่ล่ะแค่เค้าให้เข้าห้องก็แทบไม่น่าเชื่อแล้ว     คิดดูถ้ามีผู้ชายมาขอมีอะไรด้วย    ซ้ำยังดูท่าว่าจะไม่เต็มบาทขนาดยืนแหกปากร้องไห้แบบไม่อายทั้งคนทั้งผีได้เป็นนานสองนาน    เป็นคุณๆจะกล้าให้มันเข้าห้องรึ?

     

    ผมพยายามหุบปากกลั้นสะอื้น    เหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้าแล้วก็ต้องรีบก้มหน้าลงก่อนที่น้ำตาระลอกสองจะทะลักออกมา     เพราะสายตาที่มองผมอยู่ยังเหมือนเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน

    ความระแวง  ไม่ชอบใจฉายชัดอยู่เต็มสองตา

     

    ขอ   ขอโทษครับ    ผมไม่ได้...ตั้งใจ    มันผมขอโทษที่...ทำให้คุณลำบาก...ใจ    

    ผมละล่ำละลักติดๆขัดๆบอกเมื่อเห็นแบรดยืนนิ่ง  ไม่พูด  ไม่ขยับไปไหนอยู่เป็นนานตั้งแต่ให้ผมเข้ามาในห้อง

    โอเครึยัง     เค้าถามเสียงเรียบ   เหมือนหยั่งเชิง

    ครับ    เอ่อผม    พูดยังไม่ทันจบเสียงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้น     เป็นผลให้ผมหุบปากลงฉับพลัน      แบรดมองผมอยู่อึดใจก่อนเดินไปรับโทรศัพท์   

    ผมมองตามทุกการกระทำอย่างไม่สามารถถอนสายตาได้     ตั้งแต่เมื่อตาคมๆสีเทามองมาอย่างชั่งใจก่อนหันหลังกลับและเดินเร็วๆไปยังโทรศัพท์บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาตัวใหญ่

    เค้าไม่ได้เดินเข้าไปหยิบถึงที่     แต่ใช้มือเรียวแข็งแรงที่ผมอยากลองเกาะกุมมาสุมอกเอื้อมไปหยิบโดยที่ยังยืนอยู่หลังโซฟาแล้วยืนคุยอยู่อย่างนั้น     

     

    ไม่ว่าจะมองยังไง  มองมุมไหนผู้ชายคนนี้เพอร์เฟ็คไปหมด     ทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกความสามารถ ชื่อเสียงเงินทอง    ไม่มีอะไรที่คนๆนี้ไม่มี...      

    ผู้ชายอย่างแบรดรอน  แม็คแกรน  ไม่ว่าอยากได้ผู้หญิงคนไหนคงไม่ต้องออกปาก แค่ขยิบตาสองทีคงตามกันมาเป็นพรวน      แล้วอย่างผมนี่    รูปร่างธรรมดาหน้าตาสามัญ   ชื่อเสียงเงินทองไม่ต้องพูดถึง    ที่สำคัญเป็นตัวเดียวอันเดียวเหมือนกันแล้วสะเออะมาขอให้เค้ามีอะไรด้วย    

    ความเป็นไปได้คิดเป็นนาโนเปอร์เซ็นต์ยังมากไป

     

    ความจริงที่ผุดขึ้นมาทำให้ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น     ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่    อาจแค่ไม่กี่นาทีหรืออาจเป็นชั่วโมง     สิ่งที่ผมรับรู้อยู่ตอนนี้ไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากภาพของคนที่นั่งหมิ่นๆอยู่บนพนักโซฟา     ตาผมมองเค้าในขณะที่สมองจมอยู่กับความคิดตัวเองซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องคนตรงหน้า 

     

    ผมมองแบรดหรือแบรนดรอน  แม็คแกรน ของคนทั้งประเทศ    ที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องหรูสมตัวแล้วก็ให้รู้สึกปวดหนึบๆที่ใจ...    

    ต้องทำยังไงถึงจะได้มา      จะมีทางไหมที่จะให้เค้ามองผมซักนิด   

    มองด้วยสายตาที่มองเห็น    ไม่ใช่สายตาระแวง  ไม่พอใจ เหมือนเมื่อครู่

    ได้โปรด    มองผมหน่อย      หันมามองผมทีแบรด

    ผมอยู่ตรงนี้    

     

    จะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม    ผมสะดุ้งสุดตัวเพราะอยู่ดีๆคนที่อยู่ในความคิดก็หันขวับมาเหมือน

    ได้ยินสิ่งที่ผมคิด     

    “………”    ผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่เพราะไม่แน่ใจว่าควรตีความประโยคที่ได้ยินไปทางไหน

    เดินดุ่มๆเข้าไปนั่งหรือเชดหัวตัวเองออกนอกห้อง

     

    เชิญ     คำเดียวสั้นๆ ทำให้ผมลอยจากหน้าประตูมานั่งปุ๊กบนโซฟาหนานุ่มทันที   

     

    “…กาแฟหน่อยไหม     เสียงเข้มพูดขึ้นหลังจากความเงียบผ่านไปอึดใจ

    เอ่อ   ไม่ครับ   ขอบคุณ     ผมตอบออกไปเหมือนท่องหนังสือ

    คนถามมองหน้าผมโดยไม่ได้พูดอะไร    แล้วลุกหายไปและกลับมาพร้อมกาแฟสองแก้วในมือ      เค้าวางแก้วในมือซ้ายลงตรงหน้าผม    แล้วยกอีกแก้วขึ้นดื่มด้วยท่าทางที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น    เหมือนเราเป็นเพื่อนมานั่งดื่มกาแฟกันซะอย่างนั้น

     

    ผมงึมงำคำขอบคุณออกไปเบาๆ     ท่าทางที่แสดงออกไปกับความรู้สึกข้างในมันขัดกันร้อยแปดสิบองศา     ผมนั่งเจี๋ยมเจี้ยมหุบขามือวางบนตักก้มหน้าก้มตา    แต่ในใจนี่กำลังกระโดดตีลังกาสามตะหลบ     โอ้ย!  ปลื้มจนอยากจะร้องไห้อีกรอบ  

    แบรนดรอน  แม็คแกรน  ชงกาแฟให้   คิดดูมือผมที่เอื้อมไปหยิบ ต้องเรียกว่าประคองถึงจะถูก     มือผมที่ประคองถ้วยกาแฟมาจรดปากยังสั่นด้วยความปลาบปลื้ม   ไม่คิดว่าจะมีวันนี้จริงๆ!    แต่นั่งใจบานมือสั่นได้ไม่เท่าไหร่     เรียกว่ายังไม่ทันกลืนกาแฟผ่านคอก็เกือบต้องพ่นพรืดออกทางจมูกเพราะประโยคคำถามที่ได้ยิน    ทำอย่างนี้บ่อยรึเปล่า?”    


    -----------------------------------------------------

    ติดล็อค (ตัวเอง)

     

    สามสิบเจ็ดวันกับอีกแปดชั่วโมง      กำลังจะเข้าสู่ชั่วโมงที่เก้า

    โอ้ย!    กรูจะบ้า      ขออภัยที่ไม่สุภาพแต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ

    ใครก็ได้ช่วยด้วย!      ช่วยเอาแบรดออกไปจากหัวผมซักนาทีเหอะ    ให้ผมได้คิดอย่างอื่นบ้าง

    ไม่ใช่เอาแต่นั่งนับวันนับชั่วโมงว่าไม่ได้เห็นหน้าโคตรหล่อกับหุ่นโคตรเซ็กซ์นั่นมานานเท่าไหร่

    จนไม่เป็นอันทำอะไรอย่างนี้      จริงอยู่ว่าผมทำตัวเอง  ทั้งการเสนอหน้าไปรู้จักเค้าถึงคอนโดแล้วยังเอาหน้าหายมาโดยไม่บอกลาซักคำ     แต่จะทำยังไงได้เล่า มันยังมีทางเลือกอื่นอีกรึไง!    ก็ในเมื่อแบรดพูดออกมาชัดเจนแล้วว่าเค้าไม่รังเกียจที่จะคุยกับผมตราบเท่าที่ผมไม่ผ่าไปขอให้เค้ามีอะไรด้วยอีก      สรุปก็คือเป็นเพื่อนกันได้แต่ถ้ายังโลภอยากได้มากกว่านั้นก็ไปข้างหน้าเหอะ

    แล้วผมที่หลงเค้าหัวปลักหัวปำถึงขนาดเอาตัวไปเสนอถึงที่ทั้งที่ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอ    พอได้มาคุยได้มารู้ว่าไอ้นิสัยที่ไม่เคยรู้น่ะมันดี๊ดี   ถูกฉโลก ซะจนยิ่งทำให้หัวทิ่มหัวตำไปกันใหญ่

    แล้วทีนี้ถ้าได้ไปมาหาสู่นานกว่านั้น     ผมต้องฝ่าฝืนกฎเหล็ก  สละแล้วซึ่งความอายและศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย (เหมือนที่เคยทำมาแล้ว) คลืบคลานเข้าไปขออิงแอบแนบชิดกับเค้าอีกแน่ๆ

    แล้วความเป็นเพื่อนที่แบรดอุตส่าห์เจียดให้มาก็จะอันตรทานหายไปในพริบตาอย่างไม่ต้องสงสัย   

    ผมเลยเลือกวิธีที่คิดว่าดีที่สุด   อย่างน้อยแบรดก็คงไม่เห็นผมเลวร้ายไปกว่านี้

     

    คุณคงสงสัยว่าหลังจากผมทุ่มสุดตัวสุดใจ    กระโดดล็อคคอแบรดในวันแรกที่เจอกันแล้ว     จากนั้นผมได้ในสิ่งที่ต้องการหรือไม่      

    คำตอบคือไม่

     

    ถึงจะโดนขู่ให้มีเซ็กส์ด้วยๆการล็อคคอแล้วก็ตาม   แต่คำตอบอันหนักแน่นมั่นคงดังหินผาที่ได้รับก็คือไม่  และไม่     เท่านั้น      

    แม้ว่าผมจะถึงขนาดร้องไห้    เอาน้ำตาลูกผู้ชายเข้าช่วยแต่แบรดก็ยังคงไม่ใจอ่อน

    อาจมีสมเพชแต่คำตอบก็คือไม่(โว้ย)    เหมือนเดิม    

     

    ย้อนกลับไปเมื่อสามเดือนกับอีกสิบวันก่อนโดยประมาณ    

    วันที่ผมบุกไปถึงคอนโดแบรนดอน  แม็คแกรน     แล้วกระโดดถวายตัวเข้าหา

    หลังจากตั้งสติได้ (ทั้งผมและเขา)      เลยยืนกันแบบทำอะไรไม่ถูกไปครู่ใหญ่ๆ

    แบรดคงไม่เคยเจอผู้ชายเข้าหาแบบถึงเนื้อถึงตัวอย่างนี้เลยตกใจยืนนิ่งเป็นหุ่นทหารแถวอนุสาวรีย์

    ส่วนผมก็ตกใจเหมือนกันเพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ถึงลูกถึงคนกับผู้ชายด้วยกันขนาดนี้

    สรุปเลยยืนกอดกันเฉยซะอย่างนั้น     เป็นกำไรชีวิตของผมไป

     

    แต่หลังจากตั้งตัวได้คนที่ยืนเฉยให้ลวนลามอยู่เป็นนานก็ดันผมออกอย่างแรง    เรียกว่าผลักจะถูกกว่าเพราะไอ้มือผมมันเหนียวเป็นตุ๊กแกขนาดนั้น      เค้าไม่ยันให้ก็บุญแล้ว    

    พอหลุดจากกันได้     ต่างฝ่ายต่างก็ยืนนิ่ง

    แบรดถอยไปจนติดตู้วางรองเท้าข้างประตู     ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพร้อมสายตาระแวดระวัง

    ส่วนผมยืนเซ่อ     ไม่รู้จะทำยังไงต่อ     ไอ้ลูกบ้าเมื่อกี้มันหายไปพร้อมกับสติที่กลับมาอีกครั้ง

    พอสบกับตาสีเงินที่มีแววระแวงและไม่ชอบใจอย่างไม่ปิดบังที่ส่งมา    ต่อมน้ำตาลูกผู้ชายมัน

    ก็พาลจะแตกขึ้นมาดื้อๆ

     

    ครั้งสุดท้ายที่ผมร้องไห้คือตอนย่าเสียซึ่งก็เกือบหกปีมาแล้ว     หลังจากนั้นไม่มีอะไรมาทำให้ผมหลุดน้ำตาลูกผู้ชายได้อีก    แต่คราวนี้ แค่เห็นสายตาไม่ชอบใจ  ไม่ยอมรับจากคนๆนี้กลับทำให้ขอบตามันร้อนได้ง่ายๆ   แล้วผมก็ร้องไห้ออกมาจริงๆ     ไม่ได้ฟูมฟายเหมือนจะขาดใจแต่เป็นการร้องไห้ที่เหมือนนางเอกละครตอนสองทุ่มครึ่ง   ฉากที่โดนตัวร้ายกลั่นแกล้ง    

    น้ำตาผมเริ่มมารวมตัวกันปริ่มๆ   ไม่นานเกินรอก็หยดแหมะๆ    แหมะแล้วแหมะเล่า

    สาบานได้ว่าไม่ได้เสแสร้งแกล้งบีบน้ำตาหรือแอบหันหลังบีบยาหยอดตาแต่อย่างใด      มันเกิดจากพลังขับภายในล้วนๆ   บวกกับพลังขับจากภายนอกคือสายตาคมๆที่มองมาอย่างระแวงนั่นแหละ

    แต่แล้วหลังจากพระเอกของผมเห็นน้ำตา  แทนที่จะเข้ามาดูอาการนางเอก     ไม่เลย

    พี่แกเล่นถอยหลังไปอีกหลายก้าวอย่างตกใจ      เล่นเอาผมหลุดฟอร์มพจมานเปลี่ยนบทกลางอากาศเป็นหญิงเล็ก     ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายผีบ้านผีคอนโด

    เรียกว่าร้องแบบไม่มีเทคนิค เสียงมีเท่าไหร่ก็โฮมันเข้าไป  ลมในปอดถูกขับมาใช้อย่างไม่กลัวหมด    แล้วยังอาการสะอื้นฮักๆอย่างกับจะขาดใจและก็ต้องรีบสูดหายใจฟืดฟาดก่อนที่จะขาดอากาศตายไปจริงๆ    เป็นเรื่องน่าอายในรอบหลายปี     แต่ต้องสารภาพว่านาทีที่ได้ปล่อยโฮแรกออกไปมันเหมือนได้ปลดปล่อยทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ข้างใน    รวมทั้งยางอายก็หลุดออกไปกับโฮแรกนี่แหละ    

     

    ผมยืนแหกปากน้ำหูน้ำตาไหลอยู่สิบชั่วโมง  และมีแนวโน้มว่าเสียงจะดังขึ้นเรื่อยๆจนเรียกให้ชาวบ้านข้างห้องแห่กันมาดูได้      แบรดก็คงเห็นท่าอย่างนั้นเหมือนกัน...

     

    น่าเห็นใจแบรดไม่ใช่น้อย    เค้าคงไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์นี้   ถ้ากลับกัน เป็นให้ผมมาเห็น

    ผู้ชายที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว  ยืนแหกปากร้องไห้ดัมพ์อายุอยู่ตรงหน้า    ผมก็คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน     แต่ตอนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแบรดคิดว่าควรทำอย่างไร    ส่วนผมมีหน้าที่เอาหน้ามาขาย   ยืนร้องไห้ ไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น

     

    ผมรู้ว่าเจ้าของห้องเค้าไม่ค่อยเต็มใจ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว การยอมให้ไอ้บ้านี่เข้าไปยืนเป่าปี่ในห้องมันต้องดีกว่าให้เดี่ยวไมโครโฟนอยู่ตรงนี้จนชาวบ้านชาวช่องโผล่หัวออกมามุงเป็นแน่   

    คงเพราะเหตุนี้ผมเลยถูกดึงเข้าไปในห้องโดยมีเสียงสบถอย่างหัวเสียเป็นคำเชิญ

     

    ผมได้เปลี่ยนที่จากนอกห้องมายืนน้ำตาไหลพรากเหมือนญาติเสียอยู่ในห้องก็จริง      แต่ก็อยู่แค่หน้าประตูเท่านั้น   ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปนั่งสะอื้นในห้องนั่งเล่นแต่อย่างใด    ก็แน่ล่ะแค่เค้าให้เข้าห้องก็แทบไม่น่าเชื่อแล้ว     คิดดูถ้ามีผู้ชายมาขอมีอะไรด้วย    ซ้ำยังดูท่าว่าจะไม่เต็มบาทขนาดยืนแหกปากร้องไห้แบบไม่อายทั้งคนทั้งผีได้เป็นนานสองนาน    เป็นคุณๆจะกล้าให้มันเข้าห้องรึ?

     

    ผมพยายามหุบปากกลั้นสะอื้น    เหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้าแล้วก็ต้องรีบก้มหน้าลงก่อนที่น้ำตาระลอกสองจะทะลักออกมา     เพราะสายตาที่มองผมอยู่ยังเหมือนเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน

    ความระแวง  ไม่ชอบใจฉายชัดอยู่เต็มสองตา

     

    ขอ   ขอโทษครับ    ผมไม่ได้...ตั้งใจ    มันผมขอโทษที่...ทำให้คุณลำบาก...ใจ    

    ผมละล่ำละลักติดๆขัดๆบอกเมื่อเห็นแบรดยืนนิ่ง  ไม่พูด  ไม่ขยับไปไหนอยู่เป็นนานตั้งแต่ให้ผมเข้ามาในห้อง

    โอเครึยัง     เค้าถามเสียงเรียบ   เหมือนหยั่งเชิง

    ครับ    เอ่อผม    พูดยังไม่ทันจบเสียงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้น     เป็นผลให้ผมหุบปากลงฉับพลัน      แบรดมองผมอยู่อึดใจก่อนเดินไปรับโทรศัพท์   

    ผมมองตามทุกการกระทำอย่างไม่สามารถถอนสายตาได้     ตั้งแต่เมื่อตาคมๆสีเทามองมาอย่างชั่งใจก่อนหันหลังกลับและเดินเร็วๆไปยังโทรศัพท์บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาตัวใหญ่

    เค้าไม่ได้เดินเข้าไปหยิบถึงที่     แต่ใช้มือเรียวแข็งแรงที่ผมอยากลองเกาะกุมมาสุมอกเอื้อมไปหยิบโดยที่ยังยืนอยู่หลังโซฟาแล้วยืนคุยอยู่อย่างนั้น     

     

    ไม่ว่าจะมองยังไง  มองมุมไหนผู้ชายคนนี้เพอร์เฟ็คไปหมด     ทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกความสามารถ ชื่อเสียงเงินทอง    ไม่มีอะไรที่คนๆนี้ไม่มี...      

    ผู้ชายอย่างแบรดรอน  แม็คแกรน  ไม่ว่าอยากได้ผู้หญิงคนไหนคงไม่ต้องออกปาก แค่ขยิบตาสองทีคงตามกันมาเป็นพรวน      แล้วอย่างผมนี่    รูปร่างธรรมดาหน้าตาสามัญ   ชื่อเสียงเงินทองไม่ต้องพูดถึง    ที่สำคัญเป็นตัวเดียวอันเดียวเหมือนกันแล้วสะเออะมาขอให้เค้ามีอะไรด้วย    

    ความเป็นไปได้คิดเป็นนาโนเปอร์เซ็นต์ยังมากไป

     

    ความจริงที่ผุดขึ้นมาทำให้ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น     ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่    อาจแค่ไม่กี่นาทีหรืออาจเป็นชั่วโมง     สิ่งที่ผมรับรู้อยู่ตอนนี้ไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากภาพของคนที่นั่งหมิ่นๆอยู่บนพนักโซฟา     ตาผมมองเค้าในขณะที่สมองจมอยู่กับความคิดตัวเองซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องคนตรงหน้า 

     

    ผมมองแบรดหรือแบรนดรอน  แม็คแกรน ของคนทั้งประเทศ    ที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องหรูสมตัวแล้วก็ให้รู้สึกปวดหนึบๆที่ใจ...    

    ต้องทำยังไงถึงจะได้มา      จะมีทางไหมที่จะให้เค้ามองผมซักนิด   

    มองด้วยสายตาที่มองเห็น    ไม่ใช่สายตาระแวง  ไม่พอใจ เหมือนเมื่อครู่

    ได้โปรด    มองผมหน่อย      หันมามองผมทีแบรด

    ผมอยู่ตรงนี้    

     

    จะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม    ผมสะดุ้งสุดตัวเพราะอยู่ดีๆคนที่อยู่ในความคิดก็หันขวับมาเหมือน

    ได้ยินสิ่งที่ผมคิด     

    “………”    ผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่เพราะไม่แน่ใจว่าควรตีความประโยคที่ได้ยินไปทางไหน

    เดินดุ่มๆเข้าไปนั่งหรือเชดหัวตัวเองออกนอกห้อง

     

    เชิญ     คำเดียวสั้นๆ ทำให้ผมลอยจากหน้าประตูมานั่งปุ๊กบนโซฟาหนานุ่มทันที   

     

    “…กาแฟหน่อยไหม     เสียงเข้มพูดขึ้นหลังจากความเงียบผ่านไปอึดใจ

    เอ่อ   ไม่ครับ   ขอบคุณ     ผมตอบออกไปเหมือนท่องหนังสือ

    คนถามมองหน้าผมโดยไม่ได้พูดอะไร    แล้วลุกหายไปและกลับมาพร้อมกาแฟสองแก้วในมือ      เค้าวางแก้วในมือซ้ายลงตรงหน้าผม    แล้วยกอีกแก้วขึ้นดื่มด้วยท่าทางที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น    เหมือนเราเป็นเพื่อนมานั่งดื่มกาแฟกันซะอย่างนั้น

     

    ผมงึมงำคำขอบคุณออกไปเบาๆ     ท่าทางที่แสดงออกไปกับความรู้สึกข้างในมันขัดกันร้อยแปดสิบองศา     ผมนั่งเจี๋ยมเจี้ยมหุบขามือวางบนตักก้มหน้าก้มตา    แต่ในใจนี่กำลังกระโดดตีลังกาสามตะหลบ     โอ้ย!  ปลื้มจนอยากจะร้องไห้อีกรอบ  

    แบรนดรอน  แม็คแกรน  ชงกาแฟให้   คิดดูมือผมที่เอื้อมไปหยิบ ต้องเรียกว่าประคองถึงจะถูก     มือผมที่ประคองถ้วยกาแฟมาจรดปากยังสั่นด้วยความปลาบปลื้ม   ไม่คิดว่าจะมีวันนี้จริงๆ!    แต่นั่งใจบานมือสั่นได้ไม่เท่าไหร่     เรียกว่ายังไม่ทันกลืนกาแฟผ่านคอก็เกือบต้องพ่นพรืดออกทางจมูกเพราะประโยคคำถามที่ได้ยิน    ทำอย่างนี้บ่อยรึเปล่า?”    


    -----------------------------------------------------

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×