คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : รักพลิคล็อค ล็อคคอรัก 1
เตรียมล็อค
อาทิตย์ที่ 31 ตุลาคม สิบเอ็ดนาฬิกาศูนย์ๆนาที
หน้าคอนโดหรู ชื่อฝรั่ง ติดริมแม่น้ำใจกลางเมือง
ผมยืนแหงนคอตั้งบ่า ตาจ้องเป๋งไปที่ชั้นยี่สิบสาม
ถึงจะไม่เห็นอะไรนอกจากแสงอาทิตย์กระแทกลูกตาที่สะท้อนจากกระจกระเบียงแต่ผมก็ยืนอยู่อย่างนี้มายี่สิบนาทีแล้ว
มือผมสั่น หัวใจเต้นเร็วกว่าปกติ แต่สมองกลับสงบด้วยความมุ่งมั่น
สิ่งที่ผมกำลังจะทำถ้าใครรู้เค้าคงหาว่าบ้า ขนาดผมเองยังว่าตัวเองบ้าเลย
แต่ทำไงได้ ภายในมันเรียกร้อง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ต้องทำ
เกิดมายี่สิบห้าปียังไม่เคยรู้สึกมุ่งมั่นเด็ดขาดอย่างนี้มาก่อน ความรู้สึกทั้งสงบทั้งพุ่งพล่านที่อยู่ในหัวบอกให้รู้ว่าผมจะไม่เสียใจภายหลังแน่ นอกเสียจากว่าจะไม่ได้ทำให้มันเกิดขึ้น
เอาล่ะ เวลาของการตัดสินใจจบลงแล้ว จากนี้ไปจะเกิดอะไรขึ้น ช่างมัน
ผมเดินเข้าคอนโดพร้อมชายหญิงคู่หนึ่ง แกล้งทำเป็นโทรศัพท์จะได้ไม่ต้องหันไปสบตาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่นั่งเป็นเจ้าเฝ้าศาลอยู่ตรงทางเข้า หวั่นๆอยู่เหมือนกันว่าจะโดนถามอะไรรึเปล่าเพราะคอนโดระดับนี้มันต้องเข้มงวดเรื่องคนผ่านเข้าออก
ผมเดินตัวตรง โทรศัพท์แนบหู ทำเหมือนคุยธุรกิจร้อยล้านพันล้าน แอบเหลือบรปภก็เห็นมองๆมาเหมือนกันแต่คงเพราะบุคลิกคนรวยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดมันแก้ความข้องใจได้กับทุกคน พี่ยามเลยแค่มองแต่ไม่ได้เดินมาเชิญไปคุยแต่อย่างใด ถือว่าด่านแรกรอด
ผมกดลิฟต์ชั้น 23 อันเป็นจุดหมายปลายทางด้วยนิ้วที่สั่นน้อยๆ ไม่ได้สั่นเพราะหิวข้าวหรือกลัว อาการอย่างนี้ชาวบ้านเรียกสั่นสู้
ลิฟต์ไต่ชั้นขึ้นไปเรื่อยๆ ยิ่งใกล้ชั้นเป้าหมายเท่าไหร่หัวใจผมก็เต้นช้าลงเท่านั้นจนมันเข้าระดับปกติและทันทีที่ลิฟต์เปิดออกสู่ชั้น 23 ผมก็สงบนิ่งเหมือนคนบรรลุโสดาบันติผล
น่าแปลกใจตัวเองจริงๆ
ออกจากลิฟต์มายืนหันซ้ายหันขวา ไม่แน่ใจว่าห้องที่จะไปมันอยู่ด้านไหน
ดีที่ทั้งชั้นมีแค่สองห้อง สมเป็นคอนโดมีตระกูล ห้องหนึ่งกว้างยังกับบ้านทั้งหลัง
ตัวเลขสีเงินเป็นเงาเหมือนโดนขัดทุกวันปรากฏอยู่ตรงหน้า ’231 ’
ผมยกมือขึ้นเคาะเบาๆสามที แล้วถึงเหลือบไปเห็นว่าเค้ามีออดให้กดนี่หว่า
กำลังจะยกมือขึ้นกด ประตูก็เปิดผัวะออกมาซะก่อน
อารมณ์สงบเงียบของผมเริ่มระทึกอีกครั้งเมื่อเห็นหน้าคนเปิด ไอ้ที่ซ้อมพูดมาเป็นสิบครั้งหายวับไปกับตา อย่าว่าแต่ไอ้ที่ซ้อมมาเลยตอนนี้ภาษาคนผมก็พูดไม่เป็นแล้ว
เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมาที่ตื่นเต้นและตื่นตัวมากขนาดนี้ ได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นเหมือนจะทะลุออกมานอกอก ขนาดแค่เห็นหน้าเองนะเนี่ย...
นี่ถ้าฟลุ๊คได้ทำอย่างที่คิดไว้จริงๆผมจะช็อคตายคาเตียงไหมวะ
ผมได้แต่ยืนจ้องผู้ชายตรงหน้าชนิดตาไม่กระพริบ เค้าก็จ้องผมเหมือนกันออกแนวงงๆ
ตาผมเห็นอยู่หรอกว่าเค้ามองเป็นเชิงถามแต่ตอนนี้ขอเวลาสำรวจหน่อยเหอะ ขอมองตัวเป็นๆให้เต็มตาก่อน ตั้งแต่หัว ผม หน้า ไล่มายังหุ่นสูงใหญ่ล่ำสันที่ขนาดอยู่ในเสื้อยืดธรรมดายังดูเท่ห์ซะจนบรรยายไม่ถูก โอย! คนอาไรวะ
พอมองต่ำลงไปเรื่อยๆ (อย่าพึ่งคิดลึก) ก็เห็นว่าที่มือเรียวขาวแต่ดูแข็งแรงนั้นมีแบงก์สีม่วงอยู่
หนึ่งใบ ประกอบกับการเปิดประตูทันทีที่เคาะ เดาได้ว่าเค้าคงกำลังรอใครมาส่งของอยู่เป็นแน่ อาจเป็นคนส่งพิซซ่า
“เอ่อ ” เป็นผมที่หลุดคำออกไปก่อน
“ครับ?” เสียงเข้มถามพร้อมเลิกคิ้ว โอ้ย! เท่ห์อิบอ๋าย
“เอ่อ ” ฮึ้ย! หายใจไม่ทัน
“มาหาใครครับ ผิดห้องรึเปล่า” ถามพร้อมยิ้มน้อยๆ รอยยิ้มเดียวกับที่ทำให้ผมตัดสินใจทำการอุกอาจอย่างนี้
“ไม่ผิดครับ ผมมาหาคุณ”
“แต่ผมไม่รู้จักคุณ” คนตรงหน้าผมพูดพร้อมสีหน้าสงสัย ออกแนวระวังตัวนิดๆ
“ครับ แต่ผมรู้จักคุณ ผมชื่อทะเลครับ คือผมมีเรื่องอยาก ขอร้อง” ถึงท้ายประโยคจะเบาแต่ผมก็ยังจ้องหน้าเค้าตลอดเวลา ไม่ได้เห็นกันง่ายๆต้องจ้องให้คุ้ม
คนตรงหน้าผมก็จ้องตอบกลับมาแบบไม่กระพริบเช่นกัน “ คุณเป็นแฟนผลงานใช่ไหม ถ้ามีอะไรติดต่อผ่านบริษัทดีกว่านะ” สีหน้าเรียบเฉยพร้อมถอนหายใจ ดูเบื่อหน่าย
คงเจอเหตุการณ์อย่างนี้บ่อย
“เอ่อ ผม”
“โทษที แต่ตอนนี้ผมกำลังยุ่ง อย่างที่บอกถ้ามีอะไรติดต่อผ่านบริษัทจะดีกว่า” พูดพร้อมดันประตูปิดโดยไม่สนใจอะไรอีก
ผมรู้ว่าเรื่องมันต้องไม่ง่ายแน่ และถ้าไม่ได้พูดคราวนี้คงไม่มีโอกาสอีก
ไอ้เรื่องที่ผมอยากขอร้องเค้าถ้าเอาไปขอผ่านบริษัทคงได้โดนเตะออกมาแทบไม่ทัน
ในเมื่ออุตส่าห์ขวนขวายหาที่อยู่จนได้และวันนี้ก็มายืนอยู่ต่อหน้าคนๆนี้แล้วเรื่องจะให้หันหลังกลับโดยที่ยังไม่ได้เริ่มนั้นไม่มีทาง!! ถึงตอนนี้หูจะลู่หางจะตกแต่ก็ต้องลองซักตั้ง
ผมยกมือขึ้นกดออดสองตื๊ด คราวนี้ประตูไม่ได้เปิดออกทันทีแต่กลายเป็นเสียงถามผ่านอินเตอร์คอมออกมาแทน
“ใครครับ” เสียงเฉยไร้อารมณ์ แต่ยังสุภาพอยู่ เป็นคนดีจัง
“ ผมเองครับ” ตอบไปแล้วก็รอฟังด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ
“ผมไหน?” ถามเสียงเรียบเหมือนเดิม
“คนที่คุยกับคุณเมื่อกี้น่ะครับ”
“ ”
“เอ่อ ” ผมส่งเสียงอีกครั้งหลังจากไม่ได้รับสัญญาณตอบรับจากคนข้างใน
“ผมบอกแล้วไงว่ามีอะไรก็ไปที่บริษัท ขอโทษด้วยที่ทำอย่างนี้ แต่ผมลำบากใจนะถ้าพวกคุณมาถึงที่นี่ ขอร้องล่ะกลับไปเถอะ” เสียงเหนื่อยหน่ายอย่างไม่ปิดบัง
“แต่ว่า เอ่อ...เรื่องที่ผมอยากขอร้องมันฝากบอกผ่านคนอื่นไม่ได้จริงๆครับ”
“ไม่ต้องห่วง คำขอแปลกๆที่บริษัทเจอมาเยอะแล้ว คุณบอกเค้าไปเหอะเดี๋ย ”
“ช ชะ ช่วย ช่วยมีเซ็กส์กับผมได้ไหมครับ!” ผมโพล่งออกไปแบบไม่รอให้อีกฝ่ายพูดจบ
“ ”
“เอ่อ ผมรู้ว่ามันแปลก แต่ แต่มันจำเป็นสำหรับผม ผมต้องการจริงๆอย่างที่ไม่เคยต้องการอะไรมากขนาดนี้มาก่อน ถ้าไม่ได้ผมคงทำอะไรต่อไปไม่ได้แน่ๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไรและทำไมแต่ได้โปรดเถอะครับ เอ่อ ผมรู้ว่าคุณไม่ได้เป็นเกย์ ไม่ต้องห่วงผมก็ไม่ได้เป็น สาบานได้ เพราะงั้นเรื่องโรคไม่มีแน่นอน เพราะนี่จะเป็นครั้งแรกกับผู้ชาย เอ่อ จะว่าไปกับผู้หญิงก็ไม่บ่อยนัก ผมมีใบรับรองแพทย์มาด้วยนะ ตรวจเลือดตรวจร่างกายพร้อม แล้ว แล้ว เอ่อ ผมอาจไม่ได้เรื่องแต่ผมจะพยายาม ให้ทำแบบไหนก็ได้ ทำทุกอย่างทุกท่าที่คุณต้องการ ผมจะพยา ” ผมเริ่มสติแตกเพราะกลัวคนในห้องไม่ยอมเล่นด้วย เลยพ่นไปเรื่อยทั้งเรื่องที่ควรและไม่ควร หนักไปทางหลังซะมากอีกต่างหาก และเค้าคงทนฟังผมเลอะเทอะต่อไปไม่ไหว เลยเปิดประตูผลัวะอย่างไม่ให้ตั้งตัวเล่นเอาผมเซหลุนๆเพราะยืนเกาะมันอยู่
“บ้าไปแล้วรึไง! ล้อเล่นอย่างนี้ไม่ตลกเลยนะ” หน้าที่โผล่ออกมาดูถมึงทึงอย่างที่ไม่เคยมีแฟนเพลงคนไหนเคยเห็นแน่ๆ ถือเป็นโชคดีของผมไหมเนี่ย
“ไม่ได้ล้อเล่น ผมพูดจริงๆ ได้โปรดเถอะ นะครับ” ผมตอบพร้อมส่งสายตาอ้อนวอนเหมือนหมาน้อยขอเพร็ดดรีกรี เป็นกริยากระแดะอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน
พูดกันอย่างเป็นกลาง ไม่ได้เอียงซ้ายหรือขวาเข้าข้างตัวเอง แต่หน้าตาท่าทางอย่างผมเนี่ย
ก็เป็นที่ต้องตาสาวน้อยสาวใหญ่รวมไปถึงผู้ชายบางคนเหมือนกัน ปกติจะมีคนเอาทั้งเพชรดีกรีทั้งบิสกัสมาล่อให้กินอยู่บ่อยๆโดยที่ไม่ต้องไปทำท่าเป็นหมาหิวอย่างนี้ แต่ผมไม่เคยเล่นด้วย
ก็นั่นแหละมันไม่เหมือนกัน ไม่ซักนิด
กับคนๆนี้ผมรู้สึกต้องการจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ควบคุมไม่ได้ขนาดที่ว่ายอมหน้าด้านเอาตัวมายืนเสนอถึงหน้าประตูอย่างนี้
การที่ผมขอมีเซ็กส์กับคนตรงหน้านี้มันไม่ใช่เซ็กส์ที่หมายถึงความใคร่อย่างเดียว สิ่งที่ผมต้องการจริงๆคือการสัมผัสและถูกสัมผัสจากผู้ชายคนนี้ อยากรู้อุณหภูมิยามแนบชิด อยากเห็นหน้าตาที่บ่งบอกความต้องการ อยากเห็นทุกอย่างของเค้า
อยากได้ทุกอย่าง
ผมไม่รู้จริงๆว่าเพราะอะไร แต่แน่ใจว่าไม่ใช่แค่ความใคร่ในรูปร่างหน้าตาแน่ (ถึงมันจะน่าใคร่ขนาดนี้ก็เหอะ) มันเป็นอะไรที่เกี่ยวกับจิตใจ การได้รับรู้อุณหภูมิหรือการแลกเปลี่ยนสัมผัสกับผู้ชายคนนี้เหมือนเป็นสิ่งค้ำจุนจิตใจผม เพราะอะไรก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
“ฉันไม่ใช่เกย์แล้วก็ไม่คิดจะเป็นด้วย จะออกไปเองหรือจะให้เรียกยาม” เค้าถามเสียงเข้ม
สีหน้าเรียบเฉย
“ ”
ผมหันหลังกลับ หูลู่ หางตก ในใจมันหวิวๆโหวงๆ เหมือนจะเป็นลม
มันยิ่งกว่าที่คิดไว้ คำปฏิเสธที่ได้รับมีผลต่อผมมากกว่าจะบอกเป็นคำพูด
เดินมาได้สองก้าวจากที่ก้มหน้าอยู่ก็ต้องรีบยกหัวเชิดขึ้นอย่างเร็วเพราะน้ำตาลูกผู้ชายมันกำลังจะหยดแหมะ โอ้ย! เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย ทำไมเสียใจขนาดนี้วะ
ผมหยุดอยู่กับที่ ขามันก้าวไม่ออก อย่างน้อย อย่างน้อยขอมองหน้าอีกซักทีเหอะ
ผมหันหลังกลับ เค้ายังยืนอยู่ที่เดิม หน้าตาเย็นชาเหมือนเดิม แต่แค่นิดเดียว
แววกังวลที่ส่งออกมาแค่กระพี้เดียวนั่นทำให้ผมขาดสติกระทำการอุกอาจ(อีกแล้ว)
โดยไม่มีใครคาดคิด ไม่ว่าจะเป็นเค้าหรือผม ขาผมมันก็วิ่งตรงไปหาคนที่ยืนอยู่ก่อนจะยันพื้นส่งตัวพุ่งเป้าไปที่คนตัวโต สองมือกางออก เมื่อถึงเป้าหมายก็เกาะหมับเหมือนลูกครึ่งลิงตุ๊กแก...
ยอมรับว่ามารู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปก็ตอนที่ห้อยต่องแต่งอยู่บนตัวแบรดซะแล้ว
อย่างนี้ละมั้งที่เค้าว่าหมาจนตรอก อาจจะผิดความหมายไปหน่อยแต่ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ ติดล็อค (ตัวเอง)
สามสิบเจ็ดวันกับอีกแปดชั่วโมง กำลังจะเข้าสู่ชั่วโมงที่เก้า
โอ้ย! กรูจะบ้า ขออภัยที่ไม่สุภาพแต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ
ใครก็ได้ช่วยด้วย! ช่วยเอาแบรดออกไปจากหัวผมซักนาทีเหอะ ให้ผมได้คิดอย่างอื่นบ้าง
ไม่ใช่เอาแต่นั่งนับวันนับชั่วโมงว่าไม่ได้เห็นหน้าโคตรหล่อกับหุ่นโคตรเซ็กซ์นั่นมานานเท่าไหร่
จนไม่เป็นอันทำอะไรอย่างนี้ จริงอยู่ว่าผมทำตัวเอง ทั้งการเสนอหน้าไปรู้จักเค้าถึงคอนโดแล้วยังเอาหน้าหายมาโดยไม่บอกลาซักคำ แต่จะทำยังไงได้เล่า มันยังมีทางเลือกอื่นอีกรึไง! ก็ในเมื่อแบรดพูดออกมาชัดเจนแล้วว่าเค้าไม่รังเกียจที่จะคุยกับผมตราบเท่าที่ผมไม่ผ่าไปขอให้เค้ามีอะไรด้วยอีก สรุปก็คือเป็นเพื่อนกันได้แต่ถ้ายังโลภอยากได้มากกว่านั้นก็ไปข้างหน้าเหอะ
แล้วผมที่หลงเค้าหัวปลักหัวปำถึงขนาดเอาตัวไปเสนอถึงที่ทั้งที่ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอ พอได้มาคุยได้มารู้ว่าไอ้นิสัยที่ไม่เคยรู้น่ะมันดี๊ดี ถูกฉโลก ซะจนยิ่งทำให้หัวทิ่มหัวตำไปกันใหญ่
แล้วทีนี้ถ้าได้ไปมาหาสู่นานกว่านั้น ผมต้องฝ่าฝืนกฎเหล็ก สละแล้วซึ่งความอายและศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย (เหมือนที่เคยทำมาแล้ว) คลืบคลานเข้าไปขออิงแอบแนบชิดกับเค้าอีกแน่ๆ
แล้วความเป็นเพื่อนที่แบรดอุตส่าห์เจียดให้มาก็จะอันตรทานหายไปในพริบตาอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมเลยเลือกวิธีที่คิดว่าดีที่สุด
อย่างน้อยแบรดก็คงไม่เห็นผมเลวร้ายไปกว่านี้
คุณคงสงสัยว่าหลังจากผมทุ่มสุดตัวสุดใจ กระโดดล็อคคอแบรดในวันแรกที่เจอกันแล้ว จากนั้นผมได้ในสิ่งที่ต้องการหรือไม่
คำตอบคือไม่
ถึงจะโดนขู่ให้มีเซ็กส์ด้วยๆการล็อคคอแล้วก็ตาม แต่คำตอบอันหนักแน่นมั่นคงดังหินผาที่ได้รับก็คือไม่ และไม่ เท่านั้น
แม้ว่าผมจะถึงขนาดร้องไห้ เอาน้ำตาลูกผู้ชายเข้าช่วยแต่แบรดก็ยังคงไม่ใจอ่อน
อาจมีสมเพชแต่คำตอบก็คือไม่(โว้ย) เหมือนเดิม
ย้อนกลับไปเมื่อสามเดือนกับอีกสิบวันก่อนโดยประมาณ
วันที่ผมบุกไปถึงคอนโดแบรนดอน แม็คแกรน แล้วกระโดดถวายตัวเข้าหา
หลังจากตั้งสติได้ (ทั้งผมและเขา) เลยยืนกันแบบทำอะไรไม่ถูกไปครู่ใหญ่ๆ
แบรดคงไม่เคยเจอผู้ชายเข้าหาแบบถึงเนื้อถึงตัวอย่างนี้เลยตกใจยืนนิ่งเป็นหุ่นทหารแถวอนุสาวรีย์
ส่วนผมก็ตกใจเหมือนกันเพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ถึงลูกถึงคนกับผู้ชายด้วยกันขนาดนี้
สรุปเลยยืนกอดกันเฉยซะอย่างนั้น เป็นกำไรชีวิตของผมไป
แต่หลังจากตั้งตัวได้คนที่ยืนเฉยให้ลวนลามอยู่เป็นนานก็ดันผมออกอย่างแรง เรียกว่าผลักจะถูกกว่าเพราะไอ้มือผมมันเหนียวเป็นตุ๊กแกขนาดนั้น เค้าไม่ยันให้ก็บุญแล้ว
พอหลุดจากกันได้ ต่างฝ่ายต่างก็ยืนนิ่ง
แบรดถอยไปจนติดตู้วางรองเท้าข้างประตู ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพร้อมสายตาระแวดระวัง
ส่วนผมยืนเซ่อ ไม่รู้จะทำยังไงต่อ ไอ้ลูกบ้าเมื่อกี้มันหายไปพร้อมกับสติที่กลับมาอีกครั้ง
พอสบกับตาสีเงินที่มีแววระแวงและไม่ชอบใจอย่างไม่ปิดบังที่ส่งมา ต่อมน้ำตาลูกผู้ชายมัน
ก็พาลจะแตกขึ้นมาดื้อๆ
ครั้งสุดท้ายที่ผมร้องไห้คือตอนย่าเสียซึ่งก็เกือบหกปีมาแล้ว หลังจากนั้นไม่มีอะไรมาทำให้ผมหลุดน้ำตาลูกผู้ชายได้อีก แต่คราวนี้ แค่เห็นสายตาไม่ชอบใจ ไม่ยอมรับจากคนๆนี้กลับทำให้ขอบตามันร้อนได้ง่ายๆ แล้วผมก็ร้องไห้ออกมาจริงๆ ไม่ได้ฟูมฟายเหมือนจะขาดใจแต่เป็นการร้องไห้ที่เหมือนนางเอกละครตอนสองทุ่มครึ่ง ฉากที่โดนตัวร้ายกลั่นแกล้ง
น้ำตาผมเริ่มมารวมตัวกันปริ่มๆ ไม่นานเกินรอก็หยดแหมะๆ แหมะแล้วแหมะเล่า
สาบานได้ว่าไม่ได้เสแสร้งแกล้งบีบน้ำตาหรือแอบหันหลังบีบยาหยอดตาแต่อย่างใด มันเกิดจากพลังขับภายในล้วนๆ บวกกับพลังขับจากภายนอกคือสายตาคมๆที่มองมาอย่างระแวงนั่นแหละ
แต่แล้วหลังจากพระเอกของผมเห็นน้ำตา แทนที่จะเข้ามาดูอาการนางเอก ไม่เลย
พี่แกเล่นถอยหลังไปอีกหลายก้าวอย่างตกใจ เล่นเอาผมหลุดฟอร์มพจมานเปลี่ยนบทกลางอากาศเป็นหญิงเล็ก ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายผีบ้านผีคอนโด
เรียกว่าร้องแบบไม่มีเทคนิค เสียงมีเท่าไหร่ก็โฮมันเข้าไป ลมในปอดถูกขับมาใช้อย่างไม่กลัวหมด แล้วยังอาการสะอื้นฮักๆอย่างกับจะขาดใจและก็ต้องรีบสูดหายใจฟืดฟาดก่อนที่จะขาดอากาศตายไปจริงๆ เป็นเรื่องน่าอายในรอบหลายปี แต่ต้องสารภาพว่านาทีที่ได้ปล่อยโฮแรกออกไปมันเหมือนได้ปลดปล่อยทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ข้างใน รวมทั้งยางอายก็หลุดออกไปกับโฮแรกนี่แหละ
ผมยืนแหกปากน้ำหูน้ำตาไหลอยู่สิบชั่วโมง และมีแนวโน้มว่าเสียงจะดังขึ้นเรื่อยๆจนเรียกให้ชาวบ้านข้างห้องแห่กันมาดูได้ แบรดก็คงเห็นท่าอย่างนั้นเหมือนกัน...
น่าเห็นใจแบรดไม่ใช่น้อย เค้าคงไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ ถ้ากลับกัน เป็นให้ผมมาเห็น
ผู้ชายที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยืนแหกปากร้องไห้ดัมพ์อายุอยู่ตรงหน้า ผมก็คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน แต่ตอนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแบรดคิดว่าควรทำอย่างไร ส่วนผมมีหน้าที่เอาหน้ามาขาย ยืนร้องไห้ ไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น
ผมรู้ว่าเจ้าของห้องเค้าไม่ค่อยเต็มใจ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว การยอมให้ไอ้บ้านี่เข้าไปยืนเป่าปี่ในห้องมันต้องดีกว่าให้เดี่ยวไมโครโฟนอยู่ตรงนี้จนชาวบ้านชาวช่องโผล่หัวออกมามุงเป็นแน่
คงเพราะเหตุนี้ผมเลยถูกดึงเข้าไปในห้องโดยมีเสียงสบถอย่างหัวเสียเป็นคำเชิญ
ผมได้เปลี่ยนที่จากนอกห้องมายืนน้ำตาไหลพรากเหมือนญาติเสียอยู่ในห้องก็จริง แต่ก็อยู่แค่หน้าประตูเท่านั้น ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปนั่งสะอื้นในห้องนั่งเล่นแต่อย่างใด ก็แน่ล่ะแค่เค้าให้เข้าห้องก็แทบไม่น่าเชื่อแล้ว คิดดูถ้ามีผู้ชายมาขอมีอะไรด้วย ซ้ำยังดูท่าว่าจะไม่เต็มบาทขนาดยืนแหกปากร้องไห้แบบไม่อายทั้งคนทั้งผีได้เป็นนานสองนาน เป็นคุณๆจะกล้าให้มันเข้าห้องรึ?
ผมพยายามหุบปากกลั้นสะอื้น เหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้าแล้วก็ต้องรีบก้มหน้าลงก่อนที่น้ำตาระลอกสองจะทะลักออกมา เพราะสายตาที่มองผมอยู่ยังเหมือนเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน
ความระแวง ไม่ชอบใจฉายชัดอยู่เต็มสองตา
“ขอ ขอโทษครับ ผมไม่ได้...ตั้งใจ มัน
ผมขอโทษที่...ทำให้คุณลำบาก...ใจ”
ผมละล่ำละลักติดๆขัดๆบอกเมื่อเห็นแบรดยืนนิ่ง ไม่พูด ไม่ขยับไปไหนอยู่เป็นนานตั้งแต่ให้ผมเข้ามาในห้อง
“โอเครึยัง” เค้าถามเสียงเรียบ เหมือนหยั่งเชิง
“ครับ เอ่อ
ผม” พูดยังไม่ทันจบเสียงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้น เป็นผลให้ผมหุบปากลงฉับพลัน แบรดมองผมอยู่อึดใจก่อนเดินไปรับโทรศัพท์
ผมมองตามทุกการกระทำอย่างไม่สามารถถอนสายตาได้ ตั้งแต่เมื่อตาคมๆสีเทามองมาอย่างชั่งใจก่อนหันหลังกลับและเดินเร็วๆไปยังโทรศัพท์บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาตัวใหญ่
เค้าไม่ได้เดินเข้าไปหยิบถึงที่ แต่ใช้มือเรียวแข็งแรงที่ผมอยากลองเกาะกุมมาสุมอกเอื้อมไปหยิบโดยที่ยังยืนอยู่หลังโซฟาแล้วยืนคุยอยู่อย่างนั้น
ไม่ว่าจะมองยังไง มองมุมไหนผู้ชายคนนี้เพอร์เฟ็คไปหมด ทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกความสามารถ ชื่อเสียงเงินทอง ไม่มีอะไรที่คนๆนี้ไม่มี...
ผู้ชายอย่างแบรดรอน แม็คแกรน ไม่ว่าอยากได้ผู้หญิงคนไหนคงไม่ต้องออกปาก แค่ขยิบตาสองทีคงตามกันมาเป็นพรวน แล้วอย่างผมนี่ รูปร่างธรรมดาหน้าตาสามัญ ชื่อเสียงเงินทองไม่ต้องพูดถึง ที่สำคัญเป็นตัวเดียวอันเดียวเหมือนกันแล้วสะเออะมาขอให้เค้ามีอะไรด้วย
ความเป็นไปได้คิดเป็นนาโนเปอร์เซ็นต์ยังมากไป
ความจริงที่ผุดขึ้นมาทำให้ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ อาจแค่ไม่กี่นาทีหรืออาจเป็นชั่วโมง สิ่งที่ผมรับรู้อยู่ตอนนี้ไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากภาพของคนที่นั่งหมิ่นๆอยู่บนพนักโซฟา ตาผมมองเค้าในขณะที่สมองจมอยู่กับความคิดตัวเองซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องคนตรงหน้า
ผมมองแบรดหรือแบรนดรอน แม็คแกรน ของคนทั้งประเทศ ที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องหรูสมตัวแล้วก็ให้รู้สึกปวดหนึบๆที่ใจ...
ต้องทำยังไงถึงจะได้มา จะมีทางไหมที่จะให้เค้ามองผมซักนิด
มองด้วยสายตาที่มองเห็น ไม่ใช่สายตาระแวง ไม่พอใจ เหมือนเมื่อครู่
ได้โปรด มองผมหน่อย หันมามองผมทีแบรด
ผมอยู่ตรงนี้
“จะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม” ผมสะดุ้งสุดตัวเพราะอยู่ดีๆคนที่อยู่ในความคิดก็หันขวับมาเหมือน
ได้ยินสิ่งที่ผมคิด
“
” ผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่เพราะไม่แน่ใจว่าควรตีความประโยคที่ได้ยินไปทางไหน
เดินดุ่มๆเข้าไปนั่งหรือเชดหัวตัวเองออกนอกห้อง
“เชิญ” คำเดียวสั้นๆ ทำให้ผมลอยจากหน้าประตูมานั่งปุ๊กบนโซฟาหนานุ่มทันที
“
กาแฟหน่อยไหม” เสียงเข้มพูดขึ้นหลังจากความเงียบผ่านไปอึดใจ
“เอ่อ ไม่ครับ ขอบคุณ” ผมตอบออกไปเหมือนท่องหนังสือ
คนถามมองหน้าผมโดยไม่ได้พูดอะไร แล้วลุกหายไปและกลับมาพร้อมกาแฟสองแก้วในมือ เค้าวางแก้วในมือซ้ายลงตรงหน้าผม แล้วยกอีกแก้วขึ้นดื่มด้วยท่าทางที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนเราเป็นเพื่อนมานั่งดื่มกาแฟกันซะอย่างนั้น
ผมงึมงำคำขอบคุณออกไปเบาๆ ท่าทางที่แสดงออกไปกับความรู้สึกข้างในมันขัดกันร้อยแปดสิบองศา ผมนั่งเจี๋ยมเจี้ยมหุบขามือวางบนตักก้มหน้าก้มตา แต่ในใจนี่กำลังกระโดดตีลังกาสามตะหลบ โอ้ย! ปลื้มจนอยากจะร้องไห้อีกรอบ
แบรนดรอน แม็คแกรน ชงกาแฟให้ คิดดูมือผมที่เอื้อมไปหยิบ
ต้องเรียกว่าประคองถึงจะถูก มือผมที่ประคองถ้วยกาแฟมาจรดปากยังสั่นด้วยความปลาบปลื้ม ไม่คิดว่าจะมีวันนี้จริงๆ! แต่นั่งใจบานมือสั่นได้ไม่เท่าไหร่ เรียกว่ายังไม่ทันกลืนกาแฟผ่านคอก็เกือบต้องพ่นพรืดออกทางจมูกเพราะประโยคคำถามที่ได้ยิน “ทำอย่างนี้บ่อยรึเปล่า?”
-------------------------------------------------------
-----------------------------------------------------
ติดล็อค (ตัวเอง)
สามสิบเจ็ดวันกับอีกแปดชั่วโมง กำลังจะเข้าสู่ชั่วโมงที่เก้า
โอ้ย! กรูจะบ้า ขออภัยที่ไม่สุภาพแต่มันไม่ไหวแล้วจริงๆ
ใครก็ได้ช่วยด้วย! ช่วยเอาแบรดออกไปจากหัวผมซักนาทีเหอะ ให้ผมได้คิดอย่างอื่นบ้าง
ไม่ใช่เอาแต่นั่งนับวันนับชั่วโมงว่าไม่ได้เห็นหน้าโคตรหล่อกับหุ่นโคตรเซ็กซ์นั่นมานานเท่าไหร่
จนไม่เป็นอันทำอะไรอย่างนี้ จริงอยู่ว่าผมทำตัวเอง ทั้งการเสนอหน้าไปรู้จักเค้าถึงคอนโดแล้วยังเอาหน้าหายมาโดยไม่บอกลาซักคำ แต่จะทำยังไงได้เล่า มันยังมีทางเลือกอื่นอีกรึไง! ก็ในเมื่อแบรดพูดออกมาชัดเจนแล้วว่าเค้าไม่รังเกียจที่จะคุยกับผมตราบเท่าที่ผมไม่ผ่าไปขอให้เค้ามีอะไรด้วยอีก สรุปก็คือเป็นเพื่อนกันได้แต่ถ้ายังโลภอยากได้มากกว่านั้นก็ไปข้างหน้าเหอะ
แล้วผมที่หลงเค้าหัวปลักหัวปำถึงขนาดเอาตัวไปเสนอถึงที่ทั้งที่ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอ พอได้มาคุยได้มารู้ว่าไอ้นิสัยที่ไม่เคยรู้น่ะมันดี๊ดี ถูกฉโลก ซะจนยิ่งทำให้หัวทิ่มหัวตำไปกันใหญ่
แล้วทีนี้ถ้าได้ไปมาหาสู่นานกว่านั้น ผมต้องฝ่าฝืนกฎเหล็ก สละแล้วซึ่งความอายและศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย (เหมือนที่เคยทำมาแล้ว) คลืบคลานเข้าไปขออิงแอบแนบชิดกับเค้าอีกแน่ๆ
แล้วความเป็นเพื่อนที่แบรดอุตส่าห์เจียดให้มาก็จะอันตรทานหายไปในพริบตาอย่างไม่ต้องสงสัย
ผมเลยเลือกวิธีที่คิดว่าดีที่สุด อย่างน้อยแบรดก็คงไม่เห็นผมเลวร้ายไปกว่านี้
คุณคงสงสัยว่าหลังจากผมทุ่มสุดตัวสุดใจ กระโดดล็อคคอแบรดในวันแรกที่เจอกันแล้ว จากนั้นผมได้ในสิ่งที่ต้องการหรือไม่
คำตอบคือไม่
ถึงจะโดนขู่ให้มีเซ็กส์ด้วยๆการล็อคคอแล้วก็ตาม แต่คำตอบอันหนักแน่นมั่นคงดังหินผาที่ได้รับก็คือไม่ และไม่ เท่านั้น
แม้ว่าผมจะถึงขนาดร้องไห้ เอาน้ำตาลูกผู้ชายเข้าช่วยแต่แบรดก็ยังคงไม่ใจอ่อน
อาจมีสมเพชแต่คำตอบก็คือไม่(โว้ย) เหมือนเดิม
ย้อนกลับไปเมื่อสามเดือนกับอีกสิบวันก่อนโดยประมาณ
วันที่ผมบุกไปถึงคอนโดแบรนดอน แม็คแกรน แล้วกระโดดถวายตัวเข้าหา
หลังจากตั้งสติได้ (ทั้งผมและเขา) เลยยืนกันแบบทำอะไรไม่ถูกไปครู่ใหญ่ๆ
แบรดคงไม่เคยเจอผู้ชายเข้าหาแบบถึงเนื้อถึงตัวอย่างนี้เลยตกใจยืนนิ่งเป็นหุ่นทหารแถวอนุสาวรีย์
ส่วนผมก็ตกใจเหมือนกันเพราะนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ถึงลูกถึงคนกับผู้ชายด้วยกันขนาดนี้
สรุปเลยยืนกอดกันเฉยซะอย่างนั้น เป็นกำไรชีวิตของผมไป
แต่หลังจากตั้งตัวได้คนที่ยืนเฉยให้ลวนลามอยู่เป็นนานก็ดันผมออกอย่างแรง เรียกว่าผลักจะถูกกว่าเพราะไอ้มือผมมันเหนียวเป็นตุ๊กแกขนาดนั้น เค้าไม่ยันให้ก็บุญแล้ว
พอหลุดจากกันได้ ต่างฝ่ายต่างก็ยืนนิ่ง
แบรดถอยไปจนติดตู้วางรองเท้าข้างประตู ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นพร้อมสายตาระแวดระวัง
ส่วนผมยืนเซ่อ ไม่รู้จะทำยังไงต่อ ไอ้ลูกบ้าเมื่อกี้มันหายไปพร้อมกับสติที่กลับมาอีกครั้ง
พอสบกับตาสีเงินที่มีแววระแวงและไม่ชอบใจอย่างไม่ปิดบังที่ส่งมา ต่อมน้ำตาลูกผู้ชายมัน
ก็พาลจะแตกขึ้นมาดื้อๆ
ครั้งสุดท้ายที่ผมร้องไห้คือตอนย่าเสียซึ่งก็เกือบหกปีมาแล้ว หลังจากนั้นไม่มีอะไรมาทำให้ผมหลุดน้ำตาลูกผู้ชายได้อีก แต่คราวนี้ แค่เห็นสายตาไม่ชอบใจ ไม่ยอมรับจากคนๆนี้กลับทำให้ขอบตามันร้อนได้ง่ายๆ แล้วผมก็ร้องไห้ออกมาจริงๆ ไม่ได้ฟูมฟายเหมือนจะขาดใจแต่เป็นการร้องไห้ที่เหมือนนางเอกละครตอนสองทุ่มครึ่ง ฉากที่โดนตัวร้ายกลั่นแกล้ง
น้ำตาผมเริ่มมารวมตัวกันปริ่มๆ ไม่นานเกินรอก็หยดแหมะๆ แหมะแล้วแหมะเล่า
สาบานได้ว่าไม่ได้เสแสร้งแกล้งบีบน้ำตาหรือแอบหันหลังบีบยาหยอดตาแต่อย่างใด มันเกิดจากพลังขับภายในล้วนๆ บวกกับพลังขับจากภายนอกคือสายตาคมๆที่มองมาอย่างระแวงนั่นแหละ
แต่แล้วหลังจากพระเอกของผมเห็นน้ำตา แทนที่จะเข้ามาดูอาการนางเอก ไม่เลย
พี่แกเล่นถอยหลังไปอีกหลายก้าวอย่างตกใจ เล่นเอาผมหลุดฟอร์มพจมานเปลี่ยนบทกลางอากาศเป็นหญิงเล็ก ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายผีบ้านผีคอนโด
เรียกว่าร้องแบบไม่มีเทคนิค เสียงมีเท่าไหร่ก็โฮมันเข้าไป ลมในปอดถูกขับมาใช้อย่างไม่กลัวหมด แล้วยังอาการสะอื้นฮักๆอย่างกับจะขาดใจและก็ต้องรีบสูดหายใจฟืดฟาดก่อนที่จะขาดอากาศตายไปจริงๆ เป็นเรื่องน่าอายในรอบหลายปี แต่ต้องสารภาพว่านาทีที่ได้ปล่อยโฮแรกออกไปมันเหมือนได้ปลดปล่อยทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ข้างใน รวมทั้งยางอายก็หลุดออกไปกับโฮแรกนี่แหละ
ผมยืนแหกปากน้ำหูน้ำตาไหลอยู่สิบชั่วโมง และมีแนวโน้มว่าเสียงจะดังขึ้นเรื่อยๆจนเรียกให้ชาวบ้านข้างห้องแห่กันมาดูได้ แบรดก็คงเห็นท่าอย่างนั้นเหมือนกัน...
น่าเห็นใจแบรดไม่ใช่น้อย เค้าคงไม่รู้จะทำยังไงกับสถานการณ์นี้ ถ้ากลับกัน เป็นให้ผมมาเห็น
ผู้ชายที่เรียกได้ว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ยืนแหกปากร้องไห้ดัมพ์อายุอยู่ตรงหน้า ผมก็คงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน แต่ตอนนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของแบรดคิดว่าควรทำอย่างไร ส่วนผมมีหน้าที่เอาหน้ามาขาย ยืนร้องไห้ ไม่รู้ไม่ชี้อะไรทั้งนั้น
ผมรู้ว่าเจ้าของห้องเค้าไม่ค่อยเต็มใจ แต่ดูจากสถานการณ์แล้ว การยอมให้ไอ้บ้านี่เข้าไปยืนเป่าปี่ในห้องมันต้องดีกว่าให้เดี่ยวไมโครโฟนอยู่ตรงนี้จนชาวบ้านชาวช่องโผล่หัวออกมามุงเป็นแน่
คงเพราะเหตุนี้ผมเลยถูกดึงเข้าไปในห้องโดยมีเสียงสบถอย่างหัวเสียเป็นคำเชิญ
ผมได้เปลี่ยนที่จากนอกห้องมายืนน้ำตาไหลพรากเหมือนญาติเสียอยู่ในห้องก็จริง แต่ก็อยู่แค่หน้าประตูเท่านั้น ไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปนั่งสะอื้นในห้องนั่งเล่นแต่อย่างใด ก็แน่ล่ะแค่เค้าให้เข้าห้องก็แทบไม่น่าเชื่อแล้ว คิดดูถ้ามีผู้ชายมาขอมีอะไรด้วย ซ้ำยังดูท่าว่าจะไม่เต็มบาทขนาดยืนแหกปากร้องไห้แบบไม่อายทั้งคนทั้งผีได้เป็นนานสองนาน เป็นคุณๆจะกล้าให้มันเข้าห้องรึ?
ผมพยายามหุบปากกลั้นสะอื้น เหลือบตาขึ้นมองคนตรงหน้าแล้วก็ต้องรีบก้มหน้าลงก่อนที่น้ำตาระลอกสองจะทะลักออกมา เพราะสายตาที่มองผมอยู่ยังเหมือนเมื่อครู่ไม่ผิดเพี้ยน
ความระแวง ไม่ชอบใจฉายชัดอยู่เต็มสองตา
“ขอ ขอโทษครับ ผมไม่ได้...ตั้งใจ มัน ผมขอโทษที่...ทำให้คุณลำบาก...ใจ”
ผมละล่ำละลักติดๆขัดๆบอกเมื่อเห็นแบรดยืนนิ่ง ไม่พูด ไม่ขยับไปไหนอยู่เป็นนานตั้งแต่ให้ผมเข้ามาในห้อง
“โอเครึยัง” เค้าถามเสียงเรียบ เหมือนหยั่งเชิง
“ครับ เอ่อ ผม” พูดยังไม่ทันจบเสียงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นก็ดังขึ้น เป็นผลให้ผมหุบปากลงฉับพลัน แบรดมองผมอยู่อึดใจก่อนเดินไปรับโทรศัพท์
ผมมองตามทุกการกระทำอย่างไม่สามารถถอนสายตาได้ ตั้งแต่เมื่อตาคมๆสีเทามองมาอย่างชั่งใจก่อนหันหลังกลับและเดินเร็วๆไปยังโทรศัพท์บนโต๊ะกระจกหน้าโซฟาตัวใหญ่
เค้าไม่ได้เดินเข้าไปหยิบถึงที่ แต่ใช้มือเรียวแข็งแรงที่ผมอยากลองเกาะกุมมาสุมอกเอื้อมไปหยิบโดยที่ยังยืนอยู่หลังโซฟาแล้วยืนคุยอยู่อย่างนั้น
ไม่ว่าจะมองยังไง มองมุมไหนผู้ชายคนนี้เพอร์เฟ็คไปหมด ทั้งรูปร่างหน้าตา บุคลิกความสามารถ ชื่อเสียงเงินทอง ไม่มีอะไรที่คนๆนี้ไม่มี...
ผู้ชายอย่างแบรดรอน แม็คแกรน ไม่ว่าอยากได้ผู้หญิงคนไหนคงไม่ต้องออกปาก แค่ขยิบตาสองทีคงตามกันมาเป็นพรวน แล้วอย่างผมนี่ รูปร่างธรรมดาหน้าตาสามัญ ชื่อเสียงเงินทองไม่ต้องพูดถึง ที่สำคัญเป็นตัวเดียวอันเดียวเหมือนกันแล้วสะเออะมาขอให้เค้ามีอะไรด้วย
ความเป็นไปได้คิดเป็นนาโนเปอร์เซ็นต์ยังมากไป
ความจริงที่ผุดขึ้นมาทำให้ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปเท่าไหร่ อาจแค่ไม่กี่นาทีหรืออาจเป็นชั่วโมง สิ่งที่ผมรับรู้อยู่ตอนนี้ไม่มีอย่างอื่นเลยนอกจากภาพของคนที่นั่งหมิ่นๆอยู่บนพนักโซฟา ตาผมมองเค้าในขณะที่สมองจมอยู่กับความคิดตัวเองซึ่งก็ไม่พ้นเรื่องคนตรงหน้า
ผมมองแบรดหรือแบรนดรอน แม็คแกรน ของคนทั้งประเทศ ที่นั่งอยู่บนโซฟาในห้องหรูสมตัวแล้วก็ให้รู้สึกปวดหนึบๆที่ใจ...
ต้องทำยังไงถึงจะได้มา จะมีทางไหมที่จะให้เค้ามองผมซักนิด
มองด้วยสายตาที่มองเห็น ไม่ใช่สายตาระแวง ไม่พอใจ เหมือนเมื่อครู่
ได้โปรด มองผมหน่อย หันมามองผมทีแบรด
ผมอยู่ตรงนี้
“จะอยู่ตรงนั้นอีกนานไหม” ผมสะดุ้งสุดตัวเพราะอยู่ดีๆคนที่อยู่ในความคิดก็หันขวับมาเหมือน
ได้ยินสิ่งที่ผมคิด
“ ” ผมยังยืนนิ่งอยู่กับที่เพราะไม่แน่ใจว่าควรตีความประโยคที่ได้ยินไปทางไหน
เดินดุ่มๆเข้าไปนั่งหรือเชดหัวตัวเองออกนอกห้อง
“เชิญ” คำเดียวสั้นๆ ทำให้ผมลอยจากหน้าประตูมานั่งปุ๊กบนโซฟาหนานุ่มทันที
“ กาแฟหน่อยไหม” เสียงเข้มพูดขึ้นหลังจากความเงียบผ่านไปอึดใจ
“เอ่อ ไม่ครับ ขอบคุณ” ผมตอบออกไปเหมือนท่องหนังสือ
คนถามมองหน้าผมโดยไม่ได้พูดอะไร แล้วลุกหายไปและกลับมาพร้อมกาแฟสองแก้วในมือ เค้าวางแก้วในมือซ้ายลงตรงหน้าผม แล้วยกอีกแก้วขึ้นดื่มด้วยท่าทางที่เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนเราเป็นเพื่อนมานั่งดื่มกาแฟกันซะอย่างนั้น
ผมงึมงำคำขอบคุณออกไปเบาๆ ท่าทางที่แสดงออกไปกับความรู้สึกข้างในมันขัดกันร้อยแปดสิบองศา ผมนั่งเจี๋ยมเจี้ยมหุบขามือวางบนตักก้มหน้าก้มตา แต่ในใจนี่กำลังกระโดดตีลังกาสามตะหลบ โอ้ย! ปลื้มจนอยากจะร้องไห้อีกรอบ
แบรนดรอน แม็คแกรน ชงกาแฟให้ คิดดูมือผมที่เอื้อมไปหยิบ ต้องเรียกว่าประคองถึงจะถูก มือผมที่ประคองถ้วยกาแฟมาจรดปากยังสั่นด้วยความปลาบปลื้ม ไม่คิดว่าจะมีวันนี้จริงๆ! แต่นั่งใจบานมือสั่นได้ไม่เท่าไหร่ เรียกว่ายังไม่ทันกลืนกาแฟผ่านคอก็เกือบต้องพ่นพรืดออกทางจมูกเพราะประโยคคำถามที่ได้ยิน “ทำอย่างนี้บ่อยรึเปล่า?”
-----------------------------------------------------
ความคิดเห็น