ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    My dream diary

    ลำดับตอนที่ #1 : 1 อาทิตย์แรกในโลกความฝัน

    • อัปเดตล่าสุด 26 ส.ค. 58


    คืนที่ 3

                ก่อนที่ผมจะเล่าอะไร ผมขอบอกไว้ก่อนว่าสิ่งที่ผมกำลังเจออยู่นี้ผมเองก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง และเพราะอะไร ผมได้ลองหาข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปอะไรที่แน่นอน สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับผมมันคืออะไรกันแน่? ผมป่วย?

                “คืนที่ 3” คืนนี้ที่คืนที่สามแล้วที่เรื่องนี้เกิดขึ้นกับผม ในคืนที่หนึ่งนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลย คืนที่สองผมก็เริ่มแปลกใจขึ้นมานิดหน่อย แต่ก็ไม่มากคิดว่าคงเป็นแค่เพียงความบังเอิญ และในคืนนี้ คืนที่สามแล้วที่ผมฝันต่อเนื่องกัน ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องปกติที่คนเราจะฝันต่อเนื่องกันบ้าง แต่ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ในกรณีของผม เพราะโดยปกติแล้วความฝันมักไม่ปะติดปะต่อ และเลือนรางจนจำอะไรแทบไม่ได้ในตอนที่เราตื่นนอน แต่สิ่งที่ผมเจอมันไม่ใช่ ทุกๆอย่างต่อเนื่องกัน ผมจำรายละเอียดได้ แม้จะไม่หมดทุกอย่างในนั้นแต่มันก็ชัดเจน ทั้งอารมณ์ ความรู้สึก ราวกับว่ามันเกิดขึ้นจริง หรือมันกำลังเกิดขึ้นจริงๆ?

                ในคืนแรกที่ผมฝัน? ผมพบตัวเองตื่นขึ้นมาบนเตียง โดยที่มีคนสองคนกำลังนั่งอยู่ข้างๆเตียงของผม ผมรู้สึกงัวเงีย รู้สึกยังนอนไม่เต็มอิ่มจึงพยายามจะหลับต่อ แต่หนึ่งในสองคนนั้นถามมาว่าผมเป็นใคร ผมก็บอกชื่อของผมออกไป “ผมชื่อป๊อป”

                ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับสติที่มีมากขึ้นกว่าเดิม ผมตกใจ แม้จะไม่มากขนาดตื่นกลัว แต่ก็ทำให้ผมลุกขึ้นมานั่งบนเตียงทันที ผมพยายามมองไปรอบๆ แต่แล้วคนที่กำลังนั่งเฝ้าผมอยู่ก็พยายามเข้ามาห้ามผมไม่ให้ขยับตัวมาก ผมบอกว่าผมไม่เป็นอะไรผมสบายดี “แต่แผลเธอยังไม่หายเลยนะ” เธอคนนั้นพูดออกมาแบบนั้นทำให้ผมชะงัก ผมก้มลงมองดูตัวเอง ทั้งตัวของผมมีแต่ผ้าพันแผล ผม”รู้สึกเจ็บ” น่าแปลก ผมไปโดนอะไรมา? ผมจำไม่ได้ ผมจำได้เพียงว่าผมนอนอยู่บนเตียงที่ห้องของผม หมายถึงบนเตียงที่อยู่ในห้องที่เป็นห้องของผมจริงๆ เพราะจากที่ดูรอบๆแล้ว ที่ๆผมอยู่ตอนนั้นไม่ใช่ห้องของผมเลย ทุกอย่างทำจากไม้เป็นส่วนใหญ่ มันเหมือนกับห้องในหนังฝรั่งที่เป็นแนวโบราณๆที่เคยดูเลย ยุคโรมันตอนต้น-กลางละมั้ง สิ่งที่ทำให้ผมแน่ใจไม่ใช่เพราะสภาพของห้องหรอก แต่จากคนที่กำลังอยู่กับผมตอนนั้นมากกว่า ดูจากเสื้อผ้าของเธอแล้วไม่ใช่ยุคของเราแน่ๆ และไม่ใช่การแต่งตัวครอสเพลย์ ที่เป็นการแต่งตัวลอกเลียนตัวการ์ตูน หรือตัวละครในหนังดังแน่ๆเหมือนกัน เพราะจากท่าทางการแสดงออกของเธอ ความรู้สึก และกลิ่นของสภาพแวดล้อมในตอนนั้น ความรู้สึกทุกอย่างมันจริงสุดๆไปเลย

                ทุกๆครั้งที่ผมหลับจริงจังในฝัน หรือก็คือหลับเมื่อหมดวันนั้นๆในโลกความฝันของผม ผมก็จะตื่นขึ้นมาในโลกที่ผมใช้ชีวิตอยู่จริงๆมาตั้งแต่แรก แรกๆมันทำให้ผมสับสนน่าดูแต่พอหลังจากในคืนที่ผ่านมาคืนที่สามผมก็เริ่มชิน ถึงมันจะดูเร็วไปหน่อยก็เถอะ แต่จะว่าแบบนั้นก็ไม่ได้ เพราะในโลกความฝันของผมมันโคตรจะน่าเบื่อเลย (จากนี้ไปผมจะเรียกมันแบบนี้ละกัน “โลกความฝันของผม”) ผมไปไหนไม่ได้ ทำได้แค่นั่งบนเตียงกับไปเข้าห้องน้ำและเช็ดตัวนิดหน่อย โดยมีคนที่คอยดูแลผมตลอดเวลาก็คือ แอนนา “ให้ฉันช่วยนะคะ” เธอเป็นเหมือนพยาบาลที่คอยดูแลคนไข้ เธอเช็ดตัวให้ผมด้วย มันค่อนข้างน่าอายนะผมไม่เคยเลย เพราะในชีวิตจริงผมก็ไม่เคยป่วยหนักจนถึงขนาดที่ต้องมาให้ใครดูแลแบบนี้

    ส่วนอีกคนที่จะเข้ามาหาผมวันละสองเวลาคือ อาเธอร์ เรื่องน่าสนใจมันอยู่ตรงนี้แหละ เขาจะเข้ามาเปลี่ยนผ้าพันแผลบ้าง ทางยาบ้าง แต่ทุกๆครั้งเขาจะร่ายมนต์ ใช่แล้วเวทมนต์อะไรสักอย่าง ตอนที่เขาทำแบบนั้นมันประหลาดมาก มันจะมีแสง มีเสียงที่ไม่ใช่เสียงพูดเกิดขึ้นมา ผมก็อธิบายไม่ถูกหรอก แต่ราวกับว่าทุกๆถ่อยคำที่เขาพูดออกมามันมีพลังงานที่ไหลออกมาด้วย เขาบอกว่ามันจะทำให้แผลของผมหายเร็วขึ้น “คุณทำได้ยังไง?” ผมถามเขาไปแบบนั้น “ฉันก็แค่คุยกับธรรมชาติ ขอร้องให้เขาช่วยรักษาเธอ” เขาก็ตอบกลับมาแบบนี้

    อาเธอร์เป็นพ่อของแอนนา พวกเขารับรักษาคน ก็อะไรที่เหมือนกับหมอในโลกของเรานั่นแหละ ผมมีเวลาว่างเยอะมากในฝัน ผมจึงใช้มันในการพูดคุย ถึงแม้ปกติผมจะไม่ถนัดเรื่องคุยกับคนแปลกหน้านัก “เกิดอะไรขึ้นกับผม” มันเป็นเรื่องแรกที่ผมถาม “คุณพ่อเจอเธอนอนหมดสติอยู่ที่หน้าบ้านของเรา เธอเลือดออกมีบาดแผลเต็มตัว คุณพ่อสับสนมากแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจรักษาเธอ” จากที่เธอเล่ามามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่ากลัวที่เดียว ใครทำร้ายผม? แล้วทำไมถึงทิ้งผมไว้?

    “ขอบคุณนะ” ผมกล่าวขอบคุณพวกเขาไป ตอนที่อาเธอร์เข้ามารักษาผมอีกครั้ง อาเธอร์ทำหน้างงเล็กน้อยตอนที่ผมกล่าวขอบคุณเขา ผมอธิบายว่าผมก็สับสนเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็อยากจะขอบคุณที่พวกเขาไม่ทิ้งผมไว้ตรงนั้น ทั้งๆที่ไม่รู้จัก ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าจะได้รับค่าตอบแทนอะไร อาเธอร์หัวเราะ “ลืมบอกไปเลยว่าแกมีข้าวของของแกด้วย แกมีเงินของแกด้วยนะ ฉันไม่คิดจะรักษาแกฟรีๆหรอกไอ้หนู แกนะรวยใช่ได้เลย ไว้หายแล้วค่อยมาคุยกันเรื่องค่าใช้จ่ายกัน” จากนั้นเขารักษาผมต่อ เดี๋ยวนะ? ของ? ผมมีของด้วยเหรอ? ขอดูหน่อยสิ!!

     

    คืนที่ 4

                วันนี้มีข่าวดีคือแผลของผมพื้นตัวไวมากจนมันเกือบจะหายแล้ว เป็นเพราะเวทมนต์ของอาเธอร์ “ไม่หรอกตัวแกเองก็มีของดีอยู่ ปกติบาดแผลขนาดนี้ต้องเกือบๆสองอาทิตย์ด้วยซ้ำไป” ยังไงก็ตาม พรุ่งนี้ผมมีสิทธิ์จะได้ออกไปเดินเล่นข้างนอกแล้ว น่าสนใจสุดๆ เพราะจากที่นั่งดูผ่านหน้าต่างห้องมาสามวัน ข้างนอกนั่นไม่ได้มีแต่ “มนุษย์” เท่านั้น ผมหมายถึงมันมีสิ่งมีชีวิตอื่นที่อาศัยอยู่ร่วมกับมนุษย์ด้วยนะสิ ผมมองไม่ค่อยชัดเท่าไหร่ แต่เหมือนหลุดออกมาจากนิยาย รึหนังแฟนตาซีเลย มีทั้งพวกหูแหลม ตัวโต มีเขา ผิวสีแปลกๆ และแบบอื่นๆอีกเยอะแยะ น่าตื่นเต้นดีจริงๆ

                ในตอนแรกที่ผมได้เห็นผู้คนเหล่านี้เดินผ่านหน้าต่างห้องของผมไป ผมรีบร้องเรียกหาแอนนาที่กำลังดูแลคนไข้คนอื่นอยู่มาถามหาคำอธิบายทันที “มันก็เป็นเรื่องปกติของที่นี่นะ” แต่เธอกลับตอบมาแบบนั้น นั่นทำให้พวกเรามีโอกาสได้คุยกันถึงเรื่องความแตกต่างของโลกที่ผมอยู่ แอนนาเป็นผู้หญิงฉลาด และค่อนข้างหน้าตาดี เธออายุมากกว่าผมนิดหน่อย เธอตั้งใจจะเป็นหมอแบบคุณพ่อของเธอ อาเธอร์ นั่นทำให้เธอพอจะเข้าใจในสิ่งที่ผมอธิบายไปได้บ้าง

                จากที่แผลใกล้จะหายดีแล้ว และเมื่อวานผมถามหาข้าวของของผม วันนี้อาเธอร์เลยยกมันมาให้ดู มันมีเสื้อผ้าเก่าๆที่ขาดวิ่น ถุงเงิน หนังสือ กับดาบซามูไรอีกสองเล่ม เล่มหนึ่งเป็นดาบยาว อีกเล่มสั้นกว่าเล่มแรกครึ่งหนึ่ง ผมหยิบมันมาดูก่อนเป็นอย่างแรกเลย ผมเองสนใจดาบอะไรพวกนี้อยู่แล้ว การที่อาเธอร์มาบอกผมว่าของแบบนี้เป็นของผม ผมละดีใจจริงๆ ถึงจะแค่เป็นโลกในความฝันก็เถอะ “ลองเอาไปถามช่างตีเหล็กแถวนี้ดูแล้ว เขาบอกว่ามันมาจากดินแดนทางฝั่งตะวันออก ก็ไม่แปลก หน้าตาแกก็ดูเหมือนชาวตะวันออก ที่แปลกคือแกมาทำอะไรอยู่แถวนี้มากกว่า” อาเธอร์เล่า จากนั้นผมก็เปิดดูถุงเงิน “20เหรียญทองแดง เท่ากับ1เหรียญเงิน 10เหรียญเงินเท่ากับ1เหรียญทอง” แอนนาเคยบอกให้ผมฟังเรื่องการใช้เงินของที่นี่ ซึ่งจากที่เปิดดูผมมีอยู่ห้าเหรียญทอง ซึ่งนั่นถือว่าค่อนข้างมากเลยทีเดียว

    ของชิ้นต่อไปมันคือหนังสือที่เขียนด้วยตัวหนังสือแปลกๆ คล้ายๆกับตัวหนังสือโบราณของโลกเรา น่าแปลกที่ผมอ่านออกได้แต่กลับไม่ค่อยเข้าใจความหมายของมันสักเท่าไหร่ “มันคือหนังสือเวทมนต์ เอาไว้ฝึกเวทมนต์” อาเธอร์บอกหลังจากที่เห็นผมลองอ่านมัน เมื่อรู้แบบนั้นผมจึงขอให้เขาช่วยสอน แต่เขาปฏิเสธ อาเธอร์บอกว่าเขางานยุ่ง จึงปัดหน้าที่นี้ไปให้แอนนาแทน

                ไม่รอช้าผมก็ขอให้แอนนาสอนผมทันที เธอบอกผมว่าหนังสือที่ผมมีคือหนังสือเวทมนต์พื้นฐาน หาได้ไม่อยากสำหรับคนที่สนใจวิชาเวท เวทมนต์ที่มีอยู่ในหนังสือจะเป็นเรื่องพื้นฐานของเวทมนต์เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเรียนรู้ได้ คนที่ทำได้ก็คือทำได้ คนที่ทำไม่ได้ไม่ว่าจะพยายามยังไงก็ทำไม่ได้ก็มี อย่างเช่นเธอกับพ่อของเธอ ที่ใช้ได้เพียงเวทรักษาเท่านั้น ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติ คนส่วนใหญ่ก็จะใช้วิชาเวทได้ไม่กี่สาย และจะไปได้ไม่ไกลมาก “ถ้าไม่ใช่คนที่เกิดมาเพื่อใช้เวทมนต์อย่างพวกจอมเวทย์ก็ไม่มีทางใช้ได้ทุกสาย และไปให้ถึงขั้นสูงสุดของวิชาเวทสายนั้นได้หรอก” แอนนาพูด

                หนังสือเวทมนต์ก็มีแล้ว คนสอนก็มีแล้วผมจะรออะไรละ เชื่อว่าหลายๆคนก็คิดอยากจะลองใช้มันบ้างแน่ๆ ถึงแม้มันจะเป็นโลกในความฝันก็เถอะ แต่ถ้ามันสมจริงขนาดนี้ ผลลัพธ์ที่ได้ของสนุกแน่ๆ “ลองเปิดหาบทเธอรู้สึกถูกใจที่สุดดูสิ” แอนนาบอกว่ามันเป็นวิธีง่ายๆแต่ได้ผลดี เราจะรับรู้ได้ด้วยตัวเองว่าเราเหมาะกับวิชาไหน และผมก็ได้มาบทหนึ่งถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็คง “โอมจงลอย” ส่วนนี้เป็นคำร่าย ถัดไปจะเป็นส่วนที่ใช้อธิบายและบอกถึงหลักการของเวทมนต์บทนี้ ซึ่งดูๆแล้ววิธีการเขียนและตัวหนังสือแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง “สิ่งที่ฉันจะสอนให้ได้ก็มีแค่เท่านี้แหละ” แอนนาบอกว่าต้องให้ผมลองอ่านส่วนนี้เอง โดยตั้งสมาธิให้ดี และอ่านออกเสียงให้ชัดเจน ผมก็ทำตามนั้น

                ขณะที่ผมอ่าน มันเหมือนมีภาพลอยเข้ามาในหัว มีหลักการ มีคำอธิบาย ต่างๆมากมายเกี่ยวกับการจะทำให้วัตถุใดวัตถุหนึ่งลอยขึ้นมา หรือขยับได้โดยไม่มีอะไรไปยุ่งกับมัน ผมค่อนข้างเป็นคนที่เรียนเก่งนะ ในโลกความเป็นจริงผมค่อนข้างเก่งฟิสิกส์เลยทีเดียว แต่นี่ มันเป็นอะไรที่ยิ่งกว่านั้นมากๆ มากเสียจนผมตามทำความเข้าใจสิ่งที่เข้ามาในหัวไม่ทัน “เรื่องปกติ ฉันเองกว่าจะใช้เวทรักษารอยข่วนเล็กๆ ยังใช้เวลาเป็นอาทิตย์เลย” เธอบอกให้ผมลองทำแบบนี้บ่อยๆ ค่อยๆอ่านและศึกษาไป เวทมนต์จะใช้ได้จริงๆก็ต่อเมื่อเราเข้าใจมัน และจะยิ่งทรงพลังมากขึ้นตามความรู้ที่มี

    เธอบอกว่าให้ผมระวังด้วย ว่าอย่าอ่านมันเยอะเกินไป ถึงจะยังไม่ได้ใช้เวทมนต์ แต่การกล่าว “ถ่อยคำแห่งปัญญา” ก็กินพลังงานเหมือนกัน การฝืนเรียนรู้จะทำให้ร่างกายทรุดไปก่อนที่จะได้เรียนรู้อะไร “วันละ 2ครั้งก็พอสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มฝึก” เธอบอกว่าถ้านับรวมครั้งแรกที่อ่านไปแล้วก็เหลืออีกครั้งหนึ่ง ให้ผมลองทำความเข้าใจสิ่งที่ผมได้รับในตอนแรกให้ดีเสียก่อน แล้วจึงลองอ่านใหม่อีกครั้ง

     

    คืนที่ 5

                ผมได้ออกไปเดินข้างนอกแล้ว เหตุผลที่ได้ออกมา คือผมต้องช่วยแอนนาขนของ “ออกแรงซะบ้าง จะได้กลับมากแข็งแรงไวๆ” เราต้องเชื่อฟังคำพูดของหมอ แม้หมอจะดูไม่เหมือนหมอก็ตาม แม้จะเป็นเมืองเล็กๆ แต่ก็มีร้านต่างๆอยู่ครบ ร้านขายอาหาร ผลไม้ ร้านตีเหล็ก ร้านเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย บรรยากาศชวนหลงใหลจริงๆ แม้จะใช้เวลาเดินไม่นานแต่ผมกลับชอบมันมากๆ มากเสียจนหลังจากที่ผมตื่นขึ้นมาจากโลกแห่งความฝัน ผมต้องรีบเขียนถึงมันก่อนเป็นอันดับแรก ก่อนที่ความรู้สึกนี้จะหายไป

                ผลจากการฝึกเวทมนต์เมื่อวานทำให้ผมเหนื่อยนิดๆตอนอยู่ในโลกความเป็นจริง แต่มันก็มาแค่ความเหนื่อยล้าเท่านั้น ความรู้ที่ได้มาจากถ่อยคำแห่งปัญญาไม่ติดมาด้วยเลยสักนิด น่าเสียดายจริงๆ แต่ไม่เป็นไรอย่างน้อยๆผมก็มีสิทธิ์ได้เป็นจอมเวทย์ในฝันของตัวเองหละนะ

                พูดถึงคำว่า “ในฝันของผม” ตอนที่ผมได้ไปเดินในเมืองกับแอนนา ผมได้เจอกับใครคนหนึ่งด้วย เขาเป็นเพื่อนผมในโลกความเป็นจริง เขาชื่อเต๋า เขาเรียนอยู่ห้องเดียวกับผม เราค่อนข้างสนิทกัน ไม่รู้สิ ผมก็ไม่แน่ใจ มันเป็นแค่ความฝันของผมจริงๆรึเปล่านะ? แต่มีบางอย่างบอกผมว่านั่นคือเขาจริงๆ และถ้าอย่างนั้นจริงๆมันก็ไม่ใช่ “โลกแห่งความฝันของผม” แล้วนะสิ มันจะกลายเป็นโลกที่เราจะเข้ามาได้ก็ต่อเมื่อฝันเท่านั้น เพราะถ้านั่นคือเต๋าจริงๆ ก็แปลว่าก็ต้องมีคนอื่นๆอีกแน่

                มันมีสิ่งหนึ่งที่ผมไม่ค่อยมันใจนักว่านั่นคือเต๋า แม้ว่าตอนที่ผมเห็นเขาก่อนที่เขาจะลับสายตาไปความรู้สึกผมก็บอกได้เลยว่านั่นคือเขา แต่แค่ความรู้สึกหละนะ เพราะตัวเขาสูงและตัวใหญ่กว่านี่ควรจะเป็นนิดหน่อย แถมยังมีตาเกินมาอีกดวงหนึ่งที่หน้าผากของเขาด้วย!! การที่ผมเจอเขาเมื่อคืนเป็นอีกเหตุผลหนึ่งเลยหละที่ทำให้ผมต้องมาเขียนบันทึกของเช้านี้ให้เสร็จเร็วกว่าปกติ เพราะวันนี้ผมมีเรื่องที่ต้องคุยกับเขา เพื่อนในโลกความเป็นจริง ที่บังเอิญเจอกันในฝัน?

               

    คืนที่ 6

                เหลือเชื่อจริงๆ มันคือเขาจริงๆด้วย เขาคือเต๋าจริงๆด้วย เขาคือบุคคลที่มีสามตาคนนั้น ผมบอกให้เขามาหาผมที่บ้านของอาเธอร์ แล้วเขาก็มาจริงๆ ตอนแรกที่ผมเริ่มคุยกับเขาเรื่องนี้มันลำบากทีเดียว ลองคิดดูสิ “ฉันเจอนายในฝันด้วยหละ เรามานัดเจอกันในนั้นไหม?” ถ้าเพื่อนไม่มองว่าผมบ้า ก็คงมองกว่าผมมีรสนิยมทางเพศที่เปลี่ยนไปแน่นอน แต่นั่นก็ไม่เท่าความตื่นเต้นที่ได้เจอกับเขาจริงๆในฝันหรอก เพราะเพียงไม่นานหลังจากผมตื่นขึ้นมาในโลกแห่งความฝันเขาก็มาเคาะประตูห้องผู้ป่วยของผมเลย เพราะเขาเองก็รู้สึกตื่นเต้นมากเหมือนกันกับสิ่งที่เกิดขึ้น

                “เผ่าอสูร กลุ่มผู้มีสามตา” จากที่แอนนาของเล่าเอาไว้ว่าโลกนี้มีผู้คนอยู่หลายเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ ซึ่งมันหมายความอย่างนั้นจริงๆ เอล์ฟ คนแคระ ยักษ์ มีจริงในโลกนี้ ทั้งยังมีจำนวนมากอีกด้วย ซึ่งก็พิสูจน์ได้จากการที่ผมไปออกไปจ่ายตลาดกับแอนนาเมื่อวาน เผ่ามนุษย์ไม่ได้เป็นใหญ่ในโลกนี้ ไม่ได้มีจำนวนเยอะสุด เพราะที่เยอะสุดคือเผ่าคนแคระ เต๋าเองก็เล่าว่าเขาเองก็ลำบากเหมือนกัน เขาตื่นขึ้นมาในป่าใช้เวลาเกือบวันในการเดินเข้าเมือง ต้องคอยหาข้อมูล ถามคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย เพราะไม่เข้าในว่าเกิดอะไรขึ้น อะไรจริงไม่จริง

                กรณีของเต๋าก็คล้ายๆกับผม เขามีของติดตัวมาด้วย เขามีอาวุธประเภททวน คล้ายดาบที่มีด้ามยาว กับมีดอีกหนึ่งเล่ม มีเงินห้าเหรียญทอง กับแผนที่หนึ่งอัน ซึ่งมันบอกให้เขาเดินมาที่เมืองนี้ “เมืองกราเทีย” มันคือปลายทางของแผ่นที่ที่นำทางไป มันเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในแถบนี้ ใช้เวลานานพอดูอาเธอร์บอก เต๋าบอกว่าเราสมควรไปที่นั่น “มันทำให้เราเจอกันที่เมืองนี้ มันควรจะมีความหมายนะ” เต๋าพูด ซึ่งนั่นก็จริงหากการที่เรามาอยู่ตรงนี้ ที่โลกใบนี้มันมีความหมายอะไรสักอย่าง เราก็ควรจะหามันให้เจอ

                “อีก2วันก็น่าจะเดินทางได้” อาเธอร์บอกว่าผมน่าจะหายในอีกสองวัน แม้ในใจของผมและเต๋าจะอยากออกเดินทางเลย ณ เดี๋ยวนั้น แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าสภาพของผมยังไม่เต็มร้อย แต่ก็ถือเป็นการดี เพราะเรายังต้องการเวลาในการเตรียมความพร้อมและหาข้อมูลเพิ่มอีก เพื่อใช้ในการเดินทาง

                ผมทำให้ขนนกลอยได้แล้วจากเวทมนต์ “โอมจงลอย” เป็นผลจากการพยายามทำความเข้าใจมนต์บทนี้อย่างหนักเมื่อวาน แอนนาประหลาดใจเล็กหน่อยที่ผมเรียนรู้เร็ว แต่ก็บอกว่ายังไงก็ต้องใช้เวลาจนกว่าพลังเวทย์จะแข็งแรง ผมลองเอาหนังสือเวทมนต์ให้เต๋าดู แต่เขากลับบอกว่ามันไม่น่าสนใจ “เผ่าอสูร มีแต่พวกมีเขาเท่านั้นแหละที่ชอบเวทมนต์” อาเธอร์บอกเล่าจากเรื่องที่เขาได้ยินมาอีกที ไม่รู้ว่ามันเกี่ยวไหม  แต่ในโลกความเป็นจริงเขาก็ไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่       

    “ชีมาย์” เมืองถัดไปที่อยู่ในเส้นทางตามแผนที่ของเต๋า มันอยู่ไม่ไกลมากนั่งรถม้าไปครึ่งวันก็ถึง เราใช้เวลาทั้งวันในการศึกษาข้อมูล ว่าเรากำลังจะไปเจอกับอะไรบ้าง และต้องเดินทางยังไง เราคุยกับอาเธอร์และแอนนาจนดึก อาเธอร์ให้เต๋าพักที่นี่ เพราะยังมีห้องผู้ป่วยเหลืออยู่อีกห้องหนึ่ง ผมและเต๋าตัดสินใจเข้านอน เพราะเรายังต้องตื่นขึ้นมาเรียน แถมยังมีสอบเก็บคะแนนอีกด้วย (น่าเบื่อชะมัด)

     

    คืนที่ 7

                หนึ่งอาทิตย์แล้วกับการอยู่ได้กับอาเธอร์และแอนนา พรุ่งนี้ผมจะเริ่มเดินทางแล้ว ผมคงจะคิดถึงพวกเขา โดยเฉพาะแอนนา เธอเป็นผู้หญิงในแบบที่ผมชอบเลยหละ แล้วยิ่งการที่ผมต้องอยู่กับเธอแถบจะตลอดเวลาเป็นเวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์แล้วด้วย มันทำให้ใจของผมหวั่นไหวทีเดียว

                ผม แอนนา และเต๋า พวกเราออกไปหาซื้อเสบียงมาตุนไว้ ถึงแม้จะเป็นการเดินทางสั้นๆ แต่เราก็อยากจะเตรียมตัวเผื่อไว้ก่อน ผมและเต๋ามีความคิดตรงกัน คือไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราจึงควรเตรียมตัวเอาไว้ อันที่จริงพวกเราเคยมีประสบการณ์หลงป่ามาก่อนตอนที่เราไปเข้าค่ายลูกเสือเมื่อหนึ่งปีก่อน มันไม่ใช่ความผิดของใครทั้งนั้น เข็มทิศที่บังเอิญมาเสียกลางทาง กับแผ่นดินไหวที่ทำให้ต้นไม้ล้มมาปิดทาง ทำให้เส้นทางที่ถูกเตรียมเอาไว้ใช้ไม่ได้ เราหาทางกันทั้งวันจนเราต้องนอนกันในป่า ต้องรอจนถึงเช้ากว่าจะหาทางออกเจอ มันเป็นประสบการณ์ไม่มีทางลืมแน่นอน

                “2เหรียญทอง” ตอนแรกผมจะให้อาเธอร์ทั้งหมดที่มีด้วยซ้ำไป แต่ก็ถูกเขาปฏิเสธ เขาบอกว่าเก็บเอาไว้เป็นค่าเดินทางเถอะ เพราะกว่าจะถึงเมืองกราเทียก็เกือบเดือน แอนนาเองก็บอกว่าแค่นี้ก็ทำให้พวกเขาสองคนอยู่กินสบายไปได้อีกเป็นเดือน

                วันนี้ผมไม่เพียงทำให้ขนนกลอยได้ แต่ยังทำให้มันเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ผมต้องการได้อีกด้วย และผมยังเริ่มทำให้ของที่หนักกว่านั้นเล็กน้อย อย่างกระดาษลอยขึ้นได้อีกด้วย อาเธอร์ทึ่งกับพัฒนาการของผม บอกว่าผมอาจจะเชียวชาญวิชาเวทสายนี้จริงๆ เขายังบอกอีกว่าหลังจากนี้ถ้าอยากเก่งให้ไวขึ้นจริงๆ อย่าเสียพลังไปกับการฝึกใช้เวลาเวทมนต์อย่างเดียว ให้ใช้พลังในการศึกษาถ่อยคำแห่งปัญญาด้วย นั่นจะยิ่งทำให้พัฒนาการเร็วขึ้นไปอีก ผมจึงใช้พลังที่เหลือกันการอ่านถ่อยคำปัญญา และใช้เวลาที่เหลือทั้งวันศึกษามัน

                และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ต้องตื่นมา เพื่อไปสอบเก็บคะแนนที่โรงเรียน น่าเบื่อจริงๆ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×