ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คุณปู่ซ่า...คุณย่าแสบ (ฉบับรีไรน์)

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ...จุดเริ่มต้นแห่งความยุ่งเหยิง

    • อัปเดตล่าสุด 25 ก.พ. 49


    แบบว่า...มีหลาย ๆ คนถามหา พอมีโอกาสเลยลองเอาเรื่องราวของ ภูผา กับ อิงฟ้า มาฝากอีกครั้ง...แบบว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกของซี่รี่ย์สามหนุ่มหล่อน่ะจ๊ะ แต่จะเป็นหนุ่มไหนนั้นใครเคยอ่านผ่านตามาบ้างก็จะรู้นะจ๊ะ...ขอบคุณทุกท่านที่เป็นกำลังใจให้เสมอค่ะ

    สมิตา

    +++++++++++++++++

    บทนำ

    เมื่อหนุ่มซ่ามาเป็นคุณปู่

    ผม ภูผา หนุ่มเจ้าสำราญที่แสวงหาความสุขในชีวิตไปวัน ๆ ชีวิตของผมไม่เคยมีเรื่องทุกข์ หรือเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจอะไรให้กังวล เพราะผมโชคดีที่เกิดมาในตระกูลที่ฐานะดีมีหน้ามีตาในสังคม หรือที่พวกหนังสือพิมพ์ชอบเรียกกันว่า พวกไฮโซไงครับ

    ผมเป็นคนรักสนุก ชอบพบปะผู้คน โดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงนี่ผมไม่เคยปฏิเสธใครสักคนที่เข้ามาในชีวิตผม แหมก็ผมเป็นโรคแพ้คนสวยนี่ครับ และผู้หญิงที่เข้ามาหาผมแต่ละคนสวยระดับนางเอกละคร หรือไม่ก็นางแบบทั้งนั้น แล้วอย่างนี้ผมจะปฏิเสธอย่างไรให้เสียเวลา

    ดังนั้นจึงไม่เรื่องแปลกที่คนอื่นจะอ่านพบเรื่องราวของผมในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารซุบซิบต่าง ๆ ว่าผมควงคนโน่น เที่ยวกับคนนี้ เปลี่ยนผู้หญิงเป็นว่าเล่นยิ่งกว่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียอีก เป็นเพลย์บอยบ้างล่ะ คาสิโนว่าบ้างล่ะ ใครจะมองผมอย่างไรผมไม่เคยสนใจ หรือพยายามออกมาแก้ข่าวเลยแม้แต่น้อย

    เพราะอะไรน่ะหรือครับ...ก็เพราะผมรู้จักตัวเองดีพอน่ะสิ ว่าผมต้องการอะไร ผมกำลังแสวงหาอะไรในชีวิตที่มันตื่นเต้นท้าทายอยู่ ที่สำคัญผมไม่เคยง้อ หรือขอใครกินแล้วทำไมผมต้องใส่ใจคนอื่นด้วย ในเมื่อคนอื่นต่างหากที่ควรเข้ามาหาผม ส่วนเรื่องที่ว่าชีวิตหนุ่มโสดของผมจะหยุดลงตรงไหน ผมก็บอกไม่ได้เหมือนกัน ในเมื่อผมยังไม่เจอใครที่ทำให้ผมรู้สึกรัก และอยากจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่าเลยสักคน

    ผมสัญญากับตัวเองไว้แล้วว่า ถ้าผมจะหยุดทุกสิ่งทุกอย่างทันทีที่ผมเจอผู้หญิงที่ผมรัก คนที่ทำให้ผมรู้สึกดีและอยู่ด้วยไม่เบื่อ ผมจะไม่รีบแต่งงานหรือรีบมีห่วงผูกมัดเร็วเกินไปดังตัวอย่างที่เคยมีให้เห็น ปัญหาของผมคงมีอยู่สองอย่างคือ

    ประการแรกผมยังไม่เจอผู้หญิงที่ถูกใจ ส่วนประการที่สองซึ่งเหมือนปมในใจของผมที่ไม่มีใครสามารถแก้มันออกได้ก็คือ ชีวิตคู่ของคนในครอบครัวของผม ที่พากันแต่งงานตั้งแต่อายุไม่ถึงยี่สิบ ใช่แล้วครับ...เพราะการแต่งงานมีลูกตั้งแต่อายุยังน้อยของพ่อ และพี่ บางทีอาจจะรวมถึงหลานชายซึ่งเป็นลูกของพี่ด้วยอีกคน ที่พากันแต่งงานมีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย เลยทำให้ผมต้องตกกระไดพลอยโจน กลายเป็นคุณปู่ตั้งแต่อายุเพิ่งจะเบญจเพส เรื่องของผมนี่ถ้าบอกใครไปแล้ว จะมีใครเชื่อบ้างไหมนี่ว่า...หนุ่มโสดในฝันของบรรดาสาว ๆ อย่างผมจะเป็นคุณปู่แล้ว

    เรื่องของผมเริ่มต้นที่ว่าคุณพ่อแต่งงานและมีลูกกับแม่ใหญ่ ผมหมายถึงภรรยาคนแรกของท่าน ตั้งแต่อายุสิบแปดปี ท่านมีพี่เมฆ หรือเมฆา พี่ชายต่างมารดาของผม ตอนท่านอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้น ท่านใช้ชีวิตคู่กับแม่ใหญ่อย่างมีความสุขจนกระทั่งแม่ใหญ่จากไปด้วยโรคมะเร็งในลำไส้ ทำให้ท่านครองตัวเป็นโสดเรื่อยมา

    ประวัติศาสตร์ชีวิตรักของครอบครัวผมก็หวนกลับไปซ้ำรอยเดิมอีกครั้ง เมื่อพี่เมฆแต่งงานและมีลูกตอนอายุสิบแปดปีบริบูรณ์เหมือนบิดาไม่มีผิดเพี้ยน ลูกชายของพี่เมฆหรือหลานอาของผมนั้นชื่อว่า เมฆินทร์ แต่น่าเสียดายที่พี่สะใภ้ของผมเสียชีวิตลงด้วยเหตุเพราะเสียเลือดมากขณะคลอดบุตร ทำให้พี่ชายผมครองตัวเป็นโสดไม่คิดจะสนใจผู้หญิงคนไหนอีกเลย ถ้าเรื่องจบลงแค่นี้คงดี คงจะไม่มีเรื่องนับญาติกันให้ปวดหัวเพิ่มขึ้นอีก ถ้าพ่อของผมไม่แต่งงานใหม่อีกครั้ง

    ท่านแต่งงานใหม่กับแม่ของผมตอนที่ท่านอายุได้สามสิบเจ็ดปี อายุแค่นี้คงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้ชายจะลงหลักปักฐาน แต่มันแปลกตรงที่ท่านมีลูกชายวัยสิบเก้า และหลานชายวัยหนึ่งขวบเรียบร้อยแล้วน่ะสิ ที่ทำให้แม่ของผมคิดอยู่นานว่าควรจะลงเอยกับผู้ชายคนนี้ดีหรือไม่

    ในที่สุดแม่ก็ตกลงใจใช้ชีวิตคู่กับพ่อเพราะทนลูกตื้อไม่ไหว ไหนจะยังพี่เมฆินทร์หลานปู่ที่คุณพ่อของผมมักจะใช้เป็นกามเทพตัวน้อยคอยจีบแม่เป็นประจำ ก็แม่ของผมน่ะเป็นครูอนุบาลนะครับ เพราะอย่างนั้นเรื่องรักเด็กนี่ไม่ต้องเป็นห่วง

    เวลาผ่านไปหลายปีก็ถึงทีที่ผม นายภูผา ได้ลืมตามองโลกกว้างใบนี้บ้าง ตอนเกิดมาใหม่ ๆ ใคร ๆ ต่างก็ว่าผมเป็นเด็กผู้หญิง เพราะว่าผมดันหน้าตาไปเหมือนแม่ ใครเห็นหน้าผมครั้งแรกก็จะดีใจกันทั้งนั้น ว่าในที่สุดก็มีเด็กผู้หญิงมาวิ่งเล่นอยู่ในบ้านบ้าง ไม่ว่าจะเป็นพ่อ พี่ชาย หรือแม้กระทั่งหลานอา

    แต่คงดีใจกันช่วงแรก ๆ เท่านั้น เมื่อรู้ว่าเด็กหน้าตาน่ารักคนนี้น่ะ...เป็นผู้ชาย ทีนี้จากดีใจกลับกลายเปลี่ยนเป็นความวิตกกังวลไปต่าง ๆ นานาว่า ผมโตขึ้นจะเป็นเกย์ เป็นตุ๊ดหรือเปล่า ดังนั้นตั้งแต่จำความได้ผมจะถูกส่งไปเรียนศิลปะป้องกันตัวแขนงต่าง ๆ เป็นประจำ นั่นทำให้ผมไม่เคยกลัวใคร เวลามีเรื่องผมก็จะเป็นคนแรกที่แจกหมัดให้ฝ่ายตรงข้ามอยู่เสมอ เดี๋ยวใครจะหาว่าผมไม่แมนพอ

    การเปลี่ยนแปลงชีวิตผมครั้งใหญ่เริ่มจาก พ่อกับแม่ประสบอุบัติเหตุชีวิตขณะเดินทางไปฮันนีมูนรอบที่เท่าไหร่ผมก็จำไม่ได้ ทำให้ผมต้องอยู่ในความดูแลของพี่เมฆพี่ชายคนเดียวของผม ซึ่งท่านดูแลผมเป็นอย่างดีเหมือนผมเป็นลูกชายคนเล็กของท่าน ส่วนเมฆินทร์หลานชายที่มีอายุมากกว่าอาอย่างผมถึงห้าปีนั้น ก็ทำตัวประหนึ่งเป็นพี่ชายคนโตของผมเช่นกัน

    เพราะมีทั้งพี่เมฆา และพี่เมฆินทร์เคยดูแลเอาใจใส่ ทำให้ผมไม่เคยมีเรื่องอะไรต้องกังวลใจ ใช้ชีวิตตามสบายไปเรื่อย ๆ อย่างมีความสุข แต่เป็นความสุขที่แสนจะน่าเบื่อ จืดชืด ไร้ชีวิตชีวา มันเหมือนกับว่าชีวิตผมยังขาดอะไรบางอย่างไป ซึ่งเป็นอะไรบางอย่างที่ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคืออะไร

    และการเปลี่ยนแปลงชีวิตครั้งยิ่งใหญ่ของผมก็เกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อสามปีก่อน เรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นกับผม เรื่องที่ทำให้ชีวิตของผมต้องเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิม ผมยังจำเรื่องราววันนั้นได้ดี วันที่ผมแอบพาสาว ๆ ไปเที่ยวที่เสม็ด ผมยังจำมันได้ดีราวกับว่า มันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง

    “อะไรนะ...ใครเป็นอะไร” เสียงของผมอุทานอย่างตกใจ เมื่อได้รับโทรศัพท์จากคุณหญิงจริยาแม่ของเพื่อนสนิทที่โทรแจ้งข่าวร้ายให้ผมทราบ
    เป็นไปไม่ได้

    จะมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ทำไมเรื่องแบบนี้ต้องเกิดขึ้นกับชีวิตของผม
    ไม่ ผมไม่เชื่อเด็ดขาด

    แต่ตอนนี้มือเท้าผมอ่อนปวกเปียกไปหมด ไม่มีแรงแม้แต่จะวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม สมองของผมตอนนี้คิดอะไรไม่ออกจริง ๆ เมื่อวานผมยังคุยกันกับพี่เมฆ พี่ชายคนเดียวของผมอยู่

    “ตาภู...แกมาช่วยชั้นทำงานที่ห้างได้แล้ว มันเป็นห้างแกเหมือนกันจะปล่อยให้เจ้าฆินทร์ทำคนเดียวเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้วรู้ไหม รายนั้นจะลูกสองแล้ว ให้อยู่กับครอบครัวบ้าง”

    “โธ่...ผมก็เข้าไปช่วยบ้างแล้วไงครับ ถึงแม้จะเป็นบางครั้งก็เถอะ พี่ฆินทร์ไม่เห็นบ่นเลย” ผมยกเอาชื่อเมฆินทร์หลานชายที่ทำตัวเป็นพี่ชายเพราะคือว่าอายุมากกว่าผมตั้งห้าปีมาเป็นข้ออ้าง

    “แต่แกก็ควรจะเข้าไปให้มันบ่อยกว่านี้ ตอนที่แกยังมีฉันหรือตาฆินทร์คอยช่วยแกอยู่ แก...เหมือนลูกชายคนเล็กของฉันนะโว้ย ฉันเป็นห่วง”

    “พี่ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมเอาตัวรอดได้สบายมาก แล้วพี่ชายผมก็แข็งแรงออกอย่างนี้ ยังอยู่ดูแลผมได้อีกนาน” ผมพูดพร้อมกับกอดเอวพี่ชายไว้ เหมือนที่ผมเคยอ้อนแกตอนเด็ก ๆ ซึ่งก็ได้ผลทุกครั้ง “เอาไว้ผมกลับจากเสม็ดคราวนี้ก่อนนะครับ ผมจะทำตัวเป็นเด็กดีไม่เที่ยวเตร่เถลไถลที่ไหนอีก...นะครับ คราวนี้ผมนัดเพื่อนไว้แล้ว ผมไม่อยากผิดนัด นะครับ”

    “เพื่อนผู้หญิงล่ะสิ แกนี่จริง ๆ เลย เรื่องผู้หญิงเพลา ๆ ไว้บ้าง ข่าวแกในหนังสือพิมพ์มีไม่เว้นแต่ละวัน ฉันนี่ปวดหัวกับแกจริง ๆ”

    “โธ่...ผมอยู่เฉย ๆ พวกผู้หญิงเข้ามาหาผมเอง พี่ก็รู้ว่าผมแพ้ผู้หญิง แต่ตอนนี้ผมไปก่อนนะครับ” พูดจบก็หอมแก้มแกอีกหนึ่งฟอด เอาใจแกหน่อย เดี๋ยวแกหาว่าผมไม่รัก

    แต่ตอนนี้จะไม่มีอย่างนั้นอีกแล้ว จะไม่มีใครคอยบ่นหรือเตือนผมอีกแล้ว เพราะทุกคนจากผมไปหมดแล้ว ทุกคนจากผมไปหมดแล้ว
    อุบัติเหตุ

    คำนี้คำเดียวที่พรากชีวิตของคนในครอบครัวผมไป พี่ฆินทร์ประสบอุบัติเหตุรถคว่ำขณะพาภรรยาที่เจ็บท้องจะคลอดลูกคนที่สองไปส่งโรงพยาบาล ทั้งคู่เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้พี่เมฆโรคหัวใจกำเริบและเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา

    พี่เมฆ เป็นโรคหัวใจ ทำไมผมไม่รู้ มิน่า...พี่ถึงคอยบ่นให้ผมรีบเข้าไปช่วยงาน

    ‘ฉันเป็นห่วงแก’

    คำนี้ยังก้องอยู่ในหูของผมตอนวันที่ผมลามาเสม็ด แล้วผมจะทำอย่างไรต่อไป พี่ครับ...ผมจะทำอย่างไรดี ตอนนี้ผมไม่เหลือใครแล้ว ไม่...ไม่ใช่ ผมยังมีหน้าที่ความรับผิดชอบเหลืออยู่อีก ผมจะปล่อยให้สมบัติที่พวกพี่สร้างมามลายไปหายเพราะฝีมือผมไม่ได้

    และที่สำคัญผมยังเหลืออีกคน ผมยังเหลือคนในครอบครัวผมอีกหนึ่งคนที่ผมต้องรับผิดชอบ และผมต้องทำให้ได้ดีที่สุด ผมยังเหลือใบเฟิร์นลูกสาวของพี่เมฆินทร์อีกคนที่ผมต้องรับผิดชอบ หลานสาวคนเดียวของผม สมาชิกในครอบครัวที่เหลือเพียงคนเดียวของผม

    ไม่ต้องห่วงนะครับ...ผมจะดูแลหลานให้ดีที่สุด ผมจะดูแลใบเฟิร์นให้ดีที่สุด พวกพี่ไม่ต้องเป็นห่วง

    แล้วจู่ ๆ สาวแสบมาเป็นคุณย่า

    ฉัน อิงฟ้า สาวสวยอารมณ์ร้อน ปากจัดตามที่บรรดาเพื่อน ๆ บอก ทั้ง ๆ ที่ความเป็นจริงแล้วฉันไม่ได้เป็นคนอย่างนั้นเสียหน่อย ฉันแค่เป็นคนที่พูดตรงไปหน่อยแค่นั้นเอง ซึ่งบางคนจะรับไม่ค่อยได้กับคำพูดของฉันแค่นั้นเอง แล้วอย่างนี้จะว่าฉันปากจัดได้อย่างไร

    ฉันเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดามาจากครอบครัวที่แสนจะธรรมดา ไม่ได้ร่ำรวยด้วยทรัพย์สินเงินทองอะไร แต่ว่าครอบครัวของเราร่ำรวยด้วยความรัก ความเข้าใจของสมาชิกในครอบครัว พวกเราใช้ชีวิตกันอยู่อย่างเรียบง่าย ไม่มีเรื่องอะไรให้ทุกข์ร้อนใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ หรือว่าปัญหาความขัดแย้งกันระหว่างสมาชิกในครอบครัว

    พูดมาถึงตรงนี้หลาย ๆ คนอาจจะสงสัยว่า ครอบครัวของฉันมีสมาชิกทั้งหมดกี่คน คำตอบที่ได้คือหกคนค่ะ นั่นก็คือ ฉัน พี่ตะวันพี่ชายที่แสนดีของฉันกับพี่จรรยาพี่สะใภ้ ตามมาด้วยพี่ธารลูกชายคนเดียวของพี่ตะวัน ซึ่งตอนนี้พี่ธารก็แต่งงานพาภรรยาเข้ามาอยู่ในบ้านอันแสนจะอบอุ่นแห่งนี้ และเมื่อสองเดือนก่อนพวกเราก็ได้มีโอกาสต้อนรับสมาชิกใหม่ของครอบครัว เมื่อภรรยาของพี่ธารเพิ่งคลอดลูก

    สมาชิกคนใหม่ของบ้านเป็นผู้ชายค่ะ หลานของฉันเป็นผู้ชาย หน้าตาน่ารักน่าชังทีเดียว ผิวขาว แก้มยุ้ยน่าจับ ร้องเสียงดังจ้าลั่นบ้าน พี่ธารบอกว่าสงสัยโตขึ้นอยากเป็นนักร้อง

    พวกเราอยู่ด้วยกันในบ้านเดี่ยวสองชั้นที่ต่อเติมเพิ่มห้องนอนให้มากขึ้นเพื่อรองรับจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้น เราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขแม้ว่าถ้าจะลำดับญาติกันแล้ว มันอาจจะฟังดูสับสนก็ตาม

    ก็ใครให้พ่อกับแม่แต่งงานกันตั้งแต่อายุยังน้อยกันล่ะ พ่อกับแม่มีพี่ตะวันตอนที่พ่อเพิ่งจะยี่สิบเอ็ดส่วนแม่ก็เป็นคุณแม่วัยสิบแปด แม้วันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่ท่านทั้งสองก็ยังรักกันอยู่เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง และไม่มีทีท่าว่าจะมีลูกเพิ่มมาอีก

    แต่ทุกอย่างมันก็ไม่ได้เป็นอย่างนั้นเสมอไป เมื่อสาวสวยอย่างฉันกลายเป็นลูกหลงของท่าน อายุอานามของฉันจึงห่างจากพี่ตะวันลูกชายคนโตตั้งยี่สิบปี แต่ความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิงไม่ได้หมดอยู่เพียงแค่นั้นเมื่อตอนที่แม่คลอดฉันนั้น พี่ตะวันแต่งงานกับพี่จรรยาและมีลูกชายวัยหนึ่งขวบด้วยกันแล้วหนึ่งคน นั่นก็คือพี่ธารคนที่ทำให้ฉันต้องกลายเป็นคุณย่ายังสาว ถึงจะเป็นแค่ย่าเล็กก็เถอะ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมคนในครอบครัวของฉันถึงได้ชอบแต่งงานกันตั้งแต่อายุยังน้อยกันนัก

    ‘เมื่อเราเจอคนที่ใช่ จะรอช้าอยู่ใย ในเมื่อเราไม่รู้ว่าเราจะอยู่ได้นานเท่าไหร่ สู้เราอยู่กับคนที่เรารักให้นานที่สุดไม่ดีกว่าหรือ’ เหตุผลของพี่ธารที่บอกว่า พี่ตะวันได้พร่ำสอนมาและเมื่อฉันถามพี่ตะวันอีก คำตอบที่ได้ก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่ ในเมื่อพี่ชายของฉันบอกว่าพ่อเป็นคนสอนมาอีกที...ให้มันได้อย่างนี้สิครอบครัวฉัน

    สรุปแล้วฉันเป็นอาที่อายุน้อยกว่าหลานตัวเองหนึ่งปี ซึ่งตอนนี้หลานอาของฉันก็แต่งงานมีลูกมีเมียไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย พ่อแม่เลี้ยงฉันได้ไม่ทันครบสองปี ทั้งสองท่านก็จากฉันไปอีกเพราะอุบัติเหตุทางเรือ นั่นทำให้ฉันจดจำเรื่องราวของพวกท่านไม่ค่อยได้ นอกจากรูปถ่ายกับคำบอกเล่าจากพี่ตะวัน

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาพี่ตะวันกับพี่จรรยาก็เลี้ยงฉันมาเหมือนกันเป็นลูกสาวคนหนึ่งไม่มีผิด ถ้าจะพูดถึงพ่อแม่ฉันมักจะพูดถึงพี่ชายกับพี่สะใภ้ของฉันมากกว่าพ่อแม่จริง ๆ ของตัวเองเสียอีก ครอบครัวของเราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ฉันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองมีปมด้อยแต่อย่างใด เพราะความรักที่พี่ทั้งสอง กับพี่ธารซึ่งชอบทำตัวเป็นพี่ชายของฉันนั้น คอยเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปเสมอ

    แต่ว่าชีวิตคนเราไม่ได้เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ในเมื่อเราทุกคนเกิดมาเพื่อที่จะเรียนรู้การใช้ชีวิต ภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ ที่มีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้าย ฉันเองก็เหมือนกัน เมื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของฉันเริ่มขึ้นเมื่อห้าปีก่อน

    เหตุการณ์ที่ทำให้ชีวิตฉันเปลี่ยนแปลงไปทั้งชีวิตได้ผ่านพ้นไปแล้วห้าปี เหตุการณ์ที่ทำให้ฉันต้องฝันร้ายมาจนถึงทุกวันนี้ เหตุการณ์ที่ไม่ว่าจะเป็นยามหลับหรือยามตื่น จะตามมาหลอกหลอนฉันอยู่เสมอ ภาพของเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงชัดเจนอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอมา เสมือนหนึ่งว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน

    “ฟ้าได้งานทำแล้วค่ะ” ฉันเป่าประกาศให้ที่บ้านรับรู้อย่างภาคภูมิใจ อย่างน้อยต่อไปนี้ฉันไม่ต้องรบกวนพี่ชายฉันอีกแล้ว

    “งานอะไรล่ะยัยฟ้า” พี่ตะวันพี่ชายสุดที่รักของฉันเป็นคนพูด

    “ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายจัดเลี้ยงของโรงแรม...ค่ะ” ฉันบอกตำแหน่งกับชื่อโรงแรมให้ทราบ

    “โรงแรมใหญ่เลยนะนั่น จะทำไหวหรือลูก” พี่จรรยาเป็นคนถามบ้าง

    “ไหวสิค่ะ...ฟ้าซะอย่าง ถ้าไม่แน่จริงไม่เกิดมาเป็นน้องสาวคนสวยของพี่วันสุดหล่อ หรอกค่ะ” ว่าพลางฉันก็กอดเอวพี่จรรยาไว้แน่นอย่างประจบ ในขณะที่พี่ตะวันนั่งหัวเราะอยู่ใกล้ ๆ

    “เว่อร์ไปแล้ว อาฟ้า” เสียงพี่ธารลูกชายคนเดียวของพี่ตะวันดักคอ “แล้วนี่จะไปฉลองที่ไหนครับ”

    “ฉลองที่นี่แหละพี่ธาร...ฟ้ายังไม่มีเงิน”

    “จะฉลองทั้งทีต้องไปข้างนอกสิ ไปกันหมดบ้านนี่แหละ งานนี้พี่จ่ายเอง” พี่จรรยาพูดอย่างอารมณ์ดี

    “แหม...ทีผมได้งานทำยังไม่เห็นมีใครพาไปเลี้ยง แต่พออาฟ้าได้งานจะพาไปเลี้ยงนอกบ้าน” พี่ธารแซวแม่ตัวเองอย่างอารมณ์ดี เพราะรู้อยู่แล้วว่าแม่อยากมีลูกสาวและวัยของอาฟ้าก็พอที่จะเป็นลูกสาวได้สบาย

    “แล้วต้นกล้าล่ะคะ จะทิ้งให้อยู่คนเดียวเหรอ” ฉันถามเพราะเป็นห่วงหลานชายวัยหกเดือนที่ตอนนี้ภรรยาของพี่ธารพาขึ้นไปนอนข้างบน

    “ไม่เป็นไร เดี๋ยวเกศดูให้ก็ได้” เกศแก้วเพื่อนสนิทที่มักจะมาค้างกับฉันเป็นประจำรับอาสา “จะได้ไปฉลองที่อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันด้วยไง”

    เมื่อไม่มีใครปฏิเสธครอบครัวของฉันก็พากันไปกินอาหารที่ร้านอาหารริมแพ ซึ่งร้านนี้พี่ธารบอกว่าอาหารอร่อย แถมยังนั่งกินกันบนแพอีกด้วย ดูท่าอาหารคงจะอร่อยอย่างที่พี่แกโฆษณาไว้จริง ๆ เพราะตอนนี้บนแพที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ที่มีทางเดินเชื่อมจากหน้าร้านซึ่งตั้งอยู่ริมตลิ่งนั้น มีคนเข้ามาจับจองกินอาหารกันอยู่เต็ม แต่โชคดีที่ว่าพี่ธารได้โทรมาจองไว้ก่อน ทำให้พวกเราได้ที่นั่งอยู่ริมด้านในสุด ซึ่งสามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติของลำน้ำเจ้าพระยายามเย็นได้เป็นอย่างดี

    เสียงเรือหางยาวที่แล่นผ่าน แม้จะเสียงดังหรือทำให้น้ำกระเซ็นเข้ามาบริเวณที่พวกฉันนั่งอยู่ แต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศในการเลี้ยงฉลองครั้งนี้หมดสนุกแต่อย่างใด กลับทำให้อาหารมื้อนี้มีสีสันมากขึ้นกว่าเดิม

    และระหว่างที่พวกเรากำลังนั่งรับประทานอาหารอย่างมีความสุขนั้น ฉันรู้สึกถึงอาการผิดปกติบางอย่างบนพื้น จะว่าพื้นโคลงเคลงมากกว่าเดิมก็ใช่ น้ำกระเซ็นเข้ามาบริเวณที่พวกฉันนั่งอยู่มากขึ้นใช่ จะว่าสาเหตุมาจากเรือที่แล่นผ่านบริเวณนี้ก็ไม่ได้จะใช่ เพราะว่ามันไม่น่าจะมากขนาดนี้ และที่สำคัญตอนนี้รองเท้าฉันเริ่มเปียก

    “ว้าย...”

    เสียงกรีดร้องของคนในร้านอาหารดังขึ้น พร้อมกันพื้นที่ทรุดตัวลงอย่างรวดเร็ว และระดับน้ำที่ค่อย ๆ สูงขึ้น และสติที่ค่อย ๆ หายไปของฉัน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×