คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ + เรเนซองส์
บทนำ
“ทางซ้ายน่ะได้ยินมั้ย?”
“ชัดแจ๋ว”
“ขวาล่ะ?”
“ได้ยินจ้า”
ชายหนุ่มหันไปตามเสียงตอบก่อนจะหันกลับมาที่เป้าหมายด้านหน้าตนต่อ
อดคิดไม่ได้ว่านี่มันวันบ้าอะไรของเขาที่ถูกเรียกตัวมาทำงานกะทันหันทั้งๆที่เพิ่งถูกให้หยุดได้ไม่นาน และไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น เพื่อนทั้งทีมซ้ายขวาเมื่อครู่นั่นก็เช่นกัน ถูกพักพร้อมกันและเรียกตัวมาพร้อมกันชวนให้หงุดหงิดได้ไม่น้อย
ท่านผบ. นะ ท่านผบ. พักงานพวกเขาเองแล้วก็เรียกกลับมาให้ทำงานนี่ต้องการอะไรกันแน่ คิดจะกวนประสาทกันรึไง?
“แหม เอาเถอะน่า เขาคงมีเหตุผลของเขานั่นแหละ นายทำหน้าแบบนั้นใครบ้างจะไม่รู้ว่านายคิดอะไร”
เพื่อนในทีมคนหนึ่งที่นั่งอยู่ด้านข้างเอียงไปข้างหลังนิดหน่อยพูดขึ้นยิ้มๆพร้อมกับตอบคำถามที่ถูกส่งมาทางสีหน้าของเพื่อนตนไปด้วย
“เฮ้อ หิวเว้ย”
ชายหนุ่มผู้นั่งยองๆขมวดคิ้วคนเดิมบ่นออกมาเบาๆแต่ก็ทำให้คนในทีม(และที่อยู่ในสายสื่อสาร)อดจะขำออกมาได้ไม่น้อย ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมจากทั้งหมดก็มีเพียงเขานี่แหละที่คว้าของกินไม่ได้แม้แต่เศษขนมปังก่อนจะถูกลากออกมา อารมณ์ในตอนนี้คงไม่ต่างจากโมโหหิวสักเท่าไหร่
[“หึหึหึ...เสร็จงานแล้วไปหาอะไรลงท้องกันก่อนแล้วกัน”]
เสียงในสายอีกคนที่มาจากหน่วยทางขวาพูดขึ้นมาซึ่งเป็นอันเห็นพ้องต้องกันของทุกคนฟังได้จากเสียงตกลงใจพ้องต้องกัน
“โอเคมั้ย ไลออน?”
เพื่อนคนเดิมที่นั่งอยู่ด้านข้างถามยิ้มๆซึ่งได้รับการตอบกลับเป็นเสียง ‘หึ’ ในลำคอเท่านั้น
ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาต่างแยกย้ายกันไปทำตามคำสั่งนั่นคือการช่วยเหลือผู้เหลือรอดในประเทศทุระกันดารแห่งหนึ่งซึ่งถูกประเทศหนึ่งใช้กองกำลังทหารติดอาวุธเข้ากวาดล้างโดยต้องปฏิบัติการให้เงียบที่สุดพยายามหลีกเลี่ยงการปะทะหรือพบเจอจากประเทศรุกรานและมีชีวิตรอดกลับไปให้ครบ 32 ประการ
ไลออนที่แยกกลุ่มจากเพื่อนไปคนละทางวิ่งไปตามทางผนังกำแพงที่เหลือเป็นส่วนๆจากการถูกระเบิด ทักษะในการหลบหลีกของเขามีอยู่พอตัวที่จะไม่ให้ถูกใครเห็นส่วนหนึ่งที่เขาแยกตัวออกมานั่นเพราะมันสะดวกกับเขามากกว่าด้วยนั่นแหละ
ในขณะที่กำลังวิ่งผ่านทางที่เหมือนจะไว้สำหรับรถเข้าเขารู้สึกเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหวอยู่ในนั้นจนอดไม่ได้ที่จะต้องเดินตามเข้าไป
ทางที่เขาเดินเข้ามามองดูจากภายนอกมันเป็นทางที่พาลงไปใต้ดินจนตอนแรกเขาคิดว่านี่มันเป็นโรงรถ แต่พอเดินลงมากลับไม่เห็นรถสักคัน แต่ยังไงสำหรับเขาแล้วมันก็ยังคงเป็นโรงรถอยู่ดี
ความรู้สึกเหมือนมีอะไรวิ่งผ่านหลังนั่นทำให้เขาต้องหันไปมองแทบจะทันทีพร้อมปลายกระบอกปืนที่ถูกชี้ไปในทิศทางเดียวกัน แต่มันก็ไม่เกินความคาดหมายนักเมื่อไม่เจอสิ่งใดหรือพูดอีกอย่างคือ ว่างเปล่า
ไลออนเดินไปตามทางด้านหน้าระคนด้วยความสงสัยพื้นที่โล่งรอบตัวมันทำให้อกรู้สึกโหวงๆแปลกๆแต่เพราะความที่เป็น CIA ที่ปัจจุบันจะถูกย้ายเข้าหน่วยทหารซะแล้วล่ะมั้งนั่นคือถึงแม้จะอยู่คนเดียวเขาก็ต้องเก็บความรู้สึกหวั่นไหวนั่นไว้จนกว่าจะได้อยู่ที่บ้านคนเดียวจริงๆ
สัมผัสที่จับได้ถึงความเคลื่อนไหวที่ด้านขวานั่นทำให้เขาต้องหันไปพร้อมกระบอกปืนและกดนิ้วลั่นไกทันทีโดยไม่ต้องรอให้เห็นไอ้ตัวนั่นก่อน
เสียงปืนกลดังลั่นไปทั่วบริเวณที่เหมือนลานจอดรถพร้อมเสียงร้องคำรามราวกับสัตว์ป่าก่อนที่เจ้าของกระบอกปืนจะต้องเบี่ยงตัวหลบเมื่อเห็นอะไรบางอย่างลอยมา
กรรรรรร!!!!
โอ้ย...ให้ตายเถอะ
ไลออนคิดในใจโดยไม่ได้พูดออกมาจริงๆเขาทำเพียงแค่ขมวดคิ้วลงอย่างไม่สบอารมณ์
กระบอกไฟฉายที่ฉายแสงส่องไปทางสิ่งมีชีวิตเบื้องหน้านั่นทำให้เห็นตัวของมันได้ชัดเจน
ไม่ต้องนิยามอะไรให้มากมายถ้าพูดถึงลักษณะจริงมันควรจะเป็นแค่หมาป่าตัวใหญ่ๆธรรมดาๆแต่นี่มันยืนแค่ขาหลังสองขาโดยที่สองขาหน้าที่ควรจะเป็นขามันกลับเป็นมือที่มีกรงเล็บแหลมคมซึ่งพิสูจน์ความคมไปแล้วจากรอยฉีกขาดบนเสื้อเกราะของเขาที่โดนถากๆจนเกือบถึงเนื้อ
ไลออนส่ายหัวอย่างงุ่นง่านไอ้ตัวที่ควรจะมีแค่ในนิยายหรือในหนังแบบนี้มันมาอยู่ตรงหน้าเขาได้ไง?
แล้วนี่ต้องใช้กระสุนเงินกับมันใช่ไหมเพราะทั้งๆที่เมื่อกี้มั่นใจว่ายิงโดนเต็มๆแท้ๆมันกลับไม่เห็นเป็นอะไรนี่เขาก็ไม่ได้รวยขนาดจะหากระสุนเงินมาเป็นลูกกระสุนได้หรอกนะ
ไลออนคิดพลางเดินถอยหลังอย่างดูเชิงทั้งๆที่เขาคิดอะไรตั้งมากมายขนาดนี้แถมไม่ได้ยิงโจมตีอีกตั้งแต่มันกระโดดมาแต่ตอนนี้ไอ้ตัวนั่นมันกลับไม่ได้วิ่งเข้าใส่เขาอย่างที่ควรจะทำมันเดินช้าๆตามเขาที่ถอยทีละก้าวเหมือนหยั่งเชิงดูเช่นกัน
หมาป่าตัวใหญ่(แต่เดินสองขา) แยกเขี้ยวแหลมๆใส่เขาพร้อมขู่ในลำคอไปพร้อมๆกันแต่ก็ยังไม่โจมตีเข้ามา
เขาเริ่มคิดว่ามันแปลกแล้วกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นพลันความคิดอัปมงคลที่ว่ามันไม่ได้มีตัวเดียวก็โผล่เข้ามา
เหมือนอ่านความคิดได้หมาป่าตัวใหญ่ข้างหน้าเหมือนจะยกริมฝีปากกระตุกส่งยิ้มแสยะให้เขาพร้อมกันนั่นไลออนรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวรอบตัว
ดวงตาสีน้ำตาลเทากวาดมองรอบตัวเห็นดวงตาหลายคู่จ้องมองกลับมาอย่างกระหายแต่เขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีแตกตื่นออกไปทำเพียงหยุดฝีเท้าที่กำลังถอยห่างจากศัตรูตรงหน้าลงเท่านั้น
ในหัวคิดอยู่สองอย่าง
จะหนีหรือสู้ดีว่ะ...
[“ทางนั้นเป็นไงบ้างไลออน เจออะไรมั้ย?”]
ชายหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยกับเสียงแรกที่ดังฝ่าความเงียบระหว่างเขากับฝูงสิ่งมีชีวิตรอบด้าน
ในใจกำลังคิดว่าควรตอบกลับหรือเงียบต่อไปดี...
[“เฮ้ ไลออน เกิดอะไรขึ้นตอบด้วย”]
และครั้งที่สองที่ดังขึ้นทำให้เขาต้องกลืนน้ำลายดังอึกใจจริงพยายามทำให้เบาที่สุดพยายามซ่อนความตระหนกไว้ให้ได้มากที่สุด
จะมีใครสงสัยหรือเปล่าว่าทั้งๆที่เสียงพูดสื่อสารนั่นดังอยู่ในหูฟังด้านขวาแต่ทำไมทั้งหมดในที่นี้ถึงได้ยิน
ข้อแรกที่นี่เงียบมากแม้แต่เสียงครืนน ซ่า... ของวิทยุก็ยังดังเสียดแทงใจ
และสอง...ศัตรูตรงหน้าเป็นหมาป่า
“เฮ้อ”
ไลออนถอนหายใจออกมาพร้อมหลับตาเลิกตั้งท่าเตรียมยิง
[“เป็นอะไรไลออน ถอนหายใจทำไม แล้วทำไมถึงเงียบไปตั้งนาน?”]
เสียงเพื่อนตัวดีดังขึ้นมาอีกครั้งอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
ไลออนเงยหน้าขึ้นทั้งๆยังหลับตาก่อนจะลืมตาขึ้นมองหลอดไฟสลัวๆด้านบนความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว
เมื่อไม่กี่ปี่ก่อนก่อนจะมาเป็น CIA เขาเคยเป็นหน่วยอัลฟามาก่อน และในตอนนี้การที่เขา พวกเขา ทีมของเขา หน่วยของเขามาช่วยตัวประกันหรือผู้เหลือรอดนี่มันทำให้เขากลับไปคิดถึงมันอีกครั้ง
สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นี่เหมือนการกลับไปอยู่หน่วยอัลฟาอีกครั้ง...
ไลออนชี้ปากกระบอกปืนกลขึ้นเหนือหัวตรงกับหลอดไฟและกดลั่นไกพร้อมๆกับที่หยิบแว่นที่ใช้สำหรับมองเห็นในตอนกลางคืนได้อย่างชัดเจนขึ้นสวมก่อนหันหลังวิ่งไปทางหมาป่าตัวใหญ่ตัวหนึ่งซึ่งมันเองก็ทำท่าจะโจมตีเขาในขณะที่มันวาดแขนลงมาจะใช้กรงเล็บตะปบเขากระโดดเหยียบหลังมือของมันส่งตัวขึ้นไปและเหยียบลงที่หัวของมันอีกครั้งจนมันหน้ากระแทกพื้นแล้วกระโดดลงวิ่งไปตามทางที่ไม่มีพวกมันตัวไหนยืนอยู่
เหล่าหมาป่าซึ่งเห็นเพื่อนของตนโดนเหยียบซะคว่ำไปต่อไม่ถูกก่อนที่จะงงงวยไปมากกว่านี้หมาป่าตัวใหญ่ที่เคยถูกไลออนยิงใส่ร้องคำรามเสียงดังก่อนที่ตัวอื่นจะร้องตามเหมือนตอบรับแล้ววิ่งไล่กวดไลออนที่ยังทุ่มเทกำลังทั้งหมดไปกับการวิ่ง
ไลออนเหลียวหลังไปมองเห็นพวกมันวิ่งตามมาก็นึกเดาไปในหัวว่าตัวที่เริ่มร้อง(และตัวที่เขายิง)นั่นคงจะเป็นจ่าฝูงก่อนที่จะหันกลับแล้ววิ่งต่อไป
คนปกติคงจะตายอนาถไปแล้วในตอนนี้แต่สำหรับไลออนที่นับว่าเป็นคนที่วิ่งเร็วที่สุดในหน่วยงานตอนนี้เขาทิ้งห่างจากพวกหมาป่ามาได้อยู่หลายเมตรโดยที่ไม่คิดอะไรมากไลออนหักเลี้ยวไปทางซ้ายซึ่งเป็นทางตรงข้ามกับจุดนัดรวมพลที่เขาตกลงกับเพื่อนๆไว้และวิ่งต่อไปในหัวก็คิดว่าจะเอายังไงต่อดีกับสถานการณ์แบบนี้
ในเวลาปกติเขาคงไม่ลังเลที่จะสู้หากแต่ศัตรูในคราวนี้มันไม่ใช่มนุษย์เขาก็ไม่รู้จะเอาลูกตะกั่วธรรมดาๆไปสู้กับมันทั้งที่ทำอะไรมันไม่ได้ทำไมให้เปลืองกระสุนหนทางเดียวในตอนนี้คงไม่พ้นการเอาตัวรอดโดยไม่ทำให้คนอื่นโดนลูกหลงไปด้วยก่อน
[“เฮ้ ไลออน ตอบหน่อยเกิดอะไรขึ้น?”]
เสียงปลายสายเริ่มออกแนวร้อนรนนั่นทำให้ไลออนเพิ่งนึกได้ว่าเพื่อนของเขายังอยู่ในสาย
“ขอโทษที ตอนนี้ยุ่งอยู่นิดหน่อย พวกนายอยู่ที่ไหนกัน?”
เมื่อสิ้นเสียงเขาตอบเหมือนได้ยินเสียงถอนใจโล่งอกของหลายคนดังขึ้นปลายสายก่อนที่จะได้รับคำตอบกลับมา
[“อยู่ที่จุดรวมพลน่ะ พวกเราช่วยตัวประกันกับผู้รอดชีวิตมาหมดแล้วนะ นายกลับมาได้แล้ว”]
[“เฮ้ เดี๋ยวๆ เมื่อกี้นายบอกว่ายุ่งอยู่ เจอการปะทะงั้นเหรอ?”]
จู่ๆเสียงที่สองก็แทรกเข้ามาในสายนั่นทำให้ไลออนถอนหายใจแบบไม่มีเสียงก่อนจะตอบออกไป
“นิดหน่อย”
[“ให้ไปช่วยไหม?”]
“ไม่เป็นไร”
ไลออนรีบตอบกลับแทบจะในทันที เพื่อนของเขาเก่งก็จริงแต่ถ้าให้มาเจอหมาป่าตัวใหญ่แถมยืนสองขาเป็นฝูงพ่วงด้วยลูกตะกั่วธรรมดาๆในมือที่ทำอะไรพวกหมาบ้าพวกนี้ไม่ได้มีหวังตายเรียบแน่
[“งั้นรีบหน่อยนะไลออน จะหมดเวลาปฏิบัติการแล้ว ถ้านายมาช้าถูกทิ้งไว้แน่”]
อีกเสียงดังพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะเล็กน้อยนั่นทำให้เขานึกได้อีกอย่าง
ไลออนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่ของเขาหรอกแต่เป็นนาฬิกาที่จะถูกแจกให้ทุกคนก่อนออกปฏิบัติการเป็นนาฬิกาที่มีไว้สำหรับแจ้งเวลาปฏิบัติการโดยเฉพาะ
เวลาที่เขาเห็นมันอดจะทำให้ใจหล่นวูบไม่ได้เมื่อมันเหลือเพียงแค่ 4 นาที
ไลออนเริ่มคิดในหัวอีกครั้ง
เขาจำทางที่เขาเดินผ่านมาก่อนจะมาเจอโรงรถนั่นได้ซึ่งไม่อยากจะคิดต่อเลยว่าตั้งแต่ทางที่เขาแยกกับพรรคพวกมาจนถึงตรงนั้นมันกินเวลาถึง 8 นาทีครึ่ง และทางที่เขากำลังวิ่งหนีพวกหมาป่านั่นอยู่มันอยู่ตรงข้ามกับทางที่เขาต้องไปซึ่งจากความรู้สึกเขาวิ่งมาเกิน 5 นาทีแล้ว คิดยังไงก็กลับไปไม่ทันแน่ๆ ยิ่งถ้าให้อ้อมนั่นยิ่งไม่ต้องคิดใหญ่
เขาไปไม่ทัน
เลวร้ายสุดคงต้องเผชิญหน้ากับหมาป่าบ้าพวกนี้ต่อและที่เลวร้ายกว่านั้นคืออาจจะตายทั้งๆที่ยังไม่ได้สู้เลยด้วยซ้ำ
“หึ ไปทันอยู่แล้วล่ะ และถ้าฉันไปทันพวกแกต้องเลี้ยงข้าวฉัน”
ไลออนพูดพร้อมหยักยิ้มน้อยๆเหลียวไปมองด้านหลังซึ่งยังเห็นหมาป่าตัวใหญ่พวกนั้นยังคงตามมาแถมใกล้กว่าเดิมไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเขาวิ่งช้าลง
[“โหหหหห เอาอีกแล้วนะ นายก็ใช่จะกินน้อยซะเมื่อไหร่”]
ตามมาด้วยเสียงหัวเราะของเพื่อนๆเขา...โดยที่ไม่เอะใจถึงประโยคหลังที่เขาพูดออกไปเลยสักนิด
ไลออนยิ้มอย่างที่นานๆทีจะทำแต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
เขาหันไปมองด้านหลังอีกครั้งซึ่งเห็นพวกหมาป่าน้อยลงกว่าเดิมมากนั่นทำให้เขาเบิกตาขึ้นเล็กน้อยพอจะรู้แล้วว่าทำไม
ไลออนหันหลังกลับตั้งท่าเตรียมยิงในตอนที่พวกหมาป่าซึ่งเคยมีเกินสิบตัวในตอนนี้มันเหลือแค่เพียง 6 ตัวเท่านั้นก่อนจะวาดขาไปด้านหลังใช้เท้ายันตัวเองไว้และลั่นไกปืนทันที!
เอ๋ง!
ไลออนพยายามเล็งไปที่หัวมันถึงแม้จะยิงโดนมันก็ไม่ตายก็เถอะแต่อย่างน้อยก็เหมือนจะทำให้มันช้าลงได้อยู่พอสมควร
เสียงแว่วๆในสายว่าเฮลิคอปเตอร์มาแล้วนั่นไม่ทำให้ไลออนสนใจนักเขายังคงระดมยิงพวกหมาป่าต่อไปอย่างบ้าคลั่งไม่สนว่ากระสุนใกล้หมดหรือเปล่าก่อนจะออกตัววิ่งไปทางพวกหมาป่าที่นอนฟุบแต่เขาก็รู้ว่ามันยังไม่ตายก่อนจะเร่งขาให้เร็วที่สุดแต่ความรีบร้อนทำให้เขาพลาดไปไม่ทันระวังตัวที่อยู่ด้านซ้ายมือเพราะเอาแต่หลบกรงเล็บของตัวด้านขวามือ
หันมาอีกทีถึงโดนข่วน(?)กลางอกยาวไปถึงกลางลำตัวตำแหน่งเดียวกันที่มีรอยขาดบนเสื้อเกราะกันกระสุนจากตัวจ่าฝูงนั่นเข้าอย่างเต็มรัก
“อึก..”
ไลออนกัดฟันพยายามกลั้นเสียงและความเจ็บก่อนจะวิ่งไปทางที่เขาพาพวกมันวิ่งมาโดยที่ละมือซ้ายที่ใช้ประคองปืนมากดแผลที่เลือดไหลทะลักของตน
[“เฮ้! ไลออนอยู่ไหนน่ะ? พวกเรากำลังขึ้นฮอฯกันแล้วนะ”]
เสียงเพื่อนที่ยังคงอยู่ในสายสื่อสารดังขึ้นถามแต่ไลออนไม่ได้ตอบกลับไป
เสียงเรียกยังคงดังอยู่อย่างต่อเนื่องแต่ไลออนเลี่ยงที่จะส่งเสียงตอบกลับไป
จากที่ฟังแล้วเหมือนจะเกิดความโกลาหลทางปลายสายนิดหน่อยเพราะเหมือนเพื่อนของเขาหลายคนบอกจะออกมาตามหาเขาแต่อีกหลายคนที่ไม่ใช่คนในหน่วยของเขาและมีผู้บังคับบัญชาคนหนึ่งที่ไม่ได้ขึ้นตรงต่อหน่วยเขาซึ่งมากับเฮลิคอปเตอร์นั่นด้วยห้ามเอาไว้แล้วเหมือนจะขู่อะไรบางอย่างหากไม่ยอมกลับไปโดยดี นั่นทำให้เพื่อนของเขาที่ยังอยู่ในหน่วยต้องนั่งอยู่เฉยๆตามคำสั่งโดยที่พยายามส่งเสียงเรียกหาเขาทางสายสื่อสารอยู่หลายครั้งแต่ไลออนก็ไม่ได้ตอบกลับไป
ตอนนี้ไลออนกำลังเดินไปทางจุดรวมพลของพวกเขาโดยที่ไม่ได้รีบร้อนอะไร
เขาวิ่งไม่ไหวจากตอนที่วิ่งหนีพวกมันไปหลายกิโลฯรวมกับอาการขาดเลือดตอนนี้มันเริ่มทำให้เขาตาลายคิดว่าถ้าใช้แรงมากกว่าเดินคงได้ล้มกลางทาง
ไลออนเดินเข้าไปชิดเศษซากกำแพงแห่งหนึ่งก่อนจะพิงหลังพร้อมกับหลับตาแล้วเงยหน้าขึ้นสูดอากาศหายใจที่ไม่บริสุทธิ์นักหากใครมาเห็นคงจะเห็นว่าเขาหน้าซีดจากการขาดเลือดขนาดไหน ไม่เพียงแค่นั้นยังมีเม็ดเหงื่อมากมายที่ไหลลงมาตามใบหน้า ข้างขมับ ลำคอและตามร่างกายที่ค่อยๆซึมออกมา
เริ่มรู้สึกว่าเข่าอ่อนลงที่ละน้อยแต่ยังคงไม่ทรุดลงไปเขาหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องมาเป็นแบบนี้
ทั้งถูกลากตัวออกมาอย่างไม่เต็มใจข้าวหรืออะไรก็ยังไม่ลงท้องตั้งแต่เช้าตอนแรกก็ว่าจะหาน้ำดื่มพอเพื่อนในหน่วยกำลังจะแบ่งให้ก็ถูกเรียกกะทันหันพร้อมคำขู่ว่าถ้าไม่รีบไปจะเจอกับอะไรบ้าง นั่นทำให้เขาเหนื่อยหน่ายจริงๆ
ไม่พอต้องทั้งวิ่ง ทั้งหลบ ทั้งซ่อนจากกองกำลังติดอาวุธของประเทศรุกรานนั่น ช่วยตัวประกันช่วยผู้รอดชีวิตบางครั้งก็ต้องช่วยเพื่อนตัวเอง ไม่พอมาเจอสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์นี่ วิ่งหนี ยิง บาดเจ็บเลือดโชก วิ่ง เดิน และจบด้วยการพิงกำแพงนี่
“เฮ้อ”
ไลออนไม่เคยนับว่าตั้งแต่เขาถูกลากมากับเพื่อนและถูกปล่อยในประเทศนี้เขาถอนหายใจออกมาแล้วกี่ครั้ง
ไลออนนั่งลงไปกับพื้นมือขวาที่ถือปืนยังคงจับมันไว้แต่ไม่แน่นพอมือซ้ายก็ทำหน้าที่ในการกดบาดแผลใหญ่ที่ถ้าเขารอดไปได้มันคงจะเป็นแผลเป็นอย่างแน่นอนลืมตาขึ้นมองท้องฟ้าสีน้ำเงินสนิทจนเหมือนสีดำช่างดูแปลกตาในคืนแบบนี้ที่มีดวงดาวประดับพร่างพรายส่วนสิ่งที่ไม่ควรมีกลับเป็นขวัญสีขาวเทาที่ลอยขึ้นเป็นจุดๆแล้วบางสิ่งบางอย่างก็เข้าสู่กรอบสายตา
เฮลิคอปเตอร์ลำขนาดกลางหลายลำลอยผ่านไปแต่ว่าประตูของมันไม่ได้ปิดเขามองเห็นคนอื่นและเพื่อนของเขาบนเหล็กลอยฟ้า(เฮลิคอปเตอร์)นั่นแม้มันจะไกลขนาดนี้และในจังหวะที่เขาเห็นเพื่อนของเขาหันหัวไปมาเหมือนหาใครคนคนเดียวกันก็หันมาทางเขาจนเขาคิดไปว่าเหมือนจะสบสายตากันได้อย่างไรอย่างนั้น
เพื่อนคนนั้นทำหน้าตกใจแล้วพูดเสียงดัง
“ไลออน!!”
ไลออนกระตุกยิ้มกับความคิดว่าเขาได้ยินเสียงเพื่อนคนนั้นจากบนเครื่องบินทั้งๆที่เขาสวมหูฟังสำหรับสื่อสารไว้อยู่แต่มันก็อดคิดไม่ได้อยู่ดีเพราะว่าสิ่งที่เขาได้ยินที่หูขวานี่มันเป็นเสียงขาดๆหายๆเพราะสัญญาณเริ่มห่างออกไป
[“ไล..อน..ครึ่กก..อ้องไป..ครึ่กก..อ่วยเขา!! ซ่าาาา...”]
เสียงขาดๆหายนั่นพอจะทำให้เขาจับใจความได้แม้ประโยคจะไม่สมบูรณ์
เขาไม่รู้ว่าถ้าเขาพูดไปตอนนี้ทางนั้นจะได้ยินรึเปล่าแต่เพื่อไม่ให้ใครต้องมาเป็นแบบเขา
“...ไป”
เพียงคำสั้นๆคำเดียวทำให้คนบนเครื่องนิ่งงัน
เพื่อนของเขาที่พูดอยู่ก่อนหน้านี้เช่นกัน ก่อนจะรู้สึกตัวเมื่อภาพเพื่อนสนิทเริ่มไกลห่างเขาทำท่าจะกระโดดลงจากเฮลิคอปเตอร์ทั้งที่ยังไม่ได้สวมร่มชูชีพแต่ก็แทบจะหงายไปข้างหลังทันทีที่ถูกเพื่อนหลายคนมาดึงไหล่ไว้ด้วยอารามตกใจเมื่อเห็นเพื่อจะกระโดดลงไป
เหมือนเหตุโกลาหลจะเกิดขึ้นอีกครั้งที่ทำให้เฮลิคอปเตอร์ถึงกับแกว่งไปมาเสียงโต้เถียงก็ยังดังในสายอย่างขาดๆหายๆซึ่งไลออนไม่มีสติพอที่จะจับใจความนั่น
วินาทีเดียวกับที่เพื่อนของเขาบนเฮลิคอปเตอร์และเป็นเพียงคนเดียวที่บ้าบิ่นขนาดจะกระโดดลงมาอย่างไม่ยั้งคิดนั่นถูกสับต้นคอให้สลบไลออนเห็นเงาเหมือนคนเดินอยู่ตรงหน้า
ไลออนพยายามเปิดตาขึ้นเพื่อมองให้ชัดแต่ถึงจะทำแบบนั้นยังไงไลออนก็ยังมองให้เห็นไม่ได้อยู่ดี
อาจจะเพราะเขาใส่แว่นสำหรับมองตอนกลางคืนอยู่หรือเขาง่วงเกินกว่าที่จะลืมตาได้
สุดท้ายก็สลบไปทั้งๆที่ยังไม่แน่ใจว่านั่นใช่คนหรือเปล่า และภาพสุดท้ายที่เห็นคือภาพของคนหรืออาจจะคนด้านหน้ายื่นมือมาทางเขา โดยที่ยังไม่รับรู้ถึงแรงสัมผัสโลกทั้งใบก็วูบลงไปทันตา
TBC. Episode 1 in page
----------------------------------------------------------------------------------------------------
บทที่ 1 เรเนซองส์
“ค้นหาให้ทั่ว! ถ้าเจอใครก็ลากมันมา!”
เสียงนั่นทำให้ไลออนต้องตื่นขึ้นมาอย่ารำคาญใจก่อนที่เขาจะรู้สึกว่านั่งอยู่โดยที่มือไขว้หลังพร้อมเส้นพลาสติกที่ใช้มัดมือเขาไว้
มันเดาไม่ยากเลยว่าไอ้ที่รวบมือเขาไว้อยู่มันคือเส้นพลาสติกที่พอดึงมันก็แน่นได้จะเอาออกได้คงต้องใช้มีดตัดนั่นเกือบทำให้เขาถอนหายใจถ้าไม่มีเสียงดังตึงตังตำแหน่งเดียวกับบนหัวเขาดังขึ้นมา
นั่นทำให้ไลออนต้องเงยหน้ามอง
แล้วก็รู้สึกตัวว่าตัวเองมีแผลอยู่เพราะรู้สึกเจ็บ ไลออนขมวดคิ้วเพราะความแสบมันแล่นแปล๊บทำให้จากที่มองเหนือหัวไปก้มลงมองที่ลำตัวของตัวเองแทน
เขาเห็นผ้าก๊อตสีขาวพันพาดผ่านลำตัวบริเวณที่มีแผลและเริ่มจะมีเลือดสีแดงสดซึมออกมาซึ่งดูยังไงก็มากพอตัว มากซะจนเขาคิดว่าคนที่ทำแผลที่ดูเหมือนเรียบร้อยนี่ให้ไม่ได้เย็บไปด้วย
แกร๊งง
“เสียงอะไรว่ะ!!?”
เสียงเหมือนตะคอกถามข้างบนดังขึ้นอีกครั้งนั่นทำให้ไลออนเงยหน้าขึ้นไปมองโดยอัตโนมัติและทั้งๆที่เขาไม่ได้ทำเขากลับลอบกลืนน้ำลายซะเอง
อันที่จริงเสียงนั่นมันไม่ได้ดังจากที่ที่เขาอยู่ด้วยซ้ำ
เสียงตึงตังของเท้าหลายคู่วิ่งไปทางหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นที่มาของเสียงนั่นทำให้เขาเกือบจะลอบถอนหายใจทางปากแบบคนโล่งอกหรืออาจจะหนักใจเต็มที่
ถ้าไม่มีมือใครมาปิดปากพร้อมด้านคมของมีดสั้นจ่อคอซะก่อน
“เงียบไว้”
เสียงทุ้มยะเยือกแบบที่ไม่มีทางเป็นผู้หญิงดังขึ้นข้างหูใกล้ซะจนเขาขนลุกนั่นอดจะทำให้เหลือบไปมองไม่ได้
เห็นก็แต่เพียงเงาลางๆเป็นใบหน้าด้านข้างของผู้ชายคนหนึ่งที่ไม่ได้กำลังมองมาที่เขาแต่กลับมองไปด้านบนแทน ไลออนมองตามสายตาขึ้นไปตอนแรกเขาก็สงสัยว่ามองอะไรแต่พอเขาลองมองดูดีๆถึงได้เข้าใจว่าทำไมชายคนนี้ถึงบอกเขาแบบนั้น
ในตอนแรกที่เขาคิดว่าคนด้านบนไปหมดแล้วกลับเห็นเงาขากางเกงโผล่ออกมาจากช่องว่างที่แสงส่องเข้ามาได้นั่นทำให้ไลออนเกร็งตัวอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้ง
ใช้เวลาซักพักคนด้านบนถึงก้าวเดินออกไปอย่างไม่รีบร้อนก่อนที่เสียงเดินจะห่างออกไปเรื่อยๆ และแม้จะแทบไม่ได้ยินเสียงชายคนนี้ก็ยังไม่ปล่อยมือจากปากเขา
ไลออนเพิ่งรู้สึกตัวอีกครั้ง ว่าตั้งแต่ที่ชายคนนี้ใช้มือปิดปากเขาไว้เขากลั้นหายใจตลอดเวลาเพิ่งหายใจได้แบบปกติก็ตอนที่นึกได้นี่แหละ
ในที่สุดคนข้างหลังก็ยอมปล่อยมือออกก่อนจะชักมีดกลับไปเก็บไว้ที่เอวตัวเองพร้อมๆกับเดินมาด้านหน้าไลออน
แม้ตอนแรกจะมองเห็นแค่เงาสลัวๆเพราะตายังไม่ชินกับความมืดตอนนี้เขาเริ่มมองเห็นได้ชัดเจนขึ้นเมื่อลองอยู่นิ่งๆแบบนี้นานๆแล้วเขาก็นึกออกว่าควรจะพูดอะไรกับผู้ชายตรงหน้าคนนี้ดี
“นาย...ช่วยฉันไว้เหรอ?”
รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยว่าเสียงของเขามันแหบพร่าขนาดนี้เชียวเหรอ?
“จะเอาตอนไหนดีล่ะ ตอนข้างบนหรือเมื่อกี้ดี? จะตอนไหนฉันก็ไม่ได้ช่วยแกทั้งนั้นแหละ แค่ตอนที่แกสลบฉันเห็นแกขวางทางเดินเลยเอามาเก็บไว้นี่เผื่อใช้อะไรได้กับเมื่อกี้ถ้าแกส่งเสียงดังฉันก็จะซวยไปด้วยเท่านั้นเอง ฉันช่วยตัวเองทั้งนั้น”
ผู้ชายด้านหน้าตอบด้วยน้ำเสียงดูดุดันทั้งที่ทำหน้าเย็นชาซะจนเขาต้องคิดว่าคิดถูกหรือผิดที่ถามออกไป
“เหรอ”
ไลออนตอบกลับก่อนจะต้องซี๊ดปากเบาๆเพราะขยับตัวผิดจังหวะจนรู้สึกว่าแผลมันฉีกและเลือดมันซึมออกมามากกว่าเดิม
“นายได้เย็บรึเปล่า”
“เปล่า”
คำตอบนั้นทำให้ไลออนต้องเงยหน้ามองชายตรงหน้าพร้อมเบิกตามองค้าง “ห้ะ!?”
“ก็ไม่ได้เย็บ”
ผู้ชายตรงหน้าตอบพร้อมกับยักไหล่อย่างไม่สนใจใยดีอะไรก่อนจะหันหลังแล้วเดินออกไป เหมือนไลออนจะเห็นว่าเขาเดินไปทางหนึ่งพอเข้าใกล้มันก็สว่างขึ้นมาคาดว่านั่นคงจะเป็นบานประตูที่เขาคงจะเปิดออกไปข้างนอก
เมื่อไม่มีใครในห้องไลออนก็หันกลับมาที่ตัวเองอีกครั้งรู้สึกว่าการกระทำของคนเมื่อครู่มันทำให้เขาหงุดหงิดแปลกๆเพราะมันดูกวนประสาทยังไงชอบกล
เขาเริ่มรู้สึกว่าตัวเองหมดแรงอีกครั้ง
ไม่มีแรงแม้แต่จะยกไหล่ตัวเองขึ้นให้มันตกลงตามแรงโน้มถ่วงไปกับมือที่ถูกมัดไว้จนนานๆไปเริ่มรู้สึกปวดเขาเงยหน้าขึ้นมองเพดานอีกครั้งพร้อมกับเหงื่อกาฬที่เริ่มไหลลงมา
ผ้าก๊อตเหมือนจะทำได้เพียงชะลอการไหลของเลือดไม่ให้มันทะลักออกมามากขึ้นแต่ไม่ได้ช่วยให้มันหยุดไหลเลยแม้แต่น้อย
ไลออนหลับตาลงก่อนที่จะหมดสติไปอีกครั้งคอตกลงอย่างไม่มีแรงประคองแล้วก็ไม่รับรู้สิ่งใดอีก....
ความรู้สึกเย็นๆตรงหน้าและลำคอนั่นทำให้เขาเริ่มรู้สึกตัวและลืมตาขึ้นมา
ความรู้สึกปวดระบมที่แผลนั่นทำให้ต้องหลับตาลงพร้อมขมวดคิ้วอย่างสะกดกลั้นความเจ็บเล็กน้อยก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้งทั้งๆที่ยังไม่สามารถลืมตาได้ทั้งหมด
ภาพที่เห็นเป็นสิ่งแรกคือสีขาวๆของผ้าที่ลากผ่านหางตาไปและภาพมัวๆของผู้ชายคนเดิมที่เอาเก้าอี้ที่ไหนไม่รู้มานั่งข้างๆ
ไลออนมองชายคนนั้นนิ่งด้วยอารมณ์ไม่อยากเชื่อนิดๆแต่ก็แสดงออกไปเพียงสีหน้านิ่งเรียบของตัวเองและไม่พูดอะไรออกไปสักคำ
ผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านข้างเองก็ไม่ได้พูดอะไรเขาไม่ได้มองหน้าไลออนด้วยซ้ำสิ่งที่ปรากฏอยู่ในดวงตาของเขาคือเงาของบริเวณที่ลากผ้าไปเช็ดและเหมือนจะจดจ่ออยู่กับมันจนไม่สนว่าจะมีใครตื่นมานั่งมองหน้าตนเช่นในตอนนี้
จนสุดท้ายทั้งสองคนก็ได้นั่งสบตากันจนได้ยามชายหนุ่มด้านข้างลากผ้าขาวจะไปเช็ดขมับอีกข้างเขาหยุดมือเมื่อเห็นว่าอีกคนมองตนอยู่
“มองอะไร”
ไลออนไม่ได้ตอบก่อนจะจ้องกลับราวกับกำลังเล่นเกมจ้องตากันจนท้ายที่สุดก็เป็นไลออนนั่นแหละที่พูดขึ้นก่อน
“นายเย็บแผลให้ฉัน?”
ยืนยันจากความปวดบรมพร้อมความรู้สึกเหมือนหัวใจมาเต้นตุบตับอยู่รอบแผลใหญ่ของตัวเองโดยที่ไม่จำเป็นต้องมองเลยด้วยซ้ำ
“....”
ชายหนุ่มไม่ได้ตอบกลับเขาเพียงมองตาไลออนอีกสักเล็กน้อยก่อนจะไปจดจ่ออยู่กับผ้าสีขาวนั่นต่อแม้ว่าอีกคนจะยังมองตนอยู่ก็ตาม
จนแล้วจนรอดการเช็ดตัวแค่ที่ใบหน้าและลำคอก็เสร็จในเวลาไม่กี่นาทีต่อจากนั้น จนตอนนี้คนที่ไลออนยังไม่รู้จักชื่อทำเพียงแค่ใช้กระป๋องน้ำแบบแบนเทน้ำใส่ผ้าแล้วบิดให้แห้งก่อนจะเอาไปวางผึ่งไว้ที่ราวอะไรสักอย่างตรงมุมห้องโดยที่ข้างๆกันนั้นมีผ้าผืนเท่าๆกันแต่กลับเป็นสีแดงอ่อนๆโดยยังหลงเหลือพื้นที่สีขาวไว้บางแห่ง ไลออนมองตามก่อนจะก้มมองแผลตนที่รอบๆเหมือนถูกเช็ดเลือดออกไปก็ทำให้เข้าใจได้
จะว่าไปแผลที่ถูกทำให้นี่มันดูเรียบร้อยเกิดคาดแหะ...
“เอาล่ะ ทีนี้มาคุยกัน”
ชายหนุ่มตรงมุมห้องพูดก่อนที่จะเดินมายืนกอดอกพิงกำแพงตรงข้ามกับไลออนพร้อมใช้สายตาภายใต้เงาสลัวๆนั่นมองมาทางเขา
“ทำไมพวกนั้นถึงตามแก?”
ไลออนขมวดคิ้วแล้วพูดทวน “พวกนั้น?”
“ไอ้ตัวที่ทำให้แกมีแผลน่ะ”
“ฉันจะไปรู้เรอะ”
คนตรงข้ามขมวดคิ้วถ้าไลออนมองไม่ผิดล่ะก็ก่อนจะถามมาอีกครั้งทั้งที่ยังทำหน้าครุ่นคิดอยู่
“ไหนลองเล่าตอนที่เจอกับพวกมันหน่อยซิ”
“ทำไมฉันต้องเล่า”
ไลออนไม่เข้าใจว่าทำไมตัวเองจะต้องไปเล่าเรื่องน่าบัดซบอะไรแบบนั้นให้คนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักฟังทั้งเพิ่งเจอแถมมันยังเหมือนจะจับเขาเอาไว้อีกด้วย ความรู้สึกเหมือนตกเป็นเบื้องล่างนี่เขาไม่ชอบสักเท่าไหร่ถึงแม้หมอนั่นมันจะช่วยเขาไว้ก็เถอะ
และเหมือนว่าคนตรงข้ามเองก็ไม่พอใจเหมือนกันที่เขาพูดแบบนั้นออกไป
“ทำไมต้องยึกยักด้วยว่ะ ถ้าไม่อยากต้องเสียเลือดเสียเนื้อก็เปิดปากพูดมาซะ ไม่งั้นแกคงได้ไปเผชิญหน้ากับไอ้พวกนั้นคนเดียวแน่”
ไลออนขมวดคิ้วกับคำต่อขาน
“ทำไม? นายจะเอาฉันไปปล่อยเหรอ”
ชายหนุ่มเบื้องหน้ายกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆอย่างหงุดหงิด เขาไม่มีทางเอาหมอนี่ไปปล่อยหรอก ก็เขาพาหมอนี่มาไว้เพื่อที่มันจะได้เป็นประโยชน์กับเขาต่างหากล่ะ แต่ไอ้ความกวนประสาทนั่นมันก็ยังทำให้เขาหงุดหงิดอยู่ดี หงุดหงิดจนอยากลงไม้ลงมือด้วยซะเดี๋ยวนี้
“จะไม่พูดก็เรื่องของแก”
ไลออนอดจะแปลกใจไม่ได้ นึกว่าหมอนี่มันจะพูดอะไรมากกว่านี้ พูดอย่างที่ไม่ใช่แบบเมื่อกี้ แต่เขาก็ไม่ได้ทักเมื่อแลเห็นว่าผู้ชายตรงหน้าดูจะหงุดหงิดอยู่พอสมควร ไลออนเองก็เป็นคนดูสถานการณ์ออกจึงไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้ความเงียบเข้าครอบงำ
“...”
“...”
จนแล้วจนรอดก็ไม่มีใครพูดอะไร ผู้ชายตรงหน้าทำเพียงยืนกอดอกเอนหลังพิงกำแพงดังเดิมพร้อมกับที่หลับตาลงข่มความหงุดหงิดในใจไว้
ติ๊ด ติ๊ด ตี๊ดดด
เสียงสัญญาณกระพริบที่ไลออนได้ยินจนชินหู เป็นเสียงเรียกเข้าโทรศัพท์ของเขาที่มันถูกเก็บไว้ในกระเป๋าหลังเสื้อเกราะที่ตอนนี้ถูกถอดไปวางข้างกำแพงฝั่งเขาติดกับประตูเพียงหนึ่งเดียวในห้อง
ชายแปลกหน้าหันไปทางต้นเสียงด้วยใบหน้าที่ยังขมวดคิ้วไว้อยู่ก่อนที่จะผละจากกำแพงที่ตัวเองยืนพิงไปทางต้นเสียงนั่น
ไลออนที่ทำได้แต่นั่งบนเก้าอี้โดยที่ไม่สามารถขยับได้มากเพราะเจ็บแผลเองก็มองตามชายหนุ่มที่ตอนนี้นั่งย่อตัวลงแล้วพลิกเสื้อเกราะที่ขาดแหว่งเป็นรอยเล็บใหญ่ๆด้านหน้าของเสื้อไปทางด้านหลังซึ่งเป็นต้นเหตุของเสียงนั่นเขาเปิดกระเป๋าเล็กที่ส่องแสงกระพริบลอดเนื้อผ้านั่นแล้วหยิบของข้างในออกมา
เป็นวัตถุทรงสี่เหลี่ยมสีดำสนิทแถมเป็นแบบไร้ปุ่มกดที่ปัจจุบันหน้าจอมันส่งแสงกระพริบเป็นสายเรียกเข้าโดยที่มีชื่อกำกับอยู่ข้างบน
‘เอ็ดวานส์’
“ใครคือเอ็ดวานส์?”
ชายหนุ่มแปลกหน้าหันมาทางคนที่ตนช่วยทำแผลและกักตัวไว้ ซึ่งคนบนเก้าอี้ก็ตอบมาด้วยสีหน้านิ่งเรียบ
“เพื่อนในสังกัดหน่วย”
“แสดงว่าแกเป็นทหารจริงๆ”
ชายแปลกหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนเข้าใจในอะไรบางอย่างสายตาก็มองหน้าจอที่ยังกระพริบสายเรียกเข้าพร้อมเสียงริงโทนที่ไม่ได้ผ่านการตั้งค่าอะไรมากมาย
“จะรับก็ได้นะ ฝั่งนั้นจะได้รู้ว่าฉันยังมีชีวิตอยู่”
ไลออนพูดด้วยความรู้สึกที่ไม่ใช่แบบนั้นจริงๆสีหน้าและแววตายังคงเรียบเฉย ชายแปลกหน้ามองไลออนสลับกับหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะกำเครื่องมือสื่อสารเครื่องนั้นแน่นส่งผลให้นิ้วมือไปกดโดนปุ่มปิดเครื่องด้านข้างแล้วหน้าจอมันก็ดับลงกลายเป็นสีดำสนิท
“แบบนี้ดีกว่า” ก่อนจะเก็บวัตถุเดิมลงที่ที่นำมันออกมา
ไลออนมองชายแปลกหน้าที่กำลังยุ่งกับโทรศัพท์ของตนนิ่งกว่าเดิมแต่ก็ไม่ได้พูดต่อว่าหรืออะไรแบบถ้าเป็นคนปกติคงจะทำ แต่ในสถานการณ์แบบเขาและการเป็นเขานี่การทำอะไรแบบนั้นมันคงดูน่าหัวเราะมาก
ชายแปลกหน้าคนเดิมหลังจากจัดการกับเครื่องมือนั่นเสร็จถึงได้หันมาหาไลออน ในทีแรกเขาทำทีจะเดินเข้ามาหาแต่เหมือนวินาทีที่กำลังจะก้าวเดินเขาหยุดชะงักไปก่อนจะหันหน้าไปทางขวาแล้วยกมือขวาขึ้นจับปลายคางทำท่าเหมือนครุ่นคิด
ไลออนมองอย่างไม่เข้าใจการกระทำนั้นก่อนที่ชายแปลกหน้าจะหันมาหาเขาอีกครั้ง แล้วถาม
“แกน่ะโดนหมาป่าตัวไหนทำร้ายมาเหรอ?”
ไลออนขมวดคิ้ว
“ใครมันจะไปจำได้”
ตอนนั้นเขารีบแถมทางก็ไม่ได้สว่างนักตัวไหนเป็นตัวไหนเขามองไม่ออกหรอก สิ่งที่เขารู้ก็มีเพียงแต่ว่าพวกมันเป็นหมาป่าที่ตัวใหญ่กว่าคนปกติเท่านั้น
“ลองนึกดูดีๆซิ มันมีลักษณะพิเศษอะไรหรือเปล่า?”
ชายแปลกหน้ายังคงคาดคั้น แม้ไลออนจะยังคงหงุดหงิดที่ถูกถามอะไรที่เขาไม่รู้แต่ก็ไม่ได้เปิดปากโต้เถียงหรือตัดพ้อเขาทำเพียงขมวดคิ้วลงโดยที่สายตามองไปที่พื้นด้านหน้าพยายามนึกภาพของหมาป่าตัวที่สร้างแผลให้เขาให้ออก
พอเริ่มนึกดูดีๆก็เหมือนจะเห็นอะไรในความทรงจำที่เลือนราง
“ถ้าจำไม่ผิดมันน่าจะมีแผลเป็นเหมือนถูกมีดฟันแถวๆขมับด้านซ้ายนะ” ไลออนพูดพร้อมๆกับขมวดคิ้วไปด้วยโดยที่สายตายังไม่ละจากพื้น
เขาเลยไม่ได้เห็นสีหน้าของชายแปลกหน้าคนนั้น
“หืม...แผลเป็นเหมือนถูกมีดฟันแถวขมับด้านซ้ายงั้นรึ...งี้นี่เอง”
ไลออนเงยหน้ามองตามเจ้าของเสียงพึมพำที่ตอนนี้ทำท่าจะเดินออกประตูไปอีกครั้ง
“นายจะไปไหนน่ะ?” ด้วยความลืมตัวไลออนจึงถามออกไป ก่อนหน้านี้ที่หมอนั่นออกไปเขาก็ไม่ได้เห็นตอนที่ผู้ชายคนนั้นเดินกลับมาเลยไม่รู้ว่าไปนานเท่าไหนเพราะเผลอหลับไปตอนนี้หลังจากคุยกันมากกว่าเดิม(น่าจะเป็นอย่างนั้นนะ)มันจึงอดสงสัยไม่ได้
“แกคงต้องกินยาสักหน่อย”
แล้วก็เปิดประตูเดินออกไปทิ้งให้เขานั่งอยู่ในความมืดและเงียบเพียงลำพัง
ไลออนขมวดคิ้วไม่เข้าใจโดยทำได้เพียงแค่คิด
ทำไมเขาจะต้องกินยาด้วยว่ะ?
ไม่นานหลังจากนั้นผู้ชายคนเดิมก็เดินเข้ามาพร้อมถือแก้วใสขนาดกลางโดยที่ภายในแก้วนั่นมีของเหลวสีอำพันใสๆแต่ดูหนืดเหมือนน้ำผึ้งมาด้วย
ชายคนนั้นเดินมาหยุดข้างหน้าไลออนก่อนจะยื่นแก้วมาไว้ข้างหน้าแล้วพูดเสียงเรียบ
“ดื่มซะ”
ไลออนมองของในแก้วนั่นโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าเผลอขมวดคิ้วออกไป
โดนมัดอย่างนี้จะดื่มยังไงมันฟ่ะ...
เหมือนผู้ชายคนนั้นจะดูออกเขาถอนหายใจเบาๆแทบไม่มีเสียงก่อนจะขยับเข้ามาด้านข้างใกล้ขึ้นแล้วใช้มือขวาจับหลังต้นคอไลออนให้เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยมือซ้ายที่ถือแก้วก็ขยับเข้ามาให้ขอบแก้วชิดริมฝีปากโดยที่ไลออนไม่ทันได้ตั้งตัวหรือพูดอะไร
รสชาติขมปร้าที่สัมผัสได้เมื่อของเหลวนั่นโดนลิ้นและไหลลงคอช่างไม่เข้ากับสีเหมือนน้ำผึ้งของมันเอาซะเลยไลออนเผลอทำท่าจะคายแต่ก็ทำไม่ได้เมื่อยังถูกดันต้นคอและมือของอีกคนยังกระดกของเหลวนั่นให้เขาโดยไม่ยอมให้เขาได้คายมันออกมา การถูกยัดเยียดยาประหลาดๆให้โดยไม่เต็มใจทำให้ไลออนถึงกับสำลักเพราะหายใจไม่ทันและมันเกือบจะเข้าจมูกถ้าชายแปลกหน้าคนนั้นไม่ยกแก้วออกซะก่อน
“แค่กแค่ก..แฮ่ก แค่กแค่กแค่ก...”
ไลออนไอออกมาพร้อมของเหลวของยาหรืออะไรซักอย่างนั่นปนออกมาด้วยโดยมีคนที่เป็นเจ้าของยืนมองอยู่ใกล้ๆ
“ทำ..แค่กแค่ก..ทำอะไรน่ะ”
ไลออนถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจมากกว่าจะเป็นการสงสัยดวงตาคมเหลือบมองคนด้านข้างเป็นช่วงๆ
“ให้แกกินยาไง เผื่อไว้ก่อน”
อีกคนก็ตอบได้ไม่ดูอารมณ์ไลออนรู้สึกฉุนกึกกับความหน้าตายที่มันดูจะด้านมากกว่าของอีกคนแล้วหันไปตะคอกถาม
“เผื่ออะไร!? นั่นมันหมายความยังไม่เกิดขึ้นไม่ใช่เหรอ? นี่นายจะช่วยหรือจะฆ่ากันแน่!?”
“ฉันไม่เคยบอกว่าฉันจะช่วยแก”
ไลออนรู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิม บางทีเขาอาจจะไม่หงุดหงิดขนาดนี้ถ้าไอ้ยาประหลาดๆที่อีกคนยัดเยียดให้เขากินมันไม่ไหลเลอะเทอะมุมปากยาวไปถึงลำคอขนาดนี้ แถมมันดันตรงกับลักษณะก่อนหน้านี้ของมันเองซะอีกตรงที่มันโคตรจะทำให้เขาเหนียวปากเหนียวคอสุดๆไปเลย!
“เอ้า หายสำลักแล้วใช่มั้ย? จะได้กินต่อ”
พูดเสร็จก็ขยับมือที่ถือแก้วเข้ามาใกล้ริมฝีปากเขาเพื่อจะให้เขาดื่มมันให้หมดจากตอนนี้ที่เหลือเพียง 1 ส่วน 4 แก้วจากเดิมที่มีเกือบเต็ม
ไลออนหันหน้าหลบไปด้านขวาทันทีแม้จะมีมืออีกคนจับหลังต้นคอไว้อยู่
“ทำไมฉันต้องกินมัน”
ชายหนุ่มแปลกหน้าขยับแก้วออกแล้วมองเขาอีกครั้ง
“ก็กินไปแล้วแกจะถามทำไม”
ไลออนขมวดคิ้วหางตาเหลือบมองหน้าคนที่ยืนอยู่ด้านข้าง นั่นมันไม่ใช่คำตอบของคำถามที่เขาถามนะ!...
“ถ้าไม่กินแล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น?”
“ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มตอบแทบจะทันทีที่จบคำถามใบหน้ายังคงไว้ซึ่งความเรียบเฉย
“แล้วทำไมฉันต้องกิน?” คราวนี้หนุ่มหน้านิ่งเริ่มจะขมวดคิ้วบ้างแล้วกับความเรื่องมากของอีกคน
“อย่าถามมากได้มั้ย รู้แค่ว่าต้องกินก็พอ”
แล้วก็ขยับแก้วเข้าหาหวังจะให้คนบนเก้าอี้เงียบปากเสียทีแต่ไลออนก็หันหลบไปอีกทางอย่างไม่ยอมแพ้
ชายหนุ่มเจ้าของแก้วยาขมวดคิ้วหนักคิดว่าทำไมคนที่เขาพามาที่นี่ถึงดื้อแพ่งขนาดนี้ รู้แค่ว่าต้องกินนี่มันไม่พอหรือไงนะ?
ไลออนหันหลบไม่ยอมท่าเดียวเขาเริ่มรู้สึกไม่สบายตัวขึ้นจากการแห้งตัวของของเหลวสีอำพันใสนี่มันเหนียวหนืดจนเขารู้สึกรำคาญมากถึงมากที่สุด อีกคนที่พยายามยัดเยียดยาเห็นท่าทีก็ถอนหายใจละจากคนบนเก้าอี้เอายาไปวางไว้บริเวณที่เหมือนเคาน์เตอร์ไม่สมประกอบด้านหลังคนที่เขาพามาอย่างยอมแพ้
อย่างน้อยก็กินไปแล้วเกินครึ่ง ไม่เป็นอะไรหรอกมั้ง?
“นั่นมันยาอะไร?”
ไลออนหันไปถามคนด้านหลังที่ยังคงยืนมองแก้วยาที่ยังเหลือ 1 ส่วน 4 ของแก้วซึ่งเป็นปริมาณเท่าเดิมที่จะให้เขาดื่มต่อนิ่ง
“ยาระงับ”
“ระงับอะไร?”
ชายหนุ่มแปลกหน้าที่จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่รู้ชื่อยิ่งกว่านั้นคือยังไม่สามารถเห็นหน้าได้ชัดเจนเพราะความมืดแม้จะมีแสงสว่างลอดจากช่องด้านบนลงมาแต่ก็ไม่สามารถที่จะทำให้เห็นหน้าใครได้ชัดได้
แต่ที่เขาเห็นตอนนี้เขามั่นใจมากว่าตัวเองเห็นชัด
รอยยิ้มดูแคลนจากคนคนนั้นที่ส่งให้เขาพร้อมดวงตาที่หรี่ลงนั่นทำให้รู้สึกเหมือนโดนทิ่มฉึกกลางอกด้วยความเจ็บใจก่อนที่ฝ่ายนั้นจะเอ่ยตอบออกมา
“ไม่ต้องรู้ก็ได้มั้ง”
โดยที่ไม่ได้ปะปนถึงอารมณ์อะไรที่เหมือนคำถามเลย
ไลออนขมวดคิ้วแสดงถึงความไม่พอใจอย่างชัดเจนแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรทำได้เพียงสะบัดหน้ากลับไปมองกำแพงด้านหน้าตัวเองต่อไป
แล้วเขาก็นึกขึ้นได้ว่าควรจะถามอีกฝ่ายถ้าหลังจากนี้จะต้องอยู่ด้วยกันอีกสักพัก(เพราะเหมือนอีกคนจะไม่ได้อยากปล่อยตัวเขาสักเท่าไหร่)
“นายชื่ออะไร?”
คนเพียงคนเดียวในห้องถ้าไม่นับรวมเขาเลิกคิ้วขึ้นเหมือนสงสัยแต่ก็เข้าใจได้เองในไม่กี่วินาทีต่อมา
“บอกชื่อตัวเองมาก่อน”
ไลออนกรอกตาเล็กน้อยกับคำพูดนั้น จะเอาหลัก ‘ถามชื่อคนอื่นต้องบอกชื่อตัวเองก่อน’ มาใช้รึไง?
“ไลออน”
แต่ก็ยอมตอบไปอย่างไม่อยากเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงด้วย
“ที่แปลว่าสิงโตน่ะเหรอ?”
ชายหนุ่มคนนั้นถามด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะในลำคอนั่นทำให้ไลออนหงุดหงิด
“จะแปลว่าอะไรก็ช่างเถอะ ชื่อของนายล่ะ?”
ชายหนุ่มแปลกหน้าเดินมาด้านหน้าไลออนตอนนี้ริมฝีปากของเขาแต้มด้วยยิ้มอ่อนๆแปลกๆ
“เรเนซองส์”
“หา?”
“เรเนซองส์...คือชื่อของฉัน”
ถึงไลออนจะแปลกใจนิดหน่อย แต่ตั้งแต่เจอกับหมาป่าตัวใหญ่เกินคนแถมยืนด้วยสองขาเขาก็ไม่แปลกใจกับอะไรที่มากกว่านี้แล้วล่ะ...
TBC. Episode 2 Next page
----------------------------------------------------------------------------------------------------
มุม Talk of Akatsuki
สวัสดีจ้ะเบบี๋ย์~ ต้องขอเอาบทนำกับบทที่ 1 ลงในตอนเดียวกันนะคะจะได้ประหยัดพื้นที่ เรื่องนี้คาดว่าจะมีตอนพิเศษไม่มากก็น้อยแหละค่ะ เอาจริงๆเลยนะนิยายเรื่องนี้ไม่วายแค่(อาจจะ)ชวนจิ้น แต่ถึงจะไม่วายนางองนางเอกอะไรก็ไม่มีหรอกนะ5555555 ไม่รู้สิแค่เน้นความสัมพันธ์ลึกซึ้งแต่ไม่ใช่คนรักอ่ะ ยิ่งเป็นความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนนี่เป็นอะไรที่น่าก๊าวใจมาก เพื่อนสำคัญนะอะไรงี้ แต่อาจจะมีตอนพิเศษนะถ้าเรียกร้อง55555 ภาษาไม่สวยนักหรอกนะ(ภาษาสวยงามคืออะไย กินได้เหยอ?)เราจะพยายามแต่งให้มันไม่ติดๆขัดๆนะ(จะพยายาม ยายาม ยาม อาม...) งั้นไว้พบกันใหม่ในตอนหน้านะเบบี๋ย์~ ขอให้สนุกกับนิยายในตอนต่อไป ต่อไป และต่อไป รักนะจ๊วบๆ♡
ความคิดเห็น