ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Lyskvant

    ลำดับตอนที่ #1 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 6 ม.ค. 58


    “...โปรตอนเป็นประจุบวกโดยมีนิวตรอนที่เป็นกลางอยู่รวมกันเรียกว่า นิวเคลียส โดยมีประจุลบขนาดเล็ก เรียกว่าอิเล็กตรอน วิ่งวนอยู่โดยรอบ...”

                บทเรียนฟิสิกส์อีกบทหนึ่งสำหรับนักเรียนมัธยมปลายอย่างผม เขาบอกกันว่า “ฟิสิกส์ คือ การมองภาพให้เป็นคณิตศาสตร์” แต่ก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงสนใจกันในสิ่งที่มองไม่เห็น และเท่าที่รู้ในชีวิตประจำวันก็ไม่ได้เอาไปใช้อะไรเลย ผมชื่อไทเลอร์(Tyler) เป็นนักเรียนม.ปลายของโรงเรียนแห่งหนึ่งในประเทศไทย ทั้งๆที่เรียนสายวิทย์คณิตแต่ผมกลับถนัดแค่วิชาชีววิทยาอย่างเดียว เวลาเกรดฟิสิกส์และเคมีออกผมต้องหวังพึ่งบุญอย่างมาก หน้าตาผมก็ไม่ได้โดดเด่นอะไร ผมสีดำ ตาสีน้ำตาล ที่ดูจะแปลกที่สุดก็คงเป็นรอยแผลเป็นที่ใต้ตาซ้ายผม แต่ก็ไม่ได้ใหญ่จนเป็นเอกลักษณ์อะไร ผมตัดผมทรงนักเรียน คือไถโล่งทั้งหัวเหลือผมยาวไม่เกินความหนาของไม้ขีด ไม่ได้ชอบทรงนี้หรอกครับ ก็แค่ไม่ชอบเสียเวลาไปตัดผมบ่อย และตัดไปก็ไม่เคยโดนอาจารย์คนไหนว่าอะไร ผมเรียนเก่งแค่กลางๆแต่กลับนั่งหน้าห้องซะงั้น ผมก็ตั้งใจเรียนตลอดแต่บางวิชาก็ไม่ไหวจริงๆ ผมใช้มือหนึ่งจดเล็กเชอร์แล้วเอาอีกมือยันหน้าผากไว้แล้วก็ฟังอาจารย์ต่อไป ก็มันไม่เข้าใจนี่ครับ นึกภาพตามก็ไม่ออก ก็ขอนั่งจดกึ่งหลับกึ่งตื่นไปก่อนแล้วกัน

                ก็เป็นอย่างนี้แหละครับ สักพักผมก็คงจะวูบหลับไป แขนข้างที่ยันศีรษะไว้อ่อนแรง หัวผมลื่นหลุดมาเล็กน้อย ผมรู้สึกตัวและขยับมือลงมารับเหมือนเดิม จากนั้นผมเหลือบไปมองกระดานพลางคิดในใจ

                อาจารย์สอนถึงไหนแล้วเนี่ย

                แต่แล้วมีอะไรแปลกๆเกิดขึ้น จากกระดานไวท์บอร์ดในห้องเรียนคาบฟิสิกส์ที่เต็มไปด้วยสูตรและรูปร่างอะตอม ตอนนี้กลับว่างเปล่าไม่เหลือแม้แต่รอยขีดใดๆ

                เฮ้อ อาจารย์ลบแล้วเหรอเนี่ย? ไว้ขอคนอื่นลอกตอนหมดคาบแล้วกัน

              ผมหันไปมองโต๊ะเพื่อนข้างๆว่าจดถึงไหนแล้ว

                ไม่มี?

              บนโต๊ะของเพื่อนกลับไม่มีสิ่งใดวางอยู่เลย หันไปมองอีกด้านก็เหมือนกัน ผมมองสูงขึ้น เพื่อนที่นั่งโต๊ะแถวเดียวกันกับผมหายไปหมด มองไปที่โต๊ะอาจารย์ก็ไม่มีใครอยู่ และบนโต๊ะก็ไม่มีใครอยู่เช่นกัน

                อะไรกันอีกเนี่ย?

              ผมเดาไปว่าอาจารย์คงเลิกสอนแล้ว หันไปด้านหลังก็ไม่มีคนอยู่เลย ผมเหลืออยู่คนเดียวในห้องสี่เหลี่ยมขนาด 16 X 10 เมตร ไม่มีแม้แต่กระเป๋าหนังสือที่ปรกติจะถูกวางเรี่ยราดบนพื้น หรือหนังสือใต้โต๊ะที่อาจารย์คะยั้นคะยอให้เอากลับบ้าน ประตูทุกบานถูกปิดหน้าต่างกระจกบานพับก็เช่นกัน

                ผมลุกขึ้นแล้วพลางทบทวนเหตุการณ์ ก็ยังจำได้ดีว่าแค่ผล็อยหลับไปกลางคาบฟิสิกส์ ซึ่งก็เป็นปรกติและไม่เคยหลับนาน (ส่วนใหญ่อาจารย์จะปลุกแล้วเรียกไปทำโจทย์) อีกใจหนึ่งก็คิดว่าคงถูกแกล้ง เพราะการที่จะแกล้งคนที่หลับนั้นพบเห็นได้ทั่วไป แต่ก็คงจะไม่เนียนขนาดนี้ ผมมองไปรอบๆห้องที่เงียบสนิท ซึ่งปรกติถึงแม้จะเป็นช่วงเวลาเรียนก็ยังมีเสียงจ็อกแจ๊กน่ารำคาญอยู่ แต่ทั้งโรงเรียนเงียบสนิท การที่จะเงียบขนาดนี่ถ้าไม่ใช่วันที่มีกิจกรรมใหญ่ๆต้องเดินทางไปใช้หอประชุมของมหาวิทยาลัยข้างๆก็เป็นช่วงปิดเทอม แต่นี่เป็นวันเรียนกลางเทอมและจำได้ว่าไม่มีงานอะไรจัดช่วงนี้ ผมมองไปนอกหน้าต่างแล้วก็พบสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่า

    “หมอก”

    นอกหน้าต่างเต็มไปด้วยหมอกจนหนาเป็นสีขาวโพลน ขนาดตึกของโรงเรียนอีกตึกที่อยู่ห่างไปแค่ 20 เมตรยังไม่เห็นเลย

    ฮุสตัน เรามีปัญหาแล้ว

    ผมพูดกับตนเอง พลางยกแขนขึ้นมาดูนาฬิกาดิจิทัลที่ข้อมือ หน้าจอของนาฬิกากระพริบเปิดปิดแบบแปลกๆและไม่ตอบสนองกับปุ่มใดๆที่ผมกด  หันกลับไปมองนาฬิกาหน้าห้อง เป็นนาฬิกาแบบเข็มแขวนอยู่เหนือกระดาน

    หายไป

    เข็มของนาฬิกาทั้งเข็มสั้นเข็มยาวหรือวินาทีหายไปจากนาฬิกา ซึ่งผมจำได้ว่าเพิ่งไปเลียขาอ้อนหัวหน้าห้องให้ซื้อถ่านมาเปลี่ยนอยู่ ผมตัดสินใจลุกไปที่ประตู ประตูห้องเรียนมีกระจกอยู่ครึ่งบาน มองลอดออกไปเห็นห้องเรียนฝั่งตรงข้ามจากตึกที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมมีทางเดินรอบภายในและเป็นโถงขนาดใหญ่ตรงกลาง มีหมอกจางๆมองเห็นผ่านแสงอาทิตย์ที่ลอดเข้ามา แต่ก็หนาน้อยกว่านอกหน้าต่างมาก  จากวันเรียนที่มีนักเรียนหลายพันคนกับไม่เห็นแม้แต่คนเดียว ผมเอามือจับลูกบิด ลูกบิดสแตนเลสสีเงินซึ่งอุณหภูมิไม่เปลี่ยนแปลงมากเนื่องจากเป็นโลหะผสม กลับเย็นยะเยือกจนรู้สึกได้ แม้แต่อากาศหนาวกลางเดือนธันวาคมยังทำไม่ได้ถึงขนาดนี้ ฝืนใจบิดลูกบิดไปครึ่งรอบ ประตูไม้ของห้องเรียนเปิดออก หมอกจางๆไหลทะลักเข้ามาเหมือนกับสายน้ำ ผมสัมผัสอากาศหนาวประมาณสิบองศาอย่างต่ำ ผมใส่เพียงเครื่องแบบนักเรียนบางๆแต่ส่วนตัวผมชอบอากาศหนาวอยู่แล้วจึงทนไหว เดินออกมาระเบียงหน้าห้อง ผิวทุกส่วนสัมผัสกับความเย็นจนเริ่มชิน  ทั้งโรงเรียนเงียบสนิทไม่มีแม้เสียงนกหรือแมลง ห้องเรียนของผมอยู่ที่ชั้นสาม ตึกนี้มีห้าชั้น ผมมักขึ้นไปชั้นห้าเพื่อรับลมเล่น ตึกนี้มีด้านหนึ่งหันออกทะเลและเว้นเป็นช่องให้ลมเข้าเพื่อระบายอากาศ ยิ่งสูงชั้นลมยิ่งแรงและน้อยคนนักที่ชอบ แต่ขณะนั้นกลับไม่มีลม มีเพียงอากาศหนาวเย็นที่รู้สึกได้ มองกลับเข้าไปในห้อง หมอกขาวไหลเข้าไปจนเต็มเหมือนถ้วยสายไหม ทุกห้องประตูและหน้าต่างถูกปิด แม้แต่ห้องพักอาจารย์ก็เหมือนกัน ราวกับว่าเหลือเพยงแค่ผมกับสายหมอกในโรงเรียนนี้ ผมพูดกับตัวเอง

    โอเค นี่แหละปัญหาไทเลอร์

    ผมตั้งสมมติฐานไว้สองอย่าง คือ หนึ่ง ผมกำลังถูกแกล้งหรืออย่างไร สอง ผมหลับไปตอนที่มีคำสั่งอพยพหนีสารเคมีรั่วไหล แต่ก็ไม่น่าจะถูกทั้งสองอย่าง สำรวจตัวเองในชุดนักเรียนเหลือเพียงกระเป๋าสตางค์, มีดพับ(พกไว้สำหรับกรณีฉุกเฉิน), โทรศัพท์มือถือ และกุญแจบ้าน เพราะแม้แต่กระเป๋าเป้ใส่อุปกรณ์การเรียนก็หายไป ผมไม่กล้าใช้ลิฟต์ที่ปกติอาจารย์จะห้ามนักเรียนใช้อยู่แล้ว โดยเฉพาะสถานการณ์ที่ไม่รู้หัวท้ายอย่างนี้ หลังจากลงบันไดมาผมออกเดินไปทางโรงอาหารเนื่องจากคาบฟิสิกส์นั้นอยู่ก่อนช่วงพักกลางวันทำให้ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องเลย แต่ก็พบสิ่งผิดปกติที่หน้าโรงอาหารนั้น โรงอาหารเป็นอาคารสามชั้นทอดยาวขนานกับอาคารเรียน ชั้นล่างยกสูงจากพื้นเล็กน้อยเป็นที่ตั้งของร้านค้า ชั้นสองเป็นโรงอาหารสำหรับนักเรียนมัธยม1กับ4 ชั้นสามยังก่อสร้างไม่เสร็จ ประตูทุกบานของโรงอหารเป็นบานเลื่อนโลหะ ประตูทุกบานเปิดอ้าไว้และไฟด้านในยังเปิดอยู่ ผมทั้งสงสัยและไม่ไว้ใจ เพราะในอาคารเรียนไฟทุกดวงและประตูถูกปิด แต่โรงอาหารกลับเปิดโล่งต้อนรับกันซะอย่างนั้น

    หลังจากเดินสำรวจอยู่พักหนึ่ง ผมยอมแพ้เพราะไม่พบสิ่งมีชีวิตใดๆ นอกจากต้นไม้และหญ้า มองเข้าไปทุกทางก็ไม่มีวี่แววของใครเลย ทั้งท้องก็ร้องต้องการอะไรมาเจือจางกรดในกระเพาะอีก ด้านในเป็นอย่างที่คิดไว้

    ว่างเปล่า

    มีโต๊ะอาหารยาวเรียงเป็นแถวเหมือนทุกวัน ไฟทุกดวงเปิดไว้สว่างจ้า พัดลมเพดานเปิดอยู่ทำให้หนาวขึ้นไปอีกเล็กน้อย ร้านค้ากลับเปิดเหมือนทุกวัน อาหารและขนมถูกเรียงเรียบร้อยกว่าทุกวันเสียอีก ถึงจะไม่แน่ใจว่าอาหารเหล่านี้กินได้หรือไม่ หลังจากชิมไปเล็กน้อยพบว่าอาหารทุกอย่างเป็นปกติ แม้แต่อาหารบางอย่างที่มีขายซ้ำกันยังมีรสชาติต่างกันชัดเจนเหมือนทุกวันที่กิน ผมคว้าจานใบหนึ่งมาและไล่ตักกับข้าวจากร้านแรกถึงร้านสุดท้ายอย่างสนุกสนาน ระหว่างกินก็พยายามคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของผม.

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×