คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 00 - JUST BEGINNING
PROLOGUE
JUST BEGINNING
"นี่คือประวัติคนที่จะมาเป็นคนไข้ในความดูแลของคุณ"
ชายวัยกลางคนในชุดไปรเวตธรรมดาๆ ยื่นแฟ้มเอกสารขนาดใหญ่มาวางไว้ตรงหน้าผม ผมเหลือบมองดวงตาอันเฉียบคมผ่านเลนส์แว่นสายตานั่นเล็กน้อย ก่อนจะไล่สายตาอ่านข้อมูลในเอกสารอย่างไม่ใส่ใจ
"มีแค่นี้เองเหรอครับ" ผมท้วงขึ้น เป็นเหตุให้ศาสตราจารย์หัวล้านตรงหน้าเลิกคิ้วฉงน "ไม่มีรูปถ่าย ไม่ระบุวันเกิด เพศ ที่อยู่ หรืออายุ"
"อ่า... นั่นสิ" เขามองเอกสารในมือผมก่อนจะแสร้งยิ้มโง่ๆ "บางที... คุณคิดเหมือนผมมั้ยว่า บางทีเขาอาจจะไม่อยากให้เรารู้ก็ได้"
เขาพูดแค่นั้น ก่อนที่จะหัวเราะร่าราวกับว่ามันเป็นเรื่องตลกนักหนา ผมกลอกตาไปมา ในหัวความคิดผุดขึ้นมาว่าบางทีโทมัส (หรือศาสตราจารย์หัวล้านที่ผมมักเรียกบ่อยๆ) อาจจะคลุกคลีกับคนกลุ่มนั้นมากเกินไป ใช่... มันต้องเป็นแบบนั้นแหง
อ้อ... คนกลุ่มนั้นที่ผมหมายถึงก็คือ คนที่พวกเราต้องคอยให้คำปรึกษา คอยช่วยเหลือด้านการตัดสินใจของพวกเขา หรือเรียกได้อีกอย่างหนึ่งว่า 'คนไข้ '
คนไข้ของพวกเราไม่ได้เป็นหวัด ไม่ได้เป็นมะเร็ง พวกเขาเป็นเหมือนกับคนปกติทุกประการ แต่หารู้ไม่ว่านั่นก็แค่ภายนอก คุณอาจไม่รู้ว่าคนธรรมดาทั่วไปที่เดินสวนกับคุณในชีวิตประจำวันภายในเขาอาจจะกำลังบอบช้ำจนต้องแอบมาพึ่งคลินิกจิตเวชกันมากแค่ไหน คนปกติบางคนอาจจะดูเฮฮาร่าเริงแต่ในใจเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่คุณเห็นก็ได้ คุณไม่จำเป็นต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมผู้ป่วยจิตเวชมันถึงได้มากมายขนาดนี้ เพราะโลกของเรามันไม่ได้สวยงามจนน่าแปลกใจขนาดนั้น
เพราะฉะนั้น เมื่อเวลาที่คุณรู้สึกโชคร้าย
อย่างน้อย.. ก็ไม่ได้มีเพียงคุณแค่คนเดียว
สถานที่แห่งนี้เรียกว่าสถานบำบัดผู้ป่วยจิตเวชเห็นจะได้ หากมองภายนอกหลายคนคงคิดว่าเป็นบ้านหลังเล็กที่ตั้งอยู่ในมุมตรอกแคบๆ ของเมืองนิวยอร์กธรรมดาทั่วไป ที่นี่ค่อนข้างดูเป็นส่วนตัว คุณโทมัสบอกว่าเขาต้องการให้ความรู้สึกเหมือนคุณมาปรึกษาชีวิตกับคนในบ้านอะไรเทือกๆ นั้น ไม่มีป้ายคลินิกจิตเวช ไม่มีพยาบาลมายืนคอยควบคุมพฤติกรรม ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นการเองแม้กระทั่งการแต่งตัวของเขา (เขาบอกผมมาอย่างนั้น)
"เอาล่ะ" โทมัสพูดขึ้น ก่อนจะดึงแฟ้มประวัติจากมือผมไป "เดี๋ยวผมจะเล่าประวัติของเขาเท่าที่ผมทราบให้ฟังเอามั้ย"
เขาจ้องหน้าผมอย่างจริงจัง และผมรู้... ว่าผมไม่มีทางปฏิเสธ
"เอาสิครับ"
โทมัสเริ่มเล่าเรื่องราวของผู้ป่วยคนนั้นอย่างใจเย็น (และผมคิดว่ามันคงช้าที่สุดเท่าที่จะช้าได้) แต่ที่ผมจับใจความได้ก็มีแค่ ผู้ป่วยคนนั้นชื่อลู่ฮาน เป็นคนจีน ไม่มีการระบุถึงถิ่นกำเนิด อายุ หรือวันเกิดอะไรทั้งสิ้น ตาของผมเริ่มจะปรือลงเล็กน้อย ผมค่อยๆ ยืดตัวขึ้นเพื่อขจัดความเมื่อยล้า กวาดสายตามองไปทั่วห้องสีทึบและชั้นวางหนังสือที่มีหนังสือตั้งอยู่เรียงรายจนผมเห็นแล้วรู้สึกพะอืดพะอม ห้องๆ นี้แทบไม่มีอะไรเลยด้วยซ้ำ นอกจากโต๊ะ เก้าอี้ ชั้นวางหนังสือ และเครื่องทำน้ำร้อน ผมคิดว่าหัวด้านการดีไซน์ของเขาแม่งโคตรจะแย่ ในขณะที่ผู้ป่วยเข้ามายังห้องนี้ด้วยความทุกข์เต็มอก เราควรจะทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากที่สุดไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมห้องนี้มันกลับมืดทึบมีเพียงแสงที่ส่องเข้ามาจากหน้าต่างเพียงแค่บานเดียว?
"ผมหวังว่าคุณจะจำมันบ้างนะ คุณ โอ เซฮุน" เขาพูดน้ำเสียงนิ่ง หลังจากที่ผมไม่ได้สนใจน้ำเสียงนั่นมาพักใหญ่ๆ แล้ว
"โอ้... จำได้สิครับ เขาชื่อคุณลู่ฮาน และผมจำได้ว่าเขาเป็น..."
ผมไม่ได้จำมันตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ...
"เขาเป็น..."
ผมพูดเสียงแผ่ว แม้ว่าในใจอยากจะตะโกนร้องออกมาแค่ไหนก็ตาม
"...เอ่อ ว่าแต่เขาเป็นอะไรนะครับ?" ผมถาม พร้อมทั้งส่งหัวเราะโง่ๆ ให้เขา
ผมได้ยินเสียงถอนหายใจเบาๆ ของคนตรงหน้า ซึ่งเหมือนจะหมดความอดทนกับคนอย่างผมเต็มที
"จำให้ดี"
"เขาเป็น อะเฟนโฟซึมโฟเบีย "
" ? "
"มันเป็นโรค… กลัวการถูกเนื้อต้องตัว น่ะ"
พระเจ้า... เหมือนสมองผมหยุดทำงานชั่วขณะ กำลังทำความเข้าใจกับ 'โรคกลัวการถูกเนื้อต้องตัว' แม้จะไม่เข้าใจมันเลยสักนิดก็ตามที มันคือโรคอะไร? แล้ว… มันมีอยู่บนโลกด้วย? ผมได้แต่สบถในใจ พลางนึกไปถึงคนไข้ที่ชื่อลู่ฮานอะไรนั่น ผมไม่รู้และก็ไม่อยากรู้ด้วยว่าชีวิตของเขามีปัญหาอะไรนัก แต่... นี่มันก็แค่ผม โอเซฮุนนักศึกษาปีสุดท้ายธรรมดาๆ เคยแต่เป็นลูกมือจิตแพทย์ช่วยให้คำปรึกษาคนไข้ในโรงพยาบาลจิตเวช ผมทำไม่ได้ ผมไม่มีวันทำได้...
ในขณะที่ผมทำท่าจะลุกขึ้นค้าน สมุดบันทึกพฤติกรรมคนไข้ชื่อลู่ฮานลอยมาตกอยู่ตรงหน้าผม ไม่ทัน... ผมปฏิเสธมันไม่ได้อีกแล้ว ผมหลับตาลง รู้สึกอยากสาปแช่งคนที่เพิ่งโยนสมุดบันทึกพฤติกรรมมาให้ผมเมื่อครู่ ผมขอ... ขอให้เขาทะเลาะกับภรรยาที่บ้านหรืออะไรก็ได้ และผมก็หวังว่ามันจะเป็นจริง หลังจากนั้นผมคงทำอะไรสักอย่าง อย่างเช่น.. ปิดผับฉลองแม่ งไปเลย
"คุณทำได้" โทมัสยังคงพูดอย่างมั่นใจ มันแน่อยู่แล้ว ...เขาไม่ใช่ผม
ผมถอนหายใจ พยายามส่งสายตาสื่อความหมายไปว่า ผมทำไม่ได้ ผมไม่มีวันทำได้แน่ๆ
"คุณทำได้ ถึงแม้ว่าคุณจะคิดว่าตัวเองทำไม่ได้ก็เถอะ คุณทำมันได้"
..นี่เป็นครั้งแรก ที่ผมคิดว่านอกจากนักจิตวิทยาจะบำบัดรักษาความแปรปรวนทางจิตของมนุษย์ ยังสามารถอ่านใจมนุษย์ได้อีกด้วย
"แล้วผมจะต้องทำยังไงบ้าง?"
"ผมเองก็ไม่รู้ว่าคุณจะต้องทำไงบ้าง" เขาส่ายหน้า ยิ้ม "ทั้งหมดมันขึ้นอยู่กับคุณแล้ว ในสมุดบันทึกพฤติกรรมเล่มนั้นมีรายละเอียดเกี่ยวกับตัวคนไข้แนบไว้ แต่เสียดาย.. ที่เขาไม่ได้บอกวิธีมาว่าคุณควรจะทำยังไง"
ให้ตายเถอะ.. ศาสตราจารย์หัวล้านแม่ งประมาทมากเกินไปแล้ว ถึงได้โยนคนไข้ทั้งคนมาให้นักบำบัดด้อยประสบการณ์อย่างผมแบบนี้
"...เอาล่ะ ป่านนี้หนุ่มน้อยด้านนอกคงจะรอนานแล้ว ผมเรียกเขามาเลยดีกว่า"
ไม่รอให้ผมได้ขอเวลาเตรียมใจ รู้ตัวอีกที ศาสตราจารย์โทมัสคนเก่งก็เดินไปเปิดประตูเพื่อต้อนรับคนมาใหม่เสียแล้ว ผมคิดว่าการตัดสินใจทำอะไรรวดเร็วของเขาคงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่แก้ไขไม่ได้เช่นกัน ผมจับจ้องไปยังประตูสีน้ำตาลบานนั้น ตั้งแต่ตอนที่มีมือเล็กคู่หนึ่งผลักมันออกมา ตั้งแต่ตอนที่ผู้ชายคนหนึ่งปรากฏสู่สายตาของผม ตั้งแต่ ตอนที่ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนของเขากระทบเข้ากับแสงอาทิตย์จากหน้าต่างบานเดียวในห้อง...
ดวงอาทิตย์ภายในดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่นั้น เป็นสิ่งแรกที่ผมสังเกตุเห็น
ผู้มาใหม่นั่งลงบนโซฟาสีเบจตรงข้ามผม ตามด้วยศาสตราจารย์โทมัสที่เพิ่งเดินตามเข้ามาทีหลัง และเขาไม่ลืมที่จะก้มลงมากระซิบข้างใบหูของผม
"เขาหน้าคล้ายๆ คุณเลยนะ ว่าไหม"
ว่าจบ ชายรูปร่างสูงใหญ่ก็หมุนตัวกลับไปนั่งลงบนโซฟาสีเบจตามเดิม และถึงแม้ว่าเขาจะนั่งบนโซฟาตัวเดียวกับผู้ชายที่ค่อนข้างตัวเล็กคนนั้น แต่ระยะห่างระหว่างคนทั้งคู่มากพอสมควร ซึ่งผมรู้ดีว่าเพราะอะไร
สายตาของผมเริ่มให้ความสนใจกับคนตัวเล็กที่นั่งฝั่งตรงข้าม ผมจ้องมองเขา นาน.. นานจนเป็นนาที ลู่ฮานหันหน้ามาทางผม เขาจ้องผมกลับเช่นกัน นั่นทำให้ผมได้เห็นใบหน้าของเขาชัดๆ เป็นครั้งแรก เขาหน้าไม่เหมือนผมเลยสักนิด โอเค.. เขาหน้าตาดีตรงนี้อาจจะเหมือนผม แต่เขามีใบหน้าที่เล็กมากจริงๆ มันเล็กจนผมอยากเอากำปั้นของตัวเองไปวัดว่ามันจะพอดีกับใบหน้าของเขาหรือป่าว และอีกอย่าง หน้าของเขามีส่วนคล้ายผู้หญิงมาก มันเหมือนจนผมแทบเข้าใจผิดด้วยซ้ำถ้าไม่เห็นลูกกระเดือกบนคอนั่นเสียก่อน
เป็นอีกครั้งที่ผมเกิดความประหม่า เมื่อถูกพลิกบทบาทจากคนจ้องเป็นคนถูกจ้องเสียเอง ลู่ฮานไม่เหมือนกับคนไข้ทั้งหมดที่ผมเคยเจอ ทุกคนที่ผ่านมาล้วนแต่มานั่งก้มหน้าผิดกับเขา เขาดูเหมือนคนปกติจนเกินไป จนเกินไปจริงๆ หากคุณมองไม่เห็นแถบรัดข้อมือสีแดงที่ระบุหมายเลขประจำตัวคนไข้บนข้อมือเล็กนั่น
"ผมคนไข้หมายเลข 9024 " ลู่ฮานแนะนำตัว ซึ่งผมอยากจะขอบคุณเขาเหลือเกิน เพราะผมเองก็ไม่รู้จะเปิดประเด็นยังไงเหมือนกัน
"ส่วนคุณ... คงจะเป็นที่ปรึกษาประจำตัวผม" เขากลั้วหัวเราะ "ฝากตัวด้วยแล้วกันนะครับ" เขายิ้ม รอยยิ้มที่เหมือนจะไม่มีอะไร…
"ผม...โอเซฮุน"
"ผมรู้…"
"คุณรู้?" ผมเลิกคิ้วขึ้น "จากไหน?"
ลู่ฮานพยักเพยิดหน้าไปทางคุณโทมัสที่กำลังปั้นหน้ายิ้มอยู่เงียบๆ
"อ่า... แล้วเขาพูดอะไรถึงผมอีกบ้างไหม เผื่อว่าผมจะได้ เอ่อ ไม่ต้องพูดถึงมันอีก"
"ไม่... ไม่ครับ นอกจากนั้นเขาแค่บอกผมว่าคุณหน้าตาดี ซึ่งจากที่ผมเห็นมันก็..." เขาทำเสียงลากยาว
คิ้วของผมเริ่มขมวดเข้าหากัน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำ... ว่าทำไมตัวเองถึงได้ตั้งใจรอคำตอบจากเขาแบบนี้
"หมายังต้องเหลียวหลังเลยมั้ง"
จบประโยคจากลู่ฮาน เราทั้งสองคนหัวเราะออกมาพร้อมกัน และนี่ มันคงเป็นการหัวเราะที่ดังที่สุดสำหรับผม ผมไม่แน่ใจเหมือนกันว่าผมกำลังหัวเราะอะไร หัวเราะให้กับมุกห่วยๆ ของเขา หรือว่ารอยย่นเส้นเล็กๆ ข้างดวงตาที่เกิดขึ้นตอนเขากำลังหัวเราะกันแน่ มันไม่มีอะไรสรุปได้เลย และผม.. ก็ไม่คิดหยุดมัน
ลู่ฮานหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกลั้นขำ ก่อนจะพูด "แล้วเขาก็บอกว่า คุณเป็นคนที่มีความสามารถมากๆ"
ผมหัวเราะขึ้นอีกรอบ ไหล่ของผมสั่นเล็กน้อยจากการเอามือปิดปากเพื่อพยายามกลั้นขำสุดชีวิต ผมหยุดมันไม่ได้อีกแล้ว ตาลุงนั่น... ผมคิดว่าโทมัสจะต้องเป็นนักแสดงที่ดีได้แน่ๆ เขาสามารถในเรื่องนี้อย่าบอกใคร ผมไม่ลืมที่จะทิ้งท้ายด้วยการโวยวายทางสายตาใส่เขา
บทสนทนาระหว่างผมกับลู่ฮานยังคงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เราพูดกันเรื่องสัพเพเหระทั่วไปซึ่งบางเรื่องก็ไม่น่าจะหยิบยกมาเป็นประเด็นในการพูดคุยได้ บางอย่างที่ผมรับรู้จากเขาได้ในตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียวคือเขาค่อนข้างเปิดโลก ลู่ฮานไม่เหมือนคนไข้คนอื่นอย่างที่ผมบอก เขาติดตามข่าวสารและยกประเด็นเรื่องสภาพอากาศหรือบันเทิงมาใช้เป็นหัวข้อในการพูดคุย ผมแทบจะไม่เห็นความผิดปกติจากตัวเขาเลยด้วยซ้ำ นอกจากการสัมผัสต้องตัว (ซึ่งผมยังไม่เคยลอง)
จากหนึ่ง กลายเป็นสอง…สาม…และสี่ บางทีมันอาจจะมากกว่านั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเราคุยกันไปทั้งหมดกี่เรื่อง เราเปลี่ยนบทสนทนากันไปทั้งหมดกี่หัวข้อ แต่ผมก็ยังเลือกที่จะจมอยู่กับบทสนทนาไร้สาระของเราต่อไป นี่มันอาจจะเป็นการเริ่มต้นที่ดีก็ได้ คิดว่าอย่างนั้น จนกระทั่งคนตรงหน้าขอตัวกลับ และแน่นอนว่าผมยังคงเดินตามเขาออกมาซึ่งลู่ฮานก็ไม่ได้ว่าอะไร ผมรู้ มันเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้วกับการที่ผมต้องตามประกบเขาเป็นเงาเพื่อสังเกตพฤติกรรมแบบนี้ ลู่ฮานไม่เหมือนกับคนไข้คนอื่น กรณีของเขามันไม่ใช่แค่ให้คำปรึกษาก็จะหายกลับเป็นปกติได้ มันต้องใช้เวลา และอีกอย่างเขาเองก็ต้องการใช้ชีวิตในสังคม นี่คงเป็นเพียงวิธีเดียวเท่านั้น ผมหวังว่าเขาจะเข้าใจ
เราสองคนเดินออกมาจากประตูสถานบำบัดได้เพียงไม่กี่ก้าว ผมเห็นเท้าของคนที่เดินนำหน้าหยุดลง ก่อนที่เจ้าของร่างจะหันมา
"หยุดอยู่แค่ตรงนั้นแหละ"
เขาพูดเสียงเรียบ ความหยิ่งทระนงปรากฏชัดบนใบหน้าของลู่ฮาน
ซึ่งผมก็ไม่ได้แปลกใจสักเท่าไร
"หมดหน้าที่ของนายแล้ว"
ทุกอย่างชัดเจน…
ทั้งคำพูด สรรพนาม ทุกอย่างเปลี่ยนในพริบตา ผมขอถอนคำพูดที่ว่า คนตรงหน้าไม่เหมือนกับคนไข้คนอื่นที่ผมเคยเจอ
"หมดอะไร นี่เพิ่งเริ่ม" ผมแค่นหัวเราะ มือทั้งสองข้างซุกลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะเดินมาขนาบข้างเขา "อย่าดื้อ"
"อย่ายุ่งได้มั้ยวะ นี่มันเรื่องของฉัน!"
ลู่ฮานตะคอกเสียงดังเหมือนหมดความอดทน ในใจลึกๆ ผมอดเสียดายลู่ฮานเวอร์ชันเก่าไม่ได้ เขาจากไปไวกว่าที่คิด ผมคิดว่าอะไรๆ มันควรจะง่ายกว่านี้ แต่ก็ไม่.. ส่วนสาเหตุที่ไม่ได้แปลกใจสักเท่าไรคงเพราะว่าผมเคยเจอแบบนี้ตอนเป็นลูกมือจิตแพทย์ค่อนข้างบ่อย คนไข้ส่วนใหญ่ที่มาโรงพยาบาลจิตเวชร้อยละเก้าสิบถูกบังคับจากคนรอบตัวให้มาทั้งนั้น ไม่มีใครอยากมาเหยียบสถานที่แบบนั้นหรอก และผมก็อดยอมรับไม่ได้ว่าลู่ฮานสามารถเป็นนักแสดงที่ดีได้ยิ่งกว่าศาสตราจารย์โทมัสเสียอีก
"ใช่ มันเรื่องของคุณ" ผมพยักหน้าเป็นระยะ "แต่มันเป็นหน้าที่ของผม"
ลู่ฮานหยุดเดิน เขาจ้องหน้าผมเพียงแวบเดียว ก่อนจะวิ่งไปข้างหน้าด้วยความรวดเร็ว ผมสบถกับตัวเอง ก่อนจะวิ่งตามหลังเขาไปติดๆ คนตัวเล็กโบกแท็กซี่ที่กำลังขับผ่านมาทางนี้พร้อมทั้งเปิดประตูยัดร่างตัวเองเข้าไปอย่างรีบร้อน และมันคงเป็นโชคดีของผมที่โชเฟอร์รถคันนี้เป็นเพียงแค่ลุงแก่ๆ เลยทำให้ผมสามารถคว้าประตูอีกฝั่งก่อนจะเข้าไปนั่งข้างผู้โดยสารอีกคนได้ทัน
ผมหอบหายใจด้วยความเหนื่อย หันไปมองคนตัวเล็กด้านข้างที่มองผมอยู่ก่อนแล้วด้วยสายตาเอือมระอา ผมอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ เคยมีสักครั้งไหมที่ผมต้องมาลงทุนวิ่งไล่จับคนไข้แบบนี้ ลู่ฮานขบกรามแน่นเมื่อผมยักคิ้วขึ้น ก่อนที่เขาจะหันไปมองหน้าต่างด้านข้างอย่างไม่สบอารมณ์
เรานั่งข้างกันบนรถเงียบๆ มันเงียบจนผมได้ยินแต่เสียงหอบหายใจของตัวเอง หากให้เดาก็พอจะรู้ว่าคนตัวเล็กข้างๆ คงจะกำลังคิดหาวิธีอะไรสักอย่าง วิธีอะไรสักอย่างเพื่อหาทางหนีหรือไม่ก็กำจัดผมให้เลิกยุ่งกับเขา แต่ก็นั่นล่ะ …มันไม่ง่าย
ในช่วงจังหวะหนึ่งขณะที่รถกำลังเลี้ยว หัวเข่าของผมซึ่งอยู่ห่างจากต้นขาของเขาไม่กี่คืบบังเอิญชนกันตามแรงขับเคลื่อนของรถอย่างช่วยไม่ได้ คนตัวเล็กข้างๆ ผมสะดุ้งตัวโยนจนศรีษะกระแทกเข้ากับหน้าต่างด้านข้าง ลู่ฮานมองผมด้วยความตระหนก ลุงโชเฟอร์เหลือบมองผ่านกระจกหน้าด้วยสายตาตำหนิประมาณว่าเราเล่นอะไรกัน แต่นั่นไม่ได้อยู่ในความคิดของผมเลยสักนิด ประเด็นคืออีกคนที่นั่งตัวสั่นด้วยความหวาดผวาตรงนี้ต่างหาก ลู่ฮานเริ่มขยับออกไป ขยับออกไปจนตัวชิดกับกระจก
“…ผมขอโทษ” ผมพูดเสียงแผ่ว ดวงตาของเขาในเวลานี้เป็นสิ่งที่ผมเกลียด…
…ดวงตาที่มีแต่ความหวาดกลัว
ลู่ฮานส่ายหน้า เขาเริ่มตัวสั่นอย่างคนวิกลจริต
ผมรู้… ทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้คงเป็นเพียงความเงียบเท่านั้น ผมเขยิบตัวเองออกมาชิดกระจกอีกฝั่งเพื่อให้ไกลจากเขามากที่สุด และผมก็รู้ ว่าผมทำพลาดเข้าให้แล้ว ผมเป็นนักจิตวิทยา แต่ผมเกือบลืมไปด้วยซ้ำว่าลู่ฮานกลัวอะไร ผมลืม… แม้กระทั่งพื้นฐานจิตใจของคนไข้ตัวเอง
การนั่งเงียบๆ จึงเป็นตัวเลือกทางเดียวของผมอย่างไม่อาจเลี่ยงได้
ใช้เวลาไม่นาน แท็กซี่โดยสารคันนี้ก็มาหยุดอยู่หน้าอพาร์ทเม้นท์เล็กๆ แห่งหนึ่ง ลู่ฮานเปิดประตูลงไปก่อน ตามด้วยผมที่กำลังรอเงินทอนจากลุงโชเฟอร์ ผมวิ่งตามลู่ฮานไปอย่างรีบร้อน ในขณะที่เขาก็เดินห่างออกไปเรื่อยๆ แต่สุดท้าย ก็เป็นอีกครั้งที่ผมสามารถวิ่งตามเขาได้ทัน
“ฟังผม”
ผมหายใจเข้าลึกๆ เพื่อกอบโกยออกซิเจน ก่อนจะเอ่ยกับเขาขณะที่เรากำลังเดินขึ้นบันไดพร้อมกัน ไม่สิ.. เขาเดินหนีผมมากกว่า
"คุณต้องให้ความร่วมมือกับผม”
“…”
“ผมรู้ ว่าผมไม่ได้มีความสามารถอะไร แต่คุณก็แค่… ลองเชื่อใจผม”
ลู่ฮานแค่นหัวเราะออกมา
“ฉันไม่รู้ว่านายกำลังพูดเรื่องอะไร”
คนตัวเล็กชะงักฝีเท้า ก่อนจะยิ้มออกมาเล็กน้อย
”แต่เชื่อใจ… ฉันไม่เคย”
เป็นอีกครั้งที่ลู่ฮานเดินหนีออกไป และนี่คงเป็นครั้งแรก… ที่เขาทำมันได้สำเร็จ ประตูบานไม้สีดำสนิทถูกปิดลงทันทีเมื่อผมหยุดอยู่หน้าห้อง เจ้าของห้องไม่ลืมที่จะล็อคกลอนเสร็จสรรพ สองขาของผมเดินกลับไปยังบันไดหนีไฟก่อนจะล้มตัวนั่งอยู่ขั้นบนสุดของบันไดอย่างหมดแรง ผมถอนหายใจออกมา นี่เพิ่งจะเริ่มต้น… มือทั้งสองข้างเสยกลุ่มผมสีอ่อนขึ้น ก่อนจะถอนหายใจออกมาอีกรอบ มันเป็นการเริ่มต้น…
ที่โคตรจะแย่…
ความคิดเห็น