คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : จุดเริ่มต้น ของการได้เป็นแค่ เพื่อน
-1-
จุดเริ่มต้น ของการได้เป็นแค่ “เพื่อน”
“โครมม!!”
ผมถูกเพื่อนร่วมชั้นสองคนในห้องผลักอย่างแรงจนผมกระเด็นหงายหลังไปชนกับพวกของทั้งหลายแหล่ที่ตั้งเอาไว้จนมันร่วงลงมากระจัดกระจายเต็มพื้นไปหมด
ความเจ็บปวดเริ่มแผ่ซ่านไปที่แผ่นหลังของผมทีละนิดๆ จนมันเริ่มเจ็บระบมไปทั่ว คงจะเป็นเพราะพื้นคอนกรีตที่ด้านหลังโรงเรียนมันแข็งมากๆ จึงทำให้ผมไม่สามารถลุกขึ้นมาได้เลย
“ช่วยไม่ได้น้า.. ในเมื่อนายมาทำโทรศัพท์ฉันพัง คงจะต้องชดใช้กันหน่อยแล้วมั้งง” หนึ่งในสองคนนั้นเดินเข้ามากระชากคอเสื้อของผมในขณะที่เขาก็นั่งคร่อมตัวผมที่นอนราบกับพื้นไปด้วย
“ตะ แต่... แต่พวกนายเข้ามาชนฉันเองนะ” ผมพูดกลับอย่างอย่างกล้าๆกลัวๆด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอนจากความปอดแหกของผม ในชั่ววินาทีนั้นสิ่งที่ผมกำลังคิดมีเพียงความช่วยเหลือจากใครสักคนและการหนีเท่านั้น
“เห๊อะ ไอ้บ้านี่ พูดออกมาได้นะว่าฉันชนเอง มันต้องเจอดีหน่อยนะแล้ว” เขาง้างมือขึ้นเตรียมที่จะเอากำปั้นนั้นอัดเข้าที่ใบหน้าของผม หัวใจของผมเต้นไม่เป็นจังหวะจากความหวาดกลัว ผมหลับตาปี๋รอรับหมัดนั้นอย่างทำใจ เพราะยังไงผมก็ไม่มีทางรอดจากการโดนซ้อมของสองคนนี้ได้แน่นอนเลย
“ปล่อยเพื่อนฉันนะ!” เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมกระโดดเข้ามาผลักหมอนั่นที่กำลังนั่งคร่อมผมอยู่จนเขากระเด็นออกจากตัวผมไป
“อะไรของแกวะ?!” คนที่โดนผลักออกจากตัวผมก็ตะคอกใส่กลับมาหาเด็กที่เพิ่งช่วยผมไปเมื่อตะกี้นี้
“ฉันถ่ายรูปตอนที่พวกนายกำลังข่มขู่เพื่อนฉันได้พอดี จะเป็นไงน้า..? ถ้าฉันส่งรูปนี้ให้ครูที่ปรึกษาดู ไม่สิ.. ต้องเป็นครูใหญ่น่าจะดีกว่า พวกนายต้องถูกพักการเรียนแน่ๆเลย แถมอาจจะไม่มีสิทธิ์สอบปลายภาคด้วยนะ หรือพอพวกนายประวัติไม่ดีมันอาจจะเชื่อมโยงไปถึงการสอบเข้าม.ปลายด้วยอีกต่างหาก ทีนี้พ่อแม่ของพวกนายก็จะด่าๆๆว่าๆๆ โดนกักบริเวณอีก นั่นมันเร็วร้ายสุดไปเลยย เพราะฉะนั้นอย่ามายุ่งกับเพื่อนฉันอีก ไม่งั้นพวกนายอยู่ไม่สุขแน่ เข้าใจมั้ย?!!” เด็กที่ช่วยผมไว้ยื่นรูปถ่ายจากโทรศัพท์มือถือให้พวกเขาทั้งสองคนดู จนสองคนนั้นถึงกับหน้าซีดเผือกแล้วรีบวิ่งหนีไปในที่สุด เฮ้อ.. เกือบไปแล้ว
“ขอบคุณมากนะ ไอบะคุง” ผมชันตัวขึ้นมานั่งแล้วกล่าวขอบคุณกับเพื่อนรักของผม ซึ่งก็คือเด็กผู้ชายคนเมื่อกี้นั่นเอง
“อื้อ เรื่องแค่นี้จิ๊บๆ ว่าแต่นายเหอะจุน เป็นอะไรรึเปล่า?” ไอบะคุงหันมายิ้มให้ผมก่อนจะถามกลับมาอย่างเป็นห่วง ผมก็เลยได้แต่ส่ายหัวบอกกลับไปว่าไม่เป็นไร ทั้งๆที่ผมเองก็ยังเจ็บอยู่เล็กๆก็ตามที
ไอบะคุงเข้ามาประคองตัวให้ผมยืนขึ้น เราช่วยกันปัดเนื้อปัดตัวให้ฝุ่นผงออกจากเสื้อผ้าของผมจนมันคลุ้งไปหมด
“เจ้าพวกนั้นคิดจะไถ่เงินนายแล้วก็มาซ้อมนายเล่น เลยแกล้งมาเดินชนทำโทรศัพท์ร่วงสินะ”
“คงงั้นแหล่ะ ฉันฉี่เกือบราดแน่ะ”
“ฮ่าๆๆๆ กลัวขนาดนั้นเลยเหรอจุน?”
“กลัวสิ จริงๆแล้ว... แอบเล็ดไปนิดนึงด้วยล่ะ”
“ไอ้บ้า! รีบกลับบ้านไปเปลี่ยนเกงในเดี๋ยวนี้เลยนะ! ฮ่าๆๆๆๆๆ”
หลังจากผ่านเรื่องน่ากลัวๆมาได้ก็กลับกลายมาเป็นเรื่องตลก เราสองคนเดินหัวเราะกันมาตลอดทางกลับบ้าน เหมือนที่ผ่านมาไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น เราสองคนคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้เยอะแยะเต็มไปหมด ผมเองก็ยังสงสัยว่าเราคุยอะไรกันได้ตลอดเวลากันนักกันหนา ทำไมเราถึงสนิทกันได้มากขนาดนี้ก็ไม่รู้
ใครๆก็มองว่าผมกับไอบะคุงไม่น่าจะเข้ากันได้ แค่เรื่องความสูงของเราสองคนก็กินขาดแล้ว ไอบะคุงสูงอย่างกับยีราฟ ส่วนผมก็ตัวเล็กอย่างกับมด และก็คงเป็นเพราะลักษณะนิสัยของไอบะคุงแตกต่างจากผมอย่างสิ้นเชิง ไอบะคุงมักจะยืนหัวเราะและยิ้มร่าอย่างมีสีสันอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมห้อง ในขณะที่ผมจะนั่งอยู่เงียบๆไร้ชีวีตชีวาอยู่ณ มุมๆหนึ่งของห้องเรียนเท่านั้น หรือยามว่างทุกคนจะเห็นไอบะคุงไปเล่นเบสบอลอยู่กลางสนาม แต่ผมจะแยกตัวไปนั่งอ่านหนังสืออย่างสงบอยู่ในห้องสมุด คงจะเป็นเพราะความแตกต่างที่มากเกินไประหว่างเราสองคนแบบนี้ ยิ่งทำให้เรายิ่งสนิทกันเข้าไปใหญ่ ผมกับไอบะคุงสนิทกันตั้งแต่ชั้นอนุบาลจนป่านนี้เราทั้งคู่ก็ได้เรียนมัธมยต้นปี 2 แล้วก็ยังสนิทกันไม่เปลี่ยน ถึงขึ้นมัธยมมาเราจะไม่ได้อยู่ห้องเดียวกัน แต่เวลาไปโรงเรียนในตอนเช้าหรือกลับบ้านในตอนเย็นเราก็ยังไปด้วยกันเสมอ จนผมคิดว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่คงจะตัดขาดกันไม่ได้ง่ายซะแล้ว
“นี่จุน แวะกินราเมงกันก่อนกลับดีมั้ย?”
“อื้อ เอาสิ”
ผมเดินตามไอบะคุงเข้าร้านราเมงข้างทางอย่างว่าง่าย กลิ่นของน้ำซุปราเมงโชยเข้ามาในรูจมูกทั้งสองข้างของผมทันทีที่เดินเข้าร้าน ท้องที่ไม่ได้มีอะไรตกถึงมาตั้งแต่เที่ยงก็เริ่มส่งเสียงเร่งให้ผมตรงดิ่งเข้าไปสั่งราเมงเดี๋ยวนี้
เราสองคนนั่งอยู่ตรงโต๊ะเคาน์เตอร์ยาวที่มีเก้าอี้ว่างเรียงรายกันไปตามแนว เราสองคนรีบสั่งราเมงกับลุงเจ้าของร้านกันคนละชามอย่างอดใจรอไม่ไหว จนเมื่อราเมงนั้นถูกเสิร์ฟตรงข้างหน้าของเราทั้งคู่ ทำเอาเราแทบจะหักตะเกียบกินกันไม่ทันเพราะความหิวที่มี
“เอ้านี่ ..” ไอบะคุงคีบเนื้อหมูแผ่นจากชามราเมงของตัวเองมาใส่ในชามราเมงของผม ผมอึ้งอยู่เล็กน้อยก่อนจะถามกลับไป
“ไอบะคุงไม่ชอบหมูแผ่นเหรอ?”
“ชอบสิ แต่นายเอาไปกินเหอะ ตัวเล็กๆแบบนาย กินเยอะๆหน่อยจะได้โตทันคนอื่นเขามั่ง” ไอบะคุงพูดจบก็ซัดราเมงในชามตัวเองต่อ ผมมองเขานิ่งๆก่อนจะยิ้มออกมาอย่างไร้เหตุผล เลยคีบผักจากชามตัวเองไปใส่ไว้ในชามของเขาบ้าง
“เอานี่ให้ฉันทำไมเนี่ย?!” ไอบะคุงถามผมแบบไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ
“ก็นายน่ะ กินเนื้อน้อยๆ แล้วกินผักเยอะๆบ้าง จะได้ตัวเล็กๆรอคนอื่นเขาหน่อย คนบ้าอะไรเพิ่งอยู่แค่ม.ต้นปี 2 ก็สูงตั้ง 170 แล้ว”
“อ่อ... ฉันควรจะชอบคุณสินะ”
“ฮ่าๆๆ”
แล้วเสียงหัวเราะของพวกเราทั้งสองคนก็ดังขึ้นมาอีกครั้งท่ามกลางร้านราเมงที่อบอุ่นไปด้วยรอยยิ้มของไอบะคุง ...
...ผมรักมันที่สุดเลยรอยยิ้มที่สดใสของเขา...
...ผมรักมันทุกอย่างที่เป็นเขา...
....
...ไอบะคุง ถึงแม้จะไม่เคยได้พูดมันออกมา...
...แต่ว่า...
.
.
.
“ฉันรักนายมาตลอดเลยนะ..”
เมื่อเราออกมาจากร้านราเมง เราก็เดินกลับบ้านกันต่อไป ขณะนี้ท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีเป็นสีดำของค่ำคืน ถึงแม้จะยังไม่ค่ำมากก็ตาม แต่เพราะเป็นฤดูหนาวฟ้าจึงมืดเร็วกว่าปกติ ยิ่งทำให้ความหนาวนั้นยิ่งทวีคูณเข้าไปใหญ่
“จุน ฉันอยากไปนั่งเล่นบนนู้นอะ” ไอบะคุงชี้ไปยังของเล่นขนาดใหญ่ชิ้นหนึ่งในสวนสาธารณะ มันเป็นของเล่นรูปทรงกระบอก แต่มีช่องสี่เหลี่ยมหลายช่องให้ปีนป่ายได้ ยังไม่ทันที่ไอบะคุงจะรอคำตอบจากผม เขาก็วิ่งไปยังของเล่นชิ้นนั้นอย่างรวดเร็ว
“ไอบะคุง รอเดี๋ยวสิ!” ผมรีบวิ่งตามไอบะไป แล้วปีนขึ้นไปหาเขาบนของเล่นชิ้นนี้ซึ่งไอบะคุงได้ปีนป่ายไปถึงก่อนผมแล้ว
เราทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลยเมื่อได้ขึ้นมานั่งข้างบนนี้ ความเงียบเริ่มปกคลุมเราทั้งสอง เสียงเสียดสีกันของใบไม้ มันทำให้ผมรู้สึกสงบขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ถึงแม้จะไม่ได้พูดอะไรกันแต่เราก็เหม่อมองฟ้าที่มืดสนิทด้วยกันทั้งคู่ ท่ามกลางบรรยากาศแบบนี้บางทีมันก็ชวนให้น้ำตาไหลได้ง่ายๆเหมือนกัน
“จุน .. นายวาดความฝันในอนาคตไว้ยังไงบ้างเหรอ?” เขาถามผมในขณะที่เราสองคนก็ยังคงเงยหน้ามองหาดวงดาวจากฟ้าที่มืดมิด
“อนาคตเหรอ?.. อืม... ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อนเลยแฮะ ก็คงจะ... ทำงานในที่ดีๆ ได้เจอกับคนดีๆ ได้แต่งงาน แล้วก็มีลูกล่ะมั้ง? แล้วนายล่ะไอบะคุง?”
“ฉันเหรอ? ฉันเองก็ไม่เคยคิดถึงเรื่องนั้นมาก่อนเลยเหมือนกันนะ .. รู้แค่ว่าหลังจากนี้ไปไม่ว่าจะอีกกี่สิบปี ฉันก็ยังอยากจะเป็นเพื่อนรักกับนายแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าเป็นแบบนั้นมันคงจะดีไม่น้อยเลยเนอะ”
“... อื้ม ดีไม่น้อยเลยล่ะ”
น่าแปลกใจนะ ทั้งๆที่สิ่งที่ไอบะคุงคิดมันเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยม แต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกเจ็บจี๊ดๆขึ้นมาในหัวใจซะงั้น ไอบะคุงพูดมันออกมาแล้ว กำแพงของคำว่า “เพื่อน” ได้ถูกสร้างขึ้นมาระหว่างผมกับเขาแล้ว แม้จะเป็นเพียงสิ่งที่เขาคิด แต่มันก็ได้กลายเป็นคำสัญญาของผมที่จะต้องให้กับเขาไปตลอดชีวิตคือคำว่า “เพื่อน” ไม่มีทางที่มันจะกลายเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไปได้อีกแล้ว...
“...คำว่า “เพื่อน” ที่จะกลายเป็น “คนรัก” น่ะ...”
....
...
..
.
...และนั่นก็คืออุปสรรคความรักของผมอย่างหนึ่งมาตลอดเหมือนกัน...
~To be Continued~
---------------------------------------------
สวัสดีค่าา>w< ฟิคเรื่องแรกของเรา เดี๋ยวตอนต่อจากนี้ไปก็คงจะมีรูปประกอบเข้ามาแทรกในฟิคเรื่อยๆ ทรงผมในแต่ละทรงอาจจะไม่เหมือนกันของในแต่ละรูป แต่จะเพิ่มอัถรสของเนื้อเรื่องจากลักษณะการกระทำในรูปเอาก็แล้วกันนะคะ ยังไงก็ฝากด้วยแล้วกันนะคะ Yoroshikune~ >[]<///
ความคิดเห็น