คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : - On The Way - Intro
วันเกิดลู่หานปีนี้แย่กว่าทุกปีๆ ป๊าม๊าที่มาเยี่ยมก็ขึ้นเครื่องกลับจีนไปตั้งแต่เช้าเพราะมีประชุมใหญ่ของบริษัท คุณน้าก็ไม่อยู่บ้าน เหลือแค่ลู่หานตัวคนเดียวในวันเกิดปีนี้ ถึงแม้เพื่อนๆจะส่งข้อความมาอวยพรแล้วก็เถอะ แต่วันเกิดปีนี้ก็น่าเบื่อสุดๆเลย ลู่หานที่ไม่มีอะไรทำก็ได้แต่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงกว้าง อ่านข้อความที่เพื่อนๆส่งให้ย้อนไปย้อนมา จนสัญญาณเตือนขอความโทรศัพท์ดังขึ้นสั้นๆ คงจะเป็นเพื่อนซักคนแหละที่ส่งมา แต่กลับเป็นเบอร์แปลกที่ลู่หานไม่ได้เซฟเป็นคนส่งข้อความ แถมไม่ใช่ข้อความอวยพรอีกด้วย
‘นี่ๆ วันนี้ว่างรึเปล่า มาเจอกันหน่อยดิ จากเรา เซฮุน’
เอ่อ..แค่ข้อความแปลกๆก็ตกใจมากพอแล้ว แต่ชื่อคนส่งนี่ทำให้ลู่หานยิ่งตกใจรีบลุกขึ้นนั่งจนเผลอลืมว่านอนอยู่ริมขอบเตียงแล้ว “โอ้ย!” ลู่หานตกตียงแบบไม่ต้องถาม เพราะไอข้อความนั่นข้อความเดียวเลย แล้วใจที่เป็นแรงขึ้นเป็นเพราะว่าตกเตียงด้วยแน่ๆเลย ลึกๆแอบดีใจอยู่หรอกที่เซฮุนส่งข้อความมา แต่มันไม่แปลกๆเหรอ ตั้งแต่โดนล้อด้วยกัน ลู่หานก็แทบไม่ได้คุยกับเซฮุนอีกเลย ก็แน่แหละ ใครจะไปกล้าคุยด้วย เขินมากเหอะ แค่มองตรงๆยังยากเลย นี่มีเพื่อนๆคอยจับตามองอีก จะให้ทำยังไงได้เล่า! ก็ไม่ต้องคุยเลยละกัน แล้วข้อความที่ส่งมาเนี่ย เพราะจื่อเทากับจงอินแกล้งส่งมาแหงๆ ไม่หลงกลหรอกนะพูดเลย
10 นาทีผ่านไป
ติ๊ดติ๊ด~ เสียงเตือนข้อความดังขึ้น ลู่หานรีบเปิดดูข้อคามอย่างรวดเร็ว
‘ตอบกลับด้วย จากเซฮุน’
นี่ต้องการอะไรจากลู่หานเหรอ! ลู่หานรับมือไม่ถูกแล้วนะ
‘อื้ม ตอนนี้ว่างถึงช่วงเย็นๆอ่ะ’
‘งั้นมาเจอกันที่สวนสาธารณะคยองจินหน่อยดิ มานะ นะนะน้า’ ไอนะนะน้าด้านหลังคืออะไร! แล้วนัดเจอคืออะไร! โอ๊ยใคก็ได้บอกทีว่านี่ผมแค่ฝันไป
‘มีอะไรรึเปล่า แล้วทำไมไม่โทรมาเนี่ย ส่งข้อความแบบนี้เปลืองตังค์กว่าโทรอีก’ เขาไม่ได้คาทอล์คหรือไลน์มาหาผม แต่เขาส่งข้อความมา ถ้าคุยกันก็คงจบในหนึ่งนาทีเลยล่ะ แต่ผมจะกล้ารับไหมไว้อีกเรื่องนึงนะครับ
‘ไม่กล้าโทรไป แต่มาเหอะนะ จะมาใช่ป่ะ’
‘อืม เดี๋ยวไปละกัน’ สุดท้ายผมก็ตกลงไป ก็เพื่อนห้องเดียวกัน จะปฏิเสธก็ดูใจร้ายใช่ไหมล่ะ!
‘ขอบคุณนะ :D’
‘อื้ม’ แค่หน้ายิ้มนั่น ใจก็เต้นแรงเป็นบ้าเลย ฮึ่ยยย
ใครก็ได้บอกลู่หานทีว่าควรทำยังไง ไอเซฮุนบ้าหน้าหล่อนี่นัดผมไปเจอ มันต้องเป็นเรื่องล้อเล่นแน่ๆใช่ไหม พวกเทาจงอินต้องรวมหัวกันแกล้งผมแน่ๆ แล้วผมควรทำยังไงดี ผมบอกแล้วว่าจะไป ผมต้องเปลี่ยนชุดใหม่รึเปล่า ไอบ้าเอ้ย..จะดีใจอะไรนักหนา เซฮุนที่ไม่ค่อยได้คุยกันอาจอยากจะแฮปปี้เบิร์ทเดย์ไง ไม่มีอะไรหรอก.. แต่เพราะไม่ค่อยได้คุยแล้วทำไมต้องนัดไปเจอด้วยเล่า ส่งข้อวามอวยพรเฉยๆก็ได้นี่ แล้วจงอินที่เคยพูดแปลกๆก่อนหน้านี่อีกว่าช่วงนี้จะมีเซอร์ไพรส์.. หรือพวกนั้นแค่จะแกล้ง. โอ๊ย! ผมควรทำยังไงดีเนี่ย
ความรู้สึกลู่หานตอนนี้ตีกันไปหมด ทั้งดีใจ กังวล สับสน เขาดีใจมากที่เซฮุนส่งข้อความมา ก็แน่ล่ะคนหน้าตาดีที่เขาแอบชอบมาสามปีส่งข้อความหาขา ก็ต้องดีใจเป็นธรรมดา เขาควรไปตามนัดใช่ไหม แล้วถ้าเกิดเป็นพวกนั้นแกล้งเขาแล้วจะทำยังไง แต่ถ้าไปเจอแล้วจะคุยกันยังไง อยู่ในห้องสามปี คุยกันยังไม่เกินยี่สิบประโยคเลย ลู่หานได้แต่ตื่นเต้นบวกกับความกังวล เพราะสถานที่นัดเจอไม่ไกลจากที่พักของลู่หานนัก เขาจึงเลือกที่จะเดินไป แต่ก่อนจะออกจากบ้านนี่แหละ เซฮุนก็ส่งข้อความมาอีกรอบ
‘ทำอะไรอยู่ อยู่ไหนแล้ว’
‘กำลังออกจากบ้าน” ที่จริงคือผมกำลังเลือกชุดอยู่น่ะ
‘แล้วมายังไง ให้ไปรับไหม’
‘ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวไปเอง’ อย่างน้อยระหว่างทางไปก็ให้ผมได้ทำใจก่อนนะ ถ้าเจอตอนนี้ผมประสาทแน่ๆ
‘อื้ม รออยู่นะ J’
ผมต้องสะกดความตื่นเต้นและกังวลที่เพิ่มมากขึ้นทุกๆย่างก้าว ยิ่งใกล้ที่นัดมากไหร่ หัวใจแทบจะหลุดออกมาอยู่แล้วเนี่ย ก็แค่เป็นนัดเจอ อย่าโอเวอร์ไปเลยนะลู่หาน ใจเย็นๆ ฮือออ!! นั่นมันเซฮุน! ผมเดินหันหลังกลับตอนนี้ได้ไหม แล้วค่อยบอกว่าผมท้องเสีย ปวดหัว เป็นไข้อะไรก็ได้..แต่เหมือนไม่ทันแล้ว หมอนั่นยิ้มทักทายแล้วโบกมือให้ผม กางเกงเดฟสีดำกับเสื้อลายกราฟฟิค หมวกที่ใส่ด้านหลังไว้ข้างหน้า สไตล์โอเซฮุนยังไงก็แบบนั้น สามปีไม่เคยเปลี่ยน ผมพยายามควบคุมความร้อนที่หน้าให้ลดลง แต่ยิ่งเห็นเซฮุนมันก็ยิ่งยาก หน้าผมแดงหมดแล้วมั้งเนี่ย ผมเดินไปนั่งลงชิดอีกฝั่งของเก้าอี้ยาวตัวเดียวกับเซฮุน แล้วความเงียบก็เริ่มปกคลุมจนผมตัดสินใจทักเขาก่อน
“เอ่อ..เฮ้ หวัดดี” ช่างเป็นการทักทายที่ไร้ความธรรมชาติอย่างสิ้นเชิง ผมทักอะไรออกไปเนี่ย
“อื้ม หวัดดี” เซฮุนตอบกลับมาแบบนิ่งๆ ตอนนี้ผมเห็นแต่รองเท้าของเซฮุนครับ ก็ผมไม่กล้ามองหน้านี่ แต่เพราะว่าคุยกันอยู่ ผมเลยมองรองเท้านี่แหละ อย่างน้อยก็กำลังมองคนที่พูดด้วยอยู่ล่ะนะ แม้ว่าจะเป็นนรองเท้าก็เถอะ
“เอ่อ..นายมีอะไรรึเปล่า”
“ก็วันนี้วันเกิดนายใช่มั้ยล่ะ แฮปปี้เบิร์ทเดย์นะ”
“อื้ม ขอบคุณมากนะ” ผมเบนสายตาจากรองเท้าคู่สวยของเซฮุนเป็นดวงตานิ่งๆคู่นั้นแทน ผมยิ้มกว้างให้เซฮุน แล้วผมก็ได้เห็นประกายสั่นริกๆในดวงตาเย็นชานั่น แล้วเซฮุนรีบเบี่ยงหน้าหลบผมทันที.. เอ่อ นี่เขากำลังเขินผมเหรอ..
“มะ ไม่เป็นไร” เซฮุนพูดติดขัดก่อนยื่นพวงกุญแจกวางแบมบี้มาให้ผม
ผมแบมือออกไปรับของขวัญ แล้วรอยยิ้มก็เกิดขึ้นบนหน้าของผมอย่างไม่รู้ตัว แค่เขาจำวันเกิดผมได้ก็เหนือความคาดหมายแล้ว นี่มีของขวัญให้ผมอีก มันเกินความหวังของผมไปมากจริงๆ
ผมแอบมองเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันในวันรายงานตัวม.ปลายปีหนึ่ง เขาหล่อมาก มากกว่าที่ผมคยเจอ เขาสะกดผมไว้ด้วยรูปลักษณ์ที่เหมือนสวรรค์สรรสร้างนั่น ยิ่งกว่าโชคชะตาที่ผมผมได้เรียนปรบพื้นฐานกลุ่มเดียวกับเขา และผมก็ได้อยู่ห้องเดียวกับเขา ผมพยายามทำตัวเป็นปกติ กิจกรรมของห้องผมได้ออกไปเต้น เซฮุนก็ด้วย เรานัดซ้อมด้วยกัน เพราะผมมาก่อนเวลา เขามาตรงเวลา แต่เพื่อนคนอื่นมาสาย เราเลยได้นั่งคุยกัน เป็นการคุยกันที่ไม่มีอะไรเลย มันคือการคุยเรื่องทั่วไป ดินฟ้าอากาศ การบ้านที่โรงเรียน และอีกหลายเรื่องเหมือนที่เพื่อนคุยกัน ตอนนั้นผมดีใจจนแทบลอยเพราะเราได้เป็นเพื่อนกัน อย่างน้อยเราก็ได้รู้จักกันบ้าง แต่เพื่อนๆมาเห็นว่าผมกับเขาอยู่ด้วยกันสองคน และเพราะเป็นวันที่อากาศร้อนจนผมแก้มแดง เพื่อนๆเลยล้อกันว่าเขากับผมชอบกัน เพื่อนล้อกันขำๆ แต่มันไม่ขำสำหรับคนไม่ค่อยบริสุทธิ์ใจอย่างผม โอเคว่าผมยอมรับว่าเขาหน้าตา..มาก และมันเป็นสิ่งแรกที่ผมเห็น.. แต่หลังจากนั้นมันกค่อยเปลี่ยนๆไป ที่พักผมกับเขาอยู่ใกล้กัน ผมเดินไปโรงเรียน ในขณะที่เขาขี่จักรยาน มันเป็นภาพที่เกิดขึ้นทุกวันที่ผมจะเห็นเขาขี่จักรยานผ่านไป เราพยักหน้าให้กันเล็กน้อยในทุกๆวัน ตอนพักกินข้าวเรานั่งกันเป็นกลุ่มที่โต๊ะประจำของตัวเอง ผมแอบมองเขาเสมอเวลาเขากินข้าวหรือคุยเล่นกับเพื่อนๆคนอื่นๆ มันเป็นนั้นมาเสมอ
เพื่อนๆล้อผมกับเซฮุนเรื่อยๆจนเสนอชื่อผมกับเขาเป็นตัวแทนห้องไปรับรางวัลด้วยกัน ผมกับเขาต้องไปซ้อมพิธีการด้วยกัน และเพราะทางกลับบ้านทางเดียวกัน เขาเลยใจดีให้ผมกลับบ้านกับเขา ผมต้องยืนบนที่ยืนขางล้อทั้งสองข้าง ผมต้องเกาะไหล่เซฮุนแบบไม่มีทางเลี่ยง..มันเหมือนไฟ้ฟ้าช็อตอ่อนๆตอนผมสัมผัสเขา และเพราะเซฮุนหน้าตาดี เป็นคนดังของโรงเรียนที่ทำอะไรทุกคนก็มักจะรู้ เรื่องที่ผมซ้อนจักรยานเขากลับบ้านก็เลยรู้กันทั่ว และมันจะไม่เป็นอะไรหากเพื่อนๆไม่ล้อกันหนักขนาดนี้ เรียกได้ว่าล้อผมกบเขาทุกลมหายใจเข้าออก เขาได้แต่นิ่งๆตามนิสัยเขา ยิ้มรับบ้าง ต่างจากผมที่พยายามทำทุกอย่างให้หยุดล้อ ทั้งทำเป็นหงุดหงิดใส่ ทำเป็นไม่สนใจ แกล้งเออออแบบโอเวอร์ไปตามเรื่องแบบ แต่..ทุกคนก็ยังไม่เลิกล้อ ผมกลัวเขารำคาญ ผมเลยพยายามเลี่ยงทุกอย่างจากเขา วงโคจรของเราห่างไกลกันออกจนแทบจะหลุดออกจากกันทั้งที่อยู่ในกาแล็คซีเดียวกันแท้ๆ ผมคุยกับเพื่อนในห้องเกือบทุกคนยกเว้นเขา จนบางทีมันก็กลายเป็นความเจ็บปวดเบาบางสำหรับผมที่ผมกับเขาเหมือนคนไม่รู้จักกันแม้จะอยู่ใกล้แค่เอื้อมก็ตาม
ผมไม่ได้หวังให้เราสนิทกันขนาดนั้น แค่ไม่ใช่แบบนี้ รู้จักกัน..แต่มันห่างไกลกว่าคนแปลกหน้าซะอีก
ม.ปลายปีสองเขาเปลี่ยนจากจักรยานเป็นรถยนต์ ผมมักจะแอบมองรถของเขาจากหน้าต่างห้องครัว ผมจำเสียงรถเขาได้ ผมจำได้แม้กระทั่งทะเบียนรถยนต์ของครอบครัวเขาทั้งสองคัน ผมเปลี่ยนจากเดินมาใช้บริการรถโรงเรียน เวลานั่งรอรถโรงเรียนที่หน้าตึกที่พัก ผมต้องทำเป็นยุ่งกับอะไรซักอย่างเสมอเมื่อเขาขับรถผ่าน ตอนในห้องเรียนมันยากที่จะแอบมองเพราะเขานั่งโต๊ะหลังสุด ความห่างของเรายังเหมือนเดิม มากกว่าเดิมด้วยซ้ำ แต่ผมยังแอบมองเขาอยู่เงียบเหมือนเดิม ผมรู้ว่าเขามักจะหลับในคาบวิชาสังคม มักจะโดดเรียนในคาบคณิตศาสตร์ เขาชอบกินน้ำสไปร์ท เขาเกลียดแมลง เขาไม่กลัวผี ผมรู้จักเขาจากการสังเกต และในปีนี้ประโยคที่ยาวที่สุดที่ผมคุยกับเขาก็คือ “เซฮุน นี่สมุดนาย แล้วก็ฝากสมุดการบ้านไปให้จงอินด้วยนะ ขอบคุณมาก”
ม.ปลายปีสาม เพื่อนล้อผมกับเขาน้อยลง แต่ก็ยังไม่หยุดล้อ ผมเจอหน้าเขาบ่อยขึ้น เพราะผมเป็นคนไปรับสมุดจากคุณครูมาแจกให้เพื่อน ผมต้องแจกสมุดให้เขา นั่นเป็นช่วงเวลาที่ผมได้มองเขานานที่สุด ผมและเซฮุนก็ยังใช้ชีวิตของแต่ละคนต่อไป แต่มันของผมอาจจะพิเศษนิดหน่อย เพราะคริสเริ่มทำตัวกับผมแปลกๆ เขาย้ายมานั่งหลังผม เขาชอบยีหัวผมด้วย ผมไม่คิดอะไรมาก เลยปล่อยให้เล่นไป มีบางครั้งที่ผมหันไปดุบ้าง แต่เราก็สนิทกันมากขึ้น คริสไปเที่ยวแล้วก็ซื้อของฝากพิเศษมาให้ผม ตอนแรกผมขึ้นว่าทุกคนได้ของฝาก ใช่ ทุกคนได้เหมือนกันทั้งห้อง ยกเว้นผม แล้วมันก็เริ่มแปลกๆ เขาส่งข้อความหาผมบ่อยขึ้น ผมเห็นว่าเขาเป็นเพื่อนเลยตอบกลับไป ช่วงหลังคริสเริ่มแสดงออกมากจนผมอึดอัดกับท่าทีแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าควรทำยังไง เพราะเขาไม่ได้พูดออกมาชัดเจนและผมแค่อยากให้เราเป็นแค่เพื่อนกัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมแอบมองเซฮุนอยู่เหมือนเดิม แต่บางอย่างออกจะแปลกๆไปซะหน่อย เพราะหลังๆเวลาผมแอบหันไปมอง ก็จะเห็นสายตาเขาที่มองมาอยู่ก่อน เราสบตากันจนผมต้องเบือนหนี ผมรู้สึกแปลกๆเหมืนมีคนมองเวลาที่คริสเข้ามาเล่นกับเขา พอผมหันไปกะเจอสายตาที่นิ่งเฉย เย็นชาของเซฮุนมองอยู่ ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเอง ผมเลยพยายามคิดว่ามันเป็นความบังเอิญ แต่ก็เหมือนบังเอิญเกินไป เมื่อเพื่อนๆเริ่มล้อผมกับเซฮุนหนักกว่าเดิมอีก ทั้งทีผมกับเขาก็ยังคงเหมือนอยู่กันคนละโลก
จนตอนนี้ วินาทีนี้ มันเหมือนกับผมฝันไป ผมนั่งอยู่ข้างเซฮุน คนที่ผมไม่เคยคิดจะเอื้อมแตะ
ผมเอาแต่เงียบ เซฮุนก็เงียบ จนครั้งนี้เป็นเขาที่ทำลายความเงียบขึ้น
“ชอบเรารึเปล่า”
…….
“เอ่อ ก็แบบเป็นเพื่อนกันไง ฮ่าๆๆ” คำถามเซฮุนทำเอาผมสตั้นท์ไปสามวินาที
จู่ๆก็ถามมาแบบนั้น เขารู้เรื่องอะไรมา ผมไม่เคยบอกเรื่องนี้กับใครเลย หรือว่าผมแสดงออกชัดเจนจนสังเกตได้ ผมกำลังทำให้เขาอึดอัดรึเปล่า ผมเลยโกหกตอบเซฮุนไป พยายามหัวเราะกลบเกลื่อนเหมือนเป็นเรื่องล้อเล่น
“เอ่อ..แต่เราชอบลู่หานนะ”
“....” เดี๋ยวนะ นี่สตั๊นท์กว่าเมื่อกี้อีก นี่ไม่ใช่ความฝันจริงๆใช่ไหม ผมควรทำยังไงดี ให้ตายเถอะ!
“นี่จีบกันอยู่ป่ะเนี่ย” ผมถามออกไปเพราะอยากรู้จริงๆครับ คือมันเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง...
“แล้วให้จีบป่ะล่ะ” เซฮุนตอบกลับมาแบบยิ้ม
อย่ายิ้มแบบนั้นได้มั้ยเล่า ดูดีเกินไป เขินจนแก้มจะแตกแล้ว
“ถ้าคิดว่าจีบติดอ่ะนะ” ผมพยายามพูดออกไปให้ดูธรรมชาติเหมือนอยู่กับเพื่อนคนอื่น แต่มันฟังดูเหมือนท้าทายเซฮุนแปลกๆนะครับ ว่าไหม?!
“มั่นใจว่าติดแน่นอน” เซฮุนยิ้มมั่นใจก็ขยับมาใกล้แล้วเอื้อมมือมายีหัวผมจนผมยุ่งก่อนจะลูบผม จัดทรงให้อย่างอ่อนโยน ผมมองแววตานั่นก่อนต้องพ่ายหลบสายตา มันสั่นคลอนหัวใจของผมจนเต้นแรงจนแทบระเบิด
ผมนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น กำลังพยายามทำความเข้าใจว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริงๆ ผมไม่เคยจินตนาการถึงภาพนี้ ผมไม่เคยคิดว่าเราจะนั่งคุยกันได้สบายๆแบบนี้ในสวนสาธารณะ ผมไม่เคยหวังอะไรไปมากกว่าความเป็นเพื่อน ทุกอย่างตอนนี้มันเกินที่ผมฝันถึง มันไกลเกินที่ผมหวัง...
“ชอบเราตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมเอ่ยถามบางอย่างที่อยากรู้ออกไป บางความรู้สึกลึกๆผมก็แอบคิดเข้าข้างตัวเองเซฮุนก็มองผมบ้างเหมือนกัน
“ก็ตั้งแตม.ปลายปีหนึ่งล่ะมั้ง วันรายงานตัวน่ะ” เซฮุนยิ้มออกมาตอนตอบคำถามนั้น
ผมนั่งอึ้งมองหน้าเขาจนเซฮุนหัวเราะแล้วยื่นยีผมแล้วลูบจัดทรงสลับกันไปเรื่อยๆอยู่แบบนั้นจนผมต้องหันไปค้อนใส่เขา เซฮุนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะพึมพำอะไรซักอย่างออกมา “ดุตั้งแต่ยังไม่ได้คบเลยนะเนี่ย”
ผมจะทำเป็นไม่ได้ยินเสียงนั่นละกัน เพราะผมเขินมากกว่าโกรธ ทำไมไม่ยินคงจัดการง่ายกว่า และคำตอบของเซฮุนก็ทำให้ผมแปลกใจมาก ตั้งแต่ตอนนั้นเลยหรอที่เขาเริ่มชอบผม มันเป็นไปได้ยังไงกัน
“เล่าให้ฟังหน่อยสิ นะ เอาแบบละเอียดกว่านี้อ่า” ผมหันไปขอร้องเซฮุน ความอยากรู้ทำให้ผมเผลอเขย่าแขนอ้อนเซฮุนตามนิสัยที่ผมชอบทำเวลาอยากได้อะไร ผมแอบเห็นริ้วแดงๆบนแก้มของเซฮุนก่อนที่เขาจะเบือนหน้าหนีสายตาของผม
“ไม่เล่าตอนนี้ ไว้คบกันก่อนแล้วจะเล่าให้ฟังนะ” เซฮุนหันกลับมาตอบแล้วยิ้มอย่างเป็นต่อ..
“.....”
“แล้วเมื่อไหร่จะได้คบกันอ่ะ” ไม่ใช่ผมที่ถามประโยคนั้น แต่เป็นเซฮุนที่ถามผม
“ไม่รู้สิ ขึ้นอยู่กับนายนั่นแหละ” ที่ตอบออกไปแบบนั้น ผมไม่ได้เล่นตัวแต่เพราะผมรู้สึกว่าเรารู้จักกันน้อยไป ผมไม่อยากเปลี่ยนความสัมพันธ์เพราะแค่เขาชอบผม และไม่ใช่เพราะผมไม่มั่นใจในความรู้สึกของตัวเองว่าผมชอบเขา ผมรับรู้เสมอว่าผมชอบเซฮุนมากขนาดไหน แต่เซฮุนชอบผมมากแค่ไหนกัน ผมไม่เคยรับรู้มันมาก่อน ผมไม่อยากรีบร้อนเรียกเราว่าเป็นแฟน ผมกลัวว่ามันเร็วเกินไป เร็วจนข้ามบางอย่างที่สำคัญ ผมกับเขาอาจจะรู้จักอีกฝ่ายด้วยการแอบชอบ แต่เพราะแอบชอบในที่ไกลๆ เราอาจไม่เห็นอะไรใกล้ๆของกันและกัน สิ่งที่พลาดอาจเป็นสิ่งสำคัญ ผมแค่อยากให้เราเรียนรู้กันไป ไม่จำเป็นว่าเราต้องเรียกว่าแฟน ถึงตอนนี้เราจะเป็นเพื่อนกัน แน่นอนว่าเราอาจไม่ใช่แค่เพื่อนธรรมดา แต่ถ้าผมกับเขารู้สึกเหมือนกัน สายตาของผมมองเห็นแต่เขาเพียงคนเดียวมานานตั้งนานแล้ว และถ้าเขาบอกว่าชอบผมตั้งแต่งานรายงานตัว เราก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน ให้เวลาทำให้เราได้รู้จักกันอีกหน่อยคงจะดีกว่า ให้ผมพร้อม ให้เรารู้จักกันและกันมากกว่านี้ ให้ผมมั่นใจว่าผมกับเซฮุนควรใช้คำว่าแฟน ผมคิดว่าถ้ามันคือความรู้สึกนั้นจริงๆ วันนั้นก็คงไม่สายไปถ้าเราจะคบกันเป็นแฟน…
..วันนี้แม้จะเป็นเพียงเพื่อนก็ไม่สำคัญ เมื่อใจให้กันจะหวั่นอะไร
วันข้างหน้าจะมา จะช้าจะนานเท่าไหร่ คงเป็นอะไรได้มากกว่านั้น..
..เพื่อให้เรามีความมั่นใจ ว่าเรานั้นมีความลึกซึ้งเพียงใด
…พรุ่งนี้ไม่สายที่จะรักกัน…
-----------------------------------------------
อยู่ในช่วงศึกษากันเนอะ :D
ฝากด้วยนะคะ ^^ @Grayliette
ความคิดเห็น